รีวิวซุปเปอร์ละเอียด... เรียนภาษาอังกฤษจากศูนย์จน GAT อีกข้อเดียวเต็ม
สวัสดีครับ ขอเกริ่นก่อนเลย ปัจจุบันผมเรียนอยู่คณะแพทย์ ผมเคยเป็นคนที่ไม่ชอบภาษาอังกฤษที่ต้องเรียนในห้องเรียนมากๆ แต่วันหนึ่งผมก็ตั้งคำถาม
"ภาษาอังกฤษ คนเก่งเขาเรียนกันยังไง ?" หลังจากหาคำตอบและตั้งใจอยู่สักพัก ผมก็เก่งขึ้นในระดับหนึ่งจนพอใช้ภาษาอังกฤษได้ และชีวิตผมก็เปลี่ยนไป
จากเดิมเรียนตำราภาษาไทยก็เริ่มหาหนังสือเรียนต่างประเทศมาอ่าน มาอ้างอิง
เริ่มฟังเพลงภาษาอังกฤษมากจนเยอะพอๆกับเพลงไทย
คุยกับฝรั่งได้
หาอ่านบทความภาษาอังกฤษที่สนใจได้
ตามข่าวภาษาอังกฤษ
และอีกหลายๆอย่าง ทำให้ผมเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุจดิจิตอลอย่างทุกวันนี้
ส่วนสมัยก่อนผมอ่อนอังกฤษขนาดไหน ก็ขนาดที่นั่งกางกันเลยว่าโรงเรียนไหนสอบภาษาอังกฤษน้อยที่สุด ผมก็เลือกเรียนโรงเรียนนั้นเพราะผมไม่ชอบภาษาอังกฤษเลย (คิดว่าคงสอบไม่ผ่านด้วย)
แต่พอตั้งใจเรียนมากขึ้นก็ประหลาดใจเพราะผมใช้เวลาเพียง 1 ปี(ในขณะที่เรียนวิชาอื่นด้วย) ในการเก่งภาษาอังกฤษ จึงอยากมาแชร์ให้เพื่อนๆที่อยากเก่งอังกฤษฟัง ซึ่งผมจะขอเริ่มจากเรื่องพื้นฐานเช่นทัศนคติก่อนลงที่เรื่องของวิธีการนะครับ
------------------------
CHANGE ATTITUDE
ในช่วงที่ผมตระหนักได้ว่าเราควรจะพัฒนาภาษาอังกฤษตัวเองได้แล้วนั้นผมเกิดคำถามขึ้นมาว่า "คนแบบไหนถึงจะเก่งอังกฤษ ?" โดยทั่วไปผมเป็นคนที่ชอบเรียนรู้จากหลักการ หรือแก่น ซึ่งผมได้มาจากการเรียนวิชาอื่นผมจึงประยุกต์ใช้กับภาษาอังกฤษบ้าง ผมเริ่มสังเกต คนที่เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ มักจะมีโอกาสได้ใช้บ่อยๆ เช่นมีโอกาสได้เรียนเมืองนอก มีเพื่อนต่างประเทศ เรียนสาขาตรงเช่นคณะมนุษยศาสตร์ หรือทำอาชีพท่องเที่ยว แอร์โฮสเตส หรือมีการศึกษาสูงเช่นแพทย์ ทนาย นักธุรกิจ หรือมีเงินจ้างครูอังกฤษส่วนตัว เรียนตามสถาบันสอนภาษา ฯลฯ แต่ประเด็นคือคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีโอกาสขนาดนั้น ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีเงินมากพอเรียนต่างประเทศ ไม่ได้เรียนสูง ทำให้เริ่มไม่เห็นความสำคัญและกลายเป็นค่านิยมว่า
"ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องของคนเก่ง"
ซึ่งผิด ถ้าเรามีวิธีการเรียนที่ถูกต้องเราก็เชี่ยวชาญได้
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้มีโอกาสมากมาย ไม่ได้เรียนเมืองนอก ไม่ได้มีเงินมาก ผมอาศัยแต่การเรียนด้วยตัวเอง ซึ่งผมจะรีวิวให้ฟังครับ
----------------------
PREPARATION
ก่อนที่จะเริ่ม จากประสบการณ์ของผม คือต้องปรับความคิดก่อน ขั้นแรกลองถามตัวเองว่า "ทำไมเราต้องเก่งอังกฤษ ?"
เพราะผมเคยเห็นว่าหลายคนเรียนเล่นๆ มีความตั้งใจชั่วคราว เอาเงินไปซื้อคอร์สตามสถาบันต่างๆ (ซึ่งมีตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสนบาท !) แต่ไม่ตั้งใจเรียน โดดเรียน สุดท้ายเรียนไม่จบซึ่งทำให้เสียทั้งเงินและเวลาไปเปล่าๆ
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ผมแนะนำให้คุณลองหาเหตุผลดีๆที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง การเรียนภาษาอังกฤษก็เหมือนการเรียนอื่นๆ ต้องลงทุนใช้เวลา ใช้ความพยายาม ถ้าไม่ตั้งใจก็ขาดทุนได้นะครับ (ด้วยความปรารถนาดีนะครับ ^^)
--------------------
FIRST LESSON
มีนักภาษาศาสตร์คนหนึ่ง (economist forum) กล่าวไว้ว่าเมื่อเราพูด สมองเราจะทำการประมวลผลผ่านความรู้สึก ที่เหมาะกับ grammar , vocabulary ในภาษาที่เราคุ้นเคย ออกมาเป็นคำและประโยค ยกตัวอย่างเช่นเราพยายามอธิบายเกี่ยวกับรสชาติไวน์ที่กินเมื่อวาน เราจะใช้คำว่า กลมกล่อม ขม นุ่มลิ้น รสเบอรร์รี่ โดยอัตโนมัติ
เช่นเดียวกับทารกที่เริ่มเรียนรู้ภาษาจะเรียนรู้การสนทนาผ่าน อารมณ์ การตอบสนอง น้ำเสียง เป็นอันดับแรก จนกระทั่งเข้าใจความหมาย (จะเห็นว่าไวยากรณ์ยังไม่สำคัญ)
ดังนั้น ผมจึงเริ่มใช้ความรู้สึก บริบท ความเข้าใจร่วมไปกับการเรียนภาษาอังกฤษปกติ อันประกอบด้วยทักษะ
1 listening (การฟัง)
2 reading (การอ่าน)
3 writing ( การเขียน )
4 speaking (การพูด)
ซึ่งผมจะขอแชร์วิธีการนอกจากการท่องหนังสือ อาจจะช่วยให้เพื่อนๆเรียนรู้ได้เร็วมากขึ้น
1 listening
การฟังเป็นสิ่งที่ผมใช้เวลานานที่สุดแต่ตอนนี้ก็ค่อนข้างเข้าใจง่าย สิ่งที่ยากของการฟังไม่ใช่ grammar อย่างเดียว accent ของคนพูดก็เกี่ยว แต่ในชีวิตจริงเราไม่ต้องกังวลเพราะฝรั่งยินดีที่จะตอบคำถามว่า pardon , i dont understand และพร้อมจะพูดกับเราใหม่
แต่สำหรับคนที่จะสอบผมแนะนำ การดู series หรือ movie soundtrack แบบ เปิดซับไทย
พอชำนาญ เปิดซับอังกฤษ พอได้แล้วไม่ต้องเปิดซับ ถ้าฟังไม่ทันลองฟังรอบที่สองหรือวนไปวนมา เพื่อที่เราจะได้คุ้นกับ accent ทั้ง american ,British
การฟังเราจะพัฒนาไวมาก
2 Reading
การอ่านภาษาอังกฤษ มี 2 ขั้นตอน หนึ่งคือการเข้าใจ vocabulary และ สองคือการหา main idea
วิธีแรกใช้ความรุ้สึกเป็นตัวนำในการเข้าถึงความหมาย ตัวอย่างเช่น Carry (v) , Hold (v) ต่างแปลว่า ถือ ได้ในพจนานุกรม แต่คำว่า carry มักให้ความรู้สึก เป็นภาระ รู้สึกถึงสิ่งของในมือ เช่น
John could you do me a favour ? Please help me carry my luggage . ส่วน hold จะให้ความรู้สึกแค่ถือ เช่น
When you play tennis , basiccally you should hold the racket tight . ถ้าเราจำความรู้สึกของคำศัพท์ จะทำให้เราคุ้นเคยและใช้ศัพท์เป็น (จะเห็นว่าผมไม่เน้นการท่องจำ)
วิธีที่สอง vocab ยากๆ ผมพูดทับศัพท์ไืทยไปเลยเพื่อให้เข้าใจความหมายก่อน (เหมือนคนไทยคำอังกฤษคำ555) เช่น คำว่า encounter (v) แปลว่าเผชิญหน้า ผมก็ใช้กับเพื่อน
"-ต๊อดด ทำแบบนี้ระวังจะ encounter เรื่องลำบากนะเว้ยเพื่อน"
ใช้ให้ถูกความหมาย ก็ช่วยได้จริงๆนะ555
สองการหา main idea ของ เรื่อง การหา main idea ความจริงเราไม่จำเป็นต้องรู้ศัพท์ทุกคำ เราอ่านเหมือนหน้าหนึ่งไทยรัฐ "เศรษฐกิจปี 2560 ร่วงลง 20% นายกรับลดเสียงวิจารณ์ช่วยกันแก้ไขปัญหา (อุบ)"
เราก็ไม่จำเป็นต้องอ่านรายละเอียดข่าวทั้งหมดก็พอเข้าใจเนื้อหา
จะเห็นว่าในส่วน reading เน้นความเข้าใจเป็นหลัก
3,4 writing กับ speaking ผมพัฒนาได้เร็วมาก วิธีคือให้ เลือกบทความภาษาไทยมา 1 บทความที่ชอบและดูไม่ใช้ภาษายากเกินไป และแปลเป็นภาษาอังกฤษ ครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยที่มีกติกาอยู่ว่า 1
ถ้าเจอคำที่ไม่รู้จะใช้ภาษาอังกฤษว่าอะไร ให้ search หาตอนนั้นเลย พยายามหา synnonym ไปด้วยจะดีมาก
2 ฝึกใช้ grammar ใหม่ๆที่ไม่เคยใช้ เช่น as if , so as to
3 เขียน grammar ให้ถูกเป็นการฝึกตัวเอง ถ้าทำได้คุณจะ speaking ได้คล่องมากขึ้นเพราะทั้งหมดที่คุณพูด เป็นความคิดสะท้อนเวลาคุณเขียนอยู่แล้ว ซึ่งการพูดเป็นทักษะสำคัญที่สุดหากคุณแค่ต้องการเอาชีวิตรอด ไม่ได้สอบหรือทำคะแนนเพื่อเรียนต่อ
--------------------
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิธีที่ผมใช้จริงตอนหัดเรียนภาษา คิดว่าเพื่อนๆถ้าได้ลองใช้น่าจะช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษง่ายขึ้น ผมยังมีวิธีเรียนอีกมากมายที่ไม่มีใครสอนและผมคิดว่ามันช่วยให้การเรียนภาษาง่ายขึ้นแต่เขียนไว้วันนี้ไม่ไหว 555 ท่านใดสนใจอ่านต่อ ผมเรียบเรียงหลายๆเทคนิค ไว้ตามลิงก์นี้นะครับ
https://m.facebook.com/English-KNOW-NOW-by-Time-1973601059546476/
1 ความคิดเห็น
จขกท.คุยกับฝรั่งจากไหนหรอค่ะ
ผมมีเพื่อนเป็นฝรั่งครับบ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?