Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ว่าด้วยเรื่อง "เด็กซิ่ว" !!!

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
        ก่อนอื่นต้องขออภัยบรรดาเด็กซิ่วทั้งหลายที่เห็นหัวข้อแล้วอาจจะตกใจหรือไม่พอใจบ้าง ผู้เขียนมิได้มีเจตนาชวนทะเลาะแต่ประการใด เพียงแต่ต้องการสร้างบรรยากาศให้เข้ากับสังคมไทยที่ตรงไปตรงมาเป็นขวานผ่าซากเท่านั้น และหากจะว่าไปแล้วข้าพเจ้าต้องการให้เพื่อนๆ นักศึกษาทุกท่านยอมรับความจริงเพียงเท่านั้นเอง
         ในการใช้ชีวิตของมนุษย์เรามีช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองหลายช่วง ข้าพเจ้าจะยกตัวอย่างในช่วงจบ ม.6 เข้าสู่ระดับอุดมศึกษา และหลังจากศึกษาในระดับอุดมศึกษาหนึ่งปีการศึกษาต่อ ปี 2 เพียง 2 ช่วงเท่านั้น 
         มีหลายคนเข้าใจสัจจธรรมของชีวิตว่าการตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยที่ใช่ คณะที่ชอบในตอนม.ปลายนั้น เป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งครั้งสำคัญและครั้งสุดท้ายของชีวิต  ข้าพเจ้าได้ศึกษาข้อมูลมาหลายปีขออนุญาตแย้งว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ จริงอยู่ครับแม้อาจจะมีผู้อ่านบางท่านให้ข้อท้วงติงว่าเมื่อได้มหาวิทยาลัยที่ใช่ หรือคณะที่ชอบแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก ถ้าเรียนไม่ได้ก็แสดงว่าเราไม่เอาถ่าน แต่ในความเป็นจริงของสังคมไทยที่เป็นอยู่มาหลายสิบปี ในการเรียนหรือการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ย่อมมีองค์ประกอบหลายประการที่เป็นส่วนสำคัญในการเรียน ประการแรกก็คือบรรยากาศของมหาวิทยาลัยที่เราไปศึกษาต่อ เราสามารถปรับตัวได้หรือไม่ ประเทศไทยของเราอย่าลืมว่าต่างมหาวิทยาลัยก็มีบรรยากาศต่างกันไป บางที่อยู่ในป่าแต่นักศึกษาไม่ชอบป่า ชอบอยู่ในเมือง หรือบางที่อยู่ในเมืองมีควันรถเต็มไปหมด นักศึกษาอยู่ไม่ได้ เพราะไม่ชอบสถานที่ที่มีมลพิษ ประการต่อมาคือเพื่อนร่วมสาขา เพื่อนนี่สำคัญเพราะอย่างภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีสโลแกนว่า "เพื่อนไม่ได้คบแค่วันสองวัน แต่มันคบกันไปจนวันตาย" เป็นจะเป็นเสมือนหนึ่งกระจกที่จะสะท้อนตัวตนของเรา เรามีเพื่อนเมื่อครั้งเรียนระดับมัธยมปลาย แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย ต่างคนก็ต้องแยกย้ายไปตามหนทางของตนเอง ก็ต้องมาเริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ บางที่มีนักศึกษาไปอยู่รวมกันปรากฎว่านักศึกษาแต่ละคนถือทิฏฐิ ไม่ยอมคบเพื่อนกับใครง่ายๆ ก็อยู่ไม่ได้ นานวันเข้าก็รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเล.... -.- ประการที่สามก็คืออาจารย์ผู้สอน มหาวิทยาลัยทุกวันนี้ก็มีการปรับและตั้งกฎใหม่มากมายเพื่อให้บรรดาอาจารย์ได้ทำการวิจัยเพื่อสร้างผลงานทางวิชาการ เสริมทัพความแข็งแกร่งให้กับทางมหาวิทยาลัย แต่อีกบางที่มีอาจารย์ที่มีตำแหน่งทางวิชาการสูง มีผลงานมาแล้วในอดีตมากมาย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาครั้งนับไม่ถ้วน แต่ต่อให้อาจารย์ดีแค่ไหนเด็กไม่ใส่ใจก็เสียเวลาเปล่า เหล่านี้จะเป็นองค์ประกอบให้เราตัดสินใจว่า ตกลงชีวิตเราจะเดินไปทางนี้ได้หรือไม่ หรือมีเหตุผลประการใดที่ทำให้เราต้องตัดสินใจใหม่ ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติมากกว่า ไม่ต้องไปเปรียบเทียบต่างประเทศให้เสียเวลาเลย บ้านเรานี่แหละ ประเทศไทยเรานี่แหละ เป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดว่า เมื่อนักเรียนจบ ม.6 แล้ว ย่อมต้องตัดสินในเลือกทางเดินชีวิตของตนเอง แต่มีขั้นที่ 2 ก็อย่างที่ได้อธิบายในข้างต้นว่า เรียนมา 1 ปี มันใช่ตัวตนเราไหม อย่างคำที่ว่า "เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน ใจคนย่อมเปลี่ยนไปตาม" นี่คือสัจจธรรมแท้จริง ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินใจทุกทางเลือกย่อมต้องตั้งอยู่บนหลักของเหจุและผล ไม่ควรไปยึดเอาคำด่าทอ ชมติเตียน นินนทา ว่าร้าย มาใส่ใจให้มากนัก เพราะนี่คือชีวิตของเรา เรากำหนดเอง บุคคลเหล่านั้นที่มาว่าเราไม่มีน้ำยาบ้าง เอาตัวไม่รอดบ้าง เขาเหล่านั้นมีส่วนรับผิดชอบกับชีวิตของเราในอนาคตหรือไม่ ให้นึกเสมอว่าสิ่งที่เราทำ เราทำเพื่อพ่อแม่ และตัวเราเอง อนาคตของเรา ทำไมเอาไปฝากไว้กับคำกล่าวว่าของบุคคลอื่นที่ไหนไม่รู้ บางคนชีวิตตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด ยังสละเวลาไปยุ่งเรื่องชาวบ้านอีก ก็น่าชื่นชมนะครับ !! 
         ที่เขียนมานี้เพียงแต่ต้องการให้กำลังใจเด็กซิ่วทุกท่าน ไม่ได้เขียนเพื่อฝึกเรียงความ ไม่ได้เขียนเพื่อให้กำลังใจตนเอง เพราะส่วนตัวข้าพเจ้าไม่เคยซิ่ว สอบติด มหาวิทยาลัยชื่อดังของภาคอีสานได้ แต่เห็นเพื่อนๆ ข้าพเจ้าโดนติฉินนินทาว่าซฺ่ว แล้วรู้สึกเห็นใจและจึงยกเหตุผลมาอธิบายให้ท่านผู้อ่านได้นำไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการใช้ชีวิตของแต่ละคน ต่างคนก็ย่อมต่างเหตุผล ต่างคนก็ย่อมมีปัญหาของชีวิตที่ต่างกัน อยู่ที่ว่าใครจะเจอปัญหายนั้นก่อนใคร ทุกคนต้องได้เจอ เหมือนกรรมที่ไม่มีใครสามารถหนีได้ เมื่อเจอปัญหาแล้วก็ต้องตั้งสติ คิดหาเหตุผล อยู่ในกรอบของความเป็นจริง ที่สำคัญต้องเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเราเอง เป็นสิ่งที่เรารัก ถึงแม้วันนึงมันอาจจะล้มลง แต่ก็ขอให้มันล้มลงกลางสิ่งที่เรารัก ยังดีกว่าล้มท่ามกลางสิ่งที่คนอื่นเลือกให้ 
         ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่สละเวลาอ่านจนจบ 

-กิจฐเชษฐ์  เวทย์กิจจานุกิจ- 

แสดงความคิดเห็น

1 ความคิดเห็น