วิจารณ์เละ! ธนาคารชื่อดัง เลือกรับพนักงานจากชื่อมหาวิทยาลัย (มาแชร์กัน ข้อดีการทำแบบนี้ คืออะไร ???)
ตั้งกระทู้ใหม่
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก @LadyGunga
มีข้อดี.........
มีข้อเสีย...........
คิดว่า ข้อดี คืออะไร มาแสดงความเห็นกันเลย
คิดว่า ข้อเสีย คืออะไร มาแสดงความเห็นกันเลย
106 ความคิดเห็น
เค้าก็มีสิทธิเลือกรับคนของเค้าอะเน๊อะ เราว่า เปิดเผยไปเลยก็ดีนะ จะได้ไม่เสียเวลา ดีกว่ามาสมัครแล้วเค้าไม่เอา เสียความรู้สึกเปล่าๆ
คุณเอาอะไรมาตัดสินว่าเด็กที่จบมหาวิทยาลัยอื่นไม่มีสิทธิ์สมัครงาน เด็กทุกคนแค่ขอโอกาสจากผู้ใหญ่ เพราะคุณนั้นแหละที่ทำให้เด็กสมัยนี้เดินทางในที่ทางผิด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขาคิดว่าไม่มีใครต้องการไงล่ะ #เดือด
เราคิดว่ามันเป็นสิทธิของเขาอะ คือใครก็อยากได้คนมีคุณภาพมาทำงาน ไม่รู้ดิ แต่ก็ใช่ว่ามันจะดีไปหมดอะนะ
แล้วแบบนี้คนที่ไม่ได้อยู่ในคุณสมบัติแต่อยากทำงานเขาก้ไม่มีสิทธิเลยหรือไง
บางทีนี่ก้เปนตัวบ่งบอกได้เลยว่าชื่อเสียงของมหาลัยมีผลต่อการเข้าทำงานจริง
เหมือนกับกีดกันเลยค่ะ =__=
(เราเรียนมหิดล แต่พอเห็นอันนี้ก็อยากรู้เหมือนกันว่าของบริษัทไหน จะได้ไม่ต้องไปสมัคร)
เค้าก็มีสิทที่จะรับสมัครนะคะ
#คหสต
เลือกคนจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง คุณดูถูกคนเกินไปป่ะคะ คนที่จบจากมหาวิทยาลัยอื่นที่ไม่ได้ระบุไว้ ใช่ว่าจะไม่มีความสามารถในการทำงาน ทำแบบนี้ คุณดูถูกคนอื่นเกินไปแล้วนะคะ
อย่ามองคนที่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย โปรดดูจากความสามารถของคนๆนั้น
จริงๆผมไม่อยากกดโหวตเท่าไหร่นะเพราะในความคิดของผมผมคิดว่ามันเท่ากัน ทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
- ตามที่คุณคห.ก่อนหน้าว่ามาเลยครับว่าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาลุ้นให้เสียเวลา
ข้อเสีย
- ผมคิดว่าการเป็นพนักงานที่ทำงานด้านการขายหรือบริการไม่จำเป็นต้องจบมอดังก็ทำได้นะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อสังคมไทยเป็นแบบนี้ไม่งั้นคนเค้าจะแย่งกันเข้ามอดังทำไม (ไม่ได้ดูถูกมออื่นๆนะครับสังคมไทยมันแบบนี้จริงๆ)
ทั้งนี้จะมีข้อดีหรือข้อเสียแต่เค้ามีสิทธิ์เลือกรับคนเข้าทำงานครับ
เป็นสิทธิของเค้าจริงๆนะ อย่าดราม่ากันเลย เค้าเปิดเผยแบบนี้ใจดีมากๆแล้วล่ะ
ถ้าผมจบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมา ผมจะเข้าได้มั้ยเนี่ย ;c
การที่เด็กมีเกรดต่ำกว่า2.75 ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เก่งเสมอไปนะคะ อย่าดูถูกคนเพียงแค่เห็นเกรด.
มันก็ดีแหละนะ คุณสมบัติแจ้งมาตรงๆจะได้ไม่เสียเวลาสมัคร แต่มันจะสร้างค่านิยมที่ผิดๆ ต้องจบจากที่นี่ ที่นี่ดี ผู้ใหญ่จะเริ่มกดดันเด็ก กดดันเยาวชน มีปัญหาสังคมตามมา
คำตอบคือมันดีกับบริษัทเขา แต่ไม่ดีต่อสังคม
มันก็แค่นี้เอง.
เอาเหอะ เหนื่อยกะค่านิยมแบบนี้จัง
แล้วคนที่จบที่อื่นนี่ทำงานให้ไม่ได้ใช่ป่ะ
แต่อย่างว่าแหละเปิดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คนที่จบนอกจากนี้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปสมัคร
มหาลัยเป็นส่วนประกอบนึงที่ช่วยให้เราพัฒนา
แต่องค์ประกอบสำคัญก็ขึ้นอยุ่ที่ตัวบุคคลเป็นหลัก
#ลองเปิดโอกาสให้เด็กมหาลัยอื่นได้มีจุดยืนบ้างนะคะ^^
ถ้ามันไม่ได้ผิดกฏหมายผมว่าก็เป้นสิทธิ์ของบริษัทนั้นๆนะครับ
ต้องมองในมุมที่ว่า บริษัทของเขา เขาก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะเลือกคนเข้ามาทำงานครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาทำจะถูกหรือผิดนะครับ ก็แค่สิทธ์ของเขาเท่านั้นเอง
แต่ไม่ได้เห็นด้วย 100% นะครับ เพราะโดยส่วนตัวผมก็ไม่ชอบการเลือกคนจากชื่อมหาวิทยาลัย แต่ผมมองในมุมที่ว่า เรามีสิทธิ์เลือกงาน เขาก็มีสิทธิ์เลือกคน
ปล.เนื่องจากมีคนรู้จักทำงานในส่วนของ HR จึงขอแชร์นิดนึงนะครับ อยากให้ลองมองในฐานะของฝ่ายที่รับคนเข้าทำงาน ถ้าคุณรับคนที่ไม่รู้ความสามารถมาทำมั่วๆ เกิดมีปัญหาขึ้นมาคิดว่าใครต้องรับผิดชอบ? มันจึงมีหลายๆที่ที่ต้องตั้งมาตรฐานไว้ด้วย ส่วนเรื่องของเกรด ถามว่า 2.75 บอกอะไรได้? ความรับผิดชอบต่อตัวเองครับ คุณเรียนมหาวิทยาลัย คุณทำกิจกรรม คุณมีความสามารถ แล้วคุณรับผิดชอบต่อหน้าที่ของคุณหรือก็คือ นิสิตนักศึกษาได้ดีแค่ไหน เกรดมันเป็นตัวที่บอกได้ครับ
ผมว่าไม่ควรเลือกว่าจบจากมหาลัยไหนนะ เพราะ มันเป็นการกีดกันความสามารถคนที่อาจจะเก่งกว่าและขยันกว่าคนที่จบจาก ม. ที่กำหนดก็ได้ และนั่นทำให้ทางบริษัทเสียโอกาสได้คนเก่งๆ+ขยันด้วย ผมคิดงี้นะ
นี่ไง สาเหตุที่ ผู้ปกครองหลายๆคน และเด็ก พยายามแย่งกันเข้า ม.ที่มีชื่อเสียง ก็เพื่อสิ่งนี้
บ.ก็ต้องการคนทำงานได้ เพื่อกำไรที่งอกเงย
คนทำงาน ก็ต้องจบจาก ม.ดังเพื่องานที่ให้เงินเยอะ
โลกนี้ไม่ได้สวยงาม
shokugeki no soma!! ลองดูเรื่องนี้
จริงๆไม่ควรประกาศแบบนี้เลย เสียชื่อเสียงเปล่าๆ
ควรเก็บไปตัดสินกันภายในดีกว่าครับ
มันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้วครับ ไม่งั้นจะแย่งกันเรียนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ดังๆ ไปเพื่ออะไรกัน
เราโหวตมีข้อดีนะ ถึงแม้เราจะเรียนราชภัฎเพราะนั้นมันสิทธิ์ของเขาที่จะต้องเลือกรับพนักงานที่เขาคิดว่าดีและคุ้มค่าที่สุดซึ่งมันดีมากๆเลยสำหรับการเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจเข่า คนที่เขาไม่สนใจเราต่อให้เรามีเวทมนตร์เขาก็ไม่สนใจเราหรอก อย่าไปขอความเห็นใจเลยเสียกำลังใจเราป่าวๆๆ มันก็ดีของเขาแหละเรายอมรับได้คนเรียนราชภัฎเจอฟีดแบลกเยอะชินแล้วแหละอยู่ที่ใจเรายอมรับได้แค่ไหน
ทางผู้รับสมัครงาน อาจจะต้องการบุคคลากรใน คณะนี้ สาขานี้
ซึ่งคณะฯและสาขาฯดังกล่าว อาจจะเปิดจำกัดในมหาวิทยาลัยดังกล่าว
หรือ
มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากการตรวจสอบคุณภาพของการเรียนการสอนสาขานั้นๆมาเป็นอย่างดี
เพื่อคัดกรองเอาจำเพาะสาขาที่จบมาตรงความต้องการจริงๆของผู้รับสมัครงาน
ข้อเสีย
บางมหาวิทยาลัยที่นอกเหนือจากข้างต้น ก็เปิดสาขานี้ที่ใกล้เคียงกับที่ต้องการเช่นกัน แต่อาจจะเปืดมาไม่นาน หรือ ยังไม่ได้รับการยอมรับ
แต่...ถ้าประกาศแบบนี้ โอกาศที่มหาวิทยาลัยอื่นจะอยากพัฒนาสาขานั้นๆก็คงอาจจะน้อยลงในเมื่อ
เด็กๆแห่ไปเรียนตามมหาวิทยาลัยที่เข้าเปิดรับสมัคร
/คหสต จากเด็กชอบเล่นเกมวางแผนกากๆ 555
เคยอ่านกระทู้ในพันทิพที่ฝ่าย HR เป็นคนออกมาพูดบ้างไหมครับ ที่ประมาณว่า "แรกๆ ก็คัดเลือกไม่ค่อยเป็นเลย เห็นที่ไหนก็เรียกมาสัมภาษณ์หมด แต่พอผ่านๆไปนานๆเข้า แค่มอง 10 วิก็รู้แล้วว่าควรเรียกไหม แล้วนักศึกษา แต่ละ มหาวิทยาลัยก็มักจะได้รับการปลูกฝังมาในแบบเดียวกัน สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนไปกรองคนจากมหาวิทยาลัย"
คือเอาจริงๆ หลายๆที่เค้าก็เป็นอย่างนี้ครับ แค่เค้าไม่โจ๋งครึ่มเท่านี้ เค้าแค่หยิบใบสมัครของคุณขึ้นมา แล้วก็โยงทิ้งลงกองขยะทันที แค่นั้นเอง ซึ่งเราว่าก็ดีซะอีกทีเค้าบอกเราก่อน เราจะได้ไม่เสียเวลารอคอย เฝ้ารอเมื่อไหร่เค้าจะเรียกไปสัมภาษณ์ แล้วก็เป็นการลดภาระงานของฝ่าย HR ในบริษัทนั้นๆอีกด้วย เพราะมันก็เป็นสิทธิของแต่ละบิษัทในการกำหนดเกณฑ์การสมัครเข้าทำงานนี่ครับ
เข้าใจนะว่าอยากรับคนเก่งๆมีความสามารถเข้าทำงาน จบจากมหาลัยมีชื่อเสียงที่มีการแข่งขันสูง สอบเข้าได้คือคนที่ขยันและฉลาด เรายอมรับจุดนี้ ตัวเราเองไม่ได้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเหล่านั้นเพราะตัวเราเองขี้เกียจ ไม่ขยันเท่าคนเหล่านั้น เขาทำมากกว่าย่อมได้ดีกว่าจึงมีโอกาสที่ดีกว่าเรา แต่เราโหวตไม่เห็นด้วย เพราะ ที่เราเข้ามหาลัยมีชื่อเสียงไม่ได้จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้หมายความว่าคุณสมบัติอื่นๆเราไม่มี เราอาจพลาดในตอนแรกแต่เราปรับปรุงได้ เราเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ถ้าคุณไม่ให้โอกาสเราแล้วเราจะแสดงให้เห็นได้ยังไง?
เราอยากบอกให้ทุกคนที่ไม่ได้เข้ามหาลัยดังๆมีชื่อเสียงหรือเข้าไม่ได้ ไม่ว่าเพราะอะไร แต่โลกเปิดกว้างรับคนที่มีความสามารถเสมอ เราเชื่อแบบนั้น เราต้องพยายามให้หนักกว่าคนเหล่านั้น "ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น" สู้ๆนะ! (ไม่ได้โลกสวย แค่ไม่อยากคิดซ้ำเติมตัวเอง อยากพัฒนาตัวเองมากกว่ามากลุ้มใจ)
อย่าโลกสวย โตๆกันแล้ว
ไม่ได้เห็นด้วย 100% เพราะมันดูไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ แต่!
บริษัทของเขา เขาก็มีสิทธิที่จะเลือกนี่ครับ ไม่เห็นจะผิดตรงไหน
เพราะการที่เขากำหนดมหาวิทยาลัยก็เป็นเกณฑ์ตัดสินอย่างหนึ่งแล้ว ว่า...
ถ้าหากเข้าม.ในเกณฑ์ ได้ แสดงว่า คุณก็มี"ความสามารถ" ในระดับหนึ่ง หรือไม่ก็ คนที่ทำงานในนั้นก็จบม.ในเกณฑ์มาเหมือนกัน ทำให้รู้
1.วิธีคิด
2.วิธีทำงาน
3.วิธีคุย
ฯลฯ
รึเปล่า
ต้องมองในมุมของผู้รับด้วยครับว่า เขาก็อยากรับคนที่ทำงานได้นานๆ ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวเดียวออก ต้องเทรนคนใหม่อีก นี่อาจจะเป็นหนทางเลือกหนึ่งที่จะป้องกันตรงนี้เอาไว้ครับ
(อาจจะนอกเรื่องนิดหนึ่ง แต่คิดว่าเกี่ยวกันนิดหน่อย)
คนที่บอกว่า บริษัทไม่ควรเอาเกรดมาวัด ควรวัดที่ความสามารถ
ก็ต้องถามต่อว่า จะวัดความสามารถกันยังไง?
บริษัทเขามีความจำเป้นที่ต้องการจะใช้คน ไม่ได้มีเวลามาทดสอบกันมาก ถามว่า เกรด บอกอะไรเราได้บ้าง อย่างแรกเลยคือ "ความรับผิดชอบต่อการงานและหน้าที่" แต่ไม่ได้บอกความเก่ง
และถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัท อยากจะได้ลูกน้องแบบไหนละ?
เพื่อนผมสอบเข้าจุฬาได้ทั้งๆที่เกรดไม่เกิน 3.00 แต่งานไม่มี ไม่หนี ไม่ส่ง แต่ความเก่งของเขขานั้นเหลือครับ เรียนพิเศษ อ่านหนังสือ พูดอังกฤษปรื๋อ
***แก้ไข เพราะ หาปุ่มตอบความคิดเห็นไม่เจอ
@meiprow บริษัทเขาคงคิดได้น่ะครับ ว่า มหาลัยไหนเหนือกว่ายังไง ออคฟอร์ดที่เป็นมาตรฐานโลกเขาคงพิจารณายกเว้นว่าเรียกเงินเดือนสูงเกินไปที่จะรับได้ และแน่นอนว่า หากคุณยกตัวอย่างแบบนี้ บริษัทคงต้องมานั่งไล่ชื่อมหาวิทยาลัยจากทั่วโลกแล้วมาติดลงในเกณฑ์ ซึ่งผมคิดว่าคงมากมายหลายแผ่นกระดาษแน่ๆ เสียเวลาอีกด้วย
เหตุการณ์สมมติ
ฉันเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆละ สมัครเข้าบริษัทนี้ดีกว่า อ้าว แย่จังเลย เราจบจากOxfordมา สมัครไม่ได้เบย
แล้วยังไงค่ะ สิทธิ์ของเขาอีกล่ะ
ส่วนตัวไม่ได้เรียนมหาลัยดังๆ แต่เราก็ต้องเคารพสิทธิในการตัดสินใจของคนที่เปิดรับสมัคร
ไม่เข้าใจว่า มาเปิดโหวตให้ดราม่ากันทำไม
เหมือนดูถูดผู้สมัครงาน เเล้วก็ดูถูกมหาลัยอื่นที่ไม่ได้อยู่ในลิสด้วย
เเต่มองอีกเเง่ ก็เป็นสิทธิ์ของเค้าในการเลือกคนเข้าทำงานจริงอ่ะเเหล่ะ
อ่านคอมเม้นก็พอรู้แล้วคับว่า แต่ละคนเรียนมอระดับไหน
ที่ไม่มีก้ร้องกันใหญ่ มองความจริงบ้างว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่เลือกมอพวกคุณ
ที่บอกประมาณว่าจบม.ดังจากต่างประแทศอะครับเขาก็คงรับแหละแต่ก็ไม่น่าจะมีใครที่จบมาคิดจะมาสมัครงานเขามั้งแล้วที่จริงถึงแม้เกรดจะเป็นแค่ตัวเลขแต่ก็เป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถด้วยนะครับ
อย่างว่าแหละ เค้ามีสิทธิ์เลือกไม่ใช่ที่อื่นไม่ดีนะ แต่เงื่อนไขเป็นอย่างนั้น
ก็ดีแล้วนี่คะ
แปลกตรงไหน
ที่เราเลือกข้อดีไปเพราะ
#จะตราหน้าบริษัทนั้นๆเอาไว้ว่าเลือกรับคนจากสถาบันไม่ใช่สมองแล้วเราก็จะไม่มาสมัครกับบริษัทนี้อีกเลยต่อให้เขามาง้อเราเข้าทำงานก็ตาม
พี่ขอแชร์ในมุมที่มีโอกาสได้คุยกับเจ้านาย เจ้านายพี่บอกว่าจริงๆเค้าไม่ได้ตัดสินใจคนที่มหาวิทยาลัยหรือเกรดหรอก แต่ต้องเข้าใจว่าโดยปกติ บริษัทเค้ารับสมัครทีนึงมีใบสมัครเป็นหมื่นๆใบ ดังนั้นเค้าจึงไม่เวลามากพอที่จะนั่งพิจารณาใบสมัครทุกคน จึงจำเป็นต้องกำหนดเกณฑ์หนึ่งๆเพื่อคัดกรองคนออกในตรง ที่ใช้เกณฑ์มหาวิทยาลัยและเกรดก็เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาคนในกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะทำงานเค้าต้องการได้มากกว่าอีกกลุ่มที่เหลือ บริษัทเค้าไม่ได้มองว่าคุณจบมหาวิทยาลัยนี้มาจะไม่เก่ง แต่แค่เค้าไม่รู้ว่าตุณเก่งหรือไม่เก่ง แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาโอกาสที่จะทำงานได้ตามที่เค้าหวังของเด็กกลุ่มนั้นมีน้อยกว่าอีกกลุ่มจากประสบการณ์ ที่นี่บางคนตอนนี้รู้สึกว่า อ้าวพี่ แล้วถ้าตอนนี้เปลี่ยนไม่ได้แล้วทำไงอะพี่ ง่ายๆคือน้องต้องทำให้ตัวเองแตกต่างจากคนอื่น เช่น เรียนให้ได้ 3.8 เป็นประธานกิจกรรมต่างๆ แบบนี้พี่ว่าทนแทนกันได้สบายๆ อีกอย่างต้องเก่งภาษาอังกฤษ บางบริษัทเค้าจะรับเลือกพิจารณาก่อนเลยครับ
ปล.มีอะไรปรึกษาได้ แต่พี่ว่าอย่าดราม่าเลย ทุกอย่างมีทางออกและคนไทย negotiate ได้เสมอเชื่อพี่ /เสริม ในทางตรงกันข้ามก็มีหลายบริษัท ที่ไม่รับเด็กจบจุฬาเหมือนกัน เพราะไม่อดทน หรืออะไรก็ตามแต่ประสบการณ์ที่บริษัทเจอมา และก็ตอนนี้เราเป็นจบใหม่ ก็ต้องเข้าใจบริษัทว่าเค้าไม่รู้จักคุณเลย ไม่มีอะไรที่จะวัดได้เลยว่าคุณเป็นคนยังไง เก่งขนาดไหน มหาวิทยาลัยและเกรดมันก็บ่งบอกว่าอะไรบางอย่าง อย่างน้อยก็ความรับผิดชอบตอนที่เรียนนะ แต่ถ้าวันนึงคุณมีประสบการณ์แล้ว การจบอะไรเกรดเท่าไหร่จะเป็นเรื่องไร้สาระทันที
ก็นะ เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา เขาจะรับใครก็เรื่องของเขา แน่นอนว่าเขาต้องการคนที่มีประสิทธิภาพพอสำหรับเขา หรือเขาอาจจะมีเหตุผลของเขา ก็แล้วแต่เขา
แต่การทำอย่างนี้ส่งผลต่อสังคม มองว่าการกักที่ไว้สำหรับคนบางกลุ่มเท่านั้น เป็นการไม่ยุติธรรมกับคนที่ก็เป็นคนและมีประสิทธิภาพพอๆกัน บางคนอาจว่าที่อื่นก็มีให้เลือกเยอะแยะ แล้วถ้าที่อื่นเอาอย่างบ้างล่ะ จะไม่เดือดร้อนเป็นวงกว้างหรอ? การทำอย่างนี้ เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม(ที่ก็ชอกช้ำอยู่แล้ว) ทำอย่างนี้ไม่ฟื้นระบบ ศักดินา ระบบขุนนาง กักที่ให้เฉพาะเจ้าขุนมูลนาย ได้สบายกันเลยล่ะ ทุกวันนี้ประเทศกำลังสร้างความเท่าเทียมกัน แต่กลับมีคนมาสวนกระแสอย่างนี้ เราคงจะต้องอยู่อย่างอับอาย ปากบอกเราพัฒนาแล้วนะ แต่สิ่งที่กระทำ ระบบรากเหง้าเก่า ที่ไม่ดีพวกนี้เราก็ยังใช้กันอยู่ ผู้คนประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องความเสมอภาคเท่าเทียมกัน แต่ความเป็นเผด็จการมีอยู่สายเลือดสังคมไทยยังไม่จางหายไป เลิกฝันถึงไทยที่พัฒนาแล้ว เลิกฝันถึงไทยที่เป็นโลกเสรี เพราะเผด็จการอยู่ในสายเลือดเราทุกคน
แล้วถ้าสมมุติจบจากมหาลัยชื่อไม่ดังแต่มีประสปการ์ณในการทำงาน คุณสมบัติครบ เกรดดี แต่เค้าไม่รับ ก็เท่ากับเสียบุคลากรดีดีไป 1 คนเลยนะ
ผมจบ MIT แบบนี้ผมก็หมดสิทธิ์สิครับ
ดูมหาลัยก็ถูกแล้วนิครับ
อย่าโวยวายอย่าเดียวใจกว้างกันหน่อย
อย่าเอาตัวเองเป็นสูญกลางจักรวาล
1.บริษัทไม่รู้จักคุณเลยจะให้ดูจากอะไรครับ
2.ดูเกรด ก็ใช้ไม่ได้ ยกตัวอย่างเกรดจาก ม.ดัง ที่มีคนเก่งๆเข้าไปเรียนเยอะ มีคนนึงจบออกมาเกรดแค่สองปลายๆ กับอีกคนเรียน ม. ธรรมดาที่คู่แข่งไม่เก่งเกรดเลยดีจบสามปลายๆ
ในความเป็นจริงเด็กจาก ม.ธรรมดาอาจจะสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
3.ใบรับรองหรือใบคำแนะนำพวกนี้ไม่ค่อยมีค่าหรอกครับถ้าเด็กไม่แย่จริงๆ ใครก็รู้ว่าต้องเขียนชม
4.คุณจะให้สัมภาษณ์งานทุกคนเป็นไปไม่ได้ครับ คงไม่มีใครบ้าทำด้วย
ปล. คิดด้วยครับอย่าโวยอย่างเดียว
มันเป็นสิทธิเลือกของบริษัทนะ สิทธิที่จะรับพนักงานแบบไหนก็ได้ การที่บริษัทวัดเด็กจบใหม่ ด้วย เกรด และ ชื่อมหาลัย ก็ถูกต้องแล้ว คุณจบใหม่ไม่ได้มีประสบการณ์อะไร เด็กเพิ่งจบอ่าคะ จะมีอะไรมาการันตี นอกจากเกรด และชื่อมหาลัย อย่าโลกสวยกันเลยมันก็คุ้มค่าแล้วกับคนที่เค้าพยายาม แข่งขัน เพื่อให้ได้ไปเรียนในสถาบันชื่อดัง ถ้ามันไม่เป็นแบบนี้แล้วอะไรล่ะคือผลตอบแทนของการอ่านหนังสืออย่างหนัก แข่งขันกันแทบตายให้ได้เข้าไปเรียนถ้าจบมาอะไรมันก็เท่าเทียมกันไปซะหมด จริงๆแล้วการศึกษามันทำให้เรามีต้นทุนเหนือกว่าคนอื่นค่ะ และก็เพราะมันเป็นแบบนี้ไง คุณจะโทษบริษัทอย่างเดียวไม่ได้หรอก คุณก็ต้องโทษตัวเองด้วย
ใครๆก็อยากได้งานดีๆ เงินเดือนดีๆ มันหมายความว่าอะไร มันหมายความว่าคุณก็ต้องเก่งเช่นเดียวกัน ในเมื่อคุณไม่มีคุณสมบัติพอก็จะมาตีโพยตีพายว่าไม่เท่าเทียมงั้นงี้ แต่เดี๋ยวนะบริษัทนี้มันเป็นของเอกชนใครละมีสิทธิ ก็เอกชนไง ใครๆก็อยากได้คนที่ดีที่สุด พร้อมที่สุด เข้าไปทำงาน
จริงๆถ้าคุณไม่ได้จบมหาลัยดัง แล้วคุณคิดว่าคุณเก่งจริง มีความสามารถจริง คุณก็ไม่เห็นต้องง้อองค์กรที่ require อะไรแบบเลยนี้ คุณก็มีสิทธิของคุณที่จะเลือกไปบริษัทอื่นเช่นกัน ยากตรงไหน
อีกอย่างถ้าไม่อยากเจออะไรแบบนี้ ก็ไปสมัครสอบเป็นข้าราชการ ทำงานในภาครัฐเถอะ เพราะในระบบราชการใช้ระบบ merit system เข้ามาถ้าคุณสอบได้ คุณก็ได้ทำงาน ซึ่งจะจบมหาลัยไหน เกรดเท่าไหร่ก็มีสิทธิสอบเหมือนกันทุกคน ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย
ปล. ขำพวกที่บอกว่าจบ Harvard,Oxford,Cambridge ก็มาทำไม่ได้สิ อยากจะบอกว่าคนไทยที่จะจบจากมหาลัยระดับโลกนี้ส่วนมากได้ทุนจากมหาลัยซึ่งก็คือทุนจากมหาลัยชื่อดังในไทยอีกนั้นแหละไม่ว่าจะเป็น จุฬาฯ มธ มหิดล ถามว่ามหาลัยไม่ดังมีทุนแบบนี้ไหม? มากกว่าครึ่งที่เรียนอยู่ในสถาบันระดับโลกนี้เป็นเด็กทุนทั้งสิ้น เพราะถ้าไม่รวยมากถึงมากที่สุด และไม่เก่งมากถึงมากที่สุด ไม่มีทางไปเรียนได้หรอกค่าเทอมกี่ล้าน อีกอย่างพูดเหมือนมันเข้าได้ง่ายๆ เด็ก เมกา อังกฤษ ยังแทบจะเข้าไม่ได้เลยถ้าไม่ได้จบจาก ไฮสกูลดังติดระดับโลก อย่าง Cardiff Sixth Form College,Eton College,TAG,BASIS Scottsdale,Gwinnett
พวกคุณอาจไม่ทราบกันว่าแต่ละบริษัทดูชื่อมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ยิ่งเรียนสถาบันดังโอกาสที่คุณจะได้งานก็เพิ่มขึ้น บางบริษัทเขาก็เลือกเฉพาะเด็กจากม.ดังนั่นแหละ เพียงแต่เขาไม่ได้บอกคุณเท่านั้นเอง อย่างน้อยคนที่ไม่ได้จบจากม.ที่ว่านี่จะได้ไม่เสียเวลาไปสมัครงาน แล้วก็อย่างที่คห.อื่นๆว่า บริษัทเขาก็เป็นสิทธิของเขาที่จะเลือกคนมาทำงาน
80%ของคนที่เห็นด้วยคือบุคคลที่เรียนอยู่หรือจบจากม.ตามที่เขารับ และ80%ของคนที่ไม่เห็นด้วยคือบุคคลที่ไมได้เรียนหรือจบจากม.เหล่านั้น
ไม่เห็นด้วยอ่ะ ไม่รู้ทำไม5555 แต่ที่รู้ๆคือโตขึ้นจะไม่เรียนมหาลัยที่ไทย จะ ไม่ทำงานที่ไทยเพราะเหตุผลแบบนีล่ะ ถ้ายังเลือกมหาลัยกันอยู่อย่างนี้คนตกงานก็จะมีมากขึ้นคนที่จบมาทางด้านนั้นๆโดยเฉพาะก้จะไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองเลือก ประเทศชาติก็ไม่เจริญ
เราเข้าใจอย่างงี้ถูกป่าว
นี่คือโลกแห่งความจริงไง ที่ไหนเขาก็ดูชื่อมหาลัย ไม่งั้นจะเสียเงินเรียนพิเศษเป็นแสนๆทำไมล่ะ
เพื่อนผมที่ไปต่อต่างประเทศ สาขานี้อยู่ กลับมาก็สงสัยคงไม่ได้ทำงานที่ประเทศไทยหรอก เพราะเค้าเลือกแค่ 14 สถาบันที่จะมาทำงานได้
#คหสต :) ยังไงก้มีทั้งดีทั้งเสียอ่ะคับ
คหสต.นะคะขอเข้ามาดราม่าคนเดียว เราคิดว่าถ้ามีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆคนที่จบจากม.อื่นที่ไม่ดังหรือมีชื่อเสียงไม่มากพอก็จะพากันตกงานทั้งหมดสิเพราะเลือกรับแค่เพียงเพราะชื่อมหาวิทยาลัย
ค.ห.46 ในบรรดาคนที่เห็นด้วยทั้งหมด 186 โหวต
บางคน (เช่นเรา) มีญาติ รุ่นพี่ เพื่อนสมัยเรียน และคนรู้จัก
เรียนอยู่หรือเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัย 14 แห่งตามที่เขารับ
แล้วถ้าคนที่จบมหาวิทยาลัยดังๆจากนอก เค้าจะต้องมายื่นใบสมัครในตำแหน่งแบบนี้มั้ยล่ะครับ คิดสิคิด เค้าคงไปทำงานในอีกระดับนึงแล้วล่ะ
ไม่ค่อยแฟร์นะ
คือผมไม่ได้เรียนใน 14 ม. ตามที่เขาต้องการ
แต่จบมาด้วยเกียรตินิยม อยากจะทำงานธนาคาร
ช่วยบอกหน่อยได้ใหม ว่า ธ. อะไร จะได้ไม่เสียเวลาไปสมัคร
คือบอกไปเลยก็ดีนะ ที่จะไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปสมัคร เพราะหลายที่ก็เลือกรับสมัครโดยดูจากชื่อมหาวิทยาลัยก่อน เพียงแต่เขาไม่บอกตรงๆ บางที่สัมภาษณ์เสร็จบอกว่า "จะติดต่อกลับไป" แต่ก็ไม่ติดต่อมาอีกเลย โดยไม่บอกว่าตกลงโดนปฏิเสธหรือเปล่า แบบนั้นแย่นะ 55555
โลกมันไม่ได้สวยงามไปซะทุกอย่าง
บางอย่าง ก็ไม่ควรจะโลกสวยนะครับ
บางคนบอกว่า ทำไมต้องดูสถาบัน ดูที่ความสามารถสิ
คือถ้าสมมติว่า มีคนมาสมัครงาน 2 คน เพศเดียวกัน เกรดเฉลี่ย 4.00 เท่ากัน ประสบการณ์ไม่มีเหมือนกันเพราะเพิ่งจบ เรียกเงินเดือนก็เท่ากัน
แต่ มหาลัยที่จบมาต่างกัน ก็มีผลครับ
คุณไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แล้วจะให้ HR เค้าวัดจากอะไร
เราเห็นด้วยกับการดูสถาบันที่จบมาส่วนหนึ่ง(ย้ำว่าแค่ส่วนหนึ่ง) แต่เราไม่เห็นด้วยกับบางองค์กรที่หลับหูหลับตาเลือกแต่สถาบันเพียงอย่างเดียว โดยไม่ดูเหตุผลอื่นประกอบเลย
ผมก็ไม่ค่อยเห็นด้วยในเรื่องของการเลือกสถาบันในการรับสมัครเท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจ HR นะว่าถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆที่คนมาสมัครเยอะๆการจะเรียกมาสัมภาษณ์ทุกคนหรือเพื่อทดสอบมันทำได้ลำบาก ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่เขาจะใช้เกณฑ์บางอย่างดูเบื้องต้นไปก่อนเลย ถึงแม้จะมีโอกาสที่จะเสียคนเก่งๆนอกจากสถาบันที่ตั้งเอาไว้แต่มันก็ยังมีคนเก่งอีกหลายคนให้เขาเลือกครับ (อย่าลืมว่าเงื่อนไขเบื้องต้นก็เพราะมีคนมาสมัครเยอะอยู่แล้วเขามีให้เลือกเยอะ)
แต่ผมเห็นด้วยมากๆกับการแจ้งมาตรงๆเลยว่าใช้สถาบันเป็นเกณฑ์คุณสมบัติหนึ่งในการคัดเลือกครับ เพราะมันทำให้ไม่ต้องเสียเวลากันทั้งสองฝ่ายบอกกันตรงๆเลยแบบนี้ผมว่าแฟร์ดี คนสมัครจะได้ไปมองหาที่อื่นแทนที่ยอมรับในความสามารถของเขาโดยไม่มองคุณสมบัติตรงนั้น เปลี่ยนไปจากไอวิธีเดิมๆที่ไม่อยากให้บริษัทเสียชื่อเสียงหรือเกรงใจไม่เข้าท่า แบบไม่แจ้งคุณสมบัติที่อยากได้ให้ชัด/ไม่แจ้งผลให้ทราบแบบตรงๆว่าไม่รับ
บริษัทเค้าก็มีสิทธิ์เลือกหนิ่ มีกระทู้เยอะแยะเหตุผลของคนที่เค้าเป็นคนพิจารณารับงาน ใจความประมาณว่าเด็กที่จบจากมหาลัยชื่อดังโดยส่วนใหญ่มีความรับผิดชอบและคุณภาพดีกว่าเด็กที่จบมหาลัยไม่ดังหรือราชภัฎ ก็ต้องยอมรับเพราะมันก็มีความจริงอยู่ เพราะไม่งั้นเด็กจะแย่งเข้ามหาลัยดังๆทำไม แค่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็แสดงให้เห็นชัดละ
คหสต. ของเรานะเราคิดว่า
การที่เค้าเลือกคนจากบางมหาวิทยาลัยก็เพราะมหาวิทยาลัยได้คัดคนเข้ามาแล้วขั้นนึง หมายความว่าในตัวของคนๆนั้นต้องมีดีอะไรซักอย่างอาจจะเป็นความรับผิดชอบ หรือความเก่งความสามารถ
ส่วนชื่อมหาวิทยาลัยที่เค้าก็คงจะมีเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกมหาวิทยาลัยพวกนี้ อาจเป็นเพราะจากประสบการณ์ที่จ้างงานเด็กที่จบจากมหาวิทยาลัยพวกนี้มีความสามารถและความรับผิดชอบมากพอที่จะทำงานให้เค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราคิดว่าเรียนที่ไหนก็เหมือนกันมันไม่จริงหรอก เพราะแค่การเรียนการสอนก็ต่างกันแล้ว ถ้าเรียนที่ไหนแล้วเหมือนกันก็คงไม่มีใครอ่านหนังสือแทบเป็นแทบตายเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยดังๆหรอก แต่ถ้าคิดว่าเรียนจบมาจากไหนก็ได้ปริญญาเหมือนกันอันนี้ก็โอเค
แล้วที่ทำงานก็ไม่ได้มีที่เดียว การกำหนดคุณสมบัติก็เป็นสิทธิของทางบริษัทเค้า เพราะใครๆก็อยากได้คนที่มีคุณภาพเข้ามาทำงานให้ตัวเองทั้งนั้น อาจจะเพราะทำให้เกิดความก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่า ถ้าเรารับคุณสมบัติที่เค้ากำหนดไม่ได้ก็แค่ไปสมัครที่อื่นที่เค้ารับดีกว่ามั้ยอ่า
เราเชื่อนะว่าคนที่มีความสามารถจริงๆยังไงก็ต้องมีงานทำแน่นอนแหละ ถ้าไม่เลือกงานนะหนักเอาเบาสู้ ค่อยๆไต่เต้าไป
ขอโทษที่พิมพ์ยาวนะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?