Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เช็คตัวเองด่วน! Basic Grammar ที่บอกเลยว่า ‘ถ้าไม่รู้ก็ไม่มีวันเก่งภาษาอังกฤษ’

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
เป็นไงกันบ้างครับบบ ยังฝึกฝนภาษาอังกฤษอยู่รึปล่าวว
ขอโทษทีที่หายไปนานเลย เนื่องจากช่วงนี้งานยุ่งมากจริง ๆ เลยไม่ได้มีโอกาสทำกระทู้ออกมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน กระทู้นี่เลยขอประเดิมด้วยเบสิคแกรมมาร์ที่คิดว่าทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษควรจะรู้และทำความเข้าใจไว้นะครับ เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากเลยทีเดียว 


ไปเริ่มกันเลยครับ

ทำความรู้จักกับ Words
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้แบ่งคำออกเป็น 8 ชนิด (หรือที่เราเรียกว่า Part of Speech นั่นเองครับ) 
ได้แก่ Nounsverbsadjectivesadverbspronounsprepositionsconjunctions และ determiners (ในที่นี่ขอละ Interjections หรือ คำอุทาน ไว้นะครับ) 

ซึ่งเราจะแบ่งคำเหล่านี้ออกเป็นสองกรุ๊ป คือ
กรุ๊ปที่ 1 : กลุ่มคำที่มีคำเกิดใหม่ทุกวัน ได้แก่ Nouns, verbs, adjectives, adverbs 
ตัวอย่างคำที่เกิดใหม่เช่น ‘e-book’, ‘selfie’, ‘website’, ‘to google’, ‘to blog’, ‘to twitter’ 

กรุ๊ปที่ 2 คือ กลุ่มคำที่ตายตัวและไม่สามารถจะสร้างคำใหม่ขึ้นมาได้ ได้แก่ Pronouns, prepositions, conjunctions, และ determiners

ในการใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการพูด ฟัง อ่าน เขียน และแม้กระทั่งในการทำข้อสอบน เราจำเป็นต้องรู้ว่าคำไหนคือชนิดอะไร นอกจากมันจะช่วยให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องแล้ว มันยังช่วยให้เรามีลูกเล่นในการพูดหรือเขียนภาษาอังกฤษให้ไพเราะและถูกต้องเหมือนเจ้าของภาษาอีกด้วย

ไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้มากขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ก็พอแล้วครับ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/
Stay tuned.
JGC


มาทำความรู้จักกับคำทั้ง 8 ชนิดนี้กันเลยครับ
1. Noun (คำนาม)
Noun คือ คำที่ใช้เรียกชื่อ (Naming word) ซึ่งใช้เรียก คน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ และนามธรรม (abstract idea) ต่าง ๆ เช่น girl, cat, city, mountain, table, book, scent, pleasure, sorrow 
แต่เมื่อเราใช้คำนามในการเรียก คน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ และนามธรรมที่มีชื่อเฉพาะเจาะจง คำนามเหล่านี้จะกลายเป็น ‘Proper nouns’ หรือ คำนามเฉพาะ และพวกมันก็มักจะขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตัวใหญ่ หรือที่เราเรียกว่า 'Capital letter' เสมอ 
เช่น Jonathan, Catherine, Bangkok, London, Pacific Ocean, Mount Everest, SPaul’s Cathedral, Christmas, January, Impressionism


คำสำคัญ
*Proper noun
*Capital letter


2. Verb (กริยา)
Verb คือ คำที่แสดงการกระทำหรือการเป็นอยู่ (Doing or being word) เช่น is, buy, give, laugh, make, run 
เราอาจจะเรียนมาว่ากริยาต้องมีกรรมเสมอ แต่กริยาบางตัวก็ไม่จำเป็นต้องมี และกริยาบางตัวก็มีกรรมก็ได้หรือไม่มีก็ได้

กริยาที่ต้องตามหลังด้วย noun หรือ pronoun เสมอเราเรียกว่า 'Transitive verb' (ไม่ต้องไปจำชื่อไทยมันนะครับ) 
ตัวอย่างเช่น 
am a doctor. 
She bought a nice shirt. 
He made it. 

กริยาที่ไม่ต้องตามหลังด้วย noun หรือ pronoun เราเรียกว่า 'Intransitive verb' 
ตัวอย่างเช่น 
She laughs
won
They sleep
และเมื่อกริยาพวกนี้ถูกนำหน้าด้วย to เราจะเรียกมันว่า 'Infinitive' เช่น To be, to buy, to give, to laugh, to make 


คำสำคัญ
*Transitive verb
*Intransitive verb
*Infinitive


3. Adjective (คำคุณศัพท์)
Adjective คือ คำที่อธิบายลักษณะ (Describing word) เช่น stupid, old, open, two-storey, untidy 
Adjective จะใช้ขยายคำนามเท่านั้น 
เช่น 
The stupid idea. (ความคิดโง่ ๆ)
The old man. (ชายแก่)
The open door. (ประตูที่เปิดอยู่
two-storey building. (ตึกสองชั้น)
An untidy room. (ห้องที่ไม่เรียบร้อย)

หรือจะใช้ขยายคำนามด้วยวางไว้หลัง verb to be ก็ได้
เช่น 
He is stupid
This book is old
This room is untidy.


4. Adverb (กริยาวิเศษณ์) 
Adverb คือ คำที่เพิ่มความหมาย (Modifying word) ส่วนมาก Adverb มักจะลงท้ายด้วย '–ly' (แต่ก็ไม่ทุกตัวนะครับ) เช่น Clearly, slowly, quite 
Adverb ใช้เพิ่มความหมายให้กับคำกริยา 
เช่น 
She spoke clearly. (เธอพูดอย่างชัดเจน
He walks slowly. (เขาเดินอย่างช้า ๆ)

และยังใช้เพิ่มความหมายให้กับ adjective ได้อีกด้วย 
เช่น 
She was extremely clear. 

และก็ยังใช้เพิ่มความหมายให้ adverb ด้วยกันได้อีก (อะไรจะขนาดนั้น 555) 
เช่น 
She spoke quite clearly
He walks very slowly.

ต่อในคอมเมนต์นะครับบ

แสดงความคิดเห็น

>

3 ความคิดเห็น

JGC. 7 ก.ย. 59 เวลา 21:16 น. 1
5. Pronoun (คำสรรพนาม)
Pronoun คือคำที่ใช้แทนที่ คำนาม หรือ คำสรรพนามด้วยกัน ซึ่ง Pronoun มีอยู่หลายชนิดมาก ได้แก่
   
   - Personal Pronouns
เมื่อ Pronoun ทำหน้าที่เป็น ประธาน (Subject) ของประโยค เราเรียกมันว่า ‘Subjective Personal Pronoun’ (ไม่จำเป็นต้องจำชื่อมันนะครับ) ได้แก่ Iyouwethey, hesheit 
เช่น 
I walked here. 
You are right. 
He sings well. 
It is a good book. 
We saw the film.

แต่เมื่อมันทำหน้าที่เป็น กรรม (object) เราเรียกมันว่า ‘Objective Personal Pronoun’ ได้แก่ Meyouhimheritusthem
เช่น 
He praised me
They like you
She wants it
He will meet us here. 
She called them.

   - Possessive Personal Pronoun
และเรายังสามารถใช้ pronoun เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของได้อีกด้วย ซึ่งเราเรียกว่า ‘Possessive Personal Pronoun’ ได้แก่ Mineyourshishersitsourstheirs 
เช่น 
It is mine. (มันเป็นของฉัน)
This is yours. (นี่ของคุณ)
Ours is the blue one. (ของเราคืออันสีน้ำเงิน)
Theirs will be arrive next week. (ของพวกเขาจะมาถึงในสัปดาห์หน้า)

อย่าไปสับสนกับคำเหล่านี้กับ ‘Possessive adjective’ นะ ได้แก่คำว่า myyourhisheritstheir 
*Possessive adjective ต้องมีคำนามตามหลังเสมอ ในขณะที่ Possessive Personal Pronoun ไม่ต้องมี


คำสำคัญ
*Personal Pronouns
*Subjective Personal Pronoun
*Objective Personal Pronoun
*Possessive Personal Pronoun
*Possessive adjective


6. Preposition (คำบุพบท)
Preposition คือ คำ (หรือกลุ่มคำ) ที่ใช้บอกความสัมพันธ์ระหว่างคำนาม คำสรรพนาม และวลีหรือคำอื่น ๆ ในประโยค ความสัมพันธ์เหล่านี้ได้แก่ เวลา สถานที่ ทิศทางหรือระยะทาง หรือวิธีการ ได้แก่ acrossalong, at, beside, between, by, for, in, near, on, out of, under, up to, with

ตัวอย่างการใช้เช่น
She walked across the Fifth Avenue. (เธอเดินข้ามถนนฟิฟธิ์อเวนู) = บอกทิศทาง
He came by train. (เขามาโดยรถไฟ) = บอกวิธีการ
She stayed for a week. (เธออยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์) = บอกเวลา
He stood near candles. (เขายืนอยู่ใกล้เทียน) = บอกระยะทาง
They walked down to the site. (พวกเขาเดินลงไปที่ไซต์งาน) = บอกทิศทาง

0
JGC. 7 ก.ย. 59 เวลา 21:16 น. 2
7. Conjunction (คำสันธาน หรือ คำเชื่อม)
Conjunction คือ คำที่ใช้เชื่อม คำ วลี หรือประโยค เข้าด้วยกัน แบ่งออกเป็น 3 ชนิด

     - Co-ordinating Conjunctions ได้แก่ andbut, for, nor, or, so, yet หรือที่เราแรกว่า FANBOYS นั่นเองครับ
ตัวอย่างการใช้งาน
We have invited men and women.
The books arrived, but they were damaged.
I wanted to arrive on tome so I left before noon.

     - Subordinate Conjunctions เอาไว้สร้างประโยคแบบ subordinate clause (หรือประโยครอง – เดี๋ยวอ่านเรื่อง Clause ถัดไป) ได้แก่ after, although, as, because, before, even if, if, in case, in order that, now that, only if, since, though, unless, until, when, whereas, while
ตัวอย่างการใช้งาน
I will tell you after she has gone.
The film was good although it started late.
He loved going there because it was peaceful.
I’ll go to London even if the weather is bad.

     - Correlative Conjunctions คือ คำเชื่อมที่มาเป็นคู่  ได้แก่ Both…and, not only… but also, either…or, neither…nor, whether…or
ตัวอย่างการใช้งาน
Both Tim and Nathalie were there.
Neither the warrior nor the horse survived.
She gave not only money, but also her time.

คำสำคัญ
*Co-ordinating Conjunctions
*Subordinate Conjunctions
*Correlative Conjunctions

    

0
JGC. 7 ก.ย. 59 เวลา 21:16 น. 3
8. Determiner 
Determiner คือ คำหน้าหน้านาม แบ่งออกได้ดังนี้
Definite article: The (แสดงความเฉพาะเจาะจง)
Indefinite article: A, an (คำนามทั่วไป)
Quantifiers: Few, many, some (แสดงให้เห็นถึงปริมาณ)
Possessive adjectives: my, your, his, her, its, our, their (แสดงความเป็นเจ้าของ)

     - Indefinite Articles (คำที่ใช้นำหน้าคำนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง) ได้แก่ a และ an
การใช้ a และ an จะใช้คล้ายๆกันคือ ใช้นำหน้าคำนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์ (มีอันเดียว คนเดียว สิ่งเดียว) และกล่าวถึงครั้งแรก ต่างกันที่ a จะนำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่ an จะนำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นเสียงด้วยสระ (a, e, i, o, u) เสียงสระนะครับ ไม่ใช่แค่พยัญชนะที่เป็นสระ เพราะบางทีคำบางคำขึ้นต้นด้วยพยัญชระสระแต่ไม่ได้ออกเสียงสระเช่น University เราจึงต้องใช้ A university ไม่ใช่ An university นะครับ 
a doctor, a book, a day, a lion, an hour, an old lady, an umbrella, etc.
เช่น  
A teacher is teaching. (ครูกำลังสอนอยู่)
I am an actor. (ฉันเป็นนักแสดง)

     - Definite Articles (คำที่ใช้นำหน้าคำนามที่ชี้เฉพาะเจาะจง) ได้แก่ the
การใช้ the จะใช้นำหน้าคำนามที่เป็นเอกพจน์ พหูพจน์ นับได้ และนับไม่ได้ ใช่แล้วครับการใช้ the สามารถใช้นำหน้าคำนามได้ทุกคำ เพียงแต่อาจจะต้องคำนึงถึงกฎเหล่านี้
ใช้กับคำนามที่เราต้องการจะชี้เฉพาะเจาะจง หรือถูกกล่าวถึงเป็นครั้งที่สอง
ใช้กับคำนามที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจดีว่าหมายถึงสิ่งไหน อันไหน
เช่น  May I close the door?
ฉันขอปิดประตูได้ไหม (ซึ่งผู้พูดและพูดฟังไม่จำเป็นต้องบอกว่าบานไหน เพราะทั้งสองเข้าใจอยู่แล้ว)
ใช้กับคำนามที่มีอยู่สิ่งเดียว อันเดียว
เช่น  the moon, the Pacific ocean
The sun rises in the east. (พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
ใช้นำหน้า ดิน ฟ้า น้ำ หรือธรรมชาติต่างๆ
เช่น  the sky, the sea
อันนี้แค่กฎคร่าว ๆ นะครับ ผมเชื่อว่ามีคนอธิบายไว้เยอะมากแล้ว เพื่อน ๆ ลองไปหาอ่านกันได้นะครับ

            

อันนี้แค่น้ำจิ้มนะครับ แค่อยากให้เพื่อน ๆ ลองเช็คตัวเองดูก่อนว่าเข้าใจคำพวกนี้ดีแล้วหรือยัง สิ่งที่สำคัญคืออย่าลืมไปศึกษาเพิ่มเติมนะครับ ที่ผมไม่อยากเขียนให้มันยืดยาวเพราะว่ามีคนเก่ง ๆ หลายท่านได้เขียนอธิบายสิ่งเหล่านี้ไว้หมดแล้ว เพียงแค่เพื่อน ๆ เข้ากูเกิ้ลไปหาดูผมรับรองว่ามีเพียบครับ ยังไงก็อย่าลืมไปอ่านเพิ่มเติมนะครับ
เดี๋ยวกระทู้หน้าผมจะมาเขียนถึงพื้นฐานแกรมมาร์ที่ลึกกว่าเรื่องพวกนี้ไปอีก รับรองว่าพื้นฐานแน่นแน่นอนครับบ


ไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้มากขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ก็พอแล้วครับ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/
Stay tuned.
JGC
0