Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ดูหนัง 2 ปีภาษาอังกฤษดีขึ้นกว่าเรียนมาทั้งชีวิต

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีครับ วันนี้ขอมาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวกับเขาบ้างในเรื่องการพลิกชีวิตครั้งสำคัญจากคนอ่อนอังกฤษไม่คิดจะพัฒนาตัวเองกลายมาเป็นตัวเองในทุกวันนี้ (ก็ยังไม่ได้เก่งอะไรนักหรอก 555 แต่อย่างน้อยก็ใช้ภาษาได้ดีขึ้นกว่าก่อนมาก)
 
ขอเท้าความสภาพตัวเองแต่ก่อนคือ พยายามอ่าน Bangkok Post ละสุดท้ายก็ไม่ไหว ต้องเปิดดิคบ่อยมากจนท้อ เรียนในโรงเรียนก็พอได้นะแต่ก็ไม่ชอบอ่านอีกเหมือนเคย ยิ่งพูดฟังไม่ต้องพูดถึง เจอฝรั่งต่างชาติ speak ไม่ถูกเลย เรียนในห้องก็พอพูดได้นะ เท่าที่ครูสอนนั่นแหละ  เวลาฟังเพลงภาษาอังกฤษแม่ถามว่าฟังออกมั้ย คำตอบมักจะสั้นๆ ง่ายๆ คือ "ไม่" ฟังเอามันทำนองไปงั้น 555
 
ส่วนปัจจุบันก็สามารถพรีเซ้นงานอะไรเป็นภาษาอังกฤษได้ นำเสนองานวิจัยในการประชุมนานาชาติมาแล้ว 2 ครั้ง เป็นผู้ช่วยสอนการเขียนโปรแกรมให้เด็กต่างชาติมาครั้งนึง ออกบู๊ธนำเสนอ product ในงานประชุมวิชาการด้านวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์มาอีกครั้งนึง
 
ที่ร่ายมานี่ไม่ได้ว่าจะอวดว่าเก่งอะไรเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังมีอะไรต้องพัฒนาอีกเยอะ แต่จะพูดถึงว่าเราสามารถพัฒนาตัวเองได้
นี่ภูมิใจกับตัวเองชนิด "น้ำตาจะไหล" มาก เพราะก่อนหน้านั้นเราอ่อนจริงๆ และดูถูกตัวเองมาตลอดว่าพัฒนาไม่ได้หรอก เพราะตอนเรียนเคยทำข้อสอบผิดชนิดที่เพื่อนไม่ผิดกันละพอถามเพื่อนก็โดนหัวเราะ
 
เอาละมาเข้าเรื่องดีกว่าว่าเราพัฒนาตัวเองยังไง เผื่อใครที่เคยเป็นเหมือนกันจะได้เห็นแนวทางการพัฒนาภาษาอังกฤษอย่างถูกต้อง
 
ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่า เราพูดภาษาไทย ฟังภาษาไทยได้ เพราะนั่งท่องศัพท์ หัดแกรมม่า เขียนบทความส่งครูกันหรือเปล่า...?
 
ก็ไม่...ถูกมั้ยครับ เราพูดฟังภาษาแม่ได้เพราะเราฟังมาตั้งแต่แบเบาะ ฟังพ่อแม่เรียก ฟังพ่อแม่เล่านิทานก่อนนอน ฟังพ่อแม่สอน ฟังพ่อแม่ดุ
แล้วก็ค่อยๆ หัดจากอุแว้ๆ เป็น ป้ะ ม้ะ ปาปา มามา แฮ่ คิคิ แบร่~~~ (แล้วก็น้ำลายไหลย้อย)
แล้วก็ค่อยๆ กลายเป็น พ่อ แม่ หิว อื้อ ไม่เอา เอา ฉี่ ปวดฉี่ อึ กรี้ดดดดด !!! (แล้วก็เขวี้ยงข้าวของ)
จนกระทั่งเราผสมคำ ผสมประโยคได้ หม่ามาดู!!! (แล้วก็กระโดดลงจากเก้าอี้จินตนาการว่าเป็นซูเปอร์แมน แต่แล้วก็ลงมากระแทกพื้นแอ้ก! ร้องไห้โฮไปหลายตลบ)
 
การเรียนภาษาที่ดีที่สุดคือฟังแล้วพูดนี่หว่า!!!!
การเขียนกับอ่านจึงค่อยตามมาทีหลัง สาเหตุที่มันควรเป็นยังงี้เพราะการฟัง-พูดจะทำให้เรามีศัพท์ในหัวมหาศาลจนกลายเป็นสัญชาตญาณชนิดที่ไม่ต้องเปิดดิคก็รู้ได้เลยว่าหมายถึงอะไร
ซึ่งการเรียนในโรงเรียนที่ผ่านมา (ไม่ใช่โรงเรียนนานาชาติ ไม่ใช่ห้อง EP) เราเจอแต่อ่าน-เขียนซะเป็นส่วนใหญ่ ฟัง-พูดก็ได้เรียนกับครูฝรั่งแค่อาทิตย์ละชั่วโมง และแม้จะไปเรียนพิเศษตามสถาบันกวดวิชาต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน เว้นแต่เราจะไปเรียนคลาสฟัง-พูดจริงๆ ถึงจะได้
ก็...เรียนรู้แบบท่องศัพท์ก็ดีครับทำให้เรามีคลังศัพท์เพิ่มขึ้นๆ แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่ามันไม่ช่วยอะไรเท่าไร ด้วยส่วนตัวไม่ชอบท่องศัพท์ 555 และการท่องศัทพ์ที่ผ่านมาเราเจอแต่การท่องคำแปล ไม่ได้ท่องความหมายจริงๆ หรือวิธีการใช้คำนั้นๆ เลยทำให้หลายๆ ครั้งไอศัพท์ที่เคยท่องมานั่นแหละ ไปปรากฏในบริบทต่างๆ แล้วความหมายเปลี่ยนไปก็ถึงกับเอ๋อไปไม่ถูก 
 
ทีนี้มาสู่จุดที่สามารถพลิกตัวเองขึ้นมาเลยดีกว่า เล่ายาวๆ คงไม่ดีนัก เพราะคนไทย #ยาวไปไม่อ่าน 555
 
จุดที่ค่อยๆ พลิกคงจะเริ่มจากตอนม.5 ที่แม่คงเริ่มทนไม่ไหวกับเราก็เลยให้ไปเรียนพิเศษกับ "ครูอิง" ที่สอนอยู่ในซอยเดียวกันกับบ้านเรา แล้วก็เรียนกับเขามาจนจบม.6 เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนนั้นก็เรียนๆๆๆๆๆ เรียนไปงั้นแหละไม่ได้จริงจังไรกับมันมาก ครูเขาจะมีโจยท์ให้ทำทุกวัน โจทย์เยอะมาก โจยท์เลือกศัพท์เติมในประโยค โจยท์จับคู่ความหมาย โจทย์การอ่าน บลาๆๆ เยอะมาก แล้วเราก็ทำไปแบบไม่แคร์เท่าไร อันไหนไม่รู้ก็มั่วๆ ไป อันไหนรู้ก็ตอบไป แล้วโจยท์ที่ทำครั้งนี้ครูจะคืนมาให้หลังจากตรวจให้แล้วในครั้งหน้า 
ความที่เรา (ขอใช้คำว่า) หน้าด้านทำไปมันทั้งอย่างนั้น ศัพท์ไม่ชอบท่อง อ่านคำไหนไม่ออกก็ข้ามๆ มั่วๆ สุ่มตอบไป แต่ผ่านไปสักพักเรากลับเกิด sense ขึ้นมาซะงั้น ว่าคำแบบนี้ควรหมายถึงอะไร คำแบบนี้ควรใช้ยังไง โจทย์เช็ค error คำแบบไหนที่มันควรผิด โจทย์อ่านบทความถามแบบนี้ตัวเลือกแบบนี้อันไหนน่าจะถูก อันนี้เลยจะแนะนำสำหรับคนที่จะฟิตตัวเองสำหรับการสอบนะครับว่า ทำซ้ำๆ ซากๆ บ่อยๆ มันจะชิน มันจะเกิด sense ขึ้นมาได้จริงครับ มันเป็นการเรียนรู้โดยสัญชาตญาณจากสิ่งที่เราทำผิดตอบผิดมาครั้งก่อนๆ 
แล้วชีวิตม.ปลาย ก็ผจญสนามสอบต่างๆ มา ก็พอจะเอาตัวรอดมาได้ 
 
การสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 1 ประจำปี 2555 (ธันวาคม 2554)
GAT2 : 111/150
 
การสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 2 ประจำปี 2555 (มีนาคม 2555)
GAT2 : 121/150
 
O-NET
ภาษาอังกฤษ : 73/100

 
และต่อมาก็คือตอนเข้ามหาลัย ปีที่เข้ามหาลัยเขามีการจัดสอบภาษาอังกฤษในช่วงก่อนเปิดเทอม ซึ่งถ้าเฟรชชี่คนไหนทำคะแนนได้ถึง 80% ก็จะไม่ต้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 1 ตอนเปิดเทอม คือถือว่าได้ A วิชานั้นไปเลยและสามารถลงทะเบียนเรียนวิชา ภาษาอังกฤษ 2 ได้เลยก่อนชาวบ้านเขา
ด้วยความที่ตอนนั้นก็ยังไม่ชอบภาษาอังกฤษอยู่เหมือนเดิม เลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง เอาวะ! เราต้องสอบผ่านให้ได้ จะได้ไม่ต้องเรียน Eng1 แล้วรีบๆ เรียน Eng2 ให้มันหมดๆ ไปซะ เทอม 2 จะได้ไม่ต้องมีเรียนภาษาอังกฤษ
แล้วก็เลยเอาพวกโจทย์สมัยเรียนกับครูอิงนั่นแหละครับมาทำซ้ำๆ เหมือนเดิม ทำวนไปครับ วนไปๆๆๆ กับเอาข้อสอบใหม่ๆ มาลองทำดูบ้าง ก็ทำวนไปๆ อีกครับ 
และแล้ววันที่ประกาศผลสอบก็มาถึง
 
"ผ่าน"
 
ช่างเป็นคำที่วิเศษมาก รู้สึกดีใจมากที่กำจัดวิชาภาษาอังกฤษออกจากตารางเรียนไปได้ 1 ตัว
 
_________________
 
ทีนี้จุดพลิกที่ 2 มันอยู่ที่หลังจากเป็นนักศึกษาในรั้วมหาลัยเต็มตัวแล้วนี่แหละครับ จนกระทั่งขึ้นปี 2 ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ติดซีรีส์ฝรั่งอย่างจริงจัง เรื่องที่เคยดูมาก็มีดังต่อไปนี้ (อาจจะมีบางเรื่องที่เคยดูแล้วนึกไม่ออกด้วย)
        
 
ซึ่งทุกเรื่องดูมาครบหมดแล้วทุก Season ทุก Episode
เริ่มแรกเราดู Once Upon A Time ตามมาด้วย Witches of East End แล้วก็ Sleepy Hollow ซึ่งดูแบบมีซับไทย ตอนที่แต่ละเรื่องเริ่มดูคือช่วงที่มันมีมาแล้วซีซั่นสองซีซั่นก็เลยมีแบบมีซับให้ดูให้อ่าน แต่พอหลังๆ ติดหนักมากจนเริ่มดูทันกับที่มันออนแอร์อยู่ก็เริ่มแบบ เอาละ! ทีนี้ มันหาแบบมีซับไม่ได้ ทำไงดี ใจนึงก็อยากรอดูซับจะได้รู้เรื่อง ใจนึงก็อยากดูแบบสดๆ ไปเลยเพราะอยากติดตามเนื้อเรื่องใจจะขาด ทนรอไม่ไหวแล้วแต่ละเรื่องกำลังพีค กำลังน่าติดตาม สุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่า
"เอาไงเอากัน ! ไม่มีซับก็จะดู"
แล้วก็ลงมือดูแบบไม่มีซับนั่นแหละ ดูจากในเว็บของต่างประเทศ หน้าด้านดูมากเพราะแรกๆ ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง 555 อาศัยว่าเห็นภาพละพอเกทว่ามันทำอะไรกันบ้าง สั่งอะไรกัน บอกอะไรกัน ดำเนินบทบาทยังไง
 
แต่ด้วยความที่ติดซีรีส์หนักเหลือเกินเหลือการบางครั้งก็อยากจะรู้ละเอียดๆ เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วตัวละครมันคุยอะไรกันบ้าง นี่ได้แต่เดามาเรื่อยๆ พอเข้าใจภาพรวมแต่อยากเกทในรายละเอียด ก็เลยเริ่มค่อยๆ ฟังครับ โดยการใส่หูฟังชนิดแทบจะติดแก้วหูแล้ว ละก็ฟังไปๆ คำไหนฟังไม่ทันฟังไม่ออกจะหยุดแล้วย้อนกลับมาฟังใหม่ซ้ำๆ จนมั่นใจว่าฟังคำที่ไม่ทันตะกี้ออกแล้วถึงค่อยดูต่อไป แรกๆ จะเป็นแบบนี้บ่อยมาก แต่ด้วยความที่อยากเข้าใจหนังมากๆ เลยยอมทน โชคดีที่ซีรีส์ที่ดูโดยเฉพาะ Once Upon A Time ฟังออกไม่ยาก บทสนทนาค่อนข้างชัดเจน และไม่พูดกันรัวเกินไป (สังเกตออกตอนหลังว่าหนังแนวๆ เหนือธรรมชาติ เวทย์มนต์ ปีศาจ พลังพิเศษ ฮีโร่ อะไรพวกนี้บทสนทนาจะชัดเจนไม่พูดเร็วเหมาะแก่การหัดฟังมาก แต่ถ้าหนังแนวสืบสวนสอบสวน ดราม่าอะไรแบบนี้จะค่อนข้างพูดรัว พูดเร็วฟังไม่ค่อยออกไม่ค่อยทัน ก็ไม่รู้ว่าทำไม)
 
ด้วยความที่ก่อนหน้าดูแบบซับมามันได้สัญชาตญาณอย่างนึงครับ คืออีตอนฟังหูมันจะได้ยินคำประมาณนี้ๆ ตาอ่านซับว่ามันแปลแบบนี้ๆ พอตอนหลังๆ บางครั้งตามองตัวละครไม่มองซับแล้วพอฟังมันพูด ก็เอามือปิดซับครับแล้วเดาล่วงหน้าว่าซับจะขึ้นว่าไง แล้วก็เปิดมือดู
"เห้ย! เดาถูกด้วย"
ตื่นเต้นดีใจมาก ละก็ทำยังงี้มาบ่อยๆ คำไหนที่เดาไม่ถูกก็จะสังเกตไว้ว่าถ้าพูดประมาณนี้ซับจะประมาณนี้ๆ ซึ่งส่งผลให้ตอนหลังจากนั้นที่ไม่ค่อยดูแบบมีซับแล้วเข้าใจเรื่องได้ง่ายขึ้นจากการที่คุ้นชินจากการฟังเทียบกับซับมาก่อนหน้า
            
"You have no idea what I'm capable of"
                        
แต่ก่อนก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันแปลว่าอะไร แต่จากการฟังเทียบซับมาซ้ำๆ ในตอนแรกๆ ก็เกิดการเรียนรู้ครับว่า You have no idea แปลว่าเธอไม่รู้หรอว่า... ไม่ใช่ เธอไม่มีความคิด/ไม่มีไอเดีย และ capable of แปลว่า (มีความ)สามารถที่จะทำ(ให้สำเร็จ)ได้
 
ทีนี้พอเรื่องฟังพอได้แล้ว ก็มาที่เรื่องการพูดบ้าง โดยวิธีการที่หัดพูดก็ไม่ยากเลยครับ ได้ยินตัวละครพูดอะไรออกมา ก็พยายามพูดตามเลยครับ ประโยคต่อประโยค อารมณ์ว่าฟังออกแล้วก็ต้องพูดทวนตามได้ ได้ทั้งหัดพูดให้คล่องๆ หัดสำเนียงไปด้วย ทีนี้ก็ขยับต่อ ดูซีรีส์มันย้อนฟังได้ ไม่เอาๆ ท้าทายตัวเองด้วยการไปดูหนังโรง แล้วก็ทำแบบเดิมคือพยายามไม่มองซับ ฟังแต่เสียงตัวละคร ดูเนื้อเรื่องให้เต็มที และก็พยายามพูดทวนประโยคที่ตัวละครคุยกัน แต่เพื่อไม่ให้คนร่วมโรงมองเราแปลกๆ เหมือนคนบ้าพูดกับตัวเอง ก็เลยพยายามเลือกที่นั่งที่ไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ เลือกแถวที่ไม่มีใครนั่งเลยอะไรแบบนี้ ก็เลยหัดพูด(ตามหนัง) ได้อย่างเต็มที่สบายใจ  ^_^
 
ซึ่งก็ดูหนังดูซีรีส์ในลักษณะนี้มาเป็นเวลาประมาณ 2 ปีจนกระทั่งขึ้นปี 4 ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษสนทนาบ้างเป็นครั้งคราว ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจเพิ่มความกล้าที่จะพูดมากขึ้น นอกจากนี้ที่ห้องแลบอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจคก็จะมี Lab meeting คือมารายงานความคืบหน้าของโปรเจคหรืองานวิจัยกันทุกวันอังคารโดยอาจารย์บังคับให้ใช้ภาษาอังกฤษเพราะที่แลบมีนักศึกษาชาวต่างชาติมาอยู่ด้วย ก็เลยเป็นเหมือนคอร์สติวเข้ม Speak English อยู่ทุกอาทิตย์ๆ 
 
เย้! 
จากวันนั้นมาจนวันนี้ก็มองเห็นตัวเองมาไกลเหมือนกัน ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้อย่างวันนี้ สรุปแล้วทุกคนมีศักยภาพอยู่ในตัวเองแน่นอน แค่พยายามดึงมันออกมา พยายามสั่งสมประสบการณ์ อาจจะใช้เวลาบ้าง อาจจะช้าบ้าง แต่ถ้าเราหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองแล้วไม่ท้อไปซะก่อนก็ทำได้แน่นอนครับ ใครที่อยากใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ก็ลองปรับใช้วิธีพวกนี้ก็ได้นะ หรือใครมีวิธีอื่นที่ดีกว่าลองมาแลกเปลี่ยนกันดูครับ

แสดงความคิดเห็น

>

6 ความคิดเห็น

Dark of days 1 ส.ค. 59 เวลา 20:16 น. 1

ดีมากๆค่ะ ตอนนี้ก้ฟังพวก Ted Talk พวก Conan รายการอะไรแบบนี้ตลกดีแถมได้สาระ 55 อะไรแบบนี้ รู้สึกการฟังแบบชีวิตประจำวันเราพอโอเคแล้ว แต่การพูดยังรู้สึกประหม่าอยุ่เหมือนกัน พอจะแนะนำได้มั้ยคะ

0
GosonCryCry 1 ส.ค. 59 เวลา 21:15 น. 2

เรียนภาษาอังกฤษได้ทุกทางครับ ไม่ว่าจะเป็น เกม(ที่เป็นภาษาอังกฤษ),หนัง(ซับไทย/อังกฤษ)
,เพลง(ภาษาอังกฤษ) หัดพูดตาม+อ่านตาม+หาคำศัพท์ที่ไม่รู้จัก แค่นี้ก็จะทำให้ทุกคนเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้นครับ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

มีเนื้อหาที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิเช่น มีเพลง, คลิปวีดีโอ, โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ หรือรูปถ่ายจากสื่ออื่นที่ไม่ยินยอมให้นำมาเผยแพร่

kleincun 2 ส.ค. 59 เวลา 04:33 น. 3-2

https://www.netflix.com/th/ เว๋ปนี้ครับผมดูบ่อยมาก บางทีผมก็ดูซับอังกฤษ แต่ก็พอรู้เรื่องนะ เยี่ยม ปล. ซับไทยกะมีนะ

0
มนุษย์ 2 ส.ค. 59 เวลา 06:22 น. 5

เข้ามาเพราะเห็นว่ามีagents of shieldกับagent Carter 555 เสียดายคาร์เตอร์ไม่ได้ไปต่อ ส่วนชิลด์นี่นักแสดงลดไปเยอะเกิ๊น *เสียงสู๊ง*

0
WA11242 2 ส.ค. 59 เวลา 19:52 น. 6

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆค่ะ เป็นคนที่ไม่ค่อยเก่งและไม่ค่อยสนใจเหมือนกันเจอฝรั่งที่นี้เงิบเลยค่ะ สำหรับคนที่พยายามอยู่เหมือนกันก็สู้ๆนะค่ะ 

0