Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ซิ่วหมอแต่ไม่ติดเครียดมาก อยากพบจิตแพทย์แนะนำหน่อยครับ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับ ผมเป็นเด็ก 59 เข้าเรียนในคณะวิศวะ แต่ตัดสินใจลาออกมาเพื่อนอ่านหนังสือสอบแพทย์ครับ เพราะทางบ้านอยากให้เป็นหมอ ทางบ้านกดดันหนักมาก ครับ ผมมีพี่ 2 คน เรียนแพทย์กันทั้ง 2 คนเลยครับ ส่วนตัวผมสอบไม่ติดในปี 59 เลยเลือกเรียนวิศวะ แต่ทางบ้านดูเหมือนจะไม่โอเคซักเท่าไหร่ครับ พยายามบอกเรื่อยๆว่า ต้องเป็นหมอเท่านั้น แล้วผมรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลกกับพี่ชายผมไปเลยครับ ผมทำอะไรก็จะไม่ค่อยถูกใจทางบ้านซักเท่าไหร่ตั้งแต่ สอบไม่ติดแพทย์ปีที่แล้ว
ก่อนจะจบเทอม 1 ผมเลยเลือกที่จะลากออกมาอ่านหนังสือครับ แต่สุดท้ายก็ไม่ติด ทางบ้านก็เรียกมาคุยบอกจะเอายังไงกับชีวิต ตัดสินใจลาออกมาสุดท้ายก็สอบไม่ติด เพื่อนก็ขึ้นปี 2 กันแล้ว แล้วจะทำงานอะไร จะกลับไปเรียนไหวเหรอ จะเรียนคณะอะไร ตั้งแต่ลาออกมาผมเครียดมากครับไม่ได้คุยกับเพื่อนที่มหาลัยเลย ไม่ใช่โทรศัพท์ ไม่ได้ดูหนัง เลย แล้วช่วงหลังจากสอบเสร็จคะแนนออก ยิ่งเครียด จะชอบเหม่อบ่อยๆ เดินเอื่อยๆแบบไร้จุดหมายเลยครับ ผมควรไปพบจิตแพทย์ไหมครับ แล้วถ้าไปพบมันจะมีประวัติอะไรไหมครับ ต้องให้พ่อแม่ไปด้วยไหมครับ

แสดงความคิดเห็น

>

32 ความคิดเห็น

พุงแบก 30 มี.ค. 60 เวลา 13:28 น. 1

จากทีี่อ่านดูคิดว่าบ้านน้องมีปัญหานะ ไม่ใช่ตัวน้องเองหรอก ควรเลือกเรียนที่ตัวเองเรียนได้และสอบติด ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอเลย อนาคตของตัวเราต้องเลือกเอง กลับไปเรียนวิศวะใหม่น่าจะรุ่งกว่า อย่าไปสนใจเรื่องที่บ้านจะไม่โอก็ช่างเขา ไม่นานพ่อแม่น้องก็ตายหมด ถ้าน้องยังปักหลักไม่ได้จะลำบาก ย้ำ ไม่จำเป็นต้องไปยึดอะไรกับหมอ อย่างพี่เลือกได้พี่ยังไม่เลือกเลย เพราะใจเราไม่เอา ชีวิตเราต้องมีความสุข อย่าไปใส่ใจคนอื่นมาก น้องควรจะคุยกับที่บ้านว่าเลือกกำหนดชะตาชีวิตคนอื่นได้แล้ว

1
boynarong 31 มี.ค. 60 เวลา 13:08 น. 1-1

ผมไม่ทราบเลยครับ ว่าจริงๆตัวเองนั้นชอบอะไรจริงๆ เพราะเลือกตามที่บ้านบอกมาตลอดเลยครับ

0
for-fah 30 มี.ค. 60 เวลา 16:02 น. 2

ส่วนตัวคิดว่าปัญหาที่เกิดนี่น่าจะเกิดการคนทางบ้านรึเปล่าคะ

เราว่าตัวจขกท.เองนั้นไม่น่าจะอยากเรียนแพทย์จริงๆ

ที่ลาออกมาอ่านกนังสือสอบแพทย์นั้นส่วนหนึ่งมาจากพ่อแม่

นั้นกดดันรึเปล่าคะ ?

3
for-fah 1 เม.ย. 60 เวลา 11:53 น. 2-2

งั้นสู้ๆนะคะ เราคิดว่าถ้างั้น ลองสอบอีกครั้งปีหน้าดีหรือเปล่าคะ

ส่วนปีนี้เราว่าจขกท.เลือกเรียนพวกชีวะดีมั้ยค่ะ หรือคณะที่อยากเรียนจริงๆไปก่อน

แล้วก็อ่านหนังสืออยู่บ้านเรื่อยๆ เราว่าปีหน้าติดแน่ๆค่ะ

0
for-fah 1 เม.ย. 60 เวลา 11:55 น. 2-3

ถ้าจขกท.ไม่ได้อยากเรียนอันนี้ เราว่าอีกอย่างคือต้องไปคุยกับพ่อและแม่นะคะ

เราว่าท่านต้องเข้าใจแน่ๆ ถ้าหากว่าคุณมีเหตุผลหรือคำอธิบายดีๆให้ท่าน

อย่าใช้อารมณ์แก้ไขปัญหาเด็ดขาดนะคะ

0
ooying 30 มี.ค. 60 เวลา 19:02 น. 3

จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องไปพบจิตแพทย์ก็ได้นะ ปัญหามันอยู่ท่ีพ่อกับแม่ ฉะนั้นเราควรหาโอกาสคุยกับท่านแบบเปิดใจว่าผมขอโอกาสพ่อกับแม่ให้ผมได้อธิบาย ขอพ่อกับแม่เปิดใจฟังผมพูดก่อนเราก็พูดในสิ่งท่ีเราอยากเรียน ท่ีจริงแล้วท่านน่าจะเข้าใจนะให้เราเลือกเรียนสิ่งท่ีเราอยากเรียนเพราะมันคืออนาคตของเรา แล้วเราก็เป็นคนเรียน ขอให้หนูอดทนเข้มแข็งนะ วันนี้ท่านอาจจะผิดหวังเพราะท่านตั้งความหวังไว้มาก แต่ซักวันท่านก็จะทำใจเองแหละ ป้าก็เป็นแม่ท่ีมีลูกวัยเดียวกับหนูนะ ลูกของป้าก็ซิ่วหลายคนก็ซิ่วบางคน 2 ปี บางคน 3 ปีหรือมากกว่านั้น แต้ป้าเข้าใจลูกนะตามใจลูกเพราะเขาเป็นคนเรียนหรือไม่หนูก็ปรึกษาญาติผู้ใหญ่ท่ีท่านพอจะพูดกับพ่อแม่ของเราได้ให้ท่านช่วยพูดให้อย่าไปเครียดนะ ป้ขขอใหกำลังใจและขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี เราก็มีความรู้เรียนมาจนจบม.ุ6 แล้วน่าจะคิดแก้ปัญหาได้ แต่ต้องใช้ความอดทน สู้สู้นะ

1
boynarong 31 มี.ค. 60 เวลา 13:08 น. 3-1

ขอบพระคุณมากๆเลยครับคุณป้า แต่ผมเคยลองคุยกับท่านแล้วครับ โดนด่าหนักมากเลยครับ

0
STAFFMO 30 มี.ค. 60 เวลา 23:46 น. 4

พ่อแม่ของน้องท่านอยากให้น้องเรียนหมอ เพราะดูจากทางบ้านที่พี่ทั้ง 2 คนเรียนหมอแล้วน่าจะทำให้น้องที่เรียนตามมาทีหลังสามารถลงหลักปักฐานได้ง่าย

แต่เอาเข้าจริงๆพี่ว่าน้องควรได้ทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองรักมากกว่านะครับ อย่าไปคิดว่าเรียนอะไรแล้วจะมีงานทำ อะไรที่ชอบน้องเรียนไปเถอะครับ เรียนให้รู้ลึกรู้จริง แล้วเอามันไปสร้างงานสร้างเงินที่มีความสุขดีกว่า พี่เห็นมาเยอะแล้วที่มาเรียนตามที่บ้านอยากให้เรียน หลายคนเรียนไม่จบ บางส่วนที่จบรู้สึกว่าตัวเองอยู่กับงานที่ไม่มีความสุขทำไปก็เครียดไป เรื่องนี้เก็บเอาไปคิดนะครับว่าควรไหมที่จะต้องมาเรียนตามพ่อแม่อยากให้เรียน

ส่วนในตอนนี้น้องต้องพยายามคุยกับพ่อแม่ก่อนนะครับ ว่าอะไรคือสิ่งที่น้องต้องการจริงๆ หาเหตุและผลเข้าสู้ครับ อดทนเข้าไว้นะครับ สู้ๆพี่เอาใจช่วย :)

1
boynarong 31 มี.ค. 60 เวลา 13:10 น. 4-1

ผมก็คิดอย่างพี่ครับ ผมรู้ว่าท่านทั้ง 2 คงอยากให้เรามีอาชีพที่มั่นคง และดูแลตัวเองได้ ท่านคาดหวังในตัวเรา แต่เราทำให้เป้าหมายของท่านไม่สำเร็จ ผมเลยไม่รู้ว่าว่าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจไหมครับ

0
Anonymous 30 มี.ค. 60 เวลา 23:47 น. 5

ถ้าเกิดไม่สบายใจ การพบจิตแพทย์/นักจิตวิทยาก็อาจช่วยคลายเครียดและช่วยให้เราแจกแจงความคิดความเครียดต่างๆ ได้ค่ะ แต่ถ้าไม่กล้าไปเองหรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แนะนำสายด่วนสุขภาพจิต 1323 นะคะ พอดีเคยอ่านเจอหลายคนบอกว่าช่วยได้เยอะมากเลย แต่ส่วนตัวก็ยังไม่เคยลองโทรไปเหมือนกันค่ะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ

1
nesttytita 30 มี.ค. 60 เวลา 23:53 น. 6

เราก็เป็นเด็ก59เหมือนจขกทค่ะแต่อาจไม่เหมือนกันตรงที่เราอยากเป็นหมอ แล้วที่บ้านก็คาดหวังเรื่องติดหมอมาก ปีที่แล้วเราสอบหมอไม่ติดค่ะเลยดรอปเรียนปีนึงเพื่อจะซิ่วหมอปี60 พอมาปีนี้เราก็ยังไม่ติดหมออีกค่ะ ตอนเห็นคะแนนแล้วใจสลายมาก บอกที่บ้านว่าไม่ติดเขาก็เหมือนผิดหวังมากเหมือนกันค่ะ จนนี้ก็ไม่รู้จะเเอายังไงดี คงจะรอแอดลงคณะที่พอเรียนรอได้หน่อย ก็คิดว่าปีหน้าจะสอบอีกค่ะ จะสอบจนกว่าจะติดจนกว่าอายุจะเลยเกณฑ์ที่เขากำหนด ก็มีคิดเหมือนกันค่ะว่าเพื่อนอาจจะจบมีงานทำแล้วแต่ตัวเองต้องมาเริ่มต้นใหม่ แต่ว่ามันก็คือความฝันของเรานี่นา มีเครียดบ้างค่ะบางทีก็ร้องไห้ ไม่อยากเจอเพื่อนไม่อยากเจอผู้คน แต่เราอาจจะดีหน่อยคือครอบครัวเข้าใจ จริงๆจขกทไม่ต้องไม่พบหมอก็ได้นะคะ ความจริงมันอาจจะเริ่มจากตัวเราแล้วก็ครอบครัวค่ะสำคัญมากๆ ขอถามจขกทหน่อยได้มั้ยคะว่าที่อยากสอบหมอเป็นเพราะใคร แล้วคิดว่าเรียนไปจะมีความสุขหรือป่าว เพราะว่าจะเรียนจบกว่าจะต่อเฉพาะทางมันใช้เวลานานมาก ถ้าเราไม่ชอบมันจริงๆจะมีความสุขหรือป่าว เราอยากให้จขกทเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่า แต่ถ้าจขกทอยากเป็นหมอด้วย เราก็ขอให้จขกทสู้ๆนะคะ ส่วนเราก็จะสู้ต่อไปเหมือนค่ะ สู้ๆ

4
boynarong 31 มี.ค. 60 เวลา 13:12 น. 6-1

ขอบคุณมากๆครับ ผมก็ว่าจะลองเลือกคณะ ที่กิจกรรมไม่หนักมากเพื่อ อ่านหนังสืออีกปี เหมือนกันครับ ขอให้สมหวังติดหมอ ดั่งที่ใจต้องการจริงๆนะครับ ส่วนผมยังไม่รู้เลยว่าอยากเป็นหมอจริงๆไหม หรืออยากเป็นเพราะพ่อแม่อยากให้เป็น

0
Jackson1998 31 มี.ค. 60 เวลา 21:55 น. 6-2

ผมก็ 59 เช่นเดียวกันครับ ปีนี้ผมก็ไม่ติดเลยกะลองปีหน้าอีกปีนึงครับ มีอะไรปรึกษากันได้นะครับ เพื่อจะพอช่วยอะไรได้บ้าง ถ้ารุสึกเครียดผมว่าไปพักผ่อนเเบบไห้หายเครียดไม่ต้องคิดอะไรซักพักนึงอยากทำอะไรก้ทำ ละก็กลับมานั่งคิดละก้ลุยต่อครับถ้าจะเอา เป็นกำลังใจไห้นะครับ

0
nesttytita 7 เม.ย. 60 เวลา 20:50 น. 6-3

ปีหน้าสอบ ขอให้สอบหมอติดกันทุกคนนะคะ เราก็จะตั้งใจให้มากกว่าเดิมมากๆค่ะ มีอะะไรก็คุยกันได้นะคะ เด็ก59เหมือนกัน

0
Q.KMP 31 มี.ค. 60 เวลา 10:18 น. 7

รู้สึกว่ามีสายด่วนรับปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต เบอร์ 1323 เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้างถ้าไม่กล้าลองคุยกับคนที่ไว้ใจได้ลองคุยกับเขาดูนะคะ เวลาเรามีเรื่องเครียดๆเราจะคุยกับพี่สาวตลอดเลยคะการคุยอาจจะช่วยไม่ได้มากแต่ก็ทำให้สบายใจขึ้นได้นะคะ

2
boynarong 31 มี.ค. 60 เวลา 13:13 น. 7-1

ขอบคุณมากๆเลยครับ ส่วนตัวผมนั้นไม่ทราบว่าจะคุยกับใครเลยครับ เพราะ พี่ทั้ง 2 คนก็ มองผมเป็นอีกระดับเลยครับ เพราะว่าผมไม่ได้เรียนหมอ พี่ๆเค้าจะไม่ค่อยชอบคุยกับผม หรือไม่รู้ว่าเพราะผมคิดไปเองหรือเปล่าครับ

0
for-fah 1 เม.ย. 60 เวลา 11:57 น. 7-2

เราคิดว่าเรียนหมอน่าจะเรียนหนักหรือเปล่าคะ พี่เราสองคนก็เรียนหมอคนนึง สัตวแพทย์คนนึง ส่วนตัวคือสองคนนี้จะเรียนหนักมาก ที่เขาคุยกันสองคนเพราะเรียนสายเดียวกันรึเปล่า เลยคุยกันง่ายและเข้าใจกันมากกว่า แล้วก็คงเพราะเรียนสายเดียวกันเวลาปรึกษาเรื่องเรียนเลยต้องคุยกันสองคนอ่ะคะ

0
คนเป็นพ่อ 31 มี.ค. 60 เวลา 16:24 น. 8

เอาที่เราสบายใจครับ ... ไปหาจิตแพทย์ก็ดีนะ ไปนั่งคุย ได้รับมุมมองในด้านอื่น ๆ พวกนี้เค้าจะมีวิธีการคิดการพูดให้กำลังใจคนไข้ คนไปหาจิตแพทย์นี่ไม่ใช่คนบ้านะครับ แต่มันมืดมน หาทางออกไม่เจอเท่านั้นเอง ผมเองก็มีลูกปีเดียวกับคุณและกำลังเรียนวิศวะอยู่ ตอนแรกก็คาดหวังว่าจะให้เค้าเรียนหมอเหมือนกัน เคยเรียกมาจับเข่าคุยกันหลายครั้ง แต่เค้าตัดสินใจอย่างมั่นคงแน่วแน่ว่าจะเรียนในสิ่งที่เค้าชอบ จนผมต้องยอมแพ้ ทุกวันนี้ก็ดูเค้ามีความสุขดี เห็นเค้าเล่าว่ามีรุ่นพี่เรียนหมอ แต่ซิ่วมาเรียนวิศวะด้วย อย่างเทพ เรียนเก่งมาก ไม่ใช่เรียนเก่งสิ ต้องบอกโครตเก่งสมที่ซิ่วจากหมอจริง ๆ


ถ้าให้แนะนำลองคุยกับที่บ้านครับ และยืนยันสิ่งที่เราชอบอย่างชัดเจนครับ แรก ๆ อาจจะมีปัญหาบ้าง ต้องใช้เวลาซักนิด แล้วมันจะผ่านไปด้วยดีครับ ...


ขอให้โชคดี

0
ร้ายๆ 31 มี.ค. 60 เวลา 16:27 น. 9

ทำไมพวกผู้ใหญ่คิดได้เเค่นี้ว่ะ ให้ลูกเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากให้เป็นตีกรอบไว้ให้เดิน เกิดมาเพื่อสาานฝันของพ่อแม่งั้นเหรอประเทศไทย -.- #สู้ๆนะครับจขกท ถ้ามีโอกาศไปหาหมอได้ก็ไปเลยนะครับมันไม่ผิดหรอกคนฝรั้งทำกันเยอะแยะ สู้ๆครับ

0
Benben 31 มี.ค. 60 เวลา 16:31 น. 10

งืมๆน้องเป็นเด็ก60นะ แบบว่าไม่ติดหมอเหมือนกัน กะสอบใหม่เหมือนกัน สู้ๆนะพี่️ ตอนนี้ก็ไม่รู้อยากเป็นอะไรที่แท้จริง แต่อ่านหนังสือแนวจิตวิทยากะปรึกษาคนรอบข้าง มันช่วยได้นะ ช่วยทั้งเติมกำลังใจ ช่วยให้มีความคิดใหม่ๆ และก็น้องเคยอ่านเจอ เขาบอกว่า

1."ถ้าไม่รู้จะเป็นให้ลองเขียนข้อดีข้อเสียของอาชีพที่สนใจแล้วชั่งน้ำหนักดูว่าข้อดีกะข้อเสียอ่ะอันไหนเยอะกว่ากัน"

2."ถ้ายังเลือกไม่ได้ ให้คิดดูว่าถ้าไม่ได้เป็น ไม่ได้ทำ ในชีวิตนี้อันไหนคิดว่าเสียดายที่สุด ก็เลือกอันนั้นแหละ แล้วลุย!!!เลย"

...บางทีพ่อแม่อ่ะก็ทั้งห่วงนู่นนี่นั่นอ่ะเนอะ บางทีอาจจะด้วยความห่วงความกังวลกะเราไปหน่อย บางทีก็แสดงออกผิดไปนิดนึงเนอะ ต้องเข้าจายยยย ถ้าไม่ไหวก็นั่งสมาธิ "สติมาปัญญาเกิดนะก๊าบ" สู้ๆ

0
EKG heartBeat 31 มี.ค. 60 เวลา 17:01 น. 11

เราเป็นเด็ก 59 ที่ซิ่วสอบหมอเหมือนจขกทนะ ตอนสอบหมอปี 59 เราก็ทำตัวชิวๆ อยากเป็นหมอตามเพื่อน ตามที่พ่อแม่หวังไว้ แต่ใจจริงๆ เราก็ไม่รู้ว่่าเราอยากเป็นอะไรจริงเหมือนช่วงตามหาความฝัน ความชอบตัวเองอะ พอตอนเราใกล้จะสอบ เราถึงรู้ว่าเราคงสอบไม่ติดแน่ๆเพราะเราเก็บวิชาสังคม ภาษาไทยไม่ทัน วิชาอื่นๆก็ร่อแร่ คิดไม่ค่อยออก แต่ตอนนั้นก็หลอกตัวเอง ว่าคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น สุดท้ายผลออกมาตามคาด เราไม่ติดหมอซักที่ คะแนนแอดมิดชั่นยื่นวิศวะ นิติ จุฬาก็ไม่ถึง ตอนนั้นเหมือนคนอกหักแล้วโดนทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลย ท้อมากๆ ที่บ้านเรา เรารับรู้ได้เลยว่าผิดหวังมากๆ ถึงจะไม่พยามยามพูดถึงเรื่องนี้แต่เราก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดัน มีบ้างที่เผลอพูดเปรียบเทียบ คนในหมู่บ้านที่รู้ข่าวก็มักพูดเสียดสีดูถูก เพราะเราตอนม.ต้นเรียนเก่งมากและสอบติดโรงเรียนม.ปลายที่มีชื่อเสียง แต่อย่างว่าแหละนะเราก็ยังไม่ยอมแพ้เพราะรู้ดีว่ายังพยายามไม่พอและขอแก้ตัวอีกรอบ โดยตัดสินใจซิ่วอยู่บ้าน เราลงเรียนพิเศษใหม่ทุกวิชา เพราะเราคิดว่าถ้าเราอ่าน นส. เองก็อาจไม่ตรงจุดเสียเวลา ดูข้อผิดพลาดของตัวเองก็เร่งแก้ไขให้หมด เราจะอ่านเน้นหัวข้อที่ออกสอบเยอะๆ ไม่เน้นปริมาณแต่เน้นคุณภาพ ทำโจทย์เกือบทุกวันโดยเฉพาะคณิต เพราะเป็นวิชาที่ต้องฝึกฝนเป็นประจำถึงจะเห็นผล เลียนแบบวิธีคนที่ทำสำเร็จมาก่อนจนกว่าเจอวิธีที่เข้ากับตัวเอง ในเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมามีบ้างช่วง3-4เดือนแรกๆที่รู้สึกเหงา เศร้า คิดถึงเพื่อนๆ ท้อ จนไม่เป็นอันทำอะไรเลย หยุดอ่านหยุดเรียนไปเกือบอาทิตย์เหมือนอาการซึมเศร้า แต่ก็อย่างว่าเนอะท้อได้แต่อย่าถอย คิดเสมอว่า ใครจะมาดูถูกเราก็ได้ แต่เราอย่าดูถูกตัวเอง จนตอนนี้ผลที่ได้ก็คือ คะแนนจากปี 59: 58+ --->ปี 60: 75+ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ได้ขนาดนี้คือ เราค้นพบว่าอยากเป็นหมอจริงๆ เราเองก็อยากให้ จขกท ค้นพบว่าตัวเองอยากเป็นอะไรนะ ถ้าจขกทถนัดฟิสิกส์กับคณิตหรือไม่ชอบจำอะไรเยอะๆ ชอบการใช้ความเข้าใจมากกว่า เราคิดว่าการเรียนหมออาจเป็นเรื่องยากนะ เพราะการเรียนหมอต้องใช้ทักษะการจดจำมากกว่าความเข้าใจ 2 ปีที่ผ่านมาเราอยากให้ จขกท คิดว่าเป็นปีที่ค้นหาว่าตัวเองอยากเป็นอะไรนะ อย่าคิดไปว่าเป็นปีที่เสียเวลาไปเลย เพราะต่อจากนี้เราต้องใช้ความรู้ที่เรียนมาจากคณะที่สอบติดเลี้ยงชีพไปทั้งชีวิต จะช้าหรือจะเร็วมันไม่สำคัญ แต่สำคัญตรงที่เราได้อะไรจากเวลาที่เราพยามอย่างหนักมากกว่านะ การรู้ตัวเองว่าอ่อนตรงไหน มีประสบการณ์ในการเข้าสอบจริงๆ เอาจุดเหล่านี้มาเป็นข้อได้เปรียบรุ่นน้องนะ สู้ๆนะ จขกท อย่าเครียดมากและอย่าชิวจนเกินไป หาแรงบันดาลใจใหม่ๆจากหนัง ซีรีย์ก็ดีนะ สำหรับเราแนะนำซิ่วอยู่บ้านดีสุด เอาเงินที่จขกทจะลงเรียนในเทอมใหม่มาลงเรียนพิเศษจะดีกว่านะ เช่น ออนดีมานด์ก็ได้นะ คอร์สราคาไม่แพง คุณภาพดี เราลงเรียนทั้ง 4วิชาที่นี่แหละ ออกตรง ตั้งใจ หมั่นทำโจทย์บ่อยๆก็โอแล้วแหละ เพราะปัญหาที่จขกทเป็นอาจจะเป็นการอ่านไม่ตรงจุดข้อสอบ แนวข้อสอบหลายข้อมีเทคนิคในการทำที่หาอ่านจากในหนังสือไม่ได้ การเรียนพิเศษช่วยได้มากจริงๆนะไม่ได้โฆษณา เป็นกำลังใจให้นะจขกท ถ้ารู้ว่าอยากเป็นอย่างอื่นมากกว่าเป็นหมอ พิสูจน์ตัวเองโดยการติดคณะนั้น ม.ดังๆ เอาหลักฐาน รุ่นพี่ หรือคนที่ทำงานสายนั้นมาช่วยคุยกับพ่อแม่ว่ามีดีอย่างนู้น อย่างนี้ เพื่อนเราก็เปลี่ยนสายได้ก็วิธีนี้สู้ๆจ้า

0
Cvew 31 มี.ค. 60 เวลา 17:47 น. 12

น้องคะ พี่ไม่รู้แนะนำทันไหม พี่เองอยากเรียนหมอมาก เพราะพี่เป็นพยาบาลทำงานมาก็หนัก เห็นความต่ำสุดและสูงสุดของคนที่ร่วมวิชาชีพมาด้วยกัน(เหมือนคนในวงการ)แน่นอนว่าพี่ไม่ได้เรียนเพราะคนอื่นแต่เพราะตัวพี่เอง พี่ชอบสายนี้จริงๆจึงยอมลาออกเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ พี่ชายของพี่ก็เป็นหมอ เขาไม่ได้แนะนำให้พี่มาเรียนด้วยซ้ำเพราะมันหนักหากไม่รักจริงจะทรมานทั้งชีวิต(ซึ่งพี่ก็รู้อยู่แล้วแต่เพราะรู้ตัวเองว่าชอบ) พูดง่ายๆว่ารักจริงๆถึงยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาเริ่มใหม่ และพี่ก็มั่นใจว่าพี่ต้องติดแน่ แต่สาระสำคัญไม่ใช่สิ่งที่พี่เล่าว่าพี่จะติดหมอ.....แต่....น้องเห็นอะไรไหม...ระหว่างคนที่มีแรงผลักดันในตัวเองกับคนที่มีแรงผลักดันเพราะคนอื่น น้องคิดว่าอันไหนมันพาให้เราไปถึงเป้าหมายได้มากที่สุด เป้าหมายอันนั้นสำหรับน้องอาจไม่ใช่หมอก็ได้นะแต่เป็นสิ่งที่น้องรักต่างหาก



ส่วนเรื่องการเข้าปรึกษากับจิตแพทย์ พี่อยากให้น้องรู้ว่า เขาไม่ให้น้องเป็นผู้ป่วยจิตเวชของเขาได้ง่ายๆหรอกนะ คนที่มีความวิตกกังวลแบบพี่ตอนที่ลาออกมาใหม่ๆเหมือนเสียทุกอย่างไปก็ต้องหาเวลาไปพบจิตแพทย์เหมือนกัน คนไทยมีความคิดเกี่ยวกับการเข้าพบจิตแพทย์แตกต่างจากต่างประเทศตรงที่ใครไปพบจิตแพทย์ต้องเป็นบ้า พี่ขอบอกไว้เลยในส่วนของความจริงที่พี่เคยไปฝึกงานที่โรงพยาบาลจิตเวชว่า ไม่ใช่นะ หากเรามีความวิตกกังวลสูง น้องควรไปพบ แน่นอนว่าเราไม่สามารถควบคุมความคิดเราได้ถึงแม้ในใจจะอยากให้จิตใจกลับมาปกติดีเพียงใด หากน้องลองทุกวิธีแล้วรู้ตัวเอง(แน่นอนว่าน้องรู้ตัวเอง)ว่าไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เขาจะหาทางออกให้กับน้อง ทางออกนั้นเขาไม่ได้บอกกับน้องนะว่าควรทำยังไง แต่เขาจะดึงเราให้หาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเอง เขาจะรักษาใจของน้องและสร้างกำลังใจที่ดีที่สุดที่มาจากตัวเองนะ


พี่เป็นแค่คนแนะนำคนหนึ่งหากไม่มีทางไหนแล้วลองคิดถึงสิ่งที่พี่พิมพ์ไว้นะ รักและเชื่อมั่นในตัวเองนะ

0
Beloved Scholar 31 มี.ค. 60 เวลา 18:15 น. 13

1323 กรมสุขภาพจิต​ ลอง​โทร​ปรึกษา​นะ จขกท.คิดถูกแล้วที่นึกถึงเรื่องจิตแพทย์​เพราะผู้ที่เรียนด้านจิตเวช เขาคือผู้ที่ศึกษาด้านจิตใจของคน เขาจะเข้าใจความรู้คนหลายประเภท หลายสถานการณ์มากกว่าคนทั่วไป แต่ต้องอดทนหน่อยนะ คนเยอะบางทีสายอาจจะไม่ว่าง จริงๆเบอร์รพ.จิตเวชที่อื่นก็มีแต่เราจำไม่ได้ ลองเสิร์ชในกูเกิ้ลดู ไม่ก็ไปที่ facebook ของกรมสุขภาพจิต ส่งข้อความหาเขาก็ได้ เดี๋ยว​จะมีนักจิตวิทยามาตอบให้

1

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

ปัณฑารีย์ 31 มี.ค. 60 เวลา 19:05 น. 14

ไปพบก็ดีคะ จิตแพทย์ให้คำแนะนำได้ดีนะคะ ไปไม่ได้แปลว่ามีปัญหาสุขภาพจิต แต่กำลังเครียดซึ่งส่งผลให้มีสุขภาพจิตต่อไปในอนาคต จริงๆไปปรึกษาไประบายให้รู้สึกมีคนรับฟังหรือเข้าใจก็ได้นะคะ เราว่าถ้าคุยกับหมอบางทีพ่อแม่น่าจะฟังบ้าง ให้หมอเป็นคนบอกว่าการกดดันขีดจำกัดของคนไม่เท่ากัน ในอนาคตคุณต้องคิดเองทำอะไรเองอีกตั้งหลายอย่างปัญหามันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ทำในสิ่งที่ชอบดีกว่าคะ พี่เราเป็นหมอเขาบอกให้ไปหาเลยเค้าอยากช่วยเราอยู่แล้ว ปัญหาแบบนี้เด็กเป็นกันเยอะ แต่ไม่ค่อยกล้ามา พ่อแม่เราก็เคยกดดันเรานะ แต่เราก็บอกว่า ลูกคนอื่นเค้าเป็นหมอ ลูกแม่คนนี้ ทำได้แค่นี้ไม่รู้ว่ามันพอสำหรับแม่รึเปล่าลูกทำเต็ม ที่แต่ตอนนี้ลูกเหนื่อยเหลือเกิน อยากได้กำลังใจ ลูกไม่ติดหมอก็เครียดนะแต่ยิ่งต้องแบกรับความรู้สึกของพ่อกับแม่แล้วลูกรู้สึกไม่ไหว ถ้าลูกไม่ติดหมอแล้วเรียนอย่างอื่นได้ไหม หรือจะให้ลูกสอบไปพร้อมสุขภาพจิตที่ย่ำแย่แบบคนไม่เหลืออะไรเลย ลูกเชื่อในการตัดสินใจของพ่อกับแม่ว่าการตัดสินใจนั้นไม่ว่าแม่จะเลือกตัดสินใจสิ่งที่ดีที่สุดหรือเลือกความรู้สึกลูกก็ตาม ลูกจะยอมรับมัน สุดท้ายเราเลือกที่จะทำตามที่พูดแต่ช่วงนั้นเราก็ไปพบจิตแพทย์นะเล่าให้เขาฟังว่าเครียดแค่ไหน แล้วให้หมอลองกล่อมพ่อกับแม่ดู ให้เค้าเอาไปประกอบการตัดสินใจ ผลสุดท้ายพ่อกับแม่เราบอกเอาที่ลูกมีความสุข เราว่าพ่อแม่เค้าคงอยากให้เราได้ดี แต่การเป็นหมอ ไม่ใช่ทางที่ดีที่สุดของคนทุกคนหรอก เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะ สู้ๆ

0
Kananub 31 มี.ค. 60 เวลา 19:21 น. 15

ชีวิตเป็นของเรา พ่อแม่ ท่านอยู่กับเราไม่ได้ตลอดหรอกนะครับ แต่สิ่งที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตก้คือวิชาความรู้ที่เราได้รับ คุณจะอยู่กับสิ่งที่พ่อแม่บังคับให้เป็นไปตลอดชีวิต(ซึ่งคุณเองก็ยังไม่แน่ใจด้วยว่าคุณชอบสิ่งนั้นรึปล่าว) หรือคุณจะอยู่กับสิ่งที่คุณชอบและเลือกด้วยตัวเองไปตลอดชีวิต คุณต้องเลือกแล้วหล่ะครับ :)

0
ให้กำลังใจคุณหมอ 31 มี.ค. 60 เวลา 20:08 น. 16

ผมเป็นdek60นะครับ ครอบครัวพี่มีทัศนคติแบบบ้านผมเลยครับ อยากให้เป็นหมอเพราะมีพี่ติดหมอคือเคยอยากเป็นเด็กอักษรครับตอนม.4 คนละขั้วกันเลย555 แม่ก็ขึ้นเลยทำไมถึงอยากเป็น จบมาแล้วทำไรกิน บลา~~ เราก็ให้เหตุผลไป ก็ว่าเราเถียง จ๊ะ!

เราก็ต้องล้มprojectมันไป แล้วก็พยายามอ่านหนังสือแม้ว่าความรู้สึกตัวเองแม่งโคตรฝืนตัวเองเลย แล้วรู้ว่าตัวเองไม่ได้แบบกินแปปทีนแล้วได้เป็นหมอ ความพยายามเท่านั้นที่จะทำให้คนไปถึงจุดหมาย ผมสอบหมอมาหลายสนามไม่ติดเลย แต่มาติดทันตะ ผมว่าคนที่เป็นหมอมันต้องอึดทึกควายมากก ผมว่าพี่มาไกลแล้วลองสู้อีกซักนิดหนึ่ง อีกนิดเดียวพี่ คิดว่าทำเพื่อพ่อแม่

ทำให้ท่านภูมิใจ

ปล.อย่าไปจบปลักกับอดีตนะครับ เพราะอดีตมันคอยทำร้ายปัจจุบัน ลืมๆไปบ้าง สู้ๆนะครับ


0
yokeng55 31 มี.ค. 60 เวลา 20:22 น. 17

แนะนำให้ลองอ่านหนังสือแนวจิตวิทยาดูก็ช่วยได้ค่ะ ลองไปหาดูแนวๆความสุขมีเยอะอยู่ ไม่ก็ลองให้พ่อแม่อ่านหนังสือธรรมมะ หรือเราจะอ่านเองก็ได้นะคะ เผื่อมันช่วยให้สบายใจขึ้นเบาใจขึ้น ถ้ามันเครียดมากลองปล่อยมันดีไหมคะ พอหายเครียดค่อยหาทางแก้ค่อยๆคุยกับพ่อแม่ว่าเราทำเต็มที่แล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราว่าพ่อแม่ทุกคนเข้าใจ ถ้าเราอธิบายด้วยเหตุผล แต่เราต้องตั้งใจจริงๆนะคะรอบนี้ ทางเลือกเราเป็นคนเลือกเองค่ะ พ่อแม่แค่ส่งเสริม เป็นตัวช่วย แต่คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวคุณเอง สู้ๆค่ะขอให้หาทางแก้ได้

0
คนที่รักลูก 31 มี.ค. 60 เวลา 20:29 น. 18

ไม่อยากพูดอะไรที่แรงๆเลยนะ ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็ถามไปเลยว่าสมมุติว่าหนูป่วยหนักกำลังจะตายพ่อกับแม่จะยังบังคับหนูเรียนแพทย์อยุ่ไหม จะรักษาชีวิตลูกไว้ หรือจะบังคับให้ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดสำหรับลูก ถ้าลูกทำแล้วไม่มีความสุขหรือว่ามันเกินกำลังลูก มันจะเป็นการทำร้ายลูกหรือเปล่า ก็รู้ว่าหวังดี ใครๆก็หวังดีกับลูกทั้งนั้นแหละ งั้นคนที่หวังดีกับลูกไม่ต้องบังคับให้ลูกเรียนแพทย์ทั้งหมดเลยเหรอ แล้วอาชีพอื่นๆใครจะเป็นคนทำ กลับไปถามพ่อแม่ตามที่น้าบอกเลยนะ สงสารหนูจริงๆเลยลูก

0
ผู้หวังดี 31 มี.ค. 60 เวลา 20:56 น. 19

เราเป็นคนนึงนะที่อยากเป็นหมอ แต่ไม่เห็นด้วยกับทางบ้านของจขกทนะ มันคือชีวิตของเรา เราจะเป็นอะไรหรือทำอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการอยากจะทำ ในเมื่อพี่ของจขกทเป็นหมอแล้ว จะมาบังคับอะไรอีก จขกทจะเป็นคนที่ไม่สามารถคิดอะไรได้ด้วยตัวเองเลย มันลำบากนะคะในสังคมที่ต้องพึ่งตัวเอง แนะนำลองไปหาจิตแพทย์เผื่อให้ช่วยกล่่อมเกลาพ่อแม่ด้วยก็ดีนะคะ

0
kspace 1 เม.ย. 60 เวลา 09:16 น. 20

ลองไปฟังจิตวิทยาในยูทูปก่อนไหมคะอย่างของคุณขุนเขา ลองหาว่า"ขุนเขามีคำตอบ"อาจได้แนวคิดดีๆมาแก้ปัญหา สู้ๆนะคะโลกมีอีกหลายอย่างให้คุณค้นหาค่อยๆคิดนะ ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้คุณจะภูมิใจในตัวเองขึ้นมากเลยชีวิตมันมีทางออกเสมอแหละ เราเป็นกำลังใจให้

0