Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ระบาย คิดว่าตัวเองเป็นโรคจิต (เตือนว่ารุนแรงค่ะ)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
คำเตือน
บทความนี้เราเลือกที่จะเขียนระบายมันออกมาค่ะ เพราะเราไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ สาเหตุที่เราเลือกที่จะเขียนลงในโลกอินเทอร์เน็ต เพราะเราคิดว่ามันปลอดภัย และเชื่อใจได้มากกว่า เพราะคนอื่นไม่รู้ว่าเราเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหน มันทำให้เราสามารถเขียนออกมาได้ อีกสาเหตุที่เราไม่เขียนเรื่องนี้ลงสมุดบันทึกเก็บไว้อ่านคนเดียวก็เป็นเพราะ มันเหมือนกับการที่สุดท้ายเราก็คุยกับตัวเองอยู่ดี ไม่ได้ระบายมันออกมาจริงๆ เพราะเรื่องมันก็วนอยู่แค่ในหัว แล้วก็เสี่ยงกับการถูกจับได้ ถ้าเขียนลงกระดาษสุดท้ายเราคงเอาบันทึกนั้นไปเผาอยู่ดี การเขียนลงอินเทอร์เน็ต มันเหมือนกับเราได้ระบาย แบ่งปันความรุ้สึกให้คนอื่นได้รับรู้ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่นั้นก็น่าจะดีกับเรามากกว่า เพราะถ้ามานั่งคุยกับเราตัวต่อตัว หรือคุยทางโทรศัพท์ สุดท้ายเราก็คงเลือกที่จะ "ไม่พูด" อยู่ดี การเขียนบทความนี้ มันท้าทายความสามารถเรามาก และเราต้องสู้กับตัวเอง เพราะหลายครั้งเราอยากหยุดเขียน และไปแอบอยู่หลังกำแพงที่เราสร้างขึ้น
เราเลือกที่จะปกปิดตัวตน เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะเปิดเผย ส่วนลึกในจิตใจที่เราเป็นอยู่ ถ้าใครเลือกที่จะไม่เชื่อ เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะเป้าหมายในการเขียนครั้งนี้ มันคือการระบายออกมา ไม่ใช่การทำให้ใครเชื่อ สุดท้ายนี้อย่าตามหาเราเลยว่าเป็นใคร 

เกริ่นนำ
ขออธิบายลักษณะนิสัยตัวเองก่อนนะคะ 
ตัวเราเป็นคนค่อนข้างแปลกค่ะ ย้ำว่าแปลกค่ะ ไม่ค่อยมีเพื่อนด้วย เป็นคนคุยกับคนอื่นไม่เก่ง ประมาณว่าเราไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไง ถ้าพูดแบบนี้ไป เขาจะชอบไหม? ถ้าพูดแบบนี้ไปมีผลเสียรึป่าว? เราจะคิดถึงผลในอนาคตตลอดค่ะ บางทีเพื่อตัดปัญหาเราก็เลือกที่จะเงียบไปเลยคนอื่นคงคิดว่าเราหยิ่งอะค่ะ เพราะหน้าตาเราไม่แสดงอารมณ์สักเท่าไหร่ 
แต่เวลาอยู่กับเพื่อนนี้เหมือนเราเป็นคนละคนค่ะ หัวเราะ แจ่มใสดี ออกจะบ้าๆบวมๆ พูดไม่รู้เรื่อง 5555 แต่บอกตามตรงเราเป็นคนที่ไม่ค่อยไว้ใจใคร ทุกอย่างเราต้องเช็ก ต้องทำด้วยตัวเองค่ะ แล้วเรายังกลัวการเริ่มความสัมพันธ์กับคนรอบข้างค่ะ ครั่งหนึ่งเคยมีคนมาจีบ ตัวเราก็ชอบเขาเหมือนกัน แต่เราไม่ค่อยคุยกับเขา ซึ่งสาเหตุน่าจะมาอาการ "พูดไม่จบ" ของเราค่ะ คนๆนั้นก็คงจะทนนิสัยเฉยชาเราไม่ไหวมั่งค่ะ มันเริ่มทำให้เราสงสัยตัวเองว่าเราเป็นพวกหลายบุคลิกรึป่าว เพราะบางครั้ง พฤติกรรมเราจะแปลกไป เดี่ยวเราจะเราให้ฟังช่วงท้ายค่ะ ก่อนอื่นเราขอ list นิสัยแปลกๆของเราก่อนนะคะ

พูดไม่จบ
อาการพูดไม่จบของเรา คือ เราจะเป็นพวกพูดอะไรบางอย่างอยู่ แล้วหยุดพูดไปเลยค่ะ สมมุติว่า เพื่อนกำลังคุยเรื่อง ร้านอาหารอร่อยๆกัน แล้วเราพูดแทรกขึ้นมาว่า 
"เออ เมื่อวานไป" แล้วเราก็ไม่พูดต่อค่ะ เหมือนอยู่ๆ เราก็หมดอารมณ์จะพูดต่อค่ะ เราคิดว่า พูดไป คงไม่มีคนสนใจฟังหรอก ขี้เกียจอธิบายด้วย ประมาณนี้ค่ะ แต่เพื่อนในกลุ่มเรา  เขาไม่ค่อยรู้หรอกค่ะ  เพราะเพื่อนเราส่วนใหญ่เป็นคนพูดเก่งกัน พอเราหยุดพูดไป เพื่อนก็พูดต่อน้ำไหลไฟดับค่ะเขาก็ไม่สังเกตว่าเราหยุดพูดไปตอนไหน 5555

หวาดระแวงและOCD
เราเป็นคนที่ไม่ใว้ใจใครค่ะ เวลาทำงานอะไร เราต้องตรวจต้องเช็กทุกครั้ง บางครั้งถึงแม้ว่าเราจะเช็กแล้ว เราก็ยังเช็กย้ำๆๆๆ อยู่อย่างงั้น เหมือนเป็นโรค OCD ย้ำคิดย้ำทำ
เช่น ต้องเช็คกระเป๋าเงินทุก 5 นาที เช็กเอกสารต่างๆด้วยตัวเอง แล้วยังมีเหตุการณ์หนึ่ง คือ  ทุกวันเวลาออกไปเรียนเราต้องตรวจดูเตารีดทุกครั้งว่าถอดปลั๊กหรือยัง อย่างน้อย  'สามรอบ' ใช่ค่ะ สามรอบ แบบพอขี่รถถึงหน้าปากซอย ก็ต้องวนรถขับกลับมามาตรวจดูอีก ทั้งๆทีก่อนหน้านี้เราก็พึ่งตรวจดูไป อาการนี้ทำให้เราทั้งเหนื่อย ทั้งหงุดหงิดทรมารมากค่ะ มันทำให้เราไปเรียนสายด้วย แต่เราหยุดไม่ได้ ถ้าเราไม่กลับไปตรวจอีก เราจะเกิดอาการเครียดค่ะ แบบปวดหัว เป็นกังวน หวาดระแวงตลอดเวลา 

Hikikomori
อย่างที่บอกไปค่ะ ว่าเราเป็นพวกเก็บตัว แต่คำว่า "เก็บตัว" ยังถือว่าน้อยไปค่ะ ต้องเรียกว่า "กลัวโลกภายนอก" ซะมากกว่า ตอนนี้เราไม่ได้ออกจากบ้านมา 2 เดือนละค่ะ ไม่ไปไหนเลย ทั้งไม่ไปเที่ยวกับเพื่อน หรือแม้แต่คุยกับเพื่อนบ้าน เราจะอาศัยอยู่แค่บริเวณบ้านค่ะ 
อีกอย่าง คือ เรากลัวการออกไปในที่คนเยอะๆ เวลาไปเดินห้างเมื่อไร เราก็รู้สึกไม่ปลอดภัย ปวดตัว อยากจะอ้วกค่ะ ตอนเดินผ่านคนอื่นๆ เราก็จะไม่สบตาเด็ดขาด บางครั้งหน้าของคนที่เรามองเราก็จะใช้วิธีทำให้มันเลือนๆหายไปเองค่ะ พอเข้าใจไหมอะค่ะ แบบเหมือนเราสั่งให้ตัวเองลบรายละเอียดเครื่องหน้าของคนที่เราเดินผ่านออกไปอะค่ะ ฟังดูน่ากลัวเนอะ 5555 การทำแบบนี้ มีข้อเสียคะ เพราะเราเคยเดินผ่านเพื่อนสนิทคนหนีง ไม่สิต้องเรียกว่าเดินข้างๆกันเลยตั้งหาก แบบห่างกันไม่ถึงเมตร  แต่เราไม่สังเกตเห็นเพื่อนคนนั้นคะ เพราะตอนนั้นเรากำลังอยู่ในโหมดเลือนใบหน้าคนรอบๆข้างอยู่ ทำให้เพื่อนคนนี้ของเราเสียใจค่ะ  คิดว่าเราไม่อยากคุยด้วย เราเลยรู้สึกแย่มากค่ะ เพราะใจจริงเราแค่กำลังกลัวอยู่แค่นั้นเอง 

ที่นี้เราจะเล่าว่าเราเริ่มสังเกตอาการกลัวโลกภายนอกของเราเมื่อไร ที่ผ่านมา เราคิดมาตลอดว่าอาการที่เราเป็นอยู่ คือ การเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงแค่นั้น ใครๆก็เป็นกัน ไม่เห็นจะแปลก?  แต่มีวันหนึ่ง ช่วงปิดเทอม แม่เราต้องไปทำงานที่ฮ่องกงค่ะ แกเลยฝากบ้านให้เราดุแล เพราะเราอยู่กับแม่แค่สองคน แล้วก่อนไป แม่บอกให้เราเอาค่าไฟไปจ่ายที่ 7/11 ซึ่งมันก็อยู่ใกล้บ้านเรามากกกกกกกกกกกกกกกกกกก เดินไปแค่สองนาทีก็ถึง แล้วแม่แกก็ไปสนามบินค่ะ วันนั้นทั้งวัน เราพยายามหลีกเลี่ยงยื้ดช่วงเวลาที่ต้องออกไปจ่ายค่าไฟ  คิดในหัวว่า "เดี่ยวตอนเย็นๆ ค่อยไป" พอถึงเวลาจริง เราก็เตรียมตัวออกไปข้างนอกค่ะ แต่เราออกไปไม่ได้ สาเหตุเพราะ ....... เรากลัวค่ะ  
เป็นอาการกลัวที่หนักมาก เราตัวสั่นไปหมด มือก็สั่น ไม่ยอมเดินออกจากบ้าน กลัวถึงขนาดร้องไห้  เราไม่อยากออกไปเจอผู้คนข้างนอกค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก  ยิ่งแย่เข้าไปอีกเพราะเราห้ามตัวเองไม่ให้กลัวไม่ได้ สุดท้ายวันนั้นร้องไห้เสร็จแล้ว ค่อยออกไปจ่ายเงิน พนักงานก็มองหน้าแปลกๆ เพราะตาเราแดงมาก 555

อีกครั้งคือ วันหนึ่ง แม่ขับรถอยู่แล้วเรานั่งอยู่ที่ข้างคนขับ วันนั้นเป็นวันพระ แม่ก็เลย ขี่รถไปจอดเทียบข้างตลาด แล้วสั่งให้เราลงไปซื้อพวงมาลัยมาถวายพระ  OMG ออกไปเซเว่นเรายังเกือบตาย นี้ให้ลงไปผจญแหล่งคนสัญจร มนุษย์นับล้าน สรุป เราไม่ลงค่ะ ให้ตายก็ไม่ลง กลัวมาก ร้องไห้เลย ทะเลาะกับแม่ด้วย  บอกแม่ไปว่าวันนี้ใส่ขาสั้นมามันโป๊ อายคน 555
ต่อไปนี้คือสถานที่ๆเรารู้สึกกลัวมากที่สุดสามอันดับค่ะ
1 ตลาดทุกรูปแบบ
2 ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
3 ร้านขายเสื้อ (ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่คิดว่าสิ่งที่เรากลัวจริงๆคือ การคุยกับพนักงานขายในร้าน)

จดจำแต่เรื่องแย่ๆ
เราเป็นคนที่ไม่ได้มีความจำอะไรดีมากมาย หรือแตกต่างกับคนอื่นนักหรอกค่ะ แต่เราจะแปลกกว่าคนอื่นอยู่อย่าง คือ เราจะจดจำเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเราได้ดีค่ะ  จำได้ย้อนหลังไปหลายปีมาก คิดว่าน่าจะขนาดสามขวบเลยทีเดียว เราจำมันได้เป็นภาพติดตาค่ะ จำความรู้สึก ณ ตอนนั้นได้ด้วย
เช่นความทรงจำที่เก่าที่สุดในหัวเราเท่าที่เราจะขุดมันขึ้นมาได้ คือ ตอนนอนเปลไกวค่ะ 
เปลไกวที่ว่านี้อยู่ที่บ้านคุณปู่กับคุณย่า มัดผูกกับต้นไม้สองต้น ซึ่งตอนนี้ต้นไม้นั้นก็ยังอยู่ แต่ปู่เอาเปลออกไปแล้ว เพราะเปลมันขนาดเล็กมาก เพราะเป็นเปลสำหรับเด็ก เราจำได้ว่าปู่เอาเราไปนอนในเปล แล้วก็ไกวไปเรื่อยๆ เพื่อให้เราหลับ แต่ความเป็นจริงนี้ เปลตัวนี้มันไม่ได้ทำให้เด้กหลับค่ะ แต่มันทำให้เด็กเวียนหัวจนหลับไปเอง ความรู้สึกทรมาน เวียนหัวจากเปลนั้นมันยังหลอกหลอนเราจนถึงทุกวันนี เราจำได้ทุกอย่างค่ะ จำภาพวิวที่เรามอง ตอนอยู่ในเปลนั้นได้ค่ะ 
ทีนี้เป็นเพราะมีความทรงจำแย่ๆในหัวมากเกินไป เราก็พยายามที่จะลืมค่ะ แต่เราทำไม่ได้ ถ้ามีอะไรมากระตุ้น ความทรงจำนั้นก็จะโผล่มา พร้อมกับความรู้สึก ณ เวลานั้น ตอนนี้พอเล่าเรื่องเปลเราก็รู้สึกเวียนหัวเลยคะ 555 อาการนี้เองก็ทำให้เรารู้สึกทรมานมาก เหมือนเราไม่สามารถลืมเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ ทำให้ตัวเรากลายเป็นทำอะไรก็ระวังไปหมด กลายเป็นระแหวง และอาจจะเป็นสาเหตุให้เราเกิดพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำก็เป็นได้

โลกในจินตนาการ
บ่อยครั้งที่เราสร้างโลกในจินตนาการของตัวเองขึ้นมาค่ะ แล้วเราก็เข้าไปหลบอยู่ในนั้น แต่แปลกที่ถึงแม้เราจะเข้าไปหลบอยู่ เรายังรู้สึกตัวทุกอย่างนะค่ะ เช่น บ้างครั้งตอนเราขับรถ เราก็เอาตัวเองเข้าไปในนั้น แต่เรายังรับรู้ทุดสิ่งที่เกิดขึ้นบนถนนค่ะ หรือบ้างครั้งตอนเราล้างจาน แม้แต่ตอนที่เราคุยกับคนอื่นอยู่ มันเหมือนเราอยู่สองที่พร้อมกันอะไรแบบนั้นอะ อธิบายไม่ถูก แล้วพอเรายังแยกความเป็นจริงกับโลกจินตนาการออกอยู่ ทำให้คนอื่นไม่สังเกตถึงความผิดปรกติค่ะ 
ภายในโลกจินตนการของเรา มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ ไม่อยู่นิ่งหรือคงเรื่องราวเดิม เหมือนสมองเราสร้างเรื่องใหม่เรื่อยๆ  เราสังเกตว่าตัวตนเราในโลกนั้นมักจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา เป็นคนที่สมบูรณ์แบบในความคิดของเรา
เวลาเราอยู่ในโลกจินตนาการเราจะไม่รับรู้ถึงเวลาค่ะ เหมือนเวลาผ่านไปเร็วมากๆ อาจจะเป็นเพราะเรามีความสุขที่อยู่ในโลกนั้นรึป่าวค่ะ แต่เราไม่ชอบเลยค่ะที่ตัวเองเป็นแบบนี้ เพราะลึกๆเรารู้ตัวตลอดค่ะว่า สิ่งที่เราสร้างเราคิดมันไม่ใช่เรื่องจริง


ประสบการณ์พบกับจิตแพทย์
เราเคยไปไปพบจิตแพทย์ค่ะ แต่ความจริงน่าจะเป็นจิตแพทย์มาพบเรามากกว่า เรื่องคือ เราไปเยี่ยมน้าที่โรงพยาบาลค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าไปนั่งรออยู่ตรงที่นอนรวมผู้ป่วยอะค่ะ แบบมันมีที่ให้ญาติไปเยี่ยม แล้วที่นี้ก็มีหมอเข้ามาตรวจค่ะ แล้วสักพัก คุณหมอก็เข้ามาคุยกับเราค่ะว่าขอสัมภาษณ์ให้ทำแบบทดสอบอารมณ์อะไรสักอย่าง แล้วก็นัดสัมภาษณ์กันค่ะ หมอบอกรายละเอียดว่าจะให้ทำแบบทดสอบทางจิตอะไรสักอย่างเพื่อนำไปทำวิจัยอะค่ะ เราก็ไม่รู้รายละเอียดมาก พอเราทำแบบทดสอบปรากฏว่าเรา "อยู่ในเกณฑ์ปรกติ" -ังชมอีกว่าเราเป็นคนมองโลกในแง่บวกค่ะ 5555 ทั้งๆที่ตอนนั้นเราก็ไม่ต่างจากตอนนี้ แต่เรามีวิธีพูด วิธีแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่าเราปรกติค่ะ ไม่ยากเลย เอาจริงๆ เรา ถือว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ผลการเรียนถือว่าดี ความประพฤติดี ไม่ก้าวร้าว ดูท่าทางสดใสเวลาอยู่โรงเรียน มันเหมือนเราเป็นคนละคนกับที่อยู่ข้างนอก  

พอทำแบบทดสอบเสร็จเราก็เลยสงสัยค่ะว่า ทำไมถึงเลือกเรามาสัมภาษณ์ หมอแกก็ตอบแบบตลกๆว่า
"ตอนแรกเห็น คิดว่ามีอาการทางจิตซะอีก "
พอได้ยินเราก็หัวเราะกลบเกลื่อนไปอะค่ะ แต่ในใจนี่แบบโมโหมากกกก มันเหมือนมีมาจี้จุดอะค่ะ คิในหัวตลอดเวลาว่าเราเป็นอะไร ตอนนั่งอยู่แสดงสีหน้าแบบไหน หรือทำตัวผิดปรกติเหรอ? 
สรุป ถึงเราไปพบจิตแพทย์ก็คงไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมา เป็นเพราะเราไม่ไว้ใจใคร ไม่ยอมเผยตัวตนจริงๆออกมา  
ที่ผ่านมาทางบ้านไม่รู้ว่าเราเป็นแบบนี้ คิดไปเองว่าที่เราไม่ออกไปไหน ไม่คุยกับใคร ไม่ยอมไปห้าง ไม่ยอมไปตลาด เป็นเพราะเรา 'ขี้เกียจ' แต่เราคงไม่คุบกับครอบครัวเรื่องนี้อะ เดี่ยวโดยเหมารวมว่าเป็นบ้า ไม่ก็โดนตีแน่ แม่เราส่วนใหญ่เวลาโมโหจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยอยู่ค่ะ เราไม่กล้าเสี่ยง 
ไม่กล้าเข้าใกล้ผู้ชาย(ไม่รู้เกี่ยวไหม แต่อยากเล่า)
แปลกแต่จริง เรายังอดว่าตัวแปลกไม่ได้เลย 555 เวลาเราเข้าใกล้ผู้ชายนี้เราจะเกิดอาการกลัว เป็นกังวลค่ะ แต่เราไม่แสดงออกน่ะว่าเรากลัว ผลคือเราก็จะยื่นหน้านิ่งๆไม่เข้าใกล้ ไม่คุย สร้างกำแพงขึ้นมา แม้แต่คนที่เรารู้สึกชอบ เรายังไม่คุย ไม่ทักทายเลย เสียโอกาสจริงๆพอเราทำแบบนั้น คนก็ว่าเราหยิ่งค่ะ จบกันชีวิต อายุปูนนี้ทั้งชีวิตไม่เคยมีแฟนค่ะ เราคิดสาเหตุว่าเราน่าจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อนุบาลค่ะ แบบจำได้ว่าตอนนั้นเล่นกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เล่นอีท่าไหนไม่รู้ มันมาต่อยท้องเราค่ะ ทั้งเจ็บ ทั้งจุก ไม่เข้าใกล้ผู้ชายอีกเลยทั้งชีวิต 

อีกอย่างคือเรากลัวพ่อมากกกกกกก กลัวขึ้นสมอง พ่อเราเป็นคนไม่อยู่เฉยๆค่ะชอบไปนู่นไปนี่ตลอด ตลกคือ แกชอบไปตลาดค่ะ ฮ่าาาาาา แล้วชอบเอาเราติดตามไปด้วย เรากลัวพ่อถึงขนาดว่ายอมแหกด่านความกลัวโลกภายนอกออกมาเลยทีเดียว แล้วแกก็ชอบทำความสะอาดแบบต้องไม่มีฝุ่นบนเกาะเฟอร์นีเจอร์เลย เรารักพ่อกับแม่น่ะคะ แต่มันค่อนข้างอึดอัด แล้วก็ทรมานเวลาต้องออกไปไหนข้างนอกด้วยกัน 
รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี
ตอนเป็นเด็กเวลาทำอะไรผิด แม่ชอบตีเราค่ะ ส่วนใหญ่ตีด้วยไม้แขวนเสื้อ ไม่ก็ไม้กวาดค่ะ เราเข้าใจค่ะ กับคำสอนว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" แม่คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ตอนแม่ตีเราเหมือนท่านขาดสติไปเลยค่ะ อย่างที่บอกเวลาเวลาท่านโมโห จะคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ แล้วก็จะด่าเราไปด้วย ด่าหยาบมากค่ะ เอาเป็นถ้าเอาคำที่แม่เราด่าเราไปด่าคนอื่น คงมีการฆ่ากันตายไปข้าง แต่เราโต้ตอบไม่ได้ค่ะ ต้องเงียบเอาไว้ เราคิดว่าการสะสมการกระทำแบบนี้ ทำให้เราเป็นคนไม่พูดโต้ตอบค่ะ ถึงแม้เราไม่ผิด เราก็ไม่โต้ตอบ ต้องเงียบ ห้ามเถียงห้ามพูด
 แต่การเงียบแบบนี้ มันอาจทำให้คนเราระเบิดขึ้นมาได้ค่ะ เราเคยระเบิดแล้วครั้งหนึ่ง เรากรี๊ดสุดเสียงค่ะ แต่มันไม่มีเสียงออกมา! เหมือนกรี๊ดลมออกมา  แต่เราก็เอาเล็บจิกตามตัว เกร็งตัวจนตะคริวกินขา พยายามระบายความรู้สึกเสียใจค่ะ เพราะมันกรี๊ดไม่ได้ ยิ่งกรี๊ดแม่ยิ่งโมโห
อาการเก็บกดมันทำให้บางครั้งเวลาที่เรารู้สึกเสียใจมากๆ น้ำตามันจะไหลไม่หยุดค่ะ เวลาคนร้องไห้ปากก็จะเบี้ยวๆ หน้าแบบคนร้องไห้อะเนาะ เข้าใจแหละ555 แต่เราสังเกตตัวเองค่ะ ถึงแม้เราจะหยุดเสียใจแล้ว น้ำตามันก็ไหลไม่หยุด จะร้องไห้หน้านิ่งค่ะ เหมือนคนไม่มีควา่มรู้สึก เราร้องไห้เพราะเราเสียใจ เหตุการณ์นั้นเราร้องไห้เพราะเรารักแม่ แล้วก็เสียใจที่แม่ด่า แต่เหมือนอยู่ๆ ความรู้สึกเราก็หายไปเลยค่ะ เราขังตัวเองในน้ำ นั่งจ้องกำแพงเกือบ 5 ชั่วโมง นั่งเฉยๆยันเช้า 

ขีดจำกัดด้านสมอง
ต่อไปจะเราเล่าถึงขีดจำกัดด้านสมอง หรือง่ายๆว่าความฉลาดของตัวเราค่ะ คือที่เราเพราะจะให้เห็นว่า-ที่เราประสบอยู้และตัวตนจริงๆของเราเป็นยังไง เราเลยเลือกที่จะระบายทุกอย่างออกมาค่ะ 
 เราเป็นคนที่ความจำค่อนข้างดี และสามารถจดจำรายละเอียดได้เยอะค่ะ โดยเฉพาะเหตุการณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้น เราจะจำย้อนหลังได้ไกลมาก และละเอียดพอสมควร ในขณะที่หลายคนพอผ่านไปซัก 3-4 ปี ก็อาจลืมรายละเอียดปลีกย่อยไปแล้ว แต่บางครั้งเราก็เคยลืมค่ะ แต่ถ้ามีอะไรมากระตุ้น เช่นเหตุการณ์คล้ายๆกันที่เคยเกิดขึ้น ความทรงจำส่วนนั้นของเราก็จะโผล่มาในสมองค่ะ
lส่วนเรื่องการเรียน เราเป็นคนไม่ค่อยอ่านหนังสือค่ะ กลับบ้านมาไม่เคยอ่านเลย ทำให้ช่วง ม ต้น ผลการเรียนเราแย่ค่ะ แต่เราก็ปรับเปลี่ยนวิธีมาเป็นการฟังที่ครูสอนแทน เพราะเราจะจำเหตุการณ์ได้ดีกว่าค่ะ ทำให้ผลการเรียนเราดีขึ้นค่ะ ติดอันดับ 20 คนแรกของโรงเรียนได้สบาย
อีกเรื่อง คือ เรามีความทรงจำระยะสั้นที่ดีมาก เราสามารถจดจำได้เยอะในช่วงระยะเวลาจำกัด แต่ก็จะลืมภายในในกี่วันเช่นกัน ถึงเรียกว่าความทรงจำระยะสั้น 5555
ตัวอย่างค่ะ ตอนทำใบขับขี่ครั้งแรก มันต้องมีการเตรียมตัวมาเยอะใช่ไหมค่ะ แต่เราไม่ค่ะ ไม่เตรียม ไม่อ่าน ที่สอบปฎิบัติผ่านเพราะประสบการณ์ค่ะ แต่ประเด็นคือ ข้อกา ซึ่งถ้าไม่ผ่าน คือจบ ตอนนั้นเราตัดสินใจเปิดเน็ตโทรศัพท์มือถือ เพื่อหาข้อสอบค่ะ โดยเข้าไปหาในคลังข้อสอบ ปรากฎว่ามันมีเยอะมากกกกก เป็นพันข้อมั่ง เราหมดทางเลือก เลยใช้วิธี "จำ" มันทุกข้อค่ะ เพราะไม่รู้ว่ามันจะสุ่มข้อไหนออกมา สรุปเราใช้เวลา สองชั่วโมงลองทดสอบตัวเองดู เราสามารถจำได้ประมาณ 300 ข้อค่ะ(และคาดว่าน่าจะได้มากกว่านั้น แต่เวลามันจำกัด) คือเห็นปุ๊ปรู้เลยว่าตอบอะไร เวลาทำข้อสอบจริงมันมี 50  ข้อค่ะ แล้วเราได้คิวท้ายๆด้วย คนอื่นๆที่อยู่ในห้องสอบใช้เวลานานมากกกกกกก เกือบชั่วโมงกว่าจะทำเสร็จ เพราะมันผลาดไม่ได้ค่ะ ตอบผิดได้ไม่เกิน 2 ข้อ สรุปกว่าจะถึงคิวของเรา คือใกล้จะบ่ายสามละ แต่ตอนสอบจริง เราใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีค่ะ เห็นคำถามปุ๊ป คือกดตอบเลย แต่เราทำไม่ได้สองข้อค่ะ สาเหตุเพราะเราไม่เคยเห็นข้อสอบข้อนั้นมาก่อน เราจำได้ค่ะว่าสองข้อนั้นเราอ่านไม่ถึงทำให้เราทำไม่ได้ ผ่านมาหลายปี เรายังจำได้ว่า มันถามเกี่ยวกับชนิดของยางรถยนต์กับสัญลักษณ์ป้ายแปลกๆที่เราไม่เคยเห็นค่ัะ 555 ตอนเราทำเสร็จคนมองทั้งห้องค่ะ สายตาแบบทำไมอีนี่มันเสร็จไวจัง กรรมการคุมสอบก็อึ้งค่ะ แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ค่ะว่าตัวเองใช้เวลาทำเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะในหัวกำลังนั่งคิดภาพคำตอบอยู่ค่ะ
แต่เรามีปัญหามากที่สุด คือวิชาภาษาอังกฤษค่ะ พูดกับอ่านนี่เราไม่มีปัญหานะค่ะ แต่เป็นการ "เขียน" ค่ะ เรามีปัญหาจุดนี่ เพราะถึงแม้เราจะจำได้ว่ามันมีตัวอักษรอะไรบ้าง แต่เราไม่สามารถเอามันมาเรียงเป็นคำได้ค่ะ เช่น คำว่า "First" เรารู้ว่ามีตัวอักษรอะไรบ้าง แต่กลับไม่สามารถนำมามาเรียงให้ถูกได้ค่ะ จะสลับตำแหน่งกันอยู่บ่อยๆ มันทำให้เราดูโง่ในสายตาคนอื่นค่ะ เพราะเขาคิดว่าเราโง่ เขียนคำง่ายๆยังไม่ได้ ทุกวันนี้เรายังเรียงคำยากๆไม่ได้ค่ะ ตอนเด็กเราเคยมีปัญหานี้กับภาษาไทยเหมือนกันค่ะ แต่เพะราะ  (ตัวอย่างค่ะ เราพิมพ์อย่างนี้จริงๆ บางครั้งก็เขียนอย่างนี้ ตอนพิมพ์บทความนี้ เราต้องแก้หลายรอบค่ะ ต้องเช็กตลอกว่าสะกดตรงไหนผิด 555) เอาใหม่ เพราะว่ามันเป็นภาษาที่เราใช้ทุกวัน ทำให้ไม่มีปัญหาเท่ากับภาษาอังกฤษค่ะ
อีกเรื่องคือ ด้านดนตรีค่ะ เราเคยพยายามเรียนเล่นเปียโนค่ะ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีสมาธิจดจ่อเพียงพอ แต่เราสามารถจำเสียงดนตรีได้ค่ะ ไม่ใช่แค่เพลงดัง แต่เสียงประกอบภาพยนตร์ต่างๆ ถ้าเปิดขึ้นมาเราจะรู้ทันทีค่ะว่ามาจากเรื่องไหน หรือเราเคยได้ยินเสียงนี้เมื่อไร แต่เราไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีไร่น่ะค่ะ 555 การที่เราจะจำได้ ต้องมีตัวกระตุ้นค่ะ ไม่ใช่อยู่ๆให้เรามาร้องเพลงหรือฮัมเพลงเลย เราทำไม่ได้ค่ะ เพราะความทรงจำส่วนนั้นเราไม่ได้ใช้ทุกวัน เราจึงไม่ได้ยินที่จะให้ความสนใจ หรือคิดที่จะมานั่งท่องจำให้เสียเวลา


ความฝัน
มีอีกเรื่องที่แปลก คือ หลายครั้งในความฝัน เรารู้ตัวเองค่ะว่ากำลังฝันอยู่ มันไม่ใช่เรื่องจริงซักหน่อย ตอนแรกเราก็แค่ปล่อยให้เหตุการณ์ในความฝันนำไปค่ะ หลังๆเราเริ่มชักชวนตัวละครที่ปรากฏในความฝันว่านี้มันไม่ใช่เรื่องจริง มาทำเรื่องที่อยากทำกันดีกว่า แล้วเราพยายามที่จะควบคุมความฝันค่ะ เราพยายามที่จะสร้างหรือปรับเปลี่ยนเรื่องราวที่กำลังดำเนินอยู่ ณ เวลานั้น แล้วเราก็ได้ทำเรื่องที่เราคิดว่าไม่สามารถทำได้ในโลกความจริงค่ะ บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องไม่ดี แต่เราไม่อยากเล่าค่ะว่าเราทำอะไรลงไป 
ตอนที่อาการนี้ปรากฏครั้งแรก คือตอนเราอยู่ช่วงประถมค่ะ ในฝันเราได้กลับไปอยู่ที่โรงเรียนเก่าค่ะ แต่เรารู้ตัวในฝันว่า นี้มันไม่ใช่เรื่องจริงนี้ แล้วเราลองหยิกตัวเองดูค่ะ ทำให้เรารู้ว่ามันไม่จริง เราเลยใช่วิธีนั่งสมาธิในฝันค่ะ เพราะเราคิดว่าถ้าเราทำอย่างนั้น เราน่าจะตวบคุมมันได้ สรุปตอนที่นั่งอยู่ เหมือนโลกความฝันมันหมุนอยู่รอบๆตัวค่ะ แต่สุดท้ายเราก็เลิกนั่ง เพราะหมดอารมร์นั่งค่ะ ทำให้เราหล่นลงมาที่โลกหนึ่งเป็นโลกเหมือน โลกผีสิงค่ะ มีแต่โครงกระดูก สุดท้ายเรากลัวเลยตกใจตื่น 
เราได้อ่านหนังสือ แล้วก็บทความต่างๆ เรื่องโลกของความฝัน ปรกบแม่ติคนเราจะนำเอาเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน มาฝันค่ะ แล้วหลายครั้งคนเราจะลืมความฝันไปหลังจากที่ตื่นค่ะ เราก็ลืมค่ะ แต่ความฝันที่เราเป็นคนควบคุมนั้น เราไม่ลืมค่ะ เพราะมันเป็นโลกที่เราสร้างขึ้นเอง เราจึงจำได้ 
ความกลัวสูงสุดของเรา คือ เรากลัวว่าวันไหนเราจะแยกโลกความจริงไม่ออกค่ะ เรากลัวว่าถ้าเราคิดว่ามันเป็นความฝัน เราจะทำเรื่องแย่ๆลงไป แต่ทุกวันนี้เรายังแยกออกอยู่น่ะค่ะ ไม่ต้องห่วง มันเป็นแค่ความรู้สึกกลัวลึกๆแค่นั้นค่ะ  

พฤติกรรมคุยกับตัวเอง
มีใครเคยคุยกับตัวเองไหมคะ? เราชอบคุยกับตัวเองค่ะ คุยบ่อยมาก เยอะมาก ทุกเวลาทุกนาที ตอนนี้ที่นั่งพิมพ์กระทู้ก็ยังคุย เนื้อหาที่คุยก็ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันสักนิด คุยเรื่องอะไรไม่รู้ เป็นบ้าเป็นบอ คุยเป็นเรื่องเป็นราว คุยจนตัวเองปวดหัว เราอยากหยุดค่ะ แต่ทำไม่ได้ เราห้ามความคิดตัวเองไม่ได้แต่เรื่องที่เราคุยมันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนะค่ะ ออกจะเป็นเรื่องสนุกๆด้วยซ้ำ บางครั้งก็เป็นการคาดเดาเหตุการร์ในอนาคต หรือเรื่องที่อยากจะทำ เป็นต้น เราคิดว่าที่เราเป็นแบบนี้ เพราะเราเหงาค่ะ เราต้องอยู่บ้านคนเดียว พอไม่มีอะไรจะทำ ก็คุยกับตัวเองนี้แหละ มันช่วยให้เราหายเหงาค่ะ แต่เราไม่ชอบหรอก เพราะเราคิดว่าคนอื่นคงไม่เป็นแบบเรา?  


ขาดความมั่นใจในตัวเอง
เรามีอีกปัญหา คือ เราขาดความมั่นใจในตัวเองค่ะ แล้วก็ขี้อายมาก มันทำให้เราตัดสินใจอะไรลำบากค่ะ การตัดสินใจแต่ละครั้งต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีก ตัวอย่างเช่น วิชาคณิตศาสตร์ค่ะ ถึงแม้เราจะทำถูก แต่เราก็ต้องมาเสียเวลากับการตรวจแก้ คิดแล้วคิดอีกของตัวเองอยู่เรื่อย จะตอบไปก็กลัวผิดสุดท้ายก็ไม่ตอบ เลขง่ายๆเราต้องใช้เวลาค่ะ ทั้งๆที่เรารู้อยู่แล้วว่าต้องตอบอะไร
อีกเรื่อง คือ หน้าตาเราค่อนข้างเด่นค่ะ (ไม่ได้แปลว่าสวย 5555) ทำให้ถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา มันทำให้เราอึดอัดค่ะ ขาดความมั่นใจ เหมือนโดนจับผิด โดนจ้องมองตลอดค่ะ เราจะพูดเสียงเบาค่ะ ถ้าคุยกับคนที่ไม่รู้จัก แล้วก็จะลีกเลี่ยงการสบตา

สิ่งที่ทำให้มีความสุข
สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข คือ การทำอาหาร ดูหนัง ฟังเพลง
ศิลปินที่ชอบ Hans Zimmer 
หนังสือที่ชอบ The Lord of the ring
กลิ่นที่ชอบ มะนาว ส้ม กลิ่นหนังฟอกใหม่ หญ้า 

สิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบ
กลิ่น ดอกไม้ น้ำหอม แอร์รถ
วัสดุวงกลมที่มีติ่งงอกออกมาจะทำให้เราหงุดหงิดรุนแรงค่ะ เคยเก็บไปฝันว่ามีวงกลมอยู่วงหนึ่งแล้วมันมีติ่งเล็กงอกออกมา ทำให้เราโมโหค่ะ เราถึงกับตะโกนออกมาในโลกความจริง เรียกแม่ให้มาตัดอีกติ่งนั้นออกไป 5555  
ความมืด เรานอนในห้องที่มืดสนิทไม่ได้ค่ะ ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่มีอะไร ก็นอนไม่ได้ สาเหตุนี้อาจจะเป็นเพราะตอนยังเป็นเด็ก ลูกพี่ลูกน้องเคยแกล้งขังเราไว้ในห้องมืดๆค่ะ แล้วก็บอกว่าจะมีผีออกมา ตรงนี้เราอยากเตือนผู้ปกครองหลายท่านว่า อย่าหลอกเด็กให้กลัวผีกันเลยค่ะ เพราะมันจะส่งผลระยะยาวแบบเรา ความกลัวนั้นมันฝังลึกในใจ ทำให้เด็กมีปัญหาได้ค่ะ

 

แสดงความคิดเห็น

68 ความคิดเห็น

เอโดะ 26 พ.ค. 60 เวลา 21:37 น. 1

แปลกดีที่มีหลายเรื่อง เคยเจอคนย้ำคิดย้ำทำ ย้ำทั้งวัน เช่นคิดว่าใส่กางเกงเบี้ยว ก็จะมายืนส่องหน้ากระจก จัดกางเกงให้เอวตรง(แต่จริงๆมันเอียง) สักพักอีก10นาที มาใหม่อีกรอบ แบบนี้ทั้งวัน


ดูแล้วต้องพยายามทำเรื่องที่มีประโยชน์โดยเฉพาะหาความรู้หรือเรียนเก่ง ไม่งั้นอนาคตอาจจะลำบาก เพราะคนที่ว่านี่ เรียนหนังสือไม่จบมหาวิทยาลัยต้องสมัครเรียน มสธ.ต่อ เรียนจบก็ทำงานที่ไหนได้ไม่เกินสองเดือน ถูกไล่ออกหมด เปลี่ยนงานมาเป็นร้อยอย่าง แต่ทำอะไรได้ไม่นานสักอย่าง


จิตไม่จิตไม่รู้นะ แต่คิดว่าถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่ต้องไปคิดมาก อันไหนคิดว่าไม่ดีก็ค่อยๆพยายามเปลี่ยนไป แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วฝืนไม่ไหวก็ช่างมัน สิ่งสำคัญคืออนาคตต้องเอาตัวเองให้รอด มีการงานหน้าที่เลี้ยงตัวเองได้ก็พอ

0
swiss32337 27 พ.ค. 60 เวลา 00:55 น. 2

รอติดตามค่ะ อยากอ่านให้จบ เพราะทุกวันนี้เราก็เป็นแบบจขกทอยู่บ้างบางข้อ แต่ที่เราสนใจสุดคือการสร้างอีกโลกนึ่งในขณะที่เรายังรู้สึกตัว อันนี้อยากลองทำความเข้าใจบ้าง ถ้าจขกทศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาจริงๆแบบเรียนตรงไปทางนี้เราว่าบางทีอาจจะค้นพบอะไรบ้างอย่างเกี่ยวกับระบวนการคิดหรือวิธีการออกแบบการบำบัดผู้ป่วยจิตเวท ด้วยลักษณะอาการที่พบได้ยาก แนะนำค่ะ ทุกคนมีพรสวรรค์เป็นของตัวเองนะคะ

0
โลมา 27 พ.ค. 60 เวลา 09:41 น. 4

อ่านแล้วแอบตกใจนะ

เรื่องคุณหมอ คุณหมอเขาอยากช่วยน้องนะคะ คุณหมอเขาเจอคนไข้มาเยอะ น้องอาจจะแสดงสีหน้าอึดอัด เป็นกังวล เศร้า ก็เป็นได้ พี่ดีใจที่น้องระบายออกมานะ

น้องจำได้แต่เรื่องแย่ๆ พี่ก็ไม่รู้วิธีแก้หมือนกัน

พี่่แนะนำได้แค่เท่าที่พี่พอจะนึกออกดีกว่า เรื่องที่น้องจำได้แต่เรื่องแย่ๆเนี่ย

น้องลองเปลี่ยนความคิดดู(พี่ก็ใช้คำไม่เก่งอีก) มันผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไปเนอะ อย่างวันนี้ตังค์ค่าขนมหายยี่สิบบาท ไม่มีเงินกินขนมแล้ว แต่พอวันรุ่งขึ้นมันก็เป็นแค่อดีตว่าวันนั้นเราเคยค่าขนมหาย

น้องหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป น้องลองปล่อยผ่านมันไปดู มันอาจจะยาก แต่ทำได้เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย แค่ยอดหญ้าก็ยังดีฮาๆ น้องลองหาสมุดน่ารักๆสีสดใสมาสักเล่ม (ถามว่าทำไมต้องสีสดใส ตรงตัวเลยจ้าเพื่อความสดใสนั่นเอง อย่างน้อยๆก็กระชุ่มกระชวยหัวใจนิดหน่อย-โอเคข้าม) เขียนเรื่องราวดีๆลงไปในนั้น เล็กๆน้อยก็ได้ วันนี้เจอแมวสองตัวน่ารักมาก ก็ได้ หรือ วันนี้รู้สึกดีฝนตกเย็นสบาย ถึงจะเป็นเรื่องเล็กแต่ก็มีความสุขนะ จริงๆไม่ต้องเขียนก็ได้ แค่ความรู้สึกขณะนั้นก็ดี

เรื่องที่น้องนั่งอยู่ในห้องน้ำจนถึงเช้า น้องอาจจะใจลอย ความคิดต่างๆผุดเข้ามาในหัวตลอดเวลา น้องก็ปล่อยให้ความคิดนั้นลอยต่อไป น้องเลยไม่รู้สึกถึงยุงกัด พื้นเย็น ไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ไม่รู้ว่ามองเห็นอะไร ไม่รู้ว่าจะเกิดผลอะไรตามมา พี่ไม่ได้ห้ามคิดนะ แต่ความคิดที่มันผุดออกมาเรื่อยๆโดยไม่กลั่นกลอง จะมีแต่เรื่องของตัวเองๆ น้องลองสังเกตุดู มันอาจจะดูแย่ แต่น้องลองดูนะ ถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่ลองเขียนผล็อตนิยายดู น้องจะได้ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ผ่านกันเป็นทอดๆเหมือนโดมิโน่

ที่พิมพ์มันอาจจะผิดหมดเลยก็ได้ น้องยึดติดกังวลกับอดีต และอนาคตที่ยังมาไม่ถึงมากเกินไป

มันหายได้นะลองคุยกับคุณหมอ หรือรอพี่ๆในเด็กดีมาตอบดู

การเงียบไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุด เราจะสียสิทธฺของเราได้ เรามีพื้นที่ของเรา เราก็พูด

เราอยากได้อันนี้ เราก็พูด เราไม่อยากทำแบบนั้น เราก็พูด เพื่อแสดงถึงสิ่งที่เราต้องการ ไม่ต้องการ

ชอบ ไม่ชอบ ออกไป เพราะไม่มีใครอ่านใจเราได้ ไม่มีใครเข้าใจใครไปเสียทุกคน น้องอาจจะประสบในเร็วๆนี้หรือนานกว่านั้น แม่ก็โตมาในสังคมที่หล่อหลอม(สมัยโบราณ)มาเป็นแบบนั้น ซึ่งมันใช้ในปัจจุบันได้ยาก น้องไม่จำเป็นต้องเงียบตลอดไปนะ เราต้องใช้ให้ถูกสถานการณ์ มันจะดีขึ้น

เรื่องการเข้าสังคมเนี่ย น้องลองคุยกับเพื่อน คุยเรื่องทั่วๆไป ไม่อึดอัดสบายๆ ดีกว่าเรื่องที่น้องสนใจและเพื่อนก็สนใจดู แอดวานซขึ้นมาหน่อยก็ลงไปซื้อของให้แม่ แอดวานซ์อีกนิดก็ไปตลาดกับพ่อ

ลองยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้า ว่าเอาอันนี้ถุงนึงค่ะ(ยิ้ม) ดู มันยากสังคมข้างนอกมันไม่ได้เรียบร้อยมากเท่าไหร่ อย่างบางร้านเนี่ยคนเขาไม่ได้มาต่อแถวซื้อของหรืออาจจะต่อ แล้วมีคนโพล่งมาว่าโค้กถุง

ทั้งๆที่น้องมาก่อนแท้ๆ แม่ค้าเขาไม่รู้เลยและไม่รอด้วย เพราะงั้นน้องต้องพูด และดินเข้าไปหาคน มันคาบเกี่ยวกันอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ พิมพ์ไปงงไป

พี่อาจจะช่วยได้หรือไม่ได้ พี่ดีใจที่น้องระบายออกมา พี่ดีใจที่น้องเสียใจไม่ได้ว่างเปล่า เพราะแบบนั้นมันน่ากลัว พี่ไม่อยากให้น้องถลำลงไปลึกมากกว่านี้ หรือเรื้อรังมากกกว่านี้

พี่อยากให้น้องไปคุยกับคุณหมอนะ มันอาจจะผิดหรือถูกรอคห.ล่างๆ เพราะพี่ก็พิมพ์ไปตามที่พี่คิด รู้สึก เคยป็น และเคยพบเท่านั้น

พี่แนะนำให้ซื้อหนังสือดีๆสักเล่มเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตนะ

ยิ้มให้ตัวเองเยอะๆ เอาสิ่งดีๆเข้าตัว ออกกำลังกาย กินของดีๆ นะ

0
มะนาว โซดา ปั่น 27 พ.ค. 60 เวลา 19:47 น. 5

เราก็เป็น...สิ่งที่ชอบก็เหมือนเป๊ะเลย...มันเป็นพรสวรรค์นะ แค่อย่ากลัวที่จะออกไปพบปะผู้คนแค่นั้นพอ เราก็ไม่ค่อยชอบคุยกับใคร เพราะเรารู้ว่าเขาจะตอบอะไรยังไง แล้วเราก็ไม่สนใจเรื่องชาวบ้านชาวเมืองเขา เสียเวลา

0
มะนาว โซดา ปั่น 27 พ.ค. 60 เวลา 19:48 น. 6

มันไม่ใช่ปัญหาสะหน่อย เหมือนที่เขาบอกว่า"มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่รู้จักกลัว" ที่เรารู้สึกว่าไม่เข้าพวก เพราะเราไม่เหมือนเขาไงล่ะ อย่าคิดมาก

0
Helegriel (Anarya) 27 พ.ค. 60 เวลา 20:53 น. 7

ถ้ารู้สึกว่าอยากระบายนะคะ ลองโทรฟรี 1323 สายด่วนสุขภาพจิต

เล่าให้เขาฟังได้ทุกอย่างค่ะ ไม่ต้องเป็นบ้านะ แค่เราเครียดกดดัน อยากมีคนปรึกษา ก็โทรได้หมด

พวกนี้เป็นนักจิตวิทยา(ไม่ถึงกับเป็นจิตแพทย์) เขาจะคอยดูแลเราได้ค่ะ

0
MRXCOOP 27 พ.ค. 60 เวลา 22:00 น. 8

เหมือนตัวอักษรจะเกินค่ะ มันขึ้นว่าตั้งกระทู้ต่อไม่ได้เอาเป็นว่าถ้าอยากอ่านต่อ ก็มาอ่านในนี้ได้นะค่ะ

บุคลิกที่แตกต่าง(ขอไปเรียบเรียงให้เสร็จทีเดียวแล้วจะเอามาลงค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ลงเป็นช่วงๆแล้วมันขาดตอน ใครอ่านที่เขียนไปแล้วหาไม่เจอก็อย่าแปลกใจ)


เดียวต่อไปจะมาเล่าประสบการร์โดนแบนจากเพื่อนสมัยเด็ก จนต้องย้ายโรงเรียนน่ะค่ะ ยังกับ mean girl มาเอง

3/6/2560

เราได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้อีกครั้ง รู้สึกตกใจกับตัวเลขคนอ่านในไม่กี่วันที่ผ่านมามาก 5555 และขอบคุณทุกความเห็นของผู้อ่าน เรารู้สึกดีที่มีคนเข้าใจ และถึงกับขนาดยอมเป็นเพื่อนคุยกับเราด้วย เราขอบคุณจริงๆ ตอนแรกนึกว่ากระทู้นี้คงไม่มีคนอ่านหรอก เพราะมันค่อนข้างจะไม่บันเทิงอารมณ์ซักเท่าไหร่ สอง สามวันที่หายไป เรื่องคือเราพึ่งรับลูกสุนัขมาเลี้ยง เลยต้องอยู่ดูแลทั้งวัน ก็สนุกดีค่ะ อย่างน้อยก็มีอะไรให้ทำ นอกจากงานบ้าน 555

ทั้งความคิดเห็นภาษาไทยและอังกฤษ เราพึ่งอ่านทุกความเห็นเสร็จเมื่อเช้า เราจึงตัดสินใจที่จะเล่าสองเรื่องสุดท้ายที่ค้างคาใจมาตลอด หวังว่าผู้อ่านจะได้รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น และหากวันใด คนเราเติบโตขึ้น อาจจะมีลูก หรือมีเพื่อน มีสังคมใหม่ เราอยากให้ผู้อ่านคิดถึงเรื่องนี้ เพราะเราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับใครอีก

เรื่องที่โดนแกล้งที่โรงเรียน เราคิดว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่ไว้ใจใครอีกเลยค่ะ


ประสบการณ์แย่ๆในวัยเด็ก

เรามีประสบการร์แย่ๆในวัยเด็กค่ะ แต่เราขอเล่าแค่บ้างเรื่องที่มันสำคัญๆน่ะค่ะ เล่าหมดนี้คงไม่ไหว

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เราย้ายโรงเรียนมาแล้วหลายรอบค่ะ ประมาณ 4 รอบได้ แต่ช่วงที่เราต้องพบกับประสบการณ์แย่ๆนั้น คือ การย้ายครั้งที่สองค่ะ ย้ายเข้ามากลางคันตอนอนุบาล ตอนนั้นเราไม่อยากย้ายค่ะ ร้องไห้หนักเลยตอนครูพาไปที่ห้องเรียน แต่เราก็ได้พบเพื่อนสนิทคนหนึ่งค่ะ เป็นเพื่อนที่เรารักมาก ขอแทนว่าเพื่อน จ ล่ะกันน่ะค่ะ เพื่อน จ กับเราสนิทกันมากช่วงอนุบาลกับประถมต้น เราเป็นเพื่อนกันแบบถึงแม้ว่าเมื่อวานจะทะเลาะกันมา แต่พอวันรุ่งขึ้นก็กลับมาเล่นกันเหมือนเดิม แล้วก็ลืมเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้น เราไปไหนมาไหนกันสองคนเสมอค่ะ

แต่เรื่องก็เปลี่ยนไป พอคนเราโตขึ้น สังคมเราก็เยอะขึ้น ช่วงปอ สอง ก็เริ่มมีเพื่อนเข้ามาชวนเล่นมากขึ้น อันนี้เด็กผู้หญิงน่าจะรู้กันดี ว่าจะเริ่มแบ่งเป็นกลุ่มหญิง กลุ่มชายกัน แล้วก็มีเด็กคนอื่นเข้ามาในกลุ่มเราเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพอกลุ่มใหญ่ขึ้น ก็จะเริ่มมีการแบ่งชั้นสังคมกันขึ้นมาค่ะ ประมาณว่าเกิดหัวหน้ากลุ่มขึ้นมา ตัวเราก็เป็นคนเล่นไม่เก่ง คุยกับใครไม่เก่ง ทำให้ลำดับในกลุ่มเราตกลงมาเรื่อยๆค่ะ กลายเป็นคนที่แบบ หัวหน้ากลุ่มพูดอะไร เราก็ต้องทำตาม แต่เนื่องจากเราไม่ใช่เด็กที่นิสัยเหมือนเด็กผู้หญิงสักเท่าไหร่ค่ะ เราเล่นหมากเก็บไม่เป็น เล่นตบแปะไม่เป็น เล่นเต้นยางไม่เป็น ทำให้ไม่มีเด็กผู้หญิงคนอื่นชวนเราเล่นอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่ การละเล่นแบบนี้ ถือเป็นการเข้าสังคมที่สำคัญมากๆๆของเด็กผู้หญิงค่ะ (ผู้หญิงน่าจะเข้าใจกันกันดี 5555) เราคิดว่า เราอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในประเทสไทย ที่ไม่เคยเล่นเต้นยาง 5555 แต่เพื่อนสนิทเราเขาค่อนข้างจะป็อปปูล่าค่ะ เรียนเก่ง น่ารัก(มาก) พูดเก่ง เขาเลยกลายเป็นพวกระดับสูงในกลุ่มค่ะ คือ ได้รับความสนใจอะไรประมาณนี้ แล้วเพื่อน จ ก็ค่อยๆห่างเราไปเรื่อยๆค่ะ ตัวเราเองก็ถูกกันออกจากกลุ่มมากขึ้น สุดท้ายพอเรารู้ตัว เราก็ไม่มีกลุ่มให้อยู่ค่ะ เป็นพวกล่องลอย หาคุยเล่นกับคนอื่นไปวันๆ แต่เขาก็ไม่ให้เราไปนั่งกินข้าวด้วยอะไรประมาณนี้ค่ะ (คือ เขาไม่ได้ห้าม แต่ก็ไม่ได้ชวนค่ะ เพราะเหมือนว่ามันไม่ใช่กลุ่มเดียวกันอะไรแบบนี้) เราเลยเลิกไปกินข้าวที่โรงอาหารค่ะ เพราะไม่อยากนั่งกินคนเดียว ครั้งหนึ่ง เราเคยเข้าไปขอนั่งด้วยกับอดีตกลุ่มเพื่อนเราค่ะ (กลุ่มนี้ คือใหญ่สุดในห้อง) แต่พอพวกเขากินเสร็จ เขาก็ลุกเลย ไม่ได้รอเรา

แถมยังมีเกมที่เด็กสมัยนั้นชอบเล่น คือ เล่นวิ่งหนี ค่ะ วิธีก็ง่ายๆ คือ นัดกับเพื่อนที่เหลือว่าจะวิ่งหนีใคร แบบเดินกันอยู่แล้ว วิ่งหนีเราอะไรประมาณนี้555 บอกเลยว่า พอวิ่งหนีแล้ว เขาไม่วิ่งกลับมาน่ะค่ะ ให้เราวิ่งตามเอง ทันก็ดีไป ไม่ทันก็ช่างมัน เราเองก็เคยเล่นเกมนี้ค่ะ(เลว 555) แต่พอโดนเข้ากับตัวเองจริงๆแล้วมันรู้สึกแย่มากค่ะ แต่เราจะแสดงออกว่าโกรธไม่ได้เพราะถึงเราโกรธเขาก็ไม่ง้อค่ะ เราเองก็ยังอยากมีเพื่อนอยู่ เลยทนๆไป

ทีนี้พอระดับในสังคมคุณไม่สูงพอ คุณก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องอะไรมากค่ะ เราไม่อยากมีปัญหา เราเลยเป็นพวกยอมชาวบ้านเขาไปหมด ถ้าหัวหน้าห้อง(หัวหน้าจริงๆ ไม่ใช่ที่ครูตั้งให้น่ะ อันนั้นมันเบ๊ 555) พูดอะไร คือห้ามขัด

เรื่องที่ทำให้เราเจ็บสุด ก็มาถึงค่ะ คือ ปกติเพื่อนสนิท จ นั้นเรียนเก่งมากค่ะ เขาจะสอบได้ทีหนึ่งตลอด เราเองก็ไม่ได้แย่ค่ะ อยู่ในลำดับดีอยู่ มีปีหนึ่ง เราน่าจะอยู่ ปอสาม ไม่ก็สี่ หลังสอบเสร็จ ดันมีข่าวลือลอยมาตามลมว่าเราสอบได้ที่หนึ่ง ทำให้เพื่อนในกลุ่มของเพื่อน จ เขาไม่พอใจ(ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับ จ แล้ว) เขาเลยมาตามด่าเราค่ะ ไม่ใช่แค่คนเดียว หรือคนสองคนน่ะค่ะ เป็นกลุ่มเลย ตามมาเป็นพรวน เราเดินหนีก็ไม่ได้ ตามมาว่า พูดด่า ว่าดูถูกด้วย “อย่าง-เนี่ยนะ สอบได้ที่หนึ่ง” นาทีนั้นรู้สึกแย่มากอยากจะตายไปให้พ้นๆค่ะ เราทำอะไรไม่ได้ ในหัวก็คิดแต่ว่า นี้เราทำอะไรผิดเหรอ หรือเราทำให้ จ เสียใจ เรานี้เป็นเพื่อนที่ไม่ดีเลย เราทั้งรู้สึกผิดแล้วก็น้อยใจค่ะ ว่าทำไหมไม่เห็นมีใครเข้าข้างเราเลย สุดท้าย เรื่องก็มาจบตรง ข่าวลือ ก็เป็นแค่ข่าวลือ คนที่ได้ที่หนึ่งก็เป็น จ อยู่ดี จุดๆนี้นึกย้อนหลังแล้วเซงค่ะ แบบโดนด่าทั้งที ก็ขอให้มันจริงไม่ได้เหรอ 555 ไม่ได้โดนแค่เราค่ะ แต่เป็นทุกคนที่มีข่าวลือว่าสอบได้แทนที่จะเป็น จ คือ โดนจิกมันทุกคน เราจำได้ว่า เราโดนไปสองรอบค่ะ (ชักเริ่มคิดแล้วว่าใครมันไปปล่อยข่าว แล้วปล่อยทำไม?)

อีกเรื่อง คือ เราจำได้ว่าวันนึงเราทะเลาะกับหัวหน้ากลุ่มค่ะ เหมือนว่าเราไปพูดขัดอะไรสักอย่าง แล้วเขาไม่พอใจ เรื่องเลยใหญ่ค่ะ จำรายละเอียดตรงนี้ไม่ค่อยได้ จำได้แต่ว่า ช่วงนั้นไม่มีใครคุยกับเราเลยค่ะ เช้าวันหนึ่งเรามาโรงเรียน ใจจริงเราเช้าวันนั้นเราอยากไปขอโทษเขาให้เรื่องมันจบๆค่ะ เพราะเขาคงไม่มาขอโทษเราหรอก แต่พอเราเปิดประตูห้องเข้าไป เราก็เจอว่าโต๊ะกับเก้าอี้เราโดนย้ายไปไว้อีกทีค่ะ แล้วก็มีรอยลิปคลิด เขียนไว้เต็มโต๊ะเลย (ตอนนั้นใช้ลิปคลิดกันแล้วค่ะ เอาไว้วางระเบิดโต๊ะเพื่อน) ทั้งรอยวาดรูป รอยเขียนด่าเต็มโต๊ะ เราร้องไห้น้ำตาไหลเลย พยายามเอาไม้บรรทัดขูดโต๊ะออก แต่มันก็ไม่ออก มือเราสั่นไปหมด หูเราก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะค่ะ มันมาจากกลุ่มที่ จ อยู่ ตัว จ เองก็หัวเราะ เราว่า จ เองก็น่าจะเป็นหนึ่งในคนที่เขียนโต๊ะเราค่ะ ใจเรามันเหมือนสลายเลยค่ะ อย่างที่บอกเรารัก จ มาก เพราะเป็นเพื่อนคนแรกของเรา เรากับ จ เคยสัญญากันตอนเด็กค่ะว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป พอเขาทำแบบนั้น มันเหมือนเราโดนทรยศ เหมือนเราโง่มากที่ไปยึดติดกับคำสัญญาของเด็ก เราว่านับจากวันนั้น เราก็เลือกที่จะไม่สานสัมพันธ์กับเพื่อนคนไหนลึกเกินไปค่ะ เพราะเรากลัวว่ามันจะทำร้ายเราอีก

เรื่องหลังจากนั้นเราจำไม่ค่อยได้แล้วค่ะว่าจบยังไง เหมือนเราพยายามลบความทรงจำส่วนนั้นออกไป แต่เราจำได้ว่าตอนที่เราพยายามเช็ดคำด่าที่เพื่อนเราเขียนออก แล้วมีเด็กผู้หญิงคนนึง เขาคงสงสารเราเลย ยื่นผ้ามาให้ค่ะ (นาทีนั้นคือ นางฟ้าเลยค่ะ เรายังจำหน้ากับชื่อคนๆนั้นได้อยู่เลย ทั้งๆทีเพื่อนคนอื่นเราลืมไปหมดแล้ว ) เรื่องหลังจากนั้นเราจำรายละเอียดไไม่ค่อยได้แล้วค่ะ

รู้แต่ว่าพอเกิดเรื่องขึ้น คนที่ต้องไปขอโทษก็ต้องเป็นเราอยู่ดี เราต้องทำใจไปขอโทษคนที่เราเกลียดที่สุด ณ จุดๆนั้น เรายอบรับค่ะว่าเราเกลียดพวกนั้นมาก ถึงเกลียดแต่ก็ต้องไปพึ่งเขา ยิ่งทำให้เราเกลียดตัวเองเพราะเราไม่ชอบที่ทำไมตัวเองไม่ลุกขึ้นมาสู้ ทำไมไม่เอาเรื่องพวกนั้น แต่กลับปล่อยให้ตัวเองโดนแบบนี้ สุดท้ายถึงเกลียดก็ต้องไปคุยกับเขา หาทางไปง้อ

พอโดนแบบนั้นไป เราก็กลายเป็นคนระวังตัวมากขึ้นค่ะ ไม่ทำตัวขัดกับคนอื่น ให้จะทำอะไรก็ทำตาม ให้ไปแกล้งใครก็ไป หรือใครโดนแกล้งต่อหน้าเราก็ไม่ช่วย นานๆไปเรื่องมันซาลง(บวกกับที่เราไปง้อ ไปขอโทษ)พวกนั้นก็เลิกยุ่งกับเราไปเองค่ะ ตัวเราก็หาทางหาเพื่อนเพิ่มค่ะ แล้วเราก็ได้มาคนหนึ่งจริงๆ 555 เป็นเด็กที่เข้ามาใหม่ช่วงประถมปลาย เรากลายเป็นเพื่อนซี้เลยค่ะ ถึงอยู่คนละห้อง (ตอนแรกอยู่ห้องเดียวกัน แต่โรงเรียนจัดห้องใหม่โดยใช้ผลการเรียนเป็นเกณฑ์)

เราก็มาเล่นด้วยกันทุกเที่ยง อยู่กันสองคนค่ะ ไม่ไปกินข้าวโรงอาหารด้วย กินแต่ขนม(เราอ้วนเลยช่วงนั้น 555) มันเป็นช่วงที่เรามีความสุขที่สุดค่ะ แต่ไม่นานเด็กคนนั้นเขาก็ต้องย้ายไปต่างจังหวัดค่ะ ย้ายตามพ่อแม่ไป

พอถึงตอนนี้เรารู้สึกเคว้งเลยค่ะ ไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว ผลการเรียนก็ตกต่ำลงมาก(ที่สุด) ห้องที่เราอยู่ถือเป็นห้องคิง ค่ะ ห้องรวมเด็กเก่งเขาด้วยกัน แต่เราตอนนั้นคือโง่สุด ไม่สนใจเรียน ย้ายไปนั่งหลังห้อง กลับบ้านมาดูแต่หนังกับการ์ตูน ไม่ทำการบ้าน งานในห้องก็ไม่ทำ หนังสือแบบเรียนทุกเล่มในกระเป๋าเรา คือ ว่างทุกหน้าค่ะ งานไม่ส่ง ครูก็ไปค่อยสนใจเราเท่าไหร่ เพราะเราเงียบไม่พูดเลย อีกอย่างช่วงนั้นครอบครัวเรามีปัญหากันด้วยค่ะ ทุกวันในชีวิตเราคือ รู้สึกว่างเปล่ามาก เราเคยโกรธที่บางครั้งทำไมเราไม่พูดสิ่งที่เราคิดออกไป เราเคยโดนแม่ด่า แล้วเราเอาด้ามพร้าไปฟันตรงต้นไม้ คล้ายๆต้นไผ่ แต่ไม่ใช่เป็นปล้องๆ ใช้แรงเด็กแต่ฟันไปเรื่อยๆจนลำต้นแหว่ง(คิดย้อนหลังแล้วเสียใจค่ะ ต้นไม้มันไม่เกี่ยวเลย แต่อารมณ์ ณ เวลานั้นคือ สติหลุด) พอแม่เห็นแม่ก็โมโหค่ะ ถามว่าฟันทำไม เราก็ไม่ตอบค่ะ

เราเคยพยายามเขียนระบายเรื่องนี้บอกครูค่ะ คือเหมือนครูให้เขียนเรียงความ เรื่อง ความฝันในอนาคต แต่เราเลือกเขียนเรื่องนี้ส่งค่ะ แต่ผลที่ได้ คือ ครูเขาพออ่านเรื่องเราเสร็จ เขาก็ไปพูดประกาศหน้าห้องค่ะ ว่า “ครูให้เขียนเรื่อง สิ่งที่อยากเป็นในอนาคต แต่กลับมีคนเขียนเรื่องอะไรไม่รู้มาส่ง วันหลังทำงานให้ตรงหัวข้อด้วยน่ะค่ะ” ดีที่เขาไม่ได้เอยชื่อเราออกไป ไม่งั้นเราคงลาออกน่ะจุดๆนั้น 5555

พอแม้แต่ครูเราก็คุยด้วยไม่ได้ สุดท้ายเราก็เลือกที่จะเงียบ ตั้งมั่นว่า จะไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้อีกเราเชื่อใจใครไม่ได้ นอกจากตัวเอง

ตอนที่เราจะตัดสินใจลาออก วันนั้นเราทะเลาะกับแม่(อีกแล้ว หลังๆมานี้ทุกวัน เพราะเราขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่ยอมทำอะไร ผลการเรียนก็แย่มาก มีเด็กประถมคนไหน ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว แต่คะแนนเก็บแต่ละวิชาไม่ถึง 20 เหมือนเราบ้าง 5555) แล้วเรื่องมาก็ลามมาเรื่อยๆ เราตัดสินใจเล่าให้แม่ฟังเรื่องที่โรงเรียน เล่าไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย เราไม่อยากเรียนต่อเลยค่ะ ไม่อยากไปโรงเรียนอีก พอแม่รู้ แม่ก็บอกจะให้เราย้ายไปโรงเรียนอื่นค่ะ ให้ไปเรียนเอกชน แต่มีข้อแม้ว่าเราต้องสะสางเรื่องการเรียนที่โรงเรียนเก่าก่อน เราเลยฮึดสู้ ไปของานเพื่อนมาลอกส่งค่ะ ลอกหนังสือมันทั้งเล่ม ลอกระดับลายมือไม่สน มีส่งเป็นอันพอ สรุป เราเรียนจบด้วยเกรด 3.02 ค่ะ 5555 ผ่านแบบพอดีเป๊ะ เสร็จแล้วแม่ก็เอาเกรดเราไปย้ายโรงเรียนเข้าเอกชนค่ะ ย้ายเข้าไปกลางคัน แต่ที่เรียนใหม่นี้ เราไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เพราะช่วงปิดเทอม เราพยายามเปลี่ยนตัวเอง(หมายถึงนิสัยค่ะ ไม่ใช่หุ่น คืออ้วนเหมือนเดิม 555) เปิดเทอมมาก็หาเพื่อนปกติค่ะ

ตอนนี้เรื่องในอดีต เรานึกย้อนหลังไปมันก็ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว เราไม่ได้โกรธเกลียดเพื่อนสมัยเด็กอีกแล้ว แต่ก็นั้นแหละค่ะ เราว่าตัวเองเป็นเหมือนแก้วที่เคยแตก พอเอามาประกอบใหม่ มันก็ยังเห็นรอยร้าวอยู่ ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องที่ดูคุ้นๆ หรืออาจจะเป็นคนที่เคยแกล้งเรา เราก็อยากจะบอกว่า ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะค่ะ เราไม่โกรธแล้ว (หรือเขาอาจจะโกรธเราก็ได้ที่เอามาเล่า แบบเล่าผ่านมุมมองของคนๆเดียว 5555 ) เราก็ขอให้เลิกแล้วต่อกันค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของอดีต คนเราโตไปก็แตกต่างไปจากตอนเด็ก


ขอโทษ

ตอนแรกว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้แล้ว แต่พอเห็นว่ามีคนแชร์ไปเยอะ ไม่แน่ มันมีโอกาศที่เขากำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ก็ได้

เรื่องนี้เป็นเพื่อนที่เราเก็บไว้ในใจมาตลอดค่ะ


25/06/2017

ขอขอบคุณทุกความเห็นค่ะ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจดีไหมที่หลายความเห็นประสบปัญหาเหมือนกัน555555 วันนี้จะมาอัพเดทชีวิตปัจจุบันค่ะ

จากคำแนะนำที่ได้รับมา ตัวเราก็พยายามทำตามค่ะ ช่วงนี้เราพยายามชวนเพื่อนที่สนิทออกไปข้างนอกค่ะ ไปร้านกาแฟงี้ หรือบางทีเพื่อนชวนไปตลาดเราก็ไปค่ะ เราเริ่มออกข้างนอกได้ถ้ามีคนไปด้วยค่ะ(ถือว่าดีขึ้นอยู่เพราะปกติถึงมีคนชวนก็ไม่ไป) แต่สารภาพเราไม่ได้ไปงานที่มหาลัยจัดค่ะ ยังกลัวการไปอยู่รวมกับคนเยอะๆที่ไม่รู้จักคนเดียวอยู่

เวลาอยู่บ้าน เราใช้ชีวิตหมดไปกับการทำงานบ้าน เล่นเกม เล่นเน็ต ดูหนัง จะวนๆอยู่อย่างนี้ทั้งวัน พักหลังๆเริ่มยอมไปห้างบ้าง (ไปแปปนึง) แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร

แต่มีอีกเหตุการณ์ที่ทำให้เรากำลังหม่นลงอีกคือ คนที่เลี้ยงเรามากำลังป่วยหนักค่ะ นอนโรงพยาบาล แต่ด้วยความจำเป็นบางอย่าง ทำให้เราต้องมาอีกจังหวัดค่ะ ตอนนี้กำลังกลัวว่าจะกลับไปทันไหม

1
MRXCOOP 26 ต.ค. 61 เวลา 21:28 น. 8-1

26 ตุลาคม 2561

ผ่านไป1 ปีแล้วกับการตั้งกระทู้นี้ ไม่นึกว่า คนจะเข้ามาอ่านเยอะขนาดนี้ 555 ขอบคุณทุกคน ทุกความเห็น ทุกคำแนะนำจริงๆค่ะ ชีวิตช่วงนี้มีอะไรหลายอย่างต่างไปจาก 1 ปีที่แล้วค่อนข้างเยอะ ทั้งเรื่องที่ดีขึ้นและเรื่องที่แย่ลง อาจจะยาวนิดหน่อย ใครรำคาญอีนี่ก็ขอโทษด้วยแล้วกันนะคะ 5555

เรื่องที่ดีขึ้น

1.เรื่องอาการ OCD คือ ดีขึ้นเยอะแล้ว เพราะเราฝึกตัวเอง บังคับตัวเอง. ใช้ความพยายามสูงมากกว่าจะผ่านมาได้ แบบเรื่องเตารีด จะใช้เวลากับมัน ทำอะไรพยายามมีสติว่า เออ ถอดปลั๊กแล้วนะ ไม่ต้องหันกลับไป คือ วิธีนี้ไปอ่านในเน็ตมามันช่วยได้จริง

2. เรื่องโรคเก็บตัว หวาดระแวง โลกภายนอก อันนี้ คือ ดีขึ้นเยอะมากจริงๆ เพราะพอเราออกมาอยู่ตัวคนเดียว สถานการณ์มันบังคับค่ะว่า '-ต้องออกไปซื้อไรกินค่ะ ไม่งั้นอดตาย' คือ ก่อนมันจะดีขึ้น มันเคยอยู่ในจุดที่แย่มาแล้ว แบบ 4 วันกินแต่น้ำเปล่า 555 ไม่ควรทำตามนะคะ เดียวตายจริง พอออกมาซื้อของกินได้ ก็เริ่มเดินไกลขึ้น สรุป ถ้ามีตัง คือ ไปซื้อเสื้อผ้าเองได้แล้ว

หวาดระแวง ก็ยังมีอยู่แต่ดีขึ้น คุยกับพนักงานขายมากขึ้น (นิดนึง มันไม่รู้จะคุยอะไร )

3. โลกในจินตนาการ คือ จะว่าดีขึ้นไหม ก็เหมือนเดิม ว่างๆก็จินตานาการไปเรื่อย แค่ไม่ไปเดินเหม่อตามถนนเวลาเดินแล้ว เอาว่าดีขึ้นแล้วกัน 5555

เรื่องที่เหมือนเดิม (เย้)

ก็ยังแย่เรื่อง สะกดคำเหมือนเดิม กลัวการเข้าใกล้ผู้ชายเหมือนเดิม สมาธิสั้นเหมือนเดิม ซึ่งไม่ดีมากเพราะจะส่งผลต่อการเรียน บอกตรงๆค่ะ ว่าเกรดตก แต่จุดที่ต่าง คือ ตอนนี้เราเลิกกดดันตัวเองเรื่องทำเกรด ทำเต็มที่แล้ว ช่วง 2 อาทิตย์ก่อนสอบ คือ นอนตีสาม เกือบทุกคืน เอาเป็นว่าปลงค่ะ มีชิวิตก็สู้กันต่อไป

เรื่องที่แย่ลง

1. ช่วงนี้โดนคนมาคอยกดดันค่ะ แบบคนมีอำนาจ แต่ขอโทษ เราพัฒนาตัวเองแล้ว ออกแนว 'กุไม่สนจร้าาา กดดันไปสิ ทำอะไรกุไม่ได้หรอก' ซึ่งเออ ของแบบนี้มันแล้วแต่คน บางคนอาจจะมองว่าเรา ก้าวร้าว แต่เรามองว่า ทำไมเราจะต้องยอมให้คนพวกนี้มาลดคุณค่า ทำให้เรารู้สึกแย่ด้วย สู้มีความสุขกับสิ่งที่ทำดีกว่า แต่ก็นะ มันก็จะมีช่วงที่ Down สุดดๆเป็นระยะๆ คือ นอนไม่หลับเพราะเครียด หลายเรื่อง จนต้องกินยาแก้ปวด ให้ตัวเองหลับ

2. ขาดความมั่นใจ อันนี้เลวร้ายที่สุดแล้ว เราไม่มองกระจกเลย คือหาผ้ามาปิดกระจกใหญ่ไว้ ส่วนอันเล็กเอาไปแอบไว้ จนลืมแล้วว่าเอาไว้ที่ไหน เพราะทุกครั้งที่มองกระจก เราจะเห็นแต่ข้อด้อยตัวเองค่ะ เลยเลิกมอง ทาครีมก็ทาๆไป ทาลิปยังไม่ดูกระจก

ชีวิตเล็กๆน้อยๆมาอัปเดต คงลากระทู้นี้แล้ว หรืออาจจะเข้ามาดูอีกก็ได้ แล้วแต่อารมณ์ 555 สวัสดีค่ะชาวเด็กดี

0
Luhaifang 27 พ.ค. 60 เวลา 22:09 น. 9

มันอาจจะเป็นเพราะผลกระทบในอดีตรึป่าว เราก็มีเพื่อนแบบนี้เหมือนกัน เค้าก็ไม่คุยกับใครเหมือนกัน เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมที่จขกท.อยู่ ก็สู้ๆนะคะ มันอาจจะไม่ใช่อาการทางจิต วิธีแก้ก็คงจะเป็นการได้ระบาย ได้พูดคุย ได้ปรึกษา จขกท.ไม่จำเป็นจะต้องพูดคุยกับเพื่อนทั้งหมดพร้อมกัน แต่อยากให้เริ่มคนจาก 1 เริ่มพูดคุยจากคนที่ 1 และคนที่ 2 ไปเรื่อยๆ แบบนั้นมันน่าจะเป็นการเปิดโลกใหม่ๆได้ดีกว่าค่ะ สู้ๆนะคะ

0
หหหหหห 27 พ.ค. 60 เวลา 22:16 น. 10

ขอโทษนะคะแต่เจ้าของกระทู้เป็นโรคนี้หรือเปล่า แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม (Asperger Syndrome) เราว่าคล้ายๆอยู่นะคะยังไงลองปรึกษาแพทย์ดูก่อนโรคนี้รักษาได้ค่ะแต่ต้องใช้เวลายังไงก็สู้ๆนะคะ


2
MRXCOOP 27 พ.ค. 60 เวลา 22:50 น. 10-1

ก็อาจเป็นไปได้ค่ะ เอาตรงๆคือ ตัวเองเป็นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ เลยกลัวว่า มันจะเป็นโรคจิต 5555

0
HTA Ang 2 มิ.ย. 60 เวลา 20:05 น. 10-2

อย่ากลัวเลยค่ะ ตัวเราเองก็เป็นเหมือนจขกท.นะคะ ตอนเด็กๆเราสร้างโลกจินตนาการ ตัดขาดโลกภายนอก อยู่คนเดียว แต่คุยสนุกๆกับคนอื่น แต่เราก็สร้างกำแพงกั้นไว้เสมอ ไม่เปิดมันออกมา เราควบคุมความฝันได้ แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะตัวฉันอ่ะ มีสองคน คนหนึ่งก็เป็นคนที่มีแต่ความคิดแย่ อย่างเราจะตายเมื่อไร อยู่บนถนนก็คิดว่ารถจะชนเราตาย แต่ก็มีอีกคนหนึ่งที่มีแต่ความคิดดีๆว่าโลกนี้ดีจัง แล้วสองคนนี้ก็ค่อยๆรวมตัวกันกลายเป็นคนที่คิดอะไรกลางๆ ไม่ดี ไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้รวมกันสนิทดีหรอกนะ เพราะมันก็ยังมีบางช่วงเวลาที่ความรู้สึกเหล่านั้นโพล่ขึ้นมาเอง

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

ืNing warinthorn 2 มิ.ย. 60 เวลา 19:43 น. 12

โฮ่ หนักกว่าเราอีก คือเราก็เป็นคนโลกส่วนตัวสูงนะ แต่ก็ไม่หนักขนาดนี้ ยังไงก็สู้ๆนะ 5555 เป็นกำลังใจให้

0
Aoohapyn 2 มิ.ย. 60 เวลา 20:19 น. 14

เป็นกำลังใจให้นะครับ ถ้าคุณยังรู้ตัวว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ผมว่ามันก็ไม่น่ากลัวหรอกครับ

ปักรออ่านต่อ


ปล. อยากควบคุมฝันได้บ้างอะครับ

0
Jiab Chamnithinthuen 2 มิ.ย. 60 เวลา 20:31 น. 15

รออ่านค่ะ จขกท เป็นคนที่สังเกตตัวเองดีมากเลย สู้ๆนะคะ พยายามเปิดใจตัวเองให้มากๆนะ บางครั้งเราก็ไม่สามารถผ่านปัญหาไปคนเดียวได้หรอก

-โลกในจินตนาการ

จริงๆเราคิดว่าตัวเองก็มีนะ ไม่ว่าเราจะทำอะไรเราจะคิดถึงโลกในจินตนาการไปด้วยเสมอๆ บางครั้งก็รู้สึกว่ามันไร้สาระมากเลย แต่เราหยุดคิดไม่ได้ แล้วมันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเลย เราเลยเอาที่อยู่ในหัวมาวาดรูปซะเลย 555 สมุดวาดรูปเต็มบ้าน

- เราชอบนั่งจ้องอะไรๆนานมากๆ สังเกต หรือมองหารายละเอียดเล็กๆ จนหลุดเข้าไปในโลกของตัวเอง ครั้งนึงนั่งจ้องใบไม้นานมาก แต่ตัวเรารู้สึกเหมือนแปบเดียว ไม่ได้ยินเสียงอะไร จนเพื่อนมาสะกิดถามว่าใบไม้มีอะไรนั่งจ้องตั้งหลายชั่วโมง

-เราเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรงกับเรื่องเล็กๆบ่อยมาก อย่างหูฟังไม่เจอ เราก็รื้อข้าวของจนเละ แล้วก็กลายเป็นทุ่มทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวลงพื้น สุดท้ายก็ต้องมานั่งเก็บของอีกหลายชั่วโมง

เราเคยฟังเพลง Take Me To Church มีท่อนนึงร้องว่า We were born sick แล้วเราก็คิดว่าจริงนะ เราไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์ เพราะงั้นการที่เราพยายามจะเป็น'ปกติ'เพื่อให้คนอื่นสบายใจมันอาจทำร้ายตัวเราเองก็ได้

0
D_ui 2 มิ.ย. 60 เวลา 20:32 น. 16

เราคิดว่า ตัวเองมีส่วนคล้ายกับ จขกท. เหมือนกันค่ะ แต่ในกรณีของโลกส่วนตัว เราคิดว่าเราเป็นหนักกว่า


มันเป็นปัญหาใหญ่ของเราเลยค่ะ เราจิตนาการภาพในหัวทับซ้อนกับภาพความเป็นจริงเลย จนบางครั้งต้องขอยอมรับตรงๆ ว่าแยกไม่ออก ไหนความจริง ไหนจินตนาการ เรารักโลกในความคิดของเรามาก อยากทำให้มันเกิดขึ้นจริง จนตอนเด็กๆเคยเผลอเล่าเรื่องที่อยู่ในหัวเราออกไปให้คนอื่นฟัง ให้เพื่อนๆฟัง ก็คือ เวลาที่เห็นอะไร เราก็จินตนาการมันไปเรื่อย จนคิดว่า สิ่งที่เราจินตนาการน่ะ มันคือความจริง แต่เข้าใจมั้ยคะว่ามันเป็นโลกที่เรามโนขึ้นอีก ไม่ใช่ความจริง มันก็เหมือนกับการพูดโกหกว่าเรามีมัน แต่จริงๆแล้วไม่ได้มีมันเลย พอรู้สึกตัว ก็มีช็อคเหมือนกันนะคะ พูดอะไรออกไปนะ...อะไรคือความจริง อะไรคือจินตนาการ กลายเป็นเด็กมีปัญหาไปพักใหญ่ๆ ต้องหยุดเรียนไปเลยด้วย มันมีเป็นล้านเรื่องที่วิ่งวนอยู่ในหัวของเรา จนทำให้ปวดหัว เพราะเรียบเรียงความคิดไม่ได้ ไม่รู้ว่าอะไรควรคืด ควรหยุดคิด เราเหนื่อยมากค่ะ และเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้


แต่ตอนนี้โลกจินตนาการนั้น มันส่งผลด้านลบกับเราน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาแล้ว เพราะเราพยายามบอกตัวเองเสมอ ว่ามีสตินะ อะไรที่เราคิดขึ้นมาเอง ต้องแยกแยะให้ออก และต้องคิดให้น้อยลง อย่าฟุ้งซ่านเด็ดขาด และเราก็ใช้จินตนาการที่เยอะมากๆของเรา เทลงไปที่อื่นแทน อย่างการเขียนนิยาย จำกัดให้มันอยู่ในที่ๆเป็นของมันโดยเฉพาะ เอาจินตนาการไปใส่ภาพวาดของตัวเอง คือหาทางระบายล้านเรื่องในหัวออกมาให้ได้มากที่สุด โดยไม่ให้มันมาส่งผลด้านลบกับเราในชีวิตจริง แต่คิดว่าต้องพยายามไปอีกนานเหมือนกันค่ะ กว่าที่เราจะปกติกว่านี้

0
fox1412 2 มิ.ย. 60 เวลา 20:44 น. 17

เราเองก็เป็นเหมือนกับเจ้าของกระทู้นะ แต่เราเปลี่ยนมันได้นะ เราเจอคนที่เราสามารถไว้วางใจได้ รับที่เราเป็นแบบนี้ได้ เปิดโลกที่เราคิดว่าไม่น่าจะเปิดได้ #ใจเราต้องกล้าที่จะเปลี่ยนมันจริงๆนะ คำเดียวคือ"ต้องกล้า" กล้าที่จะเผชิญ กล้าที่จะถาม กล้าที่จะบอก แต่เท่าที่เราจะบอกได้นะ มันจะค่อยๆออกมาทีละนิดที่ละนิด บางอย่างเราต้องใช้เวลากับมันมากๆถึงจะไว้วางใจเขาได้ #สู้ๆค่ะเจ้าของกระทู้

0
libbyScorpion 2 มิ.ย. 60 เวลา 20:44 น. 18

น่าจะใกล้เคียงกับอาการ Anxiety Disorder ค่ะ

มันเกิดมาจากความกลัวที่จะถูกพ่อแม่ดุด่าลงโทษ ทำให้น้องพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดหรือทำอะไรก็ตามแต่เพราะกลัวจะไม่ถูกใจพ่อแม่ กลัวว่าจะโดนว่า โดนตี

พอนานเข้ามันก็ขยายใหญ่เป็นความหวาดกลัวที่จะอยู่ในสังคมเพราะกลัวว่าตัวเองจะพูดผิดหูคนอื่น กลัวว่าสังคมจะรุมตำหนิ 

.

มีอาการย้ำคิดย้ำทำด้วยใช่ไหมคะ? เป็นความรู้สึกอยากให้ชีวิตอยู่ในความควบคุมของตัวเองเพื่อลดความกังวลใจ เช่น "ถ้าไม่เรียงของให้เข้าที่จะรู้สึกกังวลไปตลอดวันและสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น" ....บางทีที่ผ่านมาคงไม่มีปากมีเสียงเลยใช่หรือเปล่า ไม่กล้าพูด

.

เอานี่ไปอ่านดูค่ะ แล้วปรึกษาแพทย์อีกครั้ง การทำแบบทดสอบบางทีก็ไม่สามารถบอกอะไรได้จนกว่าเราจะเล่าปูมหลังของเราให้แพทย์ได้วิเคราะห์ค่ะ

http://haamor.com/th/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%A5/

0
Devil Cafe 2 มิ.ย. 60 เวลา 21:01 น. 19

คือเรื่องการพูดคนเดียว พูดกับตัวเองเราก็เป็นค่ะ เราเป็นคนที่ถ้ารอบข้างมั่นใจว่าไม่มีใครก็จะพูดค่ะ พูดแบบน้ำไหลไฟดับเลย พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องแหละค่ะ แต่ถ้ามีคนเดินเข้ามาหรือมีคนเราก็จะไม่พูด แบบบางครั้งอะเราพูดคนเดียวแล้วแม่อยู่บนบ้าน(บ้านเราสองชั้น) จู่ๆเราหันไปเจอะแม่ คือใจมันเต้นรัวๆเลยอะ ประมาณว่าสิ่งที่เราพูดคนเดียวไม่อยากให้ใครมาได้ยินเลย

แล้วเราเป็นพวกที่มาเสียใจทีหลังอะ แบบ เห็นการณ์ผ่านมาแล้ว แล้วเผลอเอามาคิดซ้ำ แล้วก็มาโทษตัวเองว่าทำไมไม่ทำแบบนี้นะ ทำไมไม่ทำอย่างนี้ อะไรประมาณนี้แหละค่ะ

แต่ก่อนแม่เราก็คิดว่าเราบ้า แบบ ทำหน้าประมาณว่า"ยัยบ้านี่ พูดอะไรอยู่คนเดียว" แต่ว่าเราเคยนั่งคุยกับแม่อย่างจริงๆจัง แบลบนั่งคุยกันเลย จนแม่เข้าใจเราค่ะ

อย่ากังวลเลยค่ะว่าจะแตกต่างที่เป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฆ่าใคร ก็สบายใจได้เปราะนึงค่ะ5555 ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะคะ

0
โย่วโย่ว 2 มิ.ย. 60 เวลา 21:08 น. 20

จขกท.คล้ายๆเราเลยกลัวผู้ชายแต่เราไม่ได้ถึงขนาดกลัวขนาดนั้นนะ แค่รู้สึกว่าเวลาถูกเนื้อถูกตัวหรือว่สเค้ามาลูบหัวเนี่ยจะรู้สึกขนลุกและไม่อยากเข้าใกล้

0
พยายามเข้านะคะ 2 มิ.ย. 60 เวลา 21:22 น. 21

จากที่อ่านมาทั้งหมดก็อยากจะบอกว่ารู้สึกเสียใจด้วยนะคะ คือเราก็รู้ว่าเจ้าของกระทู้คงไม่อยากจะรู้สึกอะไรที่ส่งผลเสียหรือผลกระทบต่อจิตใจของตัวเองเท่าไหร่ เราคิดว่าอาการที่เจ้าของกระทู้เป็น (สังเกตุดีมากซึ่งเป็นสิ่งที่ดี) เป็นอาการที่คงจะเกี่ยวกับเรื่องจิตใจ แต่ก็ขอให้เจ้าของกระทู้อย่าปิดกั้นตัวเองมากเลยนะคะคือเราทราบว่าอาการแบบนี้มันต้องใช้เวลาในการรักษาที่จะหาย เรารู้สึกว่า เรารู้สึกว่าการที่เจ้าของกระทู้ได้มาระบายในบนอินเตอร์เน็ตนี้ก็หวังว่าเจ้าของกระทู้จะรู้สึกปลดปล่อยบ้างแล้วนะคะคือเราก็รู้เหมือนกันว่าการเก็บอะไรบางอย่างโดยเฉพาะความทรงจำที่มันไม่ดีหรือความรู้สึกที่มันเป็นในแง่ลบเก็บไว้กับตัวเองมันจะเป็นการส่งผลเสียต่อทางด้านสมองและด้านจิตใจของเราก็ขอให้ระลายมันออกมาเราเคยอ่านหนังสือเจอว่าถ้าเกิดว่าเราเก็บความรู้สึกที่แย่หรืออารมณ์ที่เราต้องการระเบิดออกมาไว้กับตัวมันก็เหมือนกับการเป่าลูกโป่งหรือการเก็บลมไว้ในนั้นจนมันขยายจนพองตัวแล้ววันนึงมันจะระเบิดออกมาซึ่งนั่นก็อาจจะกระทบและเป็นผลเสียมากกว่าเดิมเยอะมาก แนะนำ แนะนำให้ไปพูดคุยกับจิตแพทย์หรือไม่ก็นักจิตวิทยาก็ได้นะคะคือการที่เราต้องการให้ตัวเองดีขึ้นแต่ในทางกลับกันถ้าเกิดเรากลัวเราก็จะไม่เปิดใจให้เขาแต่เราก็ต้องเข้าใจว่าเขาต้องการพยายามที่จะช่วยเราอยู่ดังนั้นการที่เราจะให้ได้อะไรบางอย่างเราก็ต้องเสียบางอย่างไปเหมือนกันค่ะแล้วเราก็มั่นใจว่าถ้าเกิดเจ้าของกระทู้ได้ลองไปพบหรือพูดคุย + ทั้งเปิดใจซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ง่าย แต่เราว่าผลลัพธ์มันก็น่าจะคุ้มค่านะคะ ไม่ก็ลองศึกษาธรรมะดูเพราะว่าบางทีธรรมะทำให้จิตใจของเราสงบค่ะก็อย่างที่บอกไปได้อย่างต้องเสียอย่างค่ะแต่เราก็รู้ว่าเจ้าของกระทู้กำลังพยายามต่อสู้เพื่อตัวเองเป็นอย่างมากก็อยากจะขอให้ลดความคิดเห็นในแง่ลบของตัวเองลงไปแล้วก็พยายามคิดในแง่บวกเยอะเยอะค่ะ ไม่มีใครบนโลกนี้สมควรได้รับการกระทำที่ส่งผลต่อตัวเองแย่อย่างนั้นหรอกนะคะมันจะมีวันนึงที่เจ้าของกระทู้จะรู้สึกดีขึ้นค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ อีกอย่างเราไม่คิดว่าเจ้าของกระทู้จะเป็นโรคจิตหรอกนะคะแต่ว่ามันอาจจะเป็นอาการทางด้านจิตใจ ได้โปรดอย่าเหมารวมว่าอาการทางด้านจิตใจคือต้องเป็นโรคจิตทุกคนใครนิยามคำว่าโรคจิตละคะมีแต่คนเรานั้นละที่ตีกรอบความหมายมันไปเอง คิดในแง่บวกไว้ค่ะเจ้าของกระทู้อดทนมาได้ถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วค่ะเก่งจริงๆนะคะเพราะถ้าเกิดว่าเป็นตัวเราหรือคนอื่นอาจจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวเองมีอาการแบบนั้นหรือเปล่าดังนั้นคิดในแง่ดีไว้ค่ะ

0
หึหึหึ 2 มิ.ย. 60 เวลา 21:25 น. 23

ถ้าอยากหายจริงๆ ไปพบจิตแพทย์เถอะครับ กินยาสักพักก็น่าจะดีขึ้นแล้วครับ ลองหา คำว่า agoraphobia อ่านดูนะครับ

0
สู้ๆค่ะ 2 มิ.ย. 60 เวลา 22:23 น. 25

ถ้าสรุปเเบบง่ายๆ ในมุมมองของเรานะคะ เราคิดว่าจขกทเป็นคนที่คิดมากเเล้วก็วิตกกังวลมากค่ะ เพราะเราเคยเป็นมาก่อน ก็ตอนนี้ก็ให้หาจุดโฟกัสในชีวิตค่ะ เเล้วจขกท.จะคิดเเต่เรื่องนั้น จนลืมเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวันไปเลยค่ะ ปล.โฟกัสเราคือเรื่องเข้ามหาลัยค่ะ เราหมกเเต่เรื่องนี้ จนจากที่เป็นคนที่คิดมากตลอดเวลา(มากๆจริงๆค่ะ พูดตรงๆ) กลายเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเล็กน้อยไปเลยค่ะ คิดเเต่เรื่องว่าทำยังไงให้ทำเเพท1ได้ ถ้าจขกท เป็นเเบบเรา เเนะนำว่าลองทำดูค่ะ อาจจะดีขึ้น สู้ๆค่ะ

0
คนที่คุณก็รู้ว่าใคร 2 มิ.ย. 60 เวลา 22:32 น. 26

อ่านแล้วรู้สึกตกใจและเห็นใจจริงๆค่ะ ก่อนอ่านไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้และดูทรงแล้วน่าจะเป็นมานาน จริงๆคุณหมอเขาช่วยได้นะคะเราทราบว่าเจ้าของกระทู้กลัวโลกภายนอกกลีัวผู้คนและเลือกแสดงออกได้ แต่เราอยากให้เจ้าของกระทู้ใจแข็งสักนิดนะคะ แล้วลองให้คุณหมอช่วยดูเราว่ายังไงคุณหมอก็ต้องมีวิธีดีๆในการช่วยจขกท.ได้ สู้ๆนะคะเราเป็นกำลังใจให้ ทุกปัญหามีทางแก้ค่ะแค่เรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว

0
<เคยเป็น> 2 มิ.ย. 60 เวลา 22:53 น. 27

แต่ก่อนเราก็มีอาการแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่ได้หนักมาก ไม่ถึงขั้นควบคุมฝันตัวเองได้ แต่เรามีโลกของเรา ยังคุยกับตัวเองอยู่ เก็บตัว ไม่ชอบคนเยอะ ไม่เข้าสังคมด้วย เป็นคนเงียบๆจนคนอื่นว่าหยิ่งเหมือนกัน เราเคยกลัวไมค์ กลัวผู้คนเยอะๆด้วย กลัวจนปวดหัว ร้องไห้ แต่มีเพื่อนคนหนึ่งชวนเราไปเต้นโคฟเวอร์ <เราติ่งนะ แต่ติ่งคนเดียวแบบไม่เข้าสังคม> จริงๆเราว่าจะไม่ทำ เพราะเราไม่ชอบที่ที่เป็นจุดเด่นให้คนมอง แค่ยืนกลางคนมากๆ ก็ไม่โอเคแล้ว แต่ก็โดนลากให้ไปด้วยจนได้ ที่แรกเราไม่โอเคมากๆ แอบร้องไห้บ่อยๆ เพราะไม่ชอบ ตอนนั้นได้จับไมค์ครั้งแรก น้ำตาคลอไปเลย พี่ในทีมเลยแย่งไมค์จากเราไปพูดแทน คนในทีมคอยผลักเราเข้าสังคมเรื่อยๆ มันเลยทำให้เราหายจากอาการพวกนี้ เรากล้าที่จะพูดผ่านไมค์ กล้าที่จะเจอกับคนมากมาย กล้าที่จะแสดงออก กว่าจะหาย เราก็ใช้เวลานานพอสมควรเหมือนกัน แรกๆคือทรมานมาก กลัวไปหมด ร้องไห้บ่อยมาก แล้วคนในทีมคือมีผู้ชายด้วย เราจะไม่ค่อยยุ่งด้วย แต่ตอนนี้คือสนิทกันไปล่ะ แต่เรายังคุย ยังมีโลกในของตัวเองอยู่ เราว่าเราโอเคที่จะมีตัวเองอยุ่ในอีกโลกหนึ่ง มันทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ พอมาอ่านแล้ว เราก้เริ่มรุ้สึกกลัวว่าตัวเองจะแยกโลกจริงกับโลกของตัวเองไม่ได้แล้วล่ะ

ปล. สู้ๆนะ ทุกอย่างมันมีทางออก บางอย่าง ถ้าออกมาจากสิ่งที่กันไว้มันมักจะมีสิ่งดีๆรอเสมอ แม้มันจะไม่ได้สวยงามร้อนเปอร์เซ็นก็ตาม

0
Faytory 2 มิ.ย. 60 เวลา 23:36 น. 28

เราเป็นแบบ จขกท. ตรงทำแบบทดสอบกับพูดคนเดียวค่ะ เรื่องทำแบบทดสอบอาจจะเพราะส่วนตัวเรากลัวตัวตนจริงๆของเรามั่งค่ะ เลยทำให้เวลาทำแบบทดสอบจะตอบข้อที่คิดว่าดีที่สุดไม่ใช่ข้อที่ตรงกับเราที่สุด แล้วพูดคนเดียวเราไม่รู้ว่าแปลกไหมเพราะเราก็เป็น บางครั้งออกไปข้างนอกเราก็เผลอพูดกับตัวเองก็มี เราว่ามันไม่แปลกอ่ะเหมือนเวลาเราเคยชินกับการยกมือขึ้นดันแว่น แล้ววันหนึ่งไม่ได้ใส่แว่นก็เผลอยกมือขึ้นดันแว่นอะค่ะ

0
Down7 3 มิ.ย. 60 เวลา 00:34 น. 29

เราอ่านจบนะ เราคิดว่าดูๆแล้วที่จขกทไม่ระบายให้ใครฟังเพราะกลัวว่าเขาอาจจะมองเราแปลกๆจนเลิกคบเราหรือบางทีเขาอาจเอาเรื่องของเราไปเล่าให้คนอื่นฟัง ไม่ก็เขาแค่รับฟังแต่ไม่สามารถช่วยได้และเขาอาจไม่ใส่ใจเรื่องที่เราพูดเลย ที่จขกทเขียนลงอินเทอร์เน็ตอันนั้นฟังดูมีเหตุผล ที่ไม่เขียนใส่สมุดเพราะวันหนึ่งเราอาจเปิดเจอแล้วสิ่งต่างๆเรื่องราวที่เราเขียนมันจะหวนกลับมา เราก็เขียนนะบางทีเขียนเรื่องที่ดีใจและเสียใจใส่ไว้ในสมุด พอกลับมาอ่าน บางครั้งเราก็คิดว่า ตอนนั้นความรู้สึกเป็นแบบไหนดีใจขนาดไหนเสียใจแค่ไหน แต่เราไม่สามารถเอาความรู้สึกนั้นกลับมาได้หรือบางทีมันอาจเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่กับเหตุการณ์เดิมนั้น เราเลือกทีจะจดมากกว่า... การไม่พูดเราคิดว่ามันดีเพราะเราเป็นคนที่ชอบพูด พูดแต่เรื่องไร้สาระ มีสาระบ้างแล้วแต่อารมณ์นึกออกก็พูด แต่เราชอบเลือกที่จะไม่พูดเพราะบางทีพูดไปก็ไม่มีคนฟัง หรือไม่รู้จะพูดกับใคร เพราะเราเป็นลูกคนเดียว เราจึงตัดสินใจที่จะเก็บไว้กับตัวแล้วคิดทางเลือกที่1 2 3 ไม่ก็4เผื่อไว้ เราเป็นคนคิดมากและคิดเยอะ5555 กำแพงใครๆก็ต้องเคยสร้างไม่มีใครที่จะไม่เจอเรื่องร้ายๆจนต้องไม่สร้างกำแพงหรอก ถ้ามีเขาคนเป็นคนที่สามารถเรียนรู้ แก้ไข และอดทนจนผ่านไปได้ แต่น้อยคน(?)เพราะเราไม่เปิดใจ ไม่กล้าพอที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาด สิ่งที่หวาดกลัว สิ่งที่เป็นเรื่องที่เลวร้ายเอง เราจึงกลัวและสร้างกำแพง การปกปิดตัวตนไม่ใช่ว่าเราต้องเป็นคนที่แปลกจากคนอื่น บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ เราเคยโดนคนอื่นๆดูถูก เราเลือกที่จะเอาคำพวกนั้นมาเปลี่ยนตัวเอง ไม่ก็ยิ้มรับ ทำเหมือนคนคิดน้อย อารมณ์แบบพูดได้พูดไป ไม่ก็เรื่องของเราสำคัญขนาดที่เขาต้องใส่ใจ น่าตบให้หายยุ่งจริง(คิดบ่อย555) จริงๆตอนนี้เราอยู่ม.4เป็นช่วงหาเพื่อนใหม่ตอนแรกเรามีเพื่อนแค่คนเดียว แต่ใช่ว่าเราจะไว้ใจนะ จนตอนนี้มีที่คุยๆกัน5-6คนแล้ว ก็ใช่ว่าต้องไว้ใจเลย ที่เราไว้ใจมีคนเดียวที่คบเป็นเพื่อนมาเกือบ10ปีแล้ว เราคิดว่าเขาเป็นคนที่เราสนิทที่สุด แต่บางครั้งเขาก็สนิทกับคนอื่นจนเราน้อยใจ แต่ก็ไม่คิดเพราะเราเป็นลูกคนเดียวอยู่คนเดียวบ่อยถ้ากลับไปอยู่คนเดียวก็ไม่เห็นยาก แต่ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกันนะ พูดว่าเพื่อนสนิทเพราะเราคิดว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทเรา แต่เราสำหรับเขาเราไม่รู้

ส่วนการคุยกับคนอื่นไม่มีใครที่อยากคุย ทักกับคนแปลกหน้าหรอก เราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า การที่เขาทักเราก็แค่ตอบเป็นกาลเทศะก็พอแล้วมั้ง การเงียบบางทีมันไม่ว่าดีที่สุดแล้วนะ อันนี้จขกทลองพูดดูบางนะ แบบถ้าเขาถามทางก็ตอบว่า ขอโทษค่ะไม่ทราบค่ะ หรือเขาพูดลอยๆบางทีถ้าอยู่กับคน2คน(อย่างในที่สาธารณะงี้)ก็ลองตอบดู(ก่อนตอบต้องดูด้วยนะว่าเขานั่งคนเดียวและนั่งข้างเรา)กรณีที่เจอ

มันก็ต้องมีบางที่เราทำเรื่องบ้าๆกับเพื่อนอาจเพราะเราคิดว่าเรารู้จักกันดี...


พูดไม่จบ

เหมือนจขกทนึกอะไรได้ก็พูดออกมาแค่นั้น ฉันจะไม่ต่อหรือสาธยายอะไรแล้ว เพราะจขกทคิดว่าพูดไปเพื่อนก็คงไม่ฟังหรือเพื่อนไม่สนใจเรา พูดเฉยๆแค่นั้นคงไม่มีใครสน (บางที่เพื่อนก็น่าจะใส่ใจบ้างนะ...)


หวาดระแวง

คราวหลังก่อนออกจากบ้านเวลาที่เช็กสิ่งต่างๆจขกทก็ลองถ่ายรูปสิ พอออกจากบ้านนึกขึ้นได้ก็เปิดรูปดู จะได้รู้ว่าอ่อเราถอดปลั๊กแล้วอะไรอย่างงี้ ย้ำว่าถ่ายวันต่อวันแบบจะออกก็ถ่ายทีหนึ่งพอถึงบ้านก็ลบทิ้ง จะไม่ต้องมาคิดว่าอันนี้มันของวันไหน ลองทำดูนะ


Hikikomori

เราก็ไม่ชอบออกข้างนอก ไม่ชอบเวลาทีคนอื่นมอง แต่เราชอบที่จะมองคนอื่น555 เวลาคนอื่นมองเหมือนเราทำอะไรผิดรึเปล่า แต่เวลาที่เรามองคนอื่นเราจะคิดแบบ เด็กคนนี้น่ารักโตขึ้นต้องสวยแน่ๆเลย คนๆมานั่งนานแล้วยังไม่ไปเพราะเขารออะไรรึเปล่า เนี่ยเราชอบมองแล้วคิดแต่ไม่พูดนะ ถ้าจะออกไปข้างนอกเราต้องมีเพื่อนไปด้วยจะสนิทไม่สนิทไม่เกี่ยงเพราะวลาทำอะไรผิดก็ยังมีเพื่อนอยู่มันทำให้รู้สึกแย่น้อยลง เราไม่รู้ว่าวิธีเราจะได้ผลกับจขกทไหม การทำให้ภาพคนต่างๆที่ผ่านหายเนี่ยเราไม่เคยทำ เพราะเราใส่ใจคือแบบมองอ่ะ มองว่าใครเดินผ่าน บางทีเวลาผู้ชายเดินผ่านมองทีนึ่งได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย5555 อารมณ์แบบสแกนค่ะ555 ลองใส่ใจรายละเอียดสิ่งรอบตัวดูบางนะ เริ่มจากสิ่งของต่างๆในบ้านก่อนก็ได้ การที่จขกทกลัวจนร้องไห้อ่ะ จขกทเคยจินตนาการไว้รึเปล่าว่าถ้าจู่ๆ7-11 ไม่ใช่แบบนี้เราเห็นมันกลายเป็นอย่างอื่น สิ่งที่จขกทกลัว สิ่งที่จขกทคิดไปเอง ทำให้ไม่กล้าไป ลองมองดูของใน7-11ดูสิ เวลาเห็นก็ไม่ใช่ว่ามองนานสองนานนะ มองดูแค่ว่ามันหน้าตาแบบไหน(เอาวิธีจดสิ่งของมาใช้เลยยแต่เป็นจากจำจดเป็นมองดูเฉยๆแทน) การไปตลาดก็ลองดูพวกของต่างๆแทนล่ะกัน อย่าจ้องมีดสับหมูน่ะหรือ-ของที่เราคิดว่าพอมองแล้วเราจะคิดไปไกลว่ามันสามารถเปลี่ยนตลาดเป็นอย่างอื่นได้...


จดจำแต่เรื่องแย่ๆ

เราก็เคยเป็น ตอนนี้ก็ยังจำได้ว่าเราเลยทำเพื่อนผู้ชายร้องไห้(สาเหตุไม่บอกก)ตอนนั้นใจเต้นแรงมากรู้สึกผิดอยากกลับบ้านไม่อยากเจอเพื่อน...

แต่พอนึกถึงเราก็เลือกที่จะจด แทนรู้ถึงความรู้สึกนั้นแทนเพราะต่อให้เรารู้สึกเหมือนตอนนั้นความเจ็บของเพื่อนมันก็ไม่หาย(งงป่ะ555) ลองทำซ้ำแบบอดีตแต่เปลี่ยนการกระทำ อย่างตอนนั้นเราเตะ...จนร้องไห้ เราก็เลยที่จะเตะอย่างอื่นแทน อย่างกระสอบทราย(หาเล่นเอา55 ) ต้นกล้วย ไม่ก็เตะอากาศ เหมือนบริหารกายอ่ะ555


โลกในจินตนาการ

ทุกคนๆย่อมมียิ่งเด็กนี้ห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ แต่สิ่งที่จขกทเป็นเราคำว่าเป็นโลกคู่ขนานชั่วขณะคือเหมือนเราอยู่2ที่ในที่เดียวกันแล้วเราสามรถออกมาจากอีกที่ได้ เคยได้ยินไหมเราจะสร้างในสิ่งที่ตัวเองขาด เราเคยคิดนะว่าเรามีโลกคู่ขนานโลกนั้นเรามีน้องชาย แต่เราก็แบบคิดเมื่อว่างหรืออยู่คนเดียวมากกว่า


พบกับจิตแพทย์

เราก็เคยอยากไปพบแต่ไม่รู้ว่าต้องเสียค่าอะไรมากมายรึเปล่า เราก็เลยเลือกที่จะไม่ไป เพราะมีช่วงหนึ่งเราคิดว่าเราเป็นคน2บุคลิกแต่เราก็พยายามอยู่กับโลกที่เหี้ยมโหดนี้(!) เพราะความจริงที่ว่าโลกมันเลวร้ายมันก็ยังเป็นความจริง ต่อให้หนีไปไกลแค่ไหนก็จะถูกดึงกลับมาพบกับมันอยู่ดี เราย่อมมีวิธีการที่ทำให้คนอื่นรู้ว่าเราปกติ แน่นอนไม่มีใครอยากแปลกประหลาดในสังคมนี้... ลองหาแบบทดลองเล่นแล้วตอบตามความรู้สึกลึกๆดู บางทีปัญหานั้นแก้ได้ง่ายกว่าที่คิด ลงมือทำก่อนสิจะได้รู้ว่าแก้ได้หรือไม่


เราก็เคยกลัวผู้ชายแต่เราผ่านมาได้เพราะเราโรคจิต555 แบบคิดว่าถ้าเราฆ่าเขาล่ะ? เขาจะทำอะไรเราได้เราแค่คิดนะ! (เพราะโลกนี้มันมีกฎและความเชื่อสิ่งต่างๆที่มีอยู่ว่าควรหรือไม่ แต่ตามหลักพระพุทธศาสนาแค่คิดก็ผิดแล้ว ก็ช่างเหอะอย่างน้อยก็ไม่ลงมือและพูดว่าจะทำ) ลองเป็นลูกแหง่(?)ติดพ่อแม่ดูสิเวลาไปข้างนอกแล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นเพื่อน จนคนเดียว อย่าพูดนะว่าทำไมได้! ลองดูแล้วหรอ? ถ้าลองทำไมไม่พยายามล่ะ พยามยามให้มากกว่าเดิม เรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งนะ ต้องใช้เวลาสำหรับจขกทอาจจะนานหน่อย เราเคยโดนพ่อแม่ตี(แต่พอโดนแล้วเราจะป่วยเหมือนแบบใครตีเราก็ป่วยตลอดกับครูนี้ไม่เคย555 เพราะงั้นเขาจะตีเราไม่บ่อย นานๆทีแต่หนัก) บางทีเราก็เลือกที่จะทำหูทวนลม แล้วเงียบแทน เพราะการโวยวายไม่ใช่ทางแก้ปัญหาทุกอย่าง... ลองไประบายบางแบบของเรา เวลาไม่สบายใจ ทะเลาะกับใครก็จะไปเล่นเกมแทนแบบเอาอารมณ์ไปลงที่เกมงี้ ถ้าจขกทคิดว่าไม่เห็นด้วยก็ลองไปตะโกนระบายดูแบบทีเขาไปตะโกนให้ทะเล ให้ป่า ให้ท้องฟ้ารับฟังแทนอ่านะ


ขีดจำกัดด้านสมอง

เลือกที่จะใช้ให้ถูกที่ถูกทางถูกเวลาและไม่มีผลต่ออนาคตดูนะ ภาษาอังกฤษเราก็โง่มาก เคยคิดว่าตัวเองพูดไม่เป็นแต่สามารถเขียนและฟังเข้าใจได้ เราเลยเลือกที่จะฟังให้เข้าใจ ลองตอบถูกๆผิดๆดู แล้วค่อยเขียน เราคิดว่ามันต้องได้ผล! เราเชื่อและเราจะพยายามทำ!!


ความฝัน

พูดไปหมดแล้วมั้งอาจจะอยู่ร่วมๆกับเรื่องด้านบนที่พิมพ์อ่านะรึเปล่า??


พฤติกรรมคุยกับตัวเอง

ทุกคนต้องมีบางช่วงที่ต้องใช้ความคิดอยู่คนเดียวบางแหละ เราบางทีเราอาจเลือกทีจะจด และใส่คำตอบลงไป หรือนั่งตั้งคำถามแล้วตอบเองกันทั้งนั้น แต่ควรเลือกที่จะทำน้อยลงนะ เพราะบ่อยเกินไปคงไม่ดี...


ขาดความมั่นใจ

หันไปสนใจทำอย่างอื่นแทนสิ แล้วเขียนโน้ตติดไวว่า " ฉันทำถูกแล้วทุกอย่างโอเคร " มันอาจจะทำให้จขกทสบายใจก็ได้ ลองดูนะ


สิ่งที่ทำให้เกิดด้านลบ

แค่ไม่ใส่ใจหรือพยายามเลี่ยงหลีก ถ้าไม่ได้ผลเผชิญกับมันสิ...


สู้ๆนะไม่รู้ว่าความคิดเห็นของเด็กม.4จะช่วยอะไรได้

#คุยกับเราได้นะเราชอบรับฟังชอบคิดถึงจะคิดเยอะแต่มันก็สนุกที่ให้รู้ว่า โลกไม่ได้มีด้านเดียวคนไม่ได้มีแบบเดียวกันหมด

#เป็นกำลังใจให้

0
ชื่อไรดี 3 มิ.ย. 60 เวลา 01:19 น. 30

ผมเป็นเหมือนคุณเยอะมากเลยเลยอ่ะ 5555555

ดีใจนะเนี่ย คิดว่าผมเป็นอยู่คนเดียว แต่มันคงต่างนิดหน่อยที่ผมเป็นผช.

ผมไล่ทีละข้อเลยละกัน


พูดไม่จบ

ผมเป็นบ่อยๆครับ ตอนประถม มาหายตอนม.ปลายนี่แหละ คือรู้สึกว่ามีอารมณ์อยากเล่า อยากพูด แต่พอแค่เกริ่นขึ้นมาแบบ "วันก่อนอ่ะ มุงได้ไป...." ประมาณเนี้ย คือพอเริ่มพูดมานิดนึงก็จะรู้สึกว่า ไม่มีความมั่นใจที่จะเล่าต่อ เรื่องมันคงไม่น่าสนใจ คงไม่มีใครฟัง แล้วเพื่อนผมมันก็พูดเยแอะเหมือนเพื่อนคุณอ่ะ55555


หวาดระแวง

อันนี้ผมเป็นจนแม่ด่าอ่ะ คืออย่างผมล็อกประตูหน้าบ้านละ กำลังหมุนตัวเดินเข้า เอ๊ะหันมามองอีกซักรอบ เข้าตัวบ้านไป หันมามองอีกที จะขึ้นนอนก็หันมามองอีก บางทีจะหลับแล้วยังเอะใจ เดินลงมาดูอีกทีจนที่บ้านด่าว่าผมเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ


Hikikomori

ผมไม่รู้ว่ามันแปลว่าไร แต่แม่ผมเคยเล่าว่าตั้งแต่อนุบาล ผมมักไม่มีเพื่อน กลับมาทีไรก็ร้องไห้ตลอด บอกว่าไม่มีใครเล่นด้วย จนหลังๆมาผมนี่เปลี่ยนชื่อเล่นทุกวัน เป็นคนนู้นบ้างคนนี้บ้าง ซึ่งมันก็เป็นเพื่อนที่มีเพื่อนเยอะหน่อยนั่นแหละ อารมณ์ประมาณว่ากุเปลี่ยนชื่อเหมือนมันก็คงมีเพื่อนเหมือนมันมั้ง55555 ความคิดเด็กอนุบาลอ่ะ จนพอโตจนจำความได้หน่อย ผมก็ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่กล้าสบตาใครเท่าไร กลัวคนอื่น อยู่มุมเงียบๆคนเดียว และมันใช่มากเลยอ่ะ -โหมดลบรายละเอียดเครื่องหน้า เวลาเดินเหมือนคนอื่นไม่มีตัวตน ไม่สนใจใคร ผมรู้สึกเหมือนเดินท่ามกลางหมาอะ มันก็รู้สึกดีขึ้นนะ ไม่กลัว แต่ก็นั่นแหละ เดินผ่านเพื่อนก็ไม่รู้เรื่อง จนมันต้องมาสะกิดถึงจะรู้ แต่พอโตขึ้นซักม.ต้นผมก็เริ่มหาทางออกได้ ผมไม่รู้ว่ามันใช่ทางออกหรือเปล่า อารมณืเหมือนผมสร้างอีกบุคลกนึงขึ้นมาเมื่อตัวเองไม่มีความมั่นใจอ่ะ คือเวลาผมพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ผมกลัวมากนะ เข้าขั้นมือสั่นเลยเเหละ แต่ผมอยู่นิ่งแปปนึง มันเหมือนเปลี่ยนบุคลิกอ่ะ พูดพรีเซ้นนี่คล่องปรื้อ กล้าแซวคนโน้นคนนี้ กล้าจับเค้าไปทั่ว แต่มันก็อยู่ไม่นานอ่ะ บางทีก็วันนึง บางทีก็ไม่กี่นาที เหมือนอุลตร้าแมนอ่ะ 55555 (แต่มันมีหลายบุคลิกนะ ไม่ใช่แค่บุคลิกนี้)


จดจำแต่เรื่องแย่ๆ

ครับ แต่ผมคิดว่าใครๆก็เป็นนะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองเวลานึกถึงเรื่องนั้นๆด้วยมั้ง อย่างแรกก็คือ ผมมักปล่อยวางเรื่องในอดีตไม่ได้ นึกถึงมันทีไรรู้สึกเจ็บปวดทุกที(ยังกับพระเอก mv) บางทีก็เศร้าเป็นวันๆ บางทีก็หดหู่ แต่เรื่องที่ผมมักจะเศร้าที่สุดคือผมรู้สึกว่าครอบครัวผมไม่เหมือนเดิม มันเปลี่ยนไปราวกับว่าผมเปลี่ยนพ่อแม่ยังงั้นเเหละ ทั้งๆที่ผมถามทุกคนก็บอกว่าไม่มีไรเปลี่ยน อบอุ่นเหมือนเดิมไรงี้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมตอบไม่ได้


โลกในจินตนาการ

เอาจริงๆตอนแรกผมก็อ่านผ่านๆ คิดว่าคล้ายๆกันหลายเรื่อง แต่พอมาอ่านเรื่องนี้ผมถึงต้องมาเปิดคอมพ์พิมพ์เลยทีเดียว555555

คือเกริ่นก่อนนะครับ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะความเคลียดหลายอย่างมั้งที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ คือช่วงป.4เนี่ย บ้านผมมีปัญหาเรื่องเงิน พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยมากแล้วก็จะไล่ผมกับน้องขึ้นไปข้างบน น้องสาวผมก็จะร้องไห้ ผมก็ต้องปลอบแล้วก็ร้องไห้ให้น้องเห็นไม่ได้ บางทีผมก็มาแอบฟังพ่อเเม่ทะเลาะกันตรงบันได จนผมเริ่มหลุดเข้าไปในโลกของตัวเอง คือด้วยความว่าที่บ้านมันเครียดไปหมด อารมณ์ประมาณว่า อยู่โรงเรียนไม่ค่อยมีเพื่อน อยู่บ้านพ่อแม่ก็ทะเลาะกัน แล้วยังต้องคอยปลอบน้องสาวอีก ผมรู้สึกว่าโลกจินตนาการของผมเป็นความสุขเดียวที่ผมมี พอโตขึ้นมาหน่อย เข้ามัธยม คือห้องผมมันพิเศษกว่าตรงที่การแข่งขันมันสูงมากกกกก มีการสอบทุกสัปดาห์ สอบนู่นสอบนี่ ผมก็กดดันตัวเองตลอด ถึงจะเริ่มมีเพื่อนบ้างแล้ว แต่ผมก็อยู่ในโลกของตัวเองมากขึ้นเหมือนกัน เหม่อบ่อยมากกก จนครูคิดว่าผมไม่รู้เรื่อง บอกผู้ปกครองประมาณนี้ แล้วอาการผมจะเห็นชัดสุดเวลาดูหนังอ่ะ คือดูจบ แยกไม่ออกว่ามันคือหนัง คิดว่าตัวละครนี้ใันมีอยู่จริงใช้เวลาเป็นอาทิตย์อ่ะกว่าผมจะแยกแยะได้ พอโตมาถึงตอนนี้ก็อย่าง ผมดูพี่มาก ผมชอบบทแม่นากที่ใหม่เล่นมาก ผมก็เบลอๆเอ๋อๆอยู่2-3วันอ่ะ หันไปทางไหนก็เจอแม่นาก จนหลังๆมาผมเลิกดูหนังไปเลย และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาคือ บางทีผมมีอาการเสียงหลอนอ่ะ มันจะมาโดยที่ผมไม่รู้ตัว ไม่ได้มาตอนเศร้านะ คือมันสุ่มเลยอ่ะ เป็นประโยคว่า "โลกนี้ไม่มีความสุข" พูดยังเงี้ยวนไปวนมาในสมอง เอาไม่ออก แล้วคือมันดึงสมาธิผมไปมากอ่ะ บางทีต้องนั่งนิ่งๆเลย รอมันกายไปก่อน เป็นซัก5นาทีได้ แต่นานเป็นที ซักปีละครั้ง สองครั้ง ผมพิมพ์เท่านี้ก่อนโคตรยาวเลย55555

0
Lucid dream 3 มิ.ย. 60 เวลา 02:23 น. 31

เรื่องกลัวผู้ชาย เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้ามีผู้ชายรวมกันเป็นกลุ่มเยอะๆเราจะเลี่ยงเดินทางอื่นทันทีเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจไม่สบายใจ ส่วนเรื่องเก็บตัวเราคิดว่าเด็กสมัยนี้เป็นกันเยอะเพราะเรามีโทรศัพท์มือถือ มีอินเทอร์เน็ต แต่ถ้าให้เราอยู่ห้องเฉยๆแบบไม่มีอะไรให้เล่นให้ทำเราอยู่ไม่ได้นะ ส่วนเรื่องออกไปซื้อของซื้อข้าว เรายอมหิวดีกว่าออกไปซื้อในบางครั้ง เพราะเราค่อนข้างอ้วนเสื้อผ้าสวยๆไม่ค่อยมี ขี้เกียจทำผม สภาพดูไม่ได้จริงๆ พอเจอคนเค้าก็ชอบทักนู่นนี่ เราเลยไม่อยากเจอใคร + ขี้เกียจนั่นเอง ส่วนเรื่องโลกจินตนาการ เราว่าคนที่เกิดเป็นลูกคนเดียวจะมีโลกในจินตนาการทุกคนเพราะเราจะผ่านการเล่นคนเดียวมามาก เวลาเจอเรื่องอะไรเราจะเก็บไผคิดต่อว่าเห้ยเหตุการณ์แบบนี้ละถ้ามันเป็นแนวนี้ล่ะ ทีนี้ภาพมาเป็นฉากๆยิ่งกว่านิยาย แต่บรรยาเป็นตัวอักษรไม่ได้ ได้เเต่เก็บไว้สนุกคนเดียว ส่วนเรื่องควบคุมความฝันสิ่งนี้ไม่แปลก เราก็เคยคนส่วนใหญ่เคย เขาเรียกสิ่งนี้ว่า Lucid dream เราสามารถควบคุมได้และรู้ว่าไม่ฝัน เราสามารถกำหนดฉากที่ต้องการได้ และถ้าเผลอตื่นแล้วเราหลับและจินตนาการต่อ เราจะได้กลับมาฝันเดิมอีกครั้ง ถ้าจขกท.ได้อ่านก็ถือว่าเรามาร่วมแชร์ละกันเพลินๆ 5555 ไม่มีสาระไรหรอก

0
เดียวดาย 3 มิ.ย. 60 เวลา 06:20 น. 32

เป็นเหมือนกันครับแต่ผมไม่เก็บตัวเหมือนจขกท ผมชอบเดินไปไกลๆคนเดียว ย้ำกับตัวเองตลอดว่าไม่มีอะไรผิดพลาดใช่ไหมเช็กตัวเองทุกครั้งหลังทำอะไรก็ตาม เอาจริงๆผมกลัวผู้หญิงและชายไม่ไว้ใจทั้งพ่อและแม่พูดคนเดียวไม่ชอบคุยกับคนอื่นตอนอยู่โรงเรียนพยายามทำตัวปรกติแต่คนอื่นก็ว่าผมบ้าอยู่ดีผมชอบคิดทำอะไรแปลกๆอยู่เสมออยากทำคนอื่นให้ทะเลาะกันก็ทำ จำได้แต่เรื่องแย่ๆไม่ชอบอยู่ในที่คนเยอะๆมันทำให้ผมอึดอัดและกลัว บางทีถ้ามีคนมาแกล้งผมเอาคืนมันแบบเจ็บใจอย่างเอาของสำคัญของมันไปทิ้ง ผมว่าผมจะไปหาจิตแพทย์บ้าง

0
บีมจิ้นเบย์เอย์และเอย์นิจิ 3 มิ.ย. 60 เวลา 06:56 น. 33

จขกทเหมือนเราหลายๆเรื่องเลยค่ะ จขกทต้องสู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้ค่ะ เราต้องผ่านมันไปให้ได้สู้ๆ

0
sum1thatwanttohelpu 3 มิ.ย. 60 เวลา 07:16 น. 34

It's like reading my own story haha. I think you got anxiety disorder. I also have that. And don't worry it's not something to embarrassed about, you're not weird or strange.You can try to search more about it, you'll find a lot of ways to control it. Also if u are scared don't hide try your best to go out as much as possible. Just go for a walk outside for 5 mins while listen to your favourite song,no need to go far away. Just try to do that at least once a week, then you can double it later on. After you feel comfortable with that try to go to the shop and try talk to the cashier a bit and after that try to go to the bigger places. Step by step. It will get better over time. Time will heal everything. Trust me I been there. Also try to not get too overwhelmed by it. Remember too breathe. If you need help with something else just contact me. Line: gellexo_yehet (don't laugh at my name lol I was careless) I'm here to help and I'm not judging you, you can trust me. Xo


Ps. Sorry that I have to wrote this in English.. I don't know how to write some word in thai so it's easier to write in English.. I hope you can read what I wrote. it's really helpful (I hope it is) and I really want to help because I understand how you feel and it's not easy. Anyway I can understand, write, read and speak thai. You can contact me whenever you want if you need help with anything I will be there to help.


Pss. If someone could translate all of this for me, it would be amazing.

1
sum1thatwanttohelpu 3 มิ.ย. 60 เวลา 07:24 น. 34-1

its hurt my heart to see someone goes through something i been through. im no doctor but please if u need help with anything i will try my best to help you and we will go through this together, i promise.

0
itsreal1926 3 มิ.ย. 60 เวลา 08:50 น. 35

ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มั้ย เเต่จะบอกแบบนี้นะคะ อดีตคือสาเหตุของปัจจุบัน และปัจจุบันก็จะกลายเป็นสาเหตุของอนาคต เราก็เป็นคนนึงที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคจิตอ่อนๆ แต่พอเราเริ่มสังเกตุพฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิดตัวเอง เราก็เริ่มทำความเข้าใจพฤติกรรมตัวเอง เราเคยกลัวผู้ชายมากๆ กลัวจนสั่นเหมือนคุณเลย จนวันนึงเราเริ่มด้วยการอยากเอาชนะคงามกลัวในใจตัวเอง เลยเริ่มมีเพื่อนผู้ชาย อาการมันเริ่มดีขึ้นค่ะ หลายสิ่งหลายอย่างมันต้องรู้เท่าทันตัวเองค่ะ เมื่อเรารู้ทันมัน เราจะควบคุมมันได้ แต่ในเรื่องของจิตใจกับความรู้สึก เราว่ามันคงต้องฝึกจากการเริ่มด้วยความใจเย็น ค่อยๆนึกคิดไปช้าๆ ให้เงลาจิตใจฟื้นฟู มันจะดึขึ้นเองค่ะ เป็นกำลังใจให้นะ

0
the_ducking 3 มิ.ย. 60 เวลา 09:17 น. 36

เราก็เคยเป็นแบบนี้ค่ะ คือเราเป็นเด็กมีปมนะ ครอบครัวเราไม่ค่อยอบอุ่น มันจะมีช่วงนึงที่เราเป็นแบบนี้ค่ะ กลัวหลายๆอย่าง กลัวการพบปะผู้คนมากๆค่ะกลัวตัวเองจะทำพลาด ให้คนอื่นเดือดร้อน แต่เราจะนึกถึงนิสัยของคนรอบๆตัวแล้วก็คิดว่า เฮ้ย ทำไมเค้ายังทำแบบนั้นแบบนี้ได้ เราก็จะเก็บมาคิดแล้วก็ลองทำดู ครั้งแรก เรากลัวมากค่ะ แต่มันจะเป็นฟิลลิ้งที่แบบขาสั่นก่อนก้าวออกจากประตูบ้านตอนก้าวก็ตัดความกลัวออกไป 1 วิ ค่ะ แล้วก็ก้าวออกไป พอหลังจากนั้นเราก็จะกล้ามากขึ้น พอได้เจอ ได้พูดคุยกับคนอื่นมากๆ เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง เหมือนได้หลุดออกจากวังวนตัวเองค่ะ อยากแนะนำให้คุณเข้าสังคมค่ะ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด คิดถึงอนาคตที่เราอยากเป็น แล้วเราจะสามารถสร้างตัวตนที่เราอยากเป็นได้ค่ะ พูดไม่จบ เราเป็นบ่อยค่ะ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่เราก็ลืมๆ ปลงๆค่ะ ความจำดีมากค่ะ แต่เลือกที่จะไม่จำ แบบมองบนเฮ้ยช่างแม่ง มองโลกในแง่ดีไว้ค่ะหาอะไรทำแบบที่ไม่เคยทำ สู้ๆนะคะ ว่างๆมาคุยกับเราก็ได้ ขอโทษที่บ่นเยอะไป แต่สู้ๆนะคะ

0
10297 3 มิ.ย. 60 เวลา 09:20 น. 37

อ่านจบแล้วค่ะ แต่เราสะดุดกับ อาการที่คิดตลอดว่าพูดแบบนี้คนจะชอบมั้ยนะ คิดเป็นเรื่องปกตินะคะเราว่า การคิดตลอดว่าพูดอะไรถึงจะได้ผลตอบรับที่ดี เราก็เป็น แต่บางคนอาจจะเลือกใช้แค่กับเวลาที่ต้องการความน่าเชื่อถือ ความศรัทธาจากคู่สนทนา หรืออยากให้คู่สนทนาพึงพอใจในตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ถือว่าปกติมากค่ะ แต่ถ้าจำเป็นต้องคิดทุกคำที่พูดออกมา กับเพื่อน กับคนในครอบครัวทุกปรธโยคทุกคำก็ไม่เดือดร้อนหรอก แต่จะเหนื่อยตัวเองไปหน่อย บางทีเราอาจจะต้องสัมผัสคมรู้สึกตัวเองให้ได้แล้วพูดออกไปตามนั้นตรงๆอาจจะแก้ปัญหาได้ค่ะ(ในกรณีของเราคุณพ่อเป็นฐานที่ละเว้นไว้คะ เรากลัวปฏิกิริยาของท่านมาก ถึงขั้นนั่งเรียงประโยคในหัวก่อนจะพูดออกไปทุกคำเหมือนจขกทเลยค่ะ555)


อาการแบบนี้เราเคยอ่านเจอในหนังสือเรื่อง No longer human สูญสิ้นความเป็นคนของดาไซโอซามุค่ะ อยากแนะนำให้ลองไปอ่านดูแต่แค่พาร์ทแรกของเรื่องนะคะ พาร์ทหลังๆมันจะหดหู่มากเกินไปเท่าที่เราอ่านจากสำนวนที่คุณเขียนและความเครียดของคุณแล้วไม่ควรอ่านพาร์ต่อค่ะ แต่ลองศึกษาดูก็ได้ค่ะ เป็นอาการของผู้เขียนที่เอามาแต่งเป็นนิยาย พออ่านแล้วมันอาจจะสอนตัวเราได้ว่า สุดท้ายแล้วเป็นตัวเราที่เครียดที่คิดไปคนเดียว เผื่อนะแก้ได้



0
.... 3 มิ.ย. 60 เวลา 09:23 น. 38

เมื่อก่อนเราก็เป็นน่ะพวกไม่ชอบเข้าไปที่มีคนเยอะๆ กลัวที่จะไปเผชิญหน้า วันหยุดเราก็ซุกตัวอยู่แต่ในบ้าน เรามีอาการหยุดพูดเหมือนกัน เราคิดคำเริ่มสนทนาไม่ออก บางวันเราเป็นคนเฮฮา บางทีเราก็เงียบ แต่เรามีเพื่อนน่ะ เราสนิทกับเพื่อน แต่เวลามีเรื่องสนุกๆเราจะเล่าเพื่อนแต่กลายเป็นเรื่องนั้นไม่สนุกเพราะเราเรียงเรื่องที่จะเล่าไม่ถูก 5555 เราคิดคนเดียวในหัว ก่อนจะพูดเราคิดแล้วคิดอีก

0
iamn 3 มิ.ย. 60 เวลา 09:30 น. 39

เราเคยเป็นคล้ายๆกันเรื่องการกลัวการออกไปข้างนอก กลัวโลกภายนอก แต่อาจจะไม่เท่าจขกท. ตอนนี้เราดีขึ้นเยอะแล้ว และเราได้เรียนรู้ว่าวิธีการแก้ความกลัวได้ดีที่สุดคือการเผชิญหน้ากับมันนี่แหละค่ะ อยากเป็นกำลังใจให้นะคะ เราไม่ได้ไปพบแพทย์ เพราะไม่ชอบเล่าเหมือนกันนี่แหละค่ะ แต่ถ้ารู้สึกว่ามันหนักเกินไปแล้ว ลองไปเจอนักจิตวิทยาแบบไม่คิดอะไรมากดูก็ไม่น่าจะเสียหายนะเราว่า

ขอเล่าเรื่องตัวเองบ้าง จริงๆตอนแรกเราเป็นพวกชอบอยู่บ้านอยู่แล้ว แบบเป็นพวกขี้เกียจด้วย แล้วก็รู้สึกว่าในบ้านมันปลอดภัย เพราะเราเป็นคนขี้กังวลอยู่แล้ว ชอบมองตัวเองในแง่ลบ ไปไหนทีนึงก็จะแต่งตัวนาน ชอบคิดว่าคนอื่นจะมองเรายังไง คิดไปเองก็เยอะ แต่ยังไม่หนักจนกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันนะ จนมีช่วงนึงที่เราแทบไม่ออกไปไหนเลยเป็นเดือนๆ หมกตัวอยู่แต่ในห้อง นานๆก็มีไปที่ใกล้บ้านบ้าง เช่น เซเว่น ถ้าคนไม่เยอะมากก็ยังไม่รู้สึกอะไรมากนะ แค่กังวลแบบปกติ

แต่พอนานๆไป มีครั้งนึงเราไปข้างนอกกับเพื่อน เป็นตลาดเหมือนกัน คนเยอะมากเลย วันนั้นเรารู้สึกใจไม่สงบเลย แล้วมันก็แสดงออกมาทางร่างกายด้วย สั่นๆ แบบมือสั่น ขาสั่น รู้สึกมันมากกว่าที่เคยกังวลปกติแล้วอะ หลังจากนั้นเราก็ยิ่งไม่อยากไปไหนมากกว่าเดิมอีก แต่มันก็มีเหตุให้ออกนอกบ้านมากขึ้นซะงั้น แต่เป็นแบบไปกับครอบครัว คนไม่เยอะอะไรแบบนี้นะ พอออกจากบ้านมากขึ้นบ่อยขึ้นเราก็รู้สึกว่าเรากลัวน้อยลง กลับมาเป็นความกังวลระดับปกติที่เราเคยเป็น ไม่ถึงกับสั่นเวลาเจอคนเยอะๆเหมือนแต่ก่อนแล้ว

ส่วนนึงอาจเพราะเราชินกับการไปข้างนอกมากขึ้นนี่แหละ แต่เอาจริงๆถ้าตอนนั้นมันไม่จำเป็นเราก็คงไม่ไปไหนอะ แล้วเราก็อาจจะยังกลัวเหมือนเดิมนั่นแหละ 55555 แต่ถ้าให้ไปพูดหรือทำอะไรต่อหน้าคนเยอะๆหรือแค่กลุ่มคนซัก 10 คนขึ้นไปก็ยังสั่นอยู่นะ ยังพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่ 5555

0
SxnLkN 3 มิ.ย. 60 เวลา 10:44 น. 40

เป็นเหมือนกัน นึกว่าเราเป็นอยู่คนเดียว เราไม่ค่อยชอบการเข้าสงคมหรือที่ๆมีคนเยอะๆ(ยกเว้นห้าง) โดยเฉพาะอยู่ใกล้ผช. กับฝูงผู้คนเราหลบตาตลอดหรือไม่ก็ทำหน้านิ่งใส่จนว่าหยิ่ง(เราเป็นคนเตี้ยด้วยน่ะนะ) เราพูดกับตัวเองบ่อย(เราเคยถามเพื่อนที่เคยเห็นเราคุยคนเดียว มันบอกว่าดูไม่เต็มค่ะ555) แต่เราไม่ย้ำคิดย้ำทำ เป็นเหมือนคนไม่รอบคอบอ่ะ จะตั้งใจทำอย่างนึงจนลืมทำอีกอย่าง ._.

0
Pattsu 3 มิ.ย. 60 เวลา 11:15 น. 41

เท่าที่อ่านดูแล้ว เราแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์นะคะ


ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่า การไปพบจิตแพทย์นั้น ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นบ้าค่ะ แค่รู้สึกไม่สบายใจ มีความเครียดสะสมมากๆ รู้สึกแปลกแยก หรือรู้สึกซึมเศร้า ก็สามารถไปพบจิตแพทย์ได้แล้ว


อย่าปล่อยให้ค่านิยมผิดๆมาตัดสินเรานะคะ เพราะจิตใจของคนเรามันก็ไม่สบายได้เหมือนร่างกายค่ะ และมันก็สามารถรักษาได้ด้วย


และเราก็ขอรับรองว่ามันต้องปลอดภัยแน่ๆค่ะ เพราะจรรยาบรรณของแพทย์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ดังนั้น ไม่ต้องกังวลเลยค่ะว่าความลับจะรั่วไหล หรือรู้สึกว่า 'เอ้ะ ถ้าเราเล่าไปแล้วเขาจะมองเรายังไง จะถูกตัดสิน จะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีหรือเปล่านะ' เลยค่ะ เพราะจิตแพทย์ทุกท่านต้องได้รับการศึกษาและมีประสบการณ์มามากพอสมควรเลย (เพราะจิตแพทย์ต้องเรียนแพทย์ 6 ปี ศึกษาด้านต่างๆที่ครอบคลุม แล้วจึงมาศึกษาต่อเฉพาะทางอีกหลายปีเลยนะคะ)


ดังนั้น ไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเถอะนะคะ

ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะว่าถ้าไปพบแล้วจะไม่สบายใจ เห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าเลยไม่กล้าเล่า เพราะจิตแพทย์จะมีวิธีการต่างๆที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้น ทำให้เรากล้าเปิดใจเล่ามากขึ้นแน่นอนค่ะ


(และถ้าหากรู้สึกว่า จิตแพทย์ท่านที่เราไปพบนั้นยังไม่ค่อยลงตัวกับเรา ก็สามารถขอเปลี่ยนท่านได้นะคะ เช่น ถ้าหากเจ้าของกระทู้เป็นผู้หญิง ก็อาจจะรู้สึกสบายใจในการเล่าให้ผู้หญิงฟังมากกว่า เป็นต้นค่ะ)


* หรือ ถ้าหากเจ้าของกระทู้ยังไม่สะดวกไปพบจิตแพทย์ในช่วงนี้ แต่ว่ารู้สึกไม่สบายใจขึ้นมามากๆเมื่อไหร่ เราแนะนำให้โทรไปที่เบอร์นี้นะคะ 1323 เป็นสายด่วนสุขภาพจิตค่ะ รับปรึกษาปัญหาต่างๆฟรี *


สุดท้ายนี้ เราขอเป็นกำลังใจให้นะคะ

0
Bubble Mint 3 มิ.ย. 60 เวลา 13:58 น. 42

ที่บอกว่าเรียงลำดับตัวอักษรไม่ได้น่ะค่ะ เธออาจจะเป็น Dyslexia นะคะ คือจะสะกดคำผิดๆ ถูกๆ เป็นเยอะในคนที่สมาธิสั้น

ส่วนเรื่องย้ำคิดย้ำทำ การเข้าไปอยู่ในความฝัน การคุยกับตัวเองคนเดียว ทั้งหมดนี้เป็น Defense Mechanism นะคะ คือกลไกป้องกันตนเอง ลองหาข้อมูลอ่านดูก่อนนะ

การขาดความมั่นใจในตนเองก็แก้ได้นะคะ ถ้าคนเดียวทำไม่ได้ ลองหาจิตแพทย์ค่ะ ช่วยได้แน่นอน

ถ้าไม่รู้จะแก้ยังไง เปลี่ยนความคิด ทัศนคติยังไงและไม่อยากบอกใคร ก็อ่านหนังสือค่ะ อ่านให้เยอะๆ เยอะมากๆ มันจะไปเพิ่มประสบการณ์แล้วบางทีเราก็เปลี่ยนความคิดไปเลยค่ะ แต่ต้องเยอะๆ นะคะ เราก็อ่านนะ อ่านทั้งนิยาย การ์ตูน ชีวประวัติ พ็อคเก็ตบุ๊ค ทุกอย่างที่เราสนใจเลยค่ะ ดูเหมือนเรื่องทั่วไป ไม่น่าจะช่วยได้ แต่มันช่วยได้จริงๆ นะคะ


ประเด็นที่จะขอแนะนำคือ การไปหาจิตแพทย์ค่ะ

ที่เธอเล่าเป็นการหาแบบผิวเผิน ไม่แปลกใจที่หมอท่านนั้นไม่รู้นะ เพราะหลายๆ คนคิดว่าจิตแพทย์พอเห็นคนปุ๊ปต้องรู้เลยว่าเป็นไม่เป็น ซึ่งมันไม่ใช่

ต้องมีการทำแบบทดสอบ พูดคุย สัมภาษณ์ก่อนค่ะ

และบางทีทำขนาดนั้นยังไม่รู้ก็มี อย่างที่เธอบอก การเสแสร้งแกล้งทำ ใครๆ ก็ทำได้เนอะ

อยากให้เปิดใจค่ะ คิดว่าจิตแพทย์เป็นเหมือนคนในอินเตอร์เน็ต คิดว่าเรากำลังพูดระบายความในใจกับตนเองไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดว่าเค้าเป็นคนก็ได้ คิดว่าเป็นกระจก เราอยากพูดอะไรเราก็พูด ไม่ต้องกลัว

รู้ว่าพูดง่ายทำยากค่ะ แต่อยากให้พยายามนะคะ

ถ้าอยากจะแก้ไขนิสัยนี้

ไม่รู้นะคะว่านิสัยตรงนี้เธอเห็นเป็นปัญหามั้ย ถ้าไม่ก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าอยากแก้ไข เธอลองพยายามดูนะคะ อันนี้ไม่บังคับ เพราะเราก็ไม่เห็นว่าเป็นปัญหาตรงไหน แต่ถ้าคิดว่ามันส่งผลกับเธอมาก และมันไม่โอเคก็ลองดูค่ะ ^_^


ขอระบายหน่อยนะ เห็นเธอระบายละอยากพูดบ้าง 55555555

เราเองก็เป็นเหมือนเธอหลายข้อเลย อย่าง

ไม่มั่นใจในตนเอง รู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าคนอื่น ทำนู่นไม่ได้หรอก

พูดคนเดียวแบบเป็นเรื่องเป็นราว พูดได้เป็นชั่วโมงๆ เลยนะ ทั้งคิดในใจ พูดออกเสียงเลย จนแม่คิดว่าบ้าแล้ว

ไม่ชอบออกนอกบ้าน แต่ไม่หนักเท่าเธอนะคะ ถ้าจำเป็นก็ได้

ความจำสั้นดี ยาวก็ดี บางทีก็ลืมง่ายแต่ถ้าถูกกระตุ้นจะจำได้ทันที เหมือนเธอเลยค่ะอันนี้

เก็บกดมาก ไม่ไว้ใจคนง่ายๆ ถึงขั้นที่เพื่อนเคยพูดว่า มีอะไรก็พูดตรงๆ นะ ไว้ใจเพื่อนหน่อย โอ้โห ตอนนั้นเราอึ้งไปเลย อยากไว้ใจนะแต่มันทำไม่ได้ ขนาดคนในครอบครัวเรายังไม่พูดเลย

ชอบเพ้อฝัน คล้ายๆ อยู่ในโลกจินตนาการ อยู่ในนิยาย คิดได้เป็นเดือนๆ บางครั้งเราแยกความฝัน จินตนาการกับโลกความจริงไม่ออกด้วย

ที่บอกว่าลบหน้าตาคนที่เดินสวนกันเราก็เป็น ขนาดที่ว่าเพื่อนเดินข้างๆ เฉียดไหล่เราก็ไม่รู้ตัว แต่ของเราอาจจะเป็นเพราะไม่ใส่ใจ ใจจดใจจ่อกับทางเดินมากจนไม่มองหน้าคนเลย

อารมณ์พูดไม่จบนี่เราก็เคยเป็น แบบพูดๆ อยู่ก็หยุดไปเลย ไม่รู้จะพูดทำไม พูดไปก็ไม่มีใครฟัง เป็นเหมือนเธอเป๊ะเลยข้อนี้

มีทักษะเข้าสังคมต่ำ คือไม่รู้จะพูดกับคนอื่นยังไง ถ้าเจอเพื่อนตามทางก็ไม่ทักเลย เพราะไม่รู้จะคุยอะไรดี

เราจำได้แต่เรื่องที่ส่งผลกระทบแรงๆ กับเรา เรื่องดีๆมีบ้างแต่น้อย จำได้แต่เรื่องแย่ๆ เยอะ

โลกส่วนตัวสูงมาก เราสามารถไม่พูดกับใครได้เลยหลายวัน ถ้าของในบ้านมีเพียงพอก็ไม่ออกไปไหนได้เป็นเดือนๆ ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ออกจาก Comfort zone เลย


เราเรียนจิตวิทยา ตอนนี้ปี 3 เลยเคยทำแบบทดสอบทางจิตอยู่ เราไอคิวสูง อีคิวก็ดี ปกติหมด แต่อาจารย์เรารู้นะ ว่าเรามีปัญหา แต่เค้าไม่รู้ว่าเรามีปัญหาอะไร เพราะเราไม่ยอมให้เขาเข้ามาช่วยเอง เพราะอาจารย์รู้จักเรา ดังนั้นเราเลยไม่เชื่อใจที่จะบอก

ตอนนี้เรากำลังหาเวลาไปพบจิตแพทย์อยู่ค่ะ กะจะพาแม่ไปด้วยเพราะแม่เราเป็นเหมือนเธอเลย ปกติก็ธรรมดา แต่พอโกรธขึ้นมา ด่าแบบไม่น่าเชื่อว่าคนเป็นแม่จะด่าอย่างนี้ เหมือนไม่ใช่ลูก เหมือนเราเป็นศัตรูชาติที่แล้วอ่ะ แต่เราโต้กลับนะ เรียกง่ายๆ ว่าเถียง แต่เราเถียงแบบมีเหตุผล จริงๆ จะไม่ตอบโต้ก็ได้แต่ไเราไม่เอาแบบนั้น เพราะถ้าเราอดทน เก็บมากไป เราอ่ะจะแย่เลย (เราเคยเก็บกดจนร้องไห้ เอาหัวกระแทกกำแพงแรงๆ ทั้งคืน กำมือจนเป็นแผลลึกมาก) เราเลยให้มันปล่อย จะได้ไม่ต้องไประเบิดตู้มทีเดียว คนนอกมองว่าเราไม่มีสัมมาคารวะ เราก็ไม่สน เพราะคนที่โดนคือเรานี่ ไม่ใช่พวกนั้น เค้าก็พูดได้สิ

แม่เรานี่เป็นหนักมากๆ เหมือนเป็นคนละคนเลย


ยังไงก็อย่าเครียดมากไปนะ ปล่อยวางค่ะ ถ้าไม่อยากแก้ไข ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ค่ะ

ตอนนี้เราโอเคมาก เพราะเราไม่สนละว่าใครจะมองยังไง เราปล่อยค่ะ พวกเขาไม่มีค่าพอให้ใส่ใจ เราจะใส่ใจกับคนที่เราอยากใส่ใจ ไม่บังคับหักดิบ เราแค่ "อยาก" เปลี่ยนแล้วก็พยายามแค่นั้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนได้ไม่ได้ เราก็ได้ลองทำแล้วค่ะ อย่าไปคิดว่า เห้ย เรา "ต้อง" เปลี่ยนนะ มันจะกลายเป็นกดดันตัวเองเข้าไปอีก

พยายามเข้านะ เครียดมากมาคุยกับเราได้อยากระบายเฉยๆ ก็ได้ เราเป็นผู้รับฟังที่ดีนะ และเราก็รู้สึกแบบนี่มาก่อน ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่ แต่น้อยลงแล้ว

0
Nanamiki 3 มิ.ย. 60 เวลา 16:01 น. 43

เราก็มีอาการคล้ายๆ จขกท.แต่ไม่หนักขนาดนั้นอ่ะ คือเราไม่ชอบพบปะผู้คนแต่เราก็ไม่ถึงขนาดหวาดระแวงอะไรขนาดนั้นนะ ยังไงก็สู้ๆนะ

0
ผู้หวังดี 3 มิ.ย. 60 เวลา 17:55 น. 44

ที่เราคิดคือ อาจจะมีส่วนหนึ่งอาจเป็นเพียงไม่กี่ส่วนที่อาจจะมาจากตัวแม่ของจขกท. จากที่จขกท.เล่ามา แม่ของจขกท.เป็นคนที่เวลาโมโหแล้วไม่เก็บอารมณ์ใช่ไหมค่ะ? นั่นล่ะคะ อาจเพราะเราไม่สามารถพูดอธิบายหรืออะไรก็ตามให้ฟังได้ เลยเป็นส่วนหนึ่งของอาการเก็บกด ยิ่งเก็บกดยิ่งเครียดยิ่งเกิดปัญหาตามมา


อีกเรื่องคือ 'อดีต' จขกค.เลือดที่จะยึดติดกับอดีตมากไปหน่อย บางเรื่องถ้าปล่อยผ่านไปได้อาจจะทำให้ใจเราโล่งกว่านี้นะคะ เรื่องไหนไม่อยากจำ ก็ไม่ต้องไปจำ แค่รู้ให้เป็นบทเรียนก็พอ


จขกท.ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่นด้วย อย่าคิดเชียวนะคะ เพราะเปลี่ยนตัวเองน่ะ มันยาก แล้วยิ่งยากยิ่งทำให้รู้สึกอึกอัด อาจจะกลายเป็นเก็บกดก็ได้ค่ะ เราก็เป็นของเรา แต่บางทีถ้ามันจำเป็นจริงๆ หรืออย่างกับผู้ใหญ่ (ยิ่งงี่เง่าๆยิ่งแล้วใหญ่) เราอาจจะต้องประบให้เค้ารู้สึกว่าเราไม่ใช่เด็กก้าวร้าว พยายามทำให้เค้าเห็น


ถ้ามีปัญหามากๆควรหาที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ จิตแพทย์ก็ดีค่ะ แพทย์จะไม่นำเรื่องของเราไม่ให้คนนอกรู้แน่ค่ะ เราจะได้แก้ปัญหาของเราได้ตรงจุด หรือถ้ามันไม่ถึงขั้นนั้นหรือหนักใจที่จะไปปรึกษากับแพทย์ ลองหาครูแนะแนว หรือผู้ปกครอง หรือใครก็ได้ที่คิดว่าสนิทใจจริงๆ หาที่ปรึกษา หาที่ระบาย อย่าเก็บมันไว้คนเดียว


ชีวิตนี้ยังมีหลายคนที่รับฟังเราอยู่นะคะ จขกค.สามารถมาพึ่งคนในกระทู้นี้ก็ได้ค่ะ คิดว่าทุกคนคงเต็มใจ


หลายๆคนในที่นี้อาจมีบุคลิกเหมือนจขกท. ที่เป็นคนไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ ชอบมีคนคิดว่าเราเป็นพวกปลาตาย ไม่มีใครอยากคบ ถึงต้องมาลงกับโซเชี่ยล ซึ่งตัวผู้แสดงความคิดเห็นเองก็ค่อยข้างมีปัญหาด้านมนุษย์สัมพันธ์เช่นกันค่ะ5555


ที่สำคัญอย่าไปทำร้ายตัวเองเด็ดขาดนะคะ ยอ่งทำร้ายตัวเองยิ่งจะรู้สึกบาดลึกกับความรู้สึกตัวเอง คนที่เคยลองมาแล้วรู้ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีหรอกค่ะ...


คนที่มองพวกหน้านิ่งๆหยิ่งๆว่าเป็นปลาตาย กรุณาเข้าใจใหม่ด้วยค่ะ


อแฮ่ม! นอกเรื่องงง


คืออย่างนี้ค่ะ จขกท.ก็พยายามไม่เก็บกด ระบายออกมาเท่าที่ระบายได้ หากพูดให้แม่ฟังได้จะดีมากเลยล่ะคะ


สู้ๆนะคะ^^

0
Matulryu 3 มิ.ย. 60 เวลา 18:05 น. 45

เราเป็นแบบเจ้าของกระทู้อยู่หลายอาการเลย โดยเฉพาะเรื่องความทรงจำเก่าๆ อ่านเรื่องของเจ้าของกระทู้แล้วเรารู้สึกว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นแบบนี้คนเดียว ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้นะคะ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน

0
เราเอง 3 มิ.ย. 60 เวลา 19:05 น. 46

มันแย่นะที่อึดอัดใจแต่พูดออกไปแล้วไม่มีใครฟังเราอย่างเข้าใจจริงๆ เลย


ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะ 。^‿^。

0
uiyaiy 3 มิ.ย. 60 เวลา 20:58 น. 47

เป็นกำลังใจเจ้าของกระทู้ สู้ๆนะคะ

ราก็มีหลายอย่างที่เหมือนจขกท.เลยค่ะ โดยเฉพาะการจินตนาการ บางทีถ้าจ้องอะไรนิ่งๆนานๆก็หลุดเข้าโหมดของตัวเองแบบตัดขาดทุกสิ่งรอบข้าง แต่บางทีก็จินตนาการแต่ยังรับรู้สิ่งต่างๆได้ พอจินตนาการเข้ามากๆเราก็พูดคนเดียว แต่ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย้ราจะไม่พูดนะคะ แต่พออยู่คนเดียวทีไรพูดน้ำไหลไฟดับเลยค่ะ มันเป็นความรู้สึกสบายใจน่ะค่ะ ยิ่งเวลาแม่เรามาเห็นนิสะดุ้งเลยค่ะจะระวังมาก ที่ส่วนตัวเราอยู่ในห้องน้ำค่ะ เป็นที่เดียวที่เราไม่ต้องระวังคนอื่น เพราะเรานอนกับพี่สาวเลยทำให้ไม่ค่อยเป็นส่วนตัว แล้วเราก็เป็นขี้อายมากไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เวลาต้องนำเสนองานหน้าห้องเราจะสั่นและจะพูดรัวๆเลยค่ะ และตอนเป็นเด็กเราก็โดนเพื่อนแกล้งตลอดจนถึงม.ต้น เลยกลายเป็นคนระแวง เก็บตัว แต่เวลาอยู่บ้านเราก็ปกตินะคะ ไม่เล่าให้ใครฟังจนมันมากขึ้นเรื่อยเลยไม่เข้าเรียนเลย แต่มีงานส่งตลอด เวลาเรียนเราจะไม่อยากเข้าห้องเรียนเลยค่ะ เพราะไม่มีที่นั่ง (ห้องเรียนเราจะนั่งเป็นกลุ่มค่ะ) เราจะนั่งฟังครูอยู่หน้าประตูห้อง จนครูไปบอกพ่อแม่นั่นแหละค่ะเราถึงเล่าให้ฟัง เราอยากโรงเรียนมากแต่ก็อีกแค่ปีเดียวจะจบม.ต้นแล้วก็เลยต้องทนต่อไปจนเรียนจบม.ต้น รู้สึกเหมือนหลุดพ้นเลยค่ะ พอขึ้นม.ปลายเราถึงมีเพื่อนสนิท แค่ยังชอบเก็บตัวอยู่ดี ตินอยู่กับเพื่อนก็ดูเหมือนปกตินะคะแต่ในหัวเราจะคิดโน้นนี่นั้นตลอดเวลา บางทีก็คิดว่าตัวเองมาปัญหาทางจิตรึป่าว แต่ก็ไม่กล้าบอกใครแม้แต่พ่อแม่ ทุกวันก็พยายามไม่คิดให้มากเพราะเราเป็นคิดเยอะ จำได้ทุกอย่าง เรื่องตั้งแต่เด็กจนโตจำได้หมดเลย แต่เหมือนจะไม่ช่วยเท่าไรยิ่งทำให้เราเครียดมากขึ้นอีก เวลาเราคิดจินตนาการเราจะรู้สึกสบายใจ ปลอดภัยในโลกของเรา มันก็อึดอัดที่บอกใครไม่ได้ กลัวเขาว่าเราบ้าน่ะ

ป.ล.ขออภัยถ้าพิมพ์ผิด พิมพ์ยาวเกินไป และยังไม่มีแก่นสารอะไรทั้งสิ้น

0
_Unhyon 3 มิ.ย. 60 เวลา 21:04 น. 48

จขกท. เอาตรงๆเลยนะคะ รู้สึกคล้ายๆกับเราเลย เราเองก็กังวลเรื่องจิตใจของเราเหมือนกัน เคยมีประสบการณ์ที่ระเบิดออกมาหลายครั้งเลยค่ะ TT แล้วก็พูดกับตัวเองนี่เป็นบ่อยมาก บางทีมันก็เข้ามาในหัวเลย เรื่องย้ำคิดย้ำทำนี่เรื่องใหญ่ บางทีเราก็พูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาทั้งวัน หรือไม่ก็เวลาที่ของของเราไม่เข้าที่ของมันเราจะหงุดหงิดแล้วก็กังวลมากๆเลยค่ะ โฮกก ยังไงก็อยากให้จขกท.สู้ๆนะคะ ไฟท์ติ้งง!!

0
36403 3 มิ.ย. 60 เวลา 21:30 น. 49

เราว่าเรามีบางข้อเราที่คล้ายแต่ไม่หนักเท่า จขกท. และพอโตมาอาการมันก็ดีขึ้นเช่นเรื่องที่เราต้องคอยตราวจสอบสิ่งต่างๆที่เราทำทั้งที่ขี้เกียจจะแย่อยู่แล้วแต่มันห้ามตัวเองไม่ได้ และไม่รู้ว่าจขกท.เป็นเหมือนเราไหมคือ เป็นคนที่ไม่ค่อยไปไหนไกลๆกับกลุ่มเพื่อนจะไปแต่กับครอบครัว ญาติ หรือไม่ไปเลย แต่ตัวของเราเองไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยไปไหน คิดว่าเราก็ไปปกติกับเพื่อน และพอนานเข้าจนอายุมากขึ้นมันกลายเป็นผลกระทบโดยที่เราไม่คิดว่ามันจะมีผลกระทบ เช่นการไม่สนิทกับใครแบบจริงจัง(เราน่ะจริงจังกับเขาแต่ไม่คิดว่าเขาจะไม่จริงจังกับเรา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร),กลัวโรคภายนอก,ไม่กล้าสบตา(เช่นเวลาคุยกับใครที่จำเป็นต้องมองตาจะทำสายตาให้มันเลือนๆ)

*เรื่องกลิ่นเราก็ชอบที่คนอื่นว่าแปลกเหมือนกัน ไม่ได่ชอบแค่แปปเดียวนะคือชอบมาตลอดตั้งแต่เด็ก

#สู้ๆนะขอให้สิ่งที่จขกท.เป็นอยู่หายไป เพราะบางอย่างมันก็ทรมานหรือทำให้หงุดหงิดตัวเอง

0
รอยยิ้มสีเทา 3 มิ.ย. 60 เวลา 21:32 น. 50

เราก็เป็นเหมือนจขกท.เลย เราแบบเป็นพวกพูดไม่จบ เข้าสังคมไม่เก่ง มีโลกจินตนาการ(แต่เวลาเราจอหน้าใครเราชอบคิดถึงสภาพคนที่กำลังถูกทรมาณนะแอบดูโรคจิต) มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบคนเยอะๆ ระแวงคนรอบข้าง หรือชอบพูดในแง่ลบทำร้ายจิตใจคนบ่อยๆ ควบคุมความฝันได้ เพื่อนทิ้งบ่อยมาก เพราะมันบอกนิสัยเข้ากันไม่ได้มั่ง เงียบเกินไปคุยไม่สนุก อะไรแบบนี้เราเลยเริ่มที่จะไม่เชื่อใจเพื่อน ไม่สนิทกับเพื่อนมากเกินไปเราจะกันตัวเองออก เราเป็นคนที่ดูไม่มีอารมณ์ ดูเฉยชากับทุกสิ่ง ขนาดพูดเรื่องคนตาย คนบ้านโน้นบ้านนี้ตาย ญาติเสียชีวิต เรายังพูดได้เฉยชาราวกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาส ไม่ค่อยพูดด้วย แทบไม่พูดเลยก็ว่าได้ เวลาผู้ใหญ่พูดหรือถามอะไรเราจะตอบแค่ ค่ะ มันเหมือนคำติดปากแบบใครถามอะไรจะตอบค่ะ เราก็ไม่เข้าใจตัวเอง แต่เราชอบเรื่องโหดๆซาดิสๆ เหมือนเรามีโลกในจินตนาการแบบนั้น เหมือนในโลกนั้นคือโลกที่มนุษย์สูญพัน ทุกคนตายหมด การตาย การทรมาณ นั่นคือสิางที่เราชอบค่ะ เราอาจจะเป็นซาดิสด้วยก็ได้มั้ง

0
fanyiwu 4 มิ.ย. 60 เวลา 09:35 น. 51

แนะนำให้น้องลองซื้อหนังสือชื่อว่า ไปใช้ชีวิตซะ ของ Dr.POP พี่ว่ามันช่วยได้มากค่ะ เพราะพี่ก็อ่านอยู่ มันช่วยได้มากจริงๆ อยากให้น้องลองอ่านดู ไปส่องในทวิตก่อนก็ได้ค่ะ ว่าเคล้าโคลงประมาณไหน แฮชแท็กตามชื่อหนังสือเลย พี่เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ช่วยได้แน่นอนค่ะ สู้ๆนะ

0
Linghtning McQueen 4 มิ.ย. 60 เวลา 17:18 น. 52

เราก็คล้ายๆกับจขกท.นะคะ คือ ไม่ชอบอยู่กับคนหมู่มาก(ชอบอยู่บ้าน คือ คิดว่าเวลาออกจากบ้านเราต้องเห็นคนอื่นมองมาที่เราเเล้วเราก็ทำตัวไม่ถุกอะค่ะไม้รู้จะเอามือไปไว้ตรงไหน 55) + ไม่ชอบความมืด +เราเป็นคนชอบย้ำคิดย้ำทำมาก ชอบเก็บเอาเรื่องเก่ามาคิดมาใส่ใจอยู่นั่นเเหละทั้งที่มันเป็นอดีตไปแล้ว เเต่เเบบพอนั่งอยู่เงียบๆ หรือ เกิดเหตุการณ์ที่มันคล้ายกัน-เหตุการณ์นั้นจะเด้งกลับมาทันที


อันนี้อีกอย่างที่เป็น คือ ไม่ชอบให้ใครมาจับตัวจะรู้สึกโกรธอ่ะค่ะ (เเต่ถ้าจับก็จับผ่านเสื้อผ้าอ่ะค่ะ เช่น เพื่อนสนิทเราจะให้คล้องเเขนอย่างเดียว เพราะ ถ้าจับมือเมื่อไหร่จะอึดอัดมาก)


0
swon 4 มิ.ย. 60 เวลา 18:13 น. 53

เราว่าจขกท.อาจจะเป็นโรค asperger syndrome นะ ไม่ได้เป็นโรคจิตหรอก

ลองไปหาข้อมูลดูนะคะ ทางที่ดีลองเปิดใจไปหาจิตแพทย์บ้าง เราเชื่อว่าจขกท.ต้องอยู่กับมันได้

ปล.พรสวรรค์เริ่มความจำนี่เจ๋งดีนะคะ อยากมีบ้าง555 ใช้มันให้เป็นประโยชน์ล่ะจขกท. สู้ๆ!

/แนบลิ้งค์ https://daily.rabbit.co.th/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A1

0
รินริน 5 มิ.ย. 60 เวลา 11:39 น. 54

เราไม่รู้ว่าจขกท.เป็นโรคจิตหรือเปล่าเรารู้แค่ว่าจขกท.คล้ายเราคือแค่กลัวไม่ก่อนในความคิดเรานะ เจ้าของกระทู้แค่เหมือนกลัวแค่นั้นไม่ใช่โรคจิตอ่ะในความคิดเรากลัวที่จะทำ กลัวที่จะลืม และมองโลกในแง่ลบ เราก็เป็นเหมือนกันแต่ว่าจขกท.ลองเปิดใจ แล้วลองทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบซ้ำ มันก็จะชินเอง ตอนที่ลองทำแรกๆอย่าฝืนตัวเองมาก ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อย่างที้จขกท.บอกไปเซเว่นก็แย่แล้วไรงี้ ลองดูอีกครั้งนะ ลองทำมันไปเรื่อยๆไม่ไหวก็หยุดก่อนค่อยทำต่อ

สู้ๆนะจขกท.ไม่ใช่โรคจิตหรอก

สุดท้ายเรื่องหน้านิ่งแล้วดูหยิ่งเราก็เป็นแก้ไม่หายเหมือนกัน55555 ลองเริ่มเดินไปหากลุ่มเพื่อนคนอื่นๆแล้วยิ้มลองเรียกชื่อคนที่เราจำชื่อได้เริ่มคุยจาก มาจากไหน(กรณีมาจากที่ต่างกัน) สวัสดีเราชื่อ พูดคุยเกี่ยวกับวีรกรรมเก่าๆของเราที่มันตลกไรงี้ รับรองเม้าท์ยาวแน่นอน5555

0
คนที่เข้าใจ 7 มิ.ย. 60 เวลา 10:20 น. 55

เราอยากให้ จขกท ลองดูคลิปนี้ค่ะ เป็นคลิปจาก TED talk

(ไม่รู้ว่า จขกท จะเคยดูรึยังนะ :)

อาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก เเต่เราว่ามันมีประโยชน์จริงๆ

จขกท ไม่ได้ตัวคนเดียวนะคะ พวกเราอาจจะเป็นประชากรส่วนน้อยบนโลก

มันไม่ใช่ความผิดปกติ เเต่มันเป็นบุคลิกอีกเเบบหนึ่งเท่านั้น

การที่เราเป็นคนเเบบนี้ เราก็เลือกไม่ได้หรอก เเต่ เราเลือกที่จะปล่อยวางเเล้วทำให้มันสมดุลได้ค่ะ

บางทีการอยู่กับตัวเองมากเกินไปมันก็ทำให้เราคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายๆ ลองหากิจกรรมทำดูนะคะ เช่น ทำอาหาร ฟังเพลงจังหวะสนุกๆ อย่าปล่อยให้จมอยู่กับความคิดที่มันไม่ดีนะ คิดเมื่อไรก็หาอะไรทำค่ะ

สู้ๆนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=pi4JOlMSWjo

0
Momotaro oร่อยnี่สุด 12 มิ.ย. 60 เวลา 19:53 น. 56

นิสัยคล้ายๆกันเลยค่ะะ เป็นพวกที่ดูเหมือนหยิ่งแต่ไม่หยิ่งอ่ะะ แล้วก็พูดไม่จบด้วย แล้วก็อาการฮิคิโคโมริด้วย แต่ไม่ใช่ไม่ออกไปข้างนอกเลยนะแต่พอเวลาออกไปข้างนอกแล้วรู้ไม่ค่อยดีอะ ไอจดจำเรื่องแย่ๆก็เป็นเหมือนกัน มีโลกจินตนาการเป็นของตัวเองอีกด้วยย คุยกับตัวเองก็ด้วย ขาดความมั่นใจด้วยย //จับมือๆ

0
chemee75 3 ก.ค. 60 เวลา 18:51 น. 57

จริงๆอ่านเรื่องนี้แล้วตกใจ มีบางจุดร้องให้ด้วยเพราะมันตรงกับเราเลยแต่สู้ๆนะคะอย่างตอนเด็กๆเราก็เคยเป็นเหมือนกันค่ะ แต่พอถึงจุดนี้เรากลายเป็นคนเก่งของห้องล่าสุดสอบได้ที่9ด้วย เวลามีงานอะไรเพื่อนในกลุ่มก็จะให้เราช่วยตลอด แต่เราชอบนะรู้สึกตัวเองมีคุณค่ามากเลย เอาจริงๆถ้าเราผ่านมันมาได้เราจะรู้สึกดีมากๆเลยค่ะ สู้ๆนะคะ พระเจ้าคุ้มครอง อาเมน (เราศาสนาคริสต์)


0
Vugu 4 ก.ค. 60 เวลา 17:39 น. 58

ลองทำสมาธิดูมั้ยคะ เอาจิตไว้ที่ลมหายใจ เมื่อจิตคิดไปเรื่องอดีตให้รีบกลับมาดูลมหายใจทำทุกวันน่าจะช่วยใจสงบขึ้น กายคตาสติ

1
โนชิ 5 พ.ค. 61 เวลา 05:12 น. 58-1

สมาธิคงช่วยได้ไม่เยอะหรอกค่ะถ้าเป็นโรคจิต แต่ก็ช่วยให้ผ่อนคลายบ้าง แต่ไม่ช่วยทั้งหมดค่ะ

0
คนด่าตัวเอง 17 มี.ค. 61 เวลา 22:58 น. 59

ของเราคือประมาณว่า เขียนด่าตัวเองลงในกระดาษค่ะ คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ แม่เรามักจะเปรียบเทียบเรากับคนอื่นๆเสมอ ว่าG(นามสมมุติ)เรียนเก่งมากเลยนะลูก สอบเข้ารร.ดีๆได้หลายรร.เลย

เราจึงคิดในใจว่า “ถ้าพูดอวยเค้าขนาดนี้ ทำไมไม่เลือกเค้าเป็นลูกเลยล่ะ” เราเกิดอาการน้อยใจขึ้น

จากนั้นก็เริ่มเขียนด่าตัวเองบ่อยๆ เช่น อีโง่!!! เรื่องแค่นี้ทำไมยังทำไม่ได้ สอบเข้าก็ไม่ติด ไม่มีดีเลยซักอย่าง และตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่า “อยากจะทำอะไรซักอย่างให้ดี แบบ ดีมาก ไม่ใช่แค่ทำเป็น” อะไรๆก็ไม่ดีซักอย่าง ใช่สิก็ไม่ได้เก่งเหมือนGหนิ มีวันนึง น้ากับอาเรามาเห็นว่ามีข้อความสีชมพู(ที่เราเขียนด่าตัวเองในชีท) น้าเลยถามว่าใครเขียน เราตอบว่าเราเขียนเอง น้าเลยถามว่า เขียนทำไม เราตอบว่าจะได้พัฒนาตัวเอง แต่จริงๆคือไม่ใช่ เราแค่เก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว

ปกติโดนด่านิดหน่อยก็ร้องไห้น้ำตาตกแล้ว แต่นี่โดนพูดเหมือนจะเปรียบเทียบอย่างนี้ แล้วยังต้องปั้นหน้าทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ในใจอยากระบายออกมาโคตรเยอะ แค่นี้แหละค่ะ มาระบายเฉยๆ

0
แจ๊ส 5 พ.ค. 61 เวลา 05:09 น. 60

เป็นคล้ายๆกันค่ะ แต่เราไม่กลัวผู้คน

คิดว่าเราเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า

เคยเหมือนกันกรี๊ดไม่มีเสียง, ร้องไห้ จิกตัวเอง

มันทรมานอ่ะ

ไม่กล้าบอกใครด้วยกลัวมากๆ

แล้วช่วงนี้เวลาฝัน คือเรารู้ว่าฝันแต่เราก็คิดว่าจริงเพราะมันเหมือนจริงมากๆ

แถมเจ็บด้วยนะ ตอนนั้นฝันว่าปวดหัว แล้วคือปวดจริงๆ นึกว่าเรื่องจริง น่ากลัวมากเลย

เราอ่อนไหวง่ายด้วยแบบอ่านอะไรดูอะไรก็ร้องไห้ตลอด, นางเอกอกหัก เราก็แน่นอกไปด้วย

พระเอกร้องไห้อยู่ๆเราก็ร้องตาม

แล้วคือ เราขาดความมั่นใจในตัวเองมาก แต่บางทีก็มั่นใจมาก แปลกจริงๆ

เรามองโลกแง่ร้ายด้วย

ใจดีเกินไปด้วย แต่ก็เห็นแก่ประโยชน์ ของตัวเองด้วย

เราชอบพูดคนเดียวด้วย รู้สึกดี

แต่บางทีก็ชอบด่าตัวเอง แล้วมันด่ากลับ ทรมาน ต้องคอยบอกให้หัวมันเงียบตลอดเวลา ก็ไม่เงียบสักที อยากกรี๊ดดังๆ

เราเข้ากับคนไม่เก่งเหมือนกัน ไม่รู้ต้องทักยังไง ทักเป็นแต่ hello how are you? You alright? (เพราะเรียนเมืองนอก) แต่กับคนรู้จักหรือคนสนิท ก็คุยได้เรื่อย หัวเราะบ่อย ร่าเริง บ้าเลยล่ะ เราก็เรียนเก่ง แต่ช่วงนี้เหมือนความจำมันเริ่มไม่ทำงาน ลืมอะไรง่ายมาก ตอนเด็กเราความจำดีมากๆ แต่เราก็จำเหตุการณ์ต่างๆตอนเราเป็นเด็กได้ดีอยู่นะ

ก็อยากระบายเหมือนกัน55 ไม่มีคนให้คุยด้วยเลย

แล้วก็เราชอบจินตนาการ ว่า เพื่อน หรือ หมอจิตเวช หรือ คนแปลกหน้า มา พูดคุย กับ เรา และเราก็ ระบาย และบอกทุกอย่างให้ฟัง ตั้งแต่เด็ก หรือ ปัญหาต่างๆ

แล้วเราก็ดี แต่อยู่ๆ ก็นึกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริงแค่เรื่องใน หัว แล้วเราก็โกรธที่เอาแต่ทำแบบนี้

เราตอนเด็กก็เป็นเรื่องสะกด คือ คำว่า เฉพาะ, ฉเพาะ, ฉะเพาะ (อันแรกถูก)มัน สะกดยังไงงงตลอด



ระบายๆ

0