Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[บ่นเพราะเศร้า] โดนติมาว่า "เขียนนิยายเหมือนวิทยานิพนธ์"

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
อนึ่งขอเกริ่นก่อนเลยว่า จขกท. ไม่ได้เขียนนิยายมาเกือบ 1 ปี หลังจากเขียนครั้งสุดท้ายคือช่วงปลายปี 57 -ส่วนที่หายไป 1 ปีนั้นก็เพื่อนั่งซุ่มพัฒนาฝีมือเขียนตัวเอง โดยอาศัยวรรณกรรมฝั่งตะวันตกมาช่วยอ้างอิง นั่นล่ะ แล้วจึงค่อยเริ่มเขียนอีกครั้งในช่วงปลายๆ ปี 58 ลามมาจนถึงช่วงกลางปี 59 ปีนี้

นิยายเสร็จไปด้วยดี ด้วยความหนาประมาณ 300 หน้ากระดาษ A4 ตอนแรก จขกท. ก็ไม่รู้หรอกว่านั่นมันเยอะไป เพราะนิยายแต่ละเรื่องที่ จขกท. อ่านมันก็ 400 หน้า+ ทั้งนั้น จึงคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จำนวนหน้าจะเยอะแบบนั้น

และเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้วนั่นเอง จขกท. ได้พบกับรุ่นพี่ที่ทำงานเป็น บก. ให้กับ สนพ. หนึ่งเข้า จขกท. จึงลองให้เขาอ่านเรื่องที่ จขกท. เขียนแบบคร่าวๆ และได้คำตอบกลับมาว่าสำนวนค่อนข้างดี หลังจากนั้นเขาจึงเสนอตัวว่าจะช่วยลองเอาผลงานของผมไปคุยกับ สนพ. ที่ จขกท. อยากจะตีพิมพ์ด้วยให้

จขกท. ได้ยินเช่นนั้นเลยดีใจรีบส่งงานที่เขียนนั้นให้กับรุ่นพี่ โดยหวังว่าจะเดบิวตามฝันเมื่อสิบปีก่อนเสียที แต่ทว่าความฝันนั้นก็ยังดูเหมือนจะไม่เป็นจริง เมื่ออีกฝ่ายให้คำตอบกลับมาว่า...

"สำนวนเขียนเหมือนวิทยานิพนธ์" แน่นอนว่านั่นคือการปฏิเสธ... บอกได้เลยว่าช็อคอยู่ไม่น้อยที่โดนตอบกลับมาแบบนี้

ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า-สไตล์การเขียนบรรยายเยอะๆ เพื่อให้คนอ่านเห็นภาพจะกลายเป็นข้อเสียหลักของ จขกท. เองซะอย่างงั้น ทั้งที่เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน จขกท. เคยทำแบบสอบถามนักอ่านทั้งหลายเชิงประมาณว่า ควรเขียนบรรยายแบบละเอียดตามสไตล์หนังสือนิยาย หรือเขียนแบบคร่าวๆ คล้าย Light novel จะดีกว่ากัน และคำตอบที่ได้มาก็คือส่วนใหญ่โหวตแบบแรก จขกท. จึงฝึกเขียนแต่แบบแรกเพียงอย่างเดียวด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกนะว่ามันจะเป็นอย่างงั้น แต่พอได้ลองเอาผลงานที่ว่านั่นโพสต์ลงเน็ตเท่านั้นล่ะ... จขกท. ก็รู้ความจริงเลยว่า มันเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ เมื่อพบว่าจากที่ลงเอาไว้ 2 เว็ปด้วยกัน ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้วยังมีคนอ่านแค่หลักร้อยต้นๆ เท่านั้น Orz

พอรู้ความจริงแบบนี้แล้ว จขกท. รู้สึกเสียเซลฟ์เอามากๆ เลย แถมยังรู้สึกว่าตัวเองแก่จนตามยุคสมัยไม่ทันแล้วอีกต่างหากด้วย ในยุคที่ จขกท. เริ่มอ่านนิยายนี่แต่ละเรื่องเขียนบรรยายละเอียดยิบมากแท้ๆ จขกท. จึงเอามาเป็นแบบอย่าง แต่ก็คาดไม่ถึงเลยว่าในยุคปัจจุบันเช่นนี้ เรื่องที่ได้รับความนิยมกลับใช้เพียงแค่บทบรรยายง่ายๆ ตัวอักษรไม่เยอะซะอย่างงั้น จนกลายเป็นว่า-ที่ฝึกเขียนมาปีกว่านี่เป็นการฝึกแบบผิดๆ ไปเลยซะอย่างงั้น

ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ปรับตัวไหวไหม แต่เท่าที่รู้คือตอนนี้รู้สึกซึมไม่อยากเขียนอะไรไปพักใหญ่ๆ เลย...

อนึ่งเนื่องจากนี่ไม่ใช่กระทู้โฆษณา ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษามารยาท จขกท. จะไม่ขอแปะหรือฝากนิยายก็แล้วกัน แต่สำหรับคนที่คลิกเข้าไปอ่านแล้ว รู้สึกอย่างไรก็ขอรบกวนติมาได้เต็มที่เลยครับ เพื่อที่จะนำไปแก้ไขในภายภาคหน้า

ปัจจุบันเรื่องใหม่วางพล็อตเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เขียนเพราะอยากจะเก็บข้อมูลให้เต็มที่ก่อน

แสดงความคิดเห็น

>

32 ความคิดเห็น

ซีซอร์ เดอะ กรีน [COS] 2 ต.ค. 59 เวลา 02:11 น. 1

อันนี้เราว่ามันขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายเป็นหลักด้วยล่ะค่ะ เน้นขายของที่กลุ่มไหนก็ต้องดูว่าการเขียนของเรามันไปทางนั้นรึเปล่า

อีกอย่างคือตัวสำนักพิมพ์เอง แต่ละสนพ.เขามีสไตล์ที่แตกต่างเฉพาะตัวอยู่แล้ว ภาษาของคุณจขกทอาจไม่เข้าตาสนพ.นี้ แต่อีกสนพ.ที่มีสไตล์เดียวกันกับงานจขกทเขาอาจสนใจก็ได้นะคะ

ส่วนเรื่องภาษาแบบวิทยานิพนธ์นี่เรานึกภาพไม่ออกว่าเป็นแบบไหน นึกว่าเป็นภาษาแนวทางการๆ เสียอีก (ฮา)

ถ้าจะว่าไปตามตรง การบรรยายหรือพรรณนาเยอะๆ (เราหมายถึงว่ามันเยอะ ยืดเยื้อ และเวิ่นเว้อ)จนเกินไป นักอ่านก็คงไม่ค่อยอยากอ่านเท่าไรนักหรอกค่ะ เพราะความมันไม่ได้ เข้าใจเนื้อเรื่องได้ช้า

แต่ถ้าพอเหมาะพอดีในระดับหนึ่ง หรือกลายเป็นสำนวนการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ มีเสน่ห์เฉพาะตัว ถึงอย่างไรก็มีฐานแฟนคลับแน่

อีกอย่างคือจริตผู้อ่านเองด้วยค่ะ จขกทลงนิยายในไหน ก็ต้องสังเกตว่าแต่ละเว็บนั้นผู้อ่านมีช่วงวัยเท่าไร และสนใจแนวไหนเป็นสำคัญ หากมาลงนิยายที่มีการใช้ภาษาระดับคุณทมยันตี(ยกตัวอย่างน่ะนะคะ) ผู้อ่านในเด็กดีก็อาจน้อย แต่ผู้อ่านวัยทำงานหรือมีอายุขึ้นไปหน่อย(และไม่ค่อยอ่านในเว็บ)อาจเยอะแทนค่ะ

ส่วนเรื่องอารมณ์ท้อ เราว่าลองค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ แก้ พลิกคำติ ให้เป็นคำชม ลองดูซิว่า "สำนวนเหมือนวิทยานิพนธ์" เช่นนี้จะเหมาะกับแนวไหน สนพ.ไหน กลุ่มเป้าหมายไหนเป็นสำคัญ มันต้องมีสักทางซิน่าาา

สู้ๆ นะคะ ท้อได้แต่อย่าหมดไฟเลย ฮึบ <3

0
PEE RA NAW 2 ต.ค. 59 เวลา 04:42 น. 2

เห็นด้วยกับ คห1 นะคะ 

แต่ละสำนักพิมมีเป้าหมายหลักไม่เหมือนกันพูดง่ายๆก็คือ กลุ่มลูกค้า นั่นเอง แน่นอนเรื่องแนวการแต่งก็ต้องแตกต่างกันอยู่แล้วละคะ 

เคยมีประสบการณ์ส่งนิยายไปเสนอสำนักพิมเหมือนกันค่ะ โดนชมกลับมาด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เอา  เพราะเรารู้อยู่แล้วละคะว่าแนวที่เราแต่งอ่ะมันมีอยู่เกลื่อนกลาดเต็มไปหมด แถมเราก็แต่งแนวเดียวกับนักเรียนที่เขามีในสังกัดที่ฝีมือระดับเซียนอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ฝีมืออาจจะยังไม่ถึงขั้นก็ได้ ถ้าหากพัฒนาและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราจะต้องถึงจุดที่เราฝันเอาไว้แน่ๆ แค่เราอย่าล้มเลิกมันกลางคัน 

เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าอีกกี่ก้าวจะถึงฝัน ไม่แน่อาจจะอีกแค่ก้าวเดียวก็ได้ หากคุณตัดใจซะตอนนี้....ก็น่าเสียดายแย่ นะคะ ว่าไหม ^^ เหลืออีกแค่ก้าวเดียวแท้ๆ 

เพราะฉะนั้นอย่าท้อนะคะ การอ่านเยอะๆอาจจะช่วยอะไรคุณได้นะ ^O^

0
valerie[วิฬารี] 2 ต.ค. 59 เวลา 09:13 น. 3
นิยายเป็นบันเทิงคดี นักอ่านไทยอ่านนิยายเพื่อคลายเครียด
วิทยานิพนธ์ เป็นหมวดตำราสารคดี ขึ้นชื่อว่าวิทยานิพนธ์ก็ไม่มีใครอยากอ่าน

ดังนั้นถ้าจะมาทางนี้..ควรสลัด "คราบไคล" ความเป็นนักวิชาการบ้างค่ะ
อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งปิดกั้น หาแนวทางที่เป็นตัวคุณและเข้ากับตลาดให้ได้ก่อน


0
Zehn Stärke 2 ต.ค. 59 เวลา 09:51 น. 4

ตอนนี้ จขกท. กำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากับยุคอยู่ โดยการอ่านนิยายของคนยุคนี้ไปด้วย

คงต้องใช้เวลาซักพัก กว่าจะปรับสำนวนให้เข้ากันล่ะมั้งครับ

0
ลูเซีย The jar&#039;s modeller 2 ต.ค. 59 เวลา 11:25 น. 5

จากที่แวบเข้าไปดู dogma ของ จขกท 

1. คำโปรยไม่น่ากดอ่าน

2. แนะนำเรื่องเวิ่นเว้อจับใจความไม่ได้ พรรณาน้ำท่วมทุ่ง  ผมอ่านแล้วได้แค่ว่า ศาสนจักรกำเริบเสิบสานห้ามเคารพเทพอื่น กับตัวเอกชื่อจิ้งจอกทะเลทราย แค่นั้น...แต่เขียนมายาวมาก ได้ inpression ว่าไม่น่าสนใจเลย 

3. อ่านบทแรกไม่จบหรอก เพราะเจอบรรยายตัวละครที่เดาว่าน่าจะเป็นตัวประกอบไป 5 ย่อหน้าเต็ม โดยที่เรื่องไม่เดินเลย การบรรยายให้เห็นภาพเป็นเรื่องดีแต่ต้องถ่วงดุลย์กับการเดินเรื่องไว้ด้วย เรื่องไม่เดินก็ไม่น่าอ่านอ่ะครับ  ผมมาอ่านเรื่องไม่ได้มาชมตัวละคร 

ปล. ต้องปิดด้วย คหสต ไหม...

2
ลูเซีย The jar&#039;s modeller 2 ต.ค. 59 เวลา 11:27 น. 5-1

เสริมอีกนิด

สำหรับผม นิยายดี/สนุก ไม่เกี่ยวกับยุคสมัย
ถ้ามันสนุก จะผ่านไปอีกกี่สิบกี่ร้อยปีก็ยังสนุก

ตามนั้นครับ

0
Zehn Stärke 2 ต.ค. 59 เวลา 13:08 น. 5-2

อันนี้ล่ะครับคือคำตอบจากผู้อ่านที่ จขกท. ต้องการ

เพราะรู้ว่ามันผิดพลาดไปแล้ว แต่เพราะไม่รู้ว่ามันพลาดตรงไหนเลยไม่อาจจะแก้ไขได้

สำหรับความเห็นนี้ ผมต้องขอขอบคุณซะมากกว่าด้วยซ้ำ ขอเก็บเป็นข้อมูลเอาไว้จะแก้ไขในเรื่องหน้าครับ

0
SilverPlus 2 ต.ค. 59 เวลา 11:43 น. 6

นักอ่านชอบนิยายที่เดินหน้าครับ การบรรยายที่วนอยู่ที่เดิม (บรรยายอดีต ความคิด รูปลักษณ์) นานๆ จะทำให้คนอ่านที่เขาอยากเห็นการดำเนินเรื่องเบื่อเอาง่ายๆ เลย 

แฮร์รี่พ็อตเตอร์คือตัวอย่างที่ดี สำหรับนิยายที่เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง อ่านแล้ววางไม่ลง

แนะนำลองอ่านแฮร์รี่ดูครับ แล้วก็มานั่งเทียบว่าของเราต่างจากของเขาอย่างไร

ยึดนิยายสักเรื่องเป็นตัวอย่าง แล้วพยายามไล่ตามเขา ดูวิธีเล่า วิธีที่คนเขียนใช้ในช่วงต่างๆ ของนิยาย 

ผมเชื่อว่า ถ้าได้ตัวอย่างที่ดี เจ้าของกระทู้จะเขียนได้โดนใจคนอ่านแน่นอนครับ

ไม่ต้องท้อไปครับ เจ้าของกระทู้มีทักษะการเขียน ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอะไรใหม่ เพียงแค่เปรียบรูปแบบแค่นั้นเอง เหมือนคนเล่นแบดมินตัน เปลี่ยนไปเล่น เทนนิส นั้นแหละครับ


1
Zehn Stärke 2 ต.ค. 59 เวลา 13:13 น. 6-1

อย่างที่แจ้งไปครับว่า จขกท. ยึดนิยายฝั่งตะวันตกเป็นแบบอย่างในช่วงแรก จึงคิดว่าก่อนที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจจำเป็นจะต้องปูพื้นก่อน ซึ่งเท่าที่เห็นก็พบว่า นั่นนับว่าเป็นความคิดที่ผิดสำหรับนิยายลงเน็ต แต่เหมาะกับนิยายที่พิมพ์เป็นหนังสือแล้วมากกว่า

ตอนนี้ จขกท. คงต้องผันมาอ่านนิยายฝั่งตะวันออกบ้างแล้ว เพื่อศึกษาเนี่ยล่ะ

0
Death With Love 2 ต.ค. 59 เวลา 13:31 น. 7

ใช่เรื่อง Patria's Dogma ที่กำลังลงอยู่หรือเปล่าครับ

ลองไปอ่านมาเล็กน้อย ขออนุญาตแสดงความเห็น
ก็เป็นนิยายนะครับ ไม่ใช่วิทยานิพนธ์ แต่ระดับอาจจะไม่ผ่านเกณฑ์ของสนพ.มากกว่า

คิดคล้ายท่านคห.5 เป็นนิยายที่ไม่เลวเลย แต่แรงดึงดูดและความน่าสนใจค่อนข้างต่ำ
ภาษาดีสละสลวยแต่ไม่เสถียร สำนวนจะแปร่งเป็นพักๆ
ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด เวิ่นเว้อมาก คือเวิ่นได้ครับ ถ้าเป็นจุดที่สำคัญต่อเนื้อเรื่องหรือนักอ่านควรรู้ในจุดนั้นโดยละเอียด แต่ในเรื่องนี้เก็บส่วนไม่เป็นประโยชน์มากไปจนเรื่องไม่คืบหน้าหรือไปอย่างช้า

ทีงี้ ทำไมทางสนพ.ถึงกล่าวว่าเหมือนวิทยานิพนธ์?
ผมมองตามประสบการณ์(ในเรื่องอื่นแต่ขอมาเทียบเคียง)
ประโยคนี้แปลว่าอยากให้ปรับปรุง โดยเขาสื่อให้คิดครับ ไม่ใช่ให้มาโวยวายน้อยใจ
น่าจะแนะนำเพราะเชื่อว่าจขกท.จะสามารถใช้ตรรกะ รับรู้พร้อมคิดได้ว่าก้าวต่อไปต้องทำอย่างไร

หากเขาไม่ชอบ ก็แค่บอกว่าไม่ผ่านฝีมือไม่ถึงครับ
เหมือนวิทยานิพนธ์ คำพูดแรง หมายถึงมันไม่น่าอ่านดูเป็นวิชาการ แต่ไม่ได้บอกว่าแย่

ไม่ขอเพิ่มเติมละครับ จขกท.น่าจะทราบว่าผมก็เหมือนบก.สนพ.ท่านนั้น
ผมบอกเพราะอยากให้คิดเอง ไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกตัวอักษร หวังว่าจขกท.คงเข้าใจ

สุดท้าย นิยายที่ดีไม่มีเก่าหรือล้าสมัยครับ มีแต่ความคลาสิก
ผมก็อ่านนิยายมานาน ชอบลักษณะบรรยายพรรณาเวิ่นเว้อด้วยซ้ำ แต่การที่ทำให้คนอ่านเพลินจนไม่รู้สึกถึงการดำเนินเรื่องช้าคือหน้าที่ของผู้เขียน
ปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยเป็นเรื่องที่สมควร แต่ตกยุคก็ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้นิยายไม่สนุกครับ


4
Zehn Stärke 2 ต.ค. 59 เวลา 13:51 น. 7-1

ขอสารภาพเลยครับว่า หากไม่มีคนติมาว่าบรรยายเวินเว้อ จขกท. เองก็ไม่รู้เช่นกันครับ

นิยายแต่ละเรื่องที่ จขกท. หยิบมาเพื่ออิงสำนวนนั้นแต่ละเรื่องเล่มหนาๆ ทั้งนั้น

ขอยกตัวอย่างคือ The hunt for red October ของ Tom Clancy งี้ เปิดเรื่องมาหนากว่าของ จขกท. อีกครับ หรือจะเอา Metro 2033 ที่เรียกได้ว่าตัวหนังสือติดกันเป็นพรืด หรือจะหยิบ Light Novel อย่าง Stein;gate มาเทียบก็เรียกได้ว่า ของ จขกท. นี่เทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ

เพราะงั้นเอง มันจึงทำให้ จขกท. คิดว่าบรรยายยิ่งละเอียดยิ่งดี เอาให้คนเห็นภาพไปเลยอะไรประมาณนั้น แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะกลายเป็นผลร้ายทำให้ผู้อ่านไม่กล้าแตะได้ขนาดนี้

ส่วนที่ไม่ทันนึกว่าเขาอยากให้ปรับปรุง ก็เป็นเพราะ จขกท. สนุกกับการค้นคว้าข้อมูลเพื่อมาเขียนครับ บางทีมีเผลอไปทำวิจัยทดลองเองด้วยก่อนมาเขียน จขกท. เลยคิดว่าตรงนั่นล่ะที่ทำให้ สนพ. เห็นว่ามันเหมือนวิทยานิพนธ์มากกว่า

0
masayume_F 2 ต.ค. 59 เวลา 14:22 น. 7-2

เราว่าคุณ จขกท. ยังเข้าใจไม่ตรงประเด็นที่ความเห็นบนๆแนะนำนะคะ

จากที่เราได้ไปอ่านเรื่องของคุณมา เราเข้าใจที่คุณบอกว่าต้องการบรรยายบรรยากาศให้เห็นภาพชัดเหมือคนอ่านได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ เลยบรรยายจนครบทุกประสาทสัมผัส

ถามว่าดีมั้ย...ดีค่ะ ถ้าฉากนั้นเป็นฉากสำคัญของเรื่องหรือเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจุดไคลแมกซ์ทำให้เกิดเรื่องราวอื่นๆในเรื่องตามมา เช่น ฉากตัวละคร 'สำคัญ' โดนวางยาพิษกลางมื้ออาหาร หรือฉากนัดเจอกันที่บาร์แล้วต่อมาฆ่ากันตาย เพราะการบรรยายละเอียดจะทำให้เราได้รับรู้อารมณ์และบรรยากาศตึงเครียดหรืออึดอัดได้ดีจากสภาพแวดล้อมนี่แหละ

แล้วเรื่องเยิ่นเย้อที่ความเห็นบนๆ บอกคือยังไงล่ะ? มันคือความไม่พอดีของรายละเอียดที่คุณทุ่มใส่ลงไปในทุกฉากค่ะ การเล่าเรื่องให้น่าติดตาม เราจะต้องรู้ก่อนว่าฉากไหนคือฉากสำคัญ และให้ความสำคัญกับฉากนั้นมากๆ เพื่อส่งสัญญาณให้คนอ่านรู้ว่าฉากนี้สำคัญนะฉันถึงต้องให้รายละเอียด แต่ถ้าเราทำอย่างนั้นกับฉากทั่วไป คนอ่านก็จะสับสนว่า 'บอกทำไม?' 'จำเป็นต้องเยอะขนาดนี้ไหม?' พาลจะทำให้เรื่องน่าเบื่อและดำเนินไปได้ช้า. คนอ่านเหนื่อยมากนะคะเวลาเจอฉากแบบนี้บ่อยๆ

ส่วนที่คุณบอกว่า เอานิยายตะวันตกเป็นต้นแบบ เลยบรรยายเยอะ เราว่าไม่ว่าตะวันตกหรือตะวันออก ถ้ามัน'จำเป็น'ต้องบรรยาย มันก็ต้องบรรยายค่ะ หรือบางคนอาจจะใช้วิธีปูเรื่องแบบอื่นเช่น การกระทำหรือบทสนทนาของตัวละครแทน ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน การบาลานซ์บทบรรยายกับบทสนทนาให้พอดีเป็นความสามารถสำคัญของนักเขียนค่ะ

เราไม่เคยอ่านนิยายที่คุณยกตัวอย่างมา แต่ขอยกมหากาพย์ที่ใครๆรู้จักอย่าง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงแล้วกันนะคะ นิยายตะวันตกเรื่องนี้ บทบรรยายยาวเป็นพรืดค่ะเรียกได้ว่าท้าทายความอดทนของนักอ่านเลยทีเดียว แต่ถามว่าทำไมถึงไม่น่าเบื่อ เพราะทุกอย่างที่ใส่ลงในนั้นเป็นเรื่องที่ 'ต้องรู้' ถึงจะเข้าใจเนื้อเรื่องที่จะตามมา และเอาเข้าจริง บทบรรยายยาวยืดนั้นเป็นการสรุปเหตุการณ์ในอดีตสั้นๆ เสียด้วยซ้ำ หลายคนเลยบอกว่า ถ้าคุณผ่านครึ่งเล่มแรกไปได้ต่อไปก็จะอ่านแบบลื่นไหลปรู๊ดปร๊าด และถ้าคนอ่านรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ก็จะไม่รู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดค่ะ

ถ้าแก้ตรงจุดนี้ได้คงจะทำให้นิยายน่าอ่านมากขึ้นเยอะเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

ปล.นักอ่านสมัยหลังๆ ชอบการดำเนินเรื่องรวดเร็วจริงค่ะ แต่ก็ตามสภาพสังคมเร่งรีบเนอะ

0
Zehn Stärke 2 ต.ค. 59 เวลา 15:33 น. 7-3

ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำ แต่ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าควรจะอย่างไร

ที่บอกว่าไม่เข้าใจเพราะ รุ่นพี่ที่เป็น บก. เขาแนะนำมาว่าตรงนี้ควรบรรยายบรรยากาศให้ละเอียดกว่านี้ แต่พอฟังนักอ่านทั้งหลายติมาแล้วก็พบว่า มันกลายเป็นใส่น้ำเยอะไปซะงั้น

สุดท้ายเลยค่อนข้างสับสนว่าควรจะเอายังไงดี คงต้องหาทางตัดให้มันได้พอดีเท่านั้นล่ะ

0
masayume_F 2 ต.ค. 59 เวลา 17:09 น. 7-4

ถ้ากรณีนั้นคงมีเรื่องแนวของสำนักพิมพ์มาร่วมด้วย คุณก็ต้องเลือกแหละค่ะว่ายังอยากจะส่งสำนักพิมพ์นี้มั้ย ถ้ายังอยากส่งก็ลองหานิยายที่ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์นี้มาอ่านดูแนวการบรรยายของเขา แต่ถ้ายังอยากคงแนวตัวเองไว้ก็ลองหาสำนักพิมพ์ที่รับงานแนวที่เราเขียนแล้วลองส่งไปอีกรอบดูค่ะ

ปล.นักอ่านเองก็มีหลายประเภท จะเขียนให้ถูกใจหมดก็ไม่ไหวค่ะ

เพิ่มเติม ที่บก.บอกให้บรรยายให้ละเอียด เราว่าคงหมายถึง ละเอียดตรงที่ควรจะละเอียดให้มากกว่านี้ค่ะ

ส่วนเรื่องที่บอกว่านิยายเหมือนวิทยานิพนธ์ น่าจะหมายความว่า คุณใส่ทุกอย่างที่หาข้อมูลลงไปในนิยายมากกว่าค่ะ ซึ่งนิยายไม่เหมือนวิทยานิพันธ์ตรงที่เราหาข้อมูลมาร้อยหน้า อาจจะได้ใส่แค่สิบหน้าในเรื่องก็ได้ อีกอย่างก็คือ ฉากๆหนึ่งมีรายละเอียดเยอะ ก็จริง แต่ถ้าบรรยายตั้งแต่เศษฝุ่นมุมห้องไปจนถึงมดบนขวดน้ำตาล มันก็เกินจำเป็นค่ะ (จากประสบการณ์คนกำลังเขียนวิยานิพนธ์ป.เอกอยู่)

0
มัณทนา 2 ต.ค. 59 เวลา 15:33 น. 8

นิยายของจขกท.อาจจะไม่ตรงกับความต้องการของสำนักพิมพ์เหรอเปล่า
ถึงโดนติงมาแบบนั้น
เรายังไม่ได้เรียนต่อปริญญาโทนะ
แต่ยังไม่เคยไปหาพวกวิทยานิพนธ์ของคนที่เรียนจบปริญญาโทมาอ่านเลย

0
Archetype 2 ต.ค. 59 เวลา 21:35 น. 9

จะเลือกว่าอะไรจำเป็นต่อการสร้างโลก
แต่ละคนก็มีเทคนิคต่างๆกันไป

ส่วนตัวใช้วิธีคิดจากผลลัพธ์ที่ต้องการ
เช่น ซีนนี้ อยากให้นักเดินป่าสะพรึงกับจำนวนมดกินคน-ทันทีในจิตใต้สำนึก
ก่อนหน้าก็ต้องบรรยายความน่ารำคาญของมด
เช่นมีฉากมดเดินแถวหนีฝน ฉากมดแอบมากินขนม
มดซุกในรองเท้า บี้มดเล่นเอาาปั้นเป็นลูกบอล เอาน้ำร้อนเทลงไปในรัง
โดยคิดว่า รังแกสัตว์ทีละมากๆ ก็รู้สึกเป็นเทพเจ้าดี
พอเฉลยว่ามดทั้งหมดในป่านี้กินคนได้ ถ้าเผลอฆ่านางพญา
ผมว่า ความสยิวจะตามมาเอง

ก็ใช้วิธีคิดย้อนรอย จากผลไปหาเหตุแบบนี้ ไปเรื่อยๆ

นอกจากนี้ บางเรื่องที่ยังไม่ต้องให้คนอ่านรู้ ก็ผ่านๆไปก่อน
เพราะเขียนละเอียดมากไป นอกจากเบื่อ กว่าจะถึงจุดที่จำเป็น
ก็ลืมไปแล้ววว

หรืออยากโชว์ไอเดีย รายละเอียดที่คิด
ก็ต้องใส่รายละเอียดเนื้อหาไปด้วย ไม่ใช่บรรยายดุ่ยๆไป
ขนาดหนังบางเรื่อง ทำเป็นภาพซีจีงดงาม มีเสียงกระหึ่ม ยังหลับได้ 555

0
Diosa 2 ต.ค. 59 เวลา 22:05 น. 10

เท่าที่ลองอ่านดู หลายๆส่วนย่อได้ค่ะ คือไม่ใช่ว่าการบรรยายละเอียดไม่ดี แต่โดยส่วนตัวแล้ว อย่างน้อยควรจะมีคำพูดผสมอยู่ซัก30-40% น้อยกว่านี้จะดูเป็นบรรยายที่คนพร้อมจะผ่าน และมากไปมันก็จะกลายเป็นบทละครที่ไม่ได้รู้เรื่องสภาพแวดล้อมอะไรเลย

อันนี้หลังจากเราอ่านแค่ตอนแรกสุด 13ย่อหน้าของ จขกท. เราย่อได้เหลือแค่นี้ค่ะ ไม่แน่ใจว่ามันจะดูสั้นเกินไปไหม แต่เราคิดว่ามันค่อนข้างจะมีข้อมูลมากพอที่จะทำให้คนอ่านเห็นภาพโดยที่ใจความไม่ตกหล่นนะ


       "นี่พวกนาย...

       จู่ๆ เสียงซักถามที่ฟังไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นท่ามกลางร้านเหล้าที่กำลังครึกครื้นไปด้วยฝูงชนที่กำลังชนแก้ว เสียงเพลงขับขานและเสียงดนตรีแห่งการเฉลิมฉลองของกลุ่มขาประจำทั่วร้าน คนพวกนี้มักจะจับกลุ่มเข้ามาผ่อนคลายเช่นนี้แทบทุกวัน เป็นกิจวัตรประจำวันที่มิอาจขาดได้
นี่คือบรรยากาศภายในร้านเหล้าเล็กๆ ณ.ตะวันออกไกลแห่งนี้
       "รู้จักสิ...
       เสียงตอบรับดังมาจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในกลุ่มโต๊ะยาวด้านในสุดของมุมร้าน
       ได้ยินแบบนั้นฉันจึงชำเลืองมอง บนโต๊ะนั้นมีกลุ่มชายหน้าตาดุดันรวมแปดคน ซึ่งปกติแล้วเป็นจำนวนที่ค่อนข้างจะหายากสำหรับเมืองแถบชายแดนที่ไม่มีอะไรแบบนี้
       พวกเขาน่าจะเป็นคนต่างถิ่น ฉันไม่คุ้นหน้าตาเท่าไหร่นัก สำหรับคนที่อุตส่าห์ลงทุนเดินทางมายังที่ๆ ไม่มีอะไรแบบนี้ เดาได้ไม่ยากว่า อาจจะเป็นกลุ่มนักเดินทาง..หรือพ่อค้าคาราวานที่เดินทางผ่านมาอาศัยเมืองที่เป็นที่พัก
       แต่ดูเหมือนจะเป็นอย่างแรกมากกว่า เพราะด้วยหลายๆอย่าง ตั้งแต่รูปร่างที่ดูสูงใหญ่ล่ำสัน หน้าตาดุดันเต็มไปด้วยหนวดเครา เมื่อรวมกับห่อผ้าข้างตัวที่อยู่ใกล้มือและพร้อมหยิบจับ กับชุดเกราะบนร่างกายของพวกเขา...

1
พลอยนิล-อะเมะยูคิ 3 ต.ค. 59 เวลา 01:49 น. 11

ฝึกฝนบ่อยๆ อ่านหนังสือหลายๆ ประเภท มองหาจุดเด่นของตัวเองแล้วนำมาเป็นเอกลักษณ์ในการเขียน เดี๋ยวก็เขียนเก่งค่ะ สู้ๆนะคะ

0
White Frangipani 3 ต.ค. 59 เวลา 03:08 น. 12

สวัสดีค่ะ

[บ่นเพราะเศร้า] โดนติมาว่า "เขียนนิยายเหมือนวิทยานิพนธ์"


เม้นต์ต่อไปนี้...เป็นเม้นต์ของนักเรียนหัดเขียนนะคะ  อ่านคำบอกเล่าของคุณแล้วก็หลงตัวหัวเราะดังๆค่ะ  สำนักพิมพ์ไหนนะ...กล้าบอกแบบนั้นกับผลงานที่ละเอียดละออของคุณ

วิทยานิพนธ์...นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆนะคะหากนิยายของคุณมีลักษณะคล้ายๆแบบนั้นแท้จริงเขาน่าจะสนใจที่จะลองพิจารณาดูนะคะ แปลกมากเลยที่เขาไม่เห็นคุณค่าของการเขียนแบบนี้ แปลกมากที่เขามองข้ามความตั้งใจของนักเขียน

ผลงานละเอียดละออ...นั้นบอกได้ว่านักเขียน..ใส่ใจ ตั้งใจไม่ใชหรือ????? รู้สึกว่าแปลกมากๆจริงนะคะ

เจ้าของเม้นต์ชอบอ่าน และชอบพิมพ์อะไรๆคล้ายๆคุณนี้ค่ะ คือชอบเขียนพรรณา บรรยายละเอียดยิบ...(ยกตัวอย่างเพียงเม้นต์นี้ของดิฉันนะคะ )ไม่แน่จริงอ่านไม่ไหวแน่ๆค่ะ ฮา ฮา ฮา

หรือหากอ่อนแอ ภูมิต้านทานตํ่านะคะ ได้เวียนหัวอ๊วกออกมาเป็นตัวหนังสือหล่ะ (เคยเกิดขึ้นค่ะ เพียงเม้นต์ในกระทู้ต่างๆ(คุณไล่อ่านๆได้เลยค่ะ)เพื่อนๆบอกว่าแทบอ๊วกออกมาเป็นตัวหนังสือเลย(หรือว่าเพื่อนเขาอาจจะขาดธาตุเหล็กเลือดจาง เกี่ยวกันไหมนะ ฮา ฮา ฮา คงไม่นะ)

หรือบางคนบอกว่า...ยาวๆไปไม่อ่าน...เพียงเห็นเม้นต์นี่นะ(รู้สึกว่าเขาต้อง)วิ่งป่าราบเลยค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า จริงนะคะ (แท้จริงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนะคะ เพียงชอบพิมพ์ๆค่ะ)

นักเรียนหัดเขียนที่มีความตั้งใจว่าจะเขียนให้ระเอียดยิบเช่นคุณนี้ด้วยค่ะ  ในบางเรื่องที่ตั้งใจจะเขียน...เหตุการณ์เดินทางไปสู่ดวงดาว...นะ...คนอ่านได้มีโอกาสชนกับลูกอุกาบาตหัวโนไปเลยค่ะ (แฟนตาซีสามมิติ ด้วยตัวหนังสือเลยด้วย ฮา ฮา ฮา )

ได้เข้าไปอ่านนิยายของคุณแบบคร่าวๆมาค่ะ  เห็นแล้วรู้สึกว่าไม่เท่าไรนี่คะ(ชอบอ่านอะไรที่ละเอียดๆและยาวๆค่ะ) หรือว่าคุณแก้ไขแล้วนะ

เข้ามาเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ...ว่า...หากการเขียนแบบนั้นเป็นสุขสนุกสนาน เป็นเอกลักษณ์ที่คุณชอบเจ้าของเม้นต์นี้อยากแนะนำว่า...เขียนต่อไปนะคะ...เพียงเขียนให้เรื่องราวนั้นๆมีที่มาที่ไป สมเหตุสมผลเท่านั้นค่ะ นักอ่านได้เป็นสุขแบบจุใจไปเลยค่ะ

 อยากบอกด้วยว่า..ทุกอย่างสามารถแตกต่างกันได้เป็นธรรมดานะคะเจ้าของกระทู้...การที่หลายคนบอกว่าคุณต้องทำแบบนี้ และอีกหลายคนบอกว่าคุณต้องทำแบบนั้น...แท้จริงคืออะไรคะ?  คือคุณจะทำอย่างไรต่อไปคะ? ดิฉันรู้ว่าคุณรู้ว่าคืออะไรค่ะ

เห็นนิยายของคุณรู้สึกราวกับว่า...แท้จริงคุณเป็นนักเขียนมืออาชีพค่ะ หรือว่านักเขียนที่มีประสบการณ์พอสมควรเลย (หรือว่าดิฉันจะคิดไปเองนะ) แต่เป็นเพราะอะไรนะ?จึงเกิดเป็นเหตุเช่นที่คุณเล่ามานี้ แปลกจังเลยค่ะ

นักเขียนมีมากมายและวิธีเขียนของเขาทั้งหลายก็แตกต่างกันไปด้วยเป็นธรรมดา  ซึ่งนักอ่านก็เช่นกันค่ะ มีอยู่มากมายหลายรูปแบบหลายคนอาจจะชอบอะไรที่แตกต่างกันก็เป็นได้ค่ะ คุณต้องมีความมั่นใจ ต้องมีจุดยืน ต้องไม่หลุดนะคะหากคุณรักที่จะเขียนในลักษณะนั้น เพราะนั้นที่เป็นคุณค่ะ เป็นผลงานของคุณตรงนี้ที่สำคัญค่ะ

ยิ่งหากความเป็นจริงผลงานของคุณคล้ายวิทยานิพนธ์นี้นะคะ...นักเรียนหัดเขียน(คือดิฉันนะคะ) เข้าใจว่าคุณต้องตั้งใจเขียนเพื่อหวังผลที่จะออกมาดีอย่างแน่นอนค่ะ (หรือว่าคุณไม่ได้ตั้งใจคะ)

ทั้งหมดนี้เป็นอีกมุมมองของผลงาน วิธีการเขียน ซึ่งอาจจะแตกต่างนะคะ

คนรักการอ่าน...นิยายเล่มหนาๆก็มีเยอะแยะ...อย่าท้อแท้นะคะ

เป็นกำลังใจค่ะ









1
Zehn Stärke 3 ต.ค. 59 เวลา 12:03 น. 12-1

ขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจ

ผมเองก็ไม่ได้หยุดเขียนหรอกครับ แต่คงต้องปรับสำนวนให้มันอ่านกระชับกว่านี้นิดหน่อยเท่านั้น

0
เลลาห์ 3 ต.ค. 59 เวลา 14:03 น. 13

โอ้โหดอะ ทำไมปฏิเสธกันได้โหดร้ายแบบนี้ เฮ้ยไม่อยากจะคิดถ้าโดนปฏิเสธแบบนี้...เราจะนอนร้องให้สามวันสามคืนเลย ตอนนี้กำลังคิดจะส่งแต่เริ่มไม่กล้าแล้ว กลัวการโดนปฏิเสธ
เสียใจ

0
NATIKKA★ 3 ต.ค. 59 เวลา 17:03 น. 14

ลองเข้าไปอ่านดู บอกไว้ก่อนว่าให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ค่ะ เพราะก็ไม่ได้เขียนนิยาย แล้วก็ไม่ได้อ่านหลายแนว จะพูดความคิดของตัวเองในฐานะนักอ่านแล้วกันนะคะ...

อ่านแค่บทที่ 0 [อ่านแบบรวบรัด คร่าวๆ]
1.เห็นแล้วเหนื่อยมากค่ะ
2.อ่านตอนแรกนึกว่าเป็นมุมมองพระเจ้า เพราะบรรยายเยอะมาก มันเลยรู้สึกสะดุดตอนคำว่า 'ฉัน'
3.เหมือนจะมีคำผิด(หรือเปล่า) ไม่แน่ใจ
4.ถ้าต้องการพิมพ์เป็นหนังสือ ตัดจบบทไม่ค่อยโอ มันเหมือนควรจะต้องมีต่ออ่ะค่ะ จบด้วยคำพูดก็ได้ แต่จบแบบนี้เหมาะกับแบบลงออนไลน์ให้อ่านฟรีเพราะจะทำให้คนอ่านค้างอยู่บนยอดไม้ได้
5.สำหรับการบรรยายก็โอเคนะคะ อาจจะดูยืดเยื้อไปหน่อยแต่รวมๆถือว่าสำนวนดีมาก

สรุปคือ
อยากให้เปลี่ยนไปเขียนมุมมองพระเจ้าจังเลยค่ะ พอเป็นมุมมองของตัวละครเลยรู้สึกแหม่งๆ แต่อาจจะเพราะไม่ได้อ่านมุมนี้นานแล้ว... พอเป็นมุมมองของบุคคลแล้วรู้สึกตัวเดินเรื่องช่างสังเกตเกินไป ขี้เผือกเกินไป 

แค่นี้แหละค่ะ ยังไงก็ขอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังเนอะ สู้ๆค่ะ

0
สู้ต่อไป 3 ต.ค. 59 เวลา 17:39 น. 15

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเล็กน้อยนะคะ บังเอิญผ่านมาเห็นคำบ่นน่ะค่ะ

ดิฉันลองไปอ่าน บทที่ 0 Part 1 - จิ้งจอกทะเลทราย มาแล้วค่ะ

สำนวนของคุณเหมือนสำนวนนักแปล สำนวนภาษีดีค่ะ อ่านแล้วไม่ติดขัด

สมัยก่อนดิฉันก็เคยอ่านหนังสือที่มีบทบรรยายเยอะ ๆ แบบนี้

แต่เป็นหนังสือแปลนะคะ อ่านภาษาอังกฤษโดยตรงไม่ได้ค่ะ

ถามว่าชอบไหม ชอบเป็นบางเรื่องค่ะ ขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องว่าชวนติดตามไหม

สิ่งที่สังเกตได้จากสำนวนในบทแรกคือ ฉากบรรยายรายละเอียด มันไปคั่นอารมณ์บทสนทนา

ทำให้เหตุการณ์ไม่ราบรื่นและค่อนข้างจะขาดความเร้าใจ

นึกถึงอารมร์ของเราตอนไปฟังคนพูดตะกุกตะกักน่ะค่ะ

ลองสลับบทบรรยายกับบทสนทนาใหม่ดูสิคะ หรือเรียงเรียงดูใหม่

บทบรรยายละเอียดอาจจะเน้นเฉพาะฉากสำคัญ ๆ หรือสรุปคั่นแต่ละฉากก็ได้

ส่วนบทสนทนาก็ทำให้ต่อเนื่อง คืออ่านแล้วให้รู้ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร

ไม่ต้องใช้บรรยายก็ได้ แต่ใช้บทสนทนาแทนบทบรรยาย

หรือให้การกระทำของตัวละครเป็นผู้บรรยายแทน

บทพูดของตัวละครเสริม หรือตัวประกอบจะช่วยดันการกระทำของตัวเอกให้เด่นขึ้น

เช่น การพูดแซว การพููดส่อเสียด การพูดชม การพูดกระแทก การพูดตำหนิ

ขอฝากไว้ในฐานะคนอ่านเพียงแค่นี้ค่ะ

เพราะจริง ๆ แล้วรายละเอียดในงานเขียนนั้นมีมากเกินกว่าจะบรรยายได้หมด

สำนวนภาษาของคุณดีนะคะ กรุณารักษาไว้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนต่อไปค่ะ

แค่ปรับจูนนิดหน่อยก็น่าจะไปต่อได้แล้วค่ะ

ฝากสำนวนไว้เป็นกำลังใจค่ะ จากเรื่อง "เมื่อวันฟ้าใสหัวใจกระซิบรัก"

“คนเราถ้ามัวแต่จมอยู่กับคำพูดของคนอื่น อาจจะทำให้ไม่มีกำลังใจทำงาน ประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีตไม่ใช่คมมีดที่จะเชือดเฉือนให้เราเสียเลือดเนื้อและน้ำตา แต่ใจเราเองต่างหากที่ทำร้ายตัวของเราเอง”

ปล. บทนี้ไม่มีบนเว็บเด็กดี แต่มีอยู่ใน ebook บน mebmarket.com

ขออภัยค่ะ ไม่ได้มาโปรโมทนิยาย แค่อยากให้รู้ที่มาที่ไปเท่านั้นเองค่ะ ขอผ่านไปด้วยดีนะคะ


0
Megan Ignacia 3 ต.ค. 59 เวลา 18:07 น. 16

ไม่แปลกหรอกค่ะ ตอนที่เราเขียน research เยอะๆ ช่วงนั้นนิยายของเราก็ออกมาในรูปแบบนั้นเลย พอมาอ่านทวนอีกทีก็ เฮ้ย!! ยังกับ reserch ลักษระการบรรยายมันกลายไปเป็นทางวิชาการมากกว่า เลยต้องแก้ใหม่หมดเลย 55

0
Houtoa 3 ต.ค. 59 เวลา 18:18 น. 17

แค่เราเสนอแต่อาจไม่ได้รับการสนองกลับอย่างที่เราคิดเอาไว้ เรื่องแบบนี้มันมีอยู่ให้เห็นบ่อยๆ ครับ ทำไมเราต้องไปสนใจกับเรื่องแค่นั้น ในเมื่อมันเป็นผลงานของเราเองที่เราคิดว่าดีที่สุดที่เราภูมิใจ ถึงมันอาจไม่โดนใจใครหลายคน แต่ย้อนมาดูที่เราซิครับว่าเราภูมิใจกับมันมากแค่ไหน ถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่คิดว่าตัวเองน่าจะรู้ดีกว่าใคร ถ้ามันยังไม่ใช่ก็ต้องหาต่อไปตราบใดที่เรายังทำได้. น้อยคนนะครับที่จะทำอย่างพวกเราได้ ถ้ายังทำอยู่ก็ขอให้ทำต่อไปจนกว่าจะเจอครับ

0
eineweile 3 ต.ค. 59 เวลา 18:43 น. 18

ละเอียดไปเหรอ...ลองอ่านที่เขียนดูว่าตัวเองชอบแบบนี้รึเปล่า ถ้าตรงไหนรู้สึกอยากแก้ ก็แก้ ตรงไหนที่โอเคก็ผ่านไป เราเช็คเองก็ได้นี่นา 

ผ่านเรา เราก็ตายตาหลับแล้ว ดีกว่าคนอื่นมาบอกว่าผ่านนะ

ถ้าคาใจ ก็จงสู้ต่อไป
ขอให้ฝันเป็นจริงนะคะ

ไม่ต้องสับสนน เพราะ
เพราะคนอ่านเองก็คงอยากเห็รคนเขียนเป็นตัวของตัวเองนะ 
ไม่ได้เข้าหมวดกระทู้เลย พอดีเห็นกระทู้นี้แชร์อบู่ ก็เลยอยากช่วย

คห. ส่วนด้ว ผิดพลาดขออภัย

 


0
สายลมและแสงแดด 3 ต.ค. 59 เวลา 18:46 น. 19

จขกท. เป็นคนพยายามหาความรู้ดีครับ พยายามศึกษาและฝึกฝน
มีขบวนการของการตั้งคำถามเพื่อหาความรู้ที่ถูกต้องก่อนที่จะลงมือทำ
ด้านเสียของลักษณะนี้คือไม่ได้เฉลียวใจว่าคำถามนั้นควรตั้งหรือเปล่า
และจะยืนยันแบบหัวชนฝาว่าคำถามนั้นถูกต้องแล้ว
ดังที่มีคนหลายคนพยายามบอกว่าเรื่องการบรรยายสั้นหรือยาวนั้นไม่สำคัญ
แต่จขกท.ก็มองว่าเป็นเรื่องสำคัญอยู่ดี
ไม่ใช่คำถามทุกคำถามที่ต้องการคำตอบ
ก่อนจะตั้งคำถามใดควรพิจารณาก่อนว่าคำถามนั้นควรถูกตั้งขึ้นมาหรือไม่
ในกรณีนี้ผมขอให้จขกท. ทบทวนให้ดีๆ ครับกับคำถามที่ว่า
"การบรรยายนั้นควรจะสั้นดีหรือยาวดี" นั้น
เป็นคำถามที่ควรตั้งขึ้นมาหรือเปล่า

2
masayume_F 3 ต.ค. 59 เวลา 19:06 น. 19-1

รู้สึกเหมือนกันค่ะว่า จขกท.ไม่ได้ต้องการคำแนะนำอะไร เพราะมีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่หัวกระทู้ก็บอกอยู่ว่าแค่บ่นนี่นะ

0
Zehn Stärke 3 ต.ค. 59 เวลา 19:55 น. 19-2

คือตอนถามครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นเพราะ จขกท. เลิกเขียนนิยายไปประมาณ 5-6 ปีครับ เขียนครั้งสุดท้ายในตอนนั้นคือตอนขึ้น ม.ปลาย หลังจากนั้นก็ไม่ได้เขียนอีกเลย

พอจบมหาลัยฯ กลับมาตั้งใจจะเขียนอีกครั้ง ก็ดันเป็นยุคที่มีนิยายแบบ Light Novel เกิดเป็นกระแสฮิตขึ้นมาแล้ว ซึ่งคำบรรยายมันแตกต่างไปจากนิยายที่ จขกท. เคยอ่านสมัยเด็กๆ อย่างสิ้นเชิง เลยไม่แน่ใจว่าระหว่างการบรรยายแบบไหนจะเป็นที่นิยมกว่ากัน

ผลที่ได้ก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ตอนนี้ จขกท. ควรจะโลเลมากกว่าควรคงแนวบรรยายเอาไว้แบบเดิม อย่างที่หลายๆ ความเห็นให้กำลังใจมา หรือว่าควรจะปรับแก้ให้มันสั้นไปเลย เพื่อตามกระแสนิยมของยุคดีกว่ากันนั่นเอง

0
Zehn Stärke 3 ต.ค. 59 เวลา 20:22 น. 20

เท่าที่ลอง Research ประกอบกับสอบถามเหล่า บก. ที่รู้จักกันก็พบว่า... นิยายยุคนี้ การบรรยายกำลังดีน่าจะตกที่ย่อหน้าละ 2-3 ประโยคเท่านั้น จะทำให้การบรรยายกระชับและดำเนินเนื้อเรื่องได้เร็ว

พอหันมาอ่านนิยายตัวเองแล้วนี่... ถึงกับกุมขมับเลย... ทำไมตูไม่ศึกษางานยุคปัจจุบันก่อนน้า...

2
Archetype 3 ต.ค. 59 เวลา 20:45 น. 20-1

อย่าเสียเซลฟ์เลยครับ
ผมอ่านแล้ว ไม่ได้ยาวเกินเหตุ
แต่เป็นเพราะเกิดคำถามว่ายาวเพื่ออะไร
กับ ละเอียดแล้วน่าสนใจหรือไม่ มากกว่า

ลองอ่านเพชรพระอุมาดูครับ แนะนำเลย
บรรยายละเอียดเอาเรื่อง เดินป่าเป็นเดือนๆแต่แทบไม่ time skip เลย
ถึงจะพรรณนายิบๆ กลับสนุกจนวางไม่ลง
แถมเขียนนานมากแล้วแต่ยังมีแฟนรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ

ลองศึกษาดูฮะ ว่าต่างจากนิยายตนเองยังไง
ผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์นะ
แต่ถ้าอ่านแล้ว ก็น่าเอากลับมาวิเคราะห์ดูอยู่ดี

0
masayume_F 3 ต.ค. 59 เวลา 20:52 น. 20-2

จขกท.ก็ยังกังวลเรื่องความยาวความสั้นอยู่เนี่ยแหละค่ะ(โปรดอย่าคิดลึก) คือประเด็นที่หลายความเห็นสื่ออย่างเช่นความเห็นข้างบน มันคือ เหตุผลที่ต้องบรรยายเยอะค่ะ เพราะอะไร คุณหาเหตุผลให้ตัวเองได้หรือยัง

อีกเรื่องที่เห็นย้ำมาตลอดก็เรื่องงานยุคเก่ายุคใหม่ ก็มีคนยกงานเก่าที่บรรยายอย่างที่ว่าแต่นักอ่านสมัยใหม่ก็ยังชอบอ่านมาเป็นตัวอย่างนี่คะ

ประเด็นมันคือ คนเราต้องมีเป้าหมายค่ะ เขียนนิยายก็เหมือนกัน บรรยายอย่างนี้ ยาวขนาดนี้ ต้องการอะไร จำเป็นไหม เหมาะสมพอดีหรือเปล่า ถ้าหาคำตอบให้ตัวเองได้และมั่นใจ ก็ไม่ต้องกังวลถึงยุคสมัยหรอกค่ะ

0