นางเจียงได : โศกนาฏกรรมรอยช้ำ ของคนเป็นแม่
ย้อนอดีตปางหลัง ครั้งเมื่อท้าวอินทะสะเกษครองเมือง “ขุขันธ์คีรีศรีนครลำดวน” ก่อนจะมาปรากฏเป็น “ เมืองศรีสะเกษเขตดงลำดวน” หรือในนามจังหวัดศรีสะเกษปัจจุบัน
ยังมีลูกสาวเจ้าเมืองผู้หนึ่ง ชื่อนาง “เจียงได” เป็นลูกสาวของเจ้าเมือง “ชีซ่วน” หรือ หมู่บ้าน “ชีทวน” อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานีในปัจจุบัน ผู้คนต่างล่ำลือกันว่านางเจียงไดนั้นสวยสดงดงามยิ่งนัก ข่าวลือปรากฏไปหลายหัวเมือง จนถึงหู “ท้าวอินทะสะเกษ” เจ้าเมืองขุขันธ์คีรีศรีนครลำดวน และท้าวกาละหง เจ้าเมืองพนา ทำให้เจ้าเมืองทั้งสองหมายปองนางเจียงใด มาเป็นชายาของตน
เจ้าเมืองทั้งสองต่างส่งสาสน์เพื่อสู่ขอนางเจียงได แต่เจ้าเมืองซีซ่วนนั้น ได้ปฏิเสธท้าวอินทะสะเกษ เพราะคิดว่าไม่ใช่เนื้อแนวของตน แต่เลือกท้าวกาละหง เพราะเป็นสืบวงศ์วานมาจาก กรุงศรีสัตนาคนหุต ด้วยกัน
เมื่อท้าวอินทะสะเกษทราบเรื่องก็โกรธเป็นอย่างมาก ยกทัพพาไพร่พลออกจากเมืองขุขันธ์ ข้ามลำน้ำมูล หวังจะไปชิงนางเจียงได ลูกสาวเจ้าเมือง ซีซ่วน ไปตามเส้นทางบ้านโพธิ์โนนจาน ข้ามแม่น้ำมูลพักไพร่พล ให้เหล่าทหารลงอาบน้ำ ต่อมาจึงเรียกที่นี่ว่าท่าสีไค เดินทางผ่านไปบ้านบัวน้อย เมื่อทราบข่าวว่านางเจียงใดได้เข้าพิธีหมั้นหมายแล้วก็เกิดลังเลใจ ว่าถ้าไปต่อต้องเกิดการรบราฆ่าฟันกันอย่างแน่นอน แต่ไหนๆ ก็มาแล้วจำเป็นต้องไปให้ถึง สถานที่แห่งนี้จึงเรียกทุ่งกะเทิน (ต่อมาเพี้ยนเป็นทุ่งเทิน) เมื่อเดินทางไปถึงหนองน้ำที่มีพืชสีเขียวลอยอยู่ในน้ำ ได้หยุดกองทัพเพื่อทำอาหารกิน ทหารได้นำเทามาซุป เหมือนซุปหน่อไม้ ต่อมาเรียกบ้านหนองเทา ผ่านบ้านกระเตา บ้านลาดทราย (ละทาย) บ้านอ้น (สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายหนู) ผ่านหุบห้วย จากนั้นก็ข้ามแม่น้ำชี ถึงเมืองซีซ่วน
เมื่อท้าวอินทะสะเกษเดินทางถึงเมืองซีซ่วน ก็ยกทัพเข้าชิงนางทันที ในที่สุดท้าวอินทะสะเกษก็ได้นางเจียงไดมาไว้ในครองครอง ท้าวอินทะสะเกษคาดว่าต้องเกิดศึกอย่างแน่นอน จึงถอยทัพหาที่ตั้งมั่นที่บ้านเมืองน้อย ไม่นานเจ้าเมืองพะนา ท้าวกาละหงส์ ยกทัพติดตามนางเจียงไดมาทัน เกิดศึกชิงนาง ระหว่างท้าวอินทะสะเกษ เจ้าเมืองขุขันธ์ กับท้าวกาละหงส์ เจ้าเมืองพะนาซึ่ง ตั้งกองทัพอยู่ที่บ้านลาดทราย หรือบ้านละทาย ในปัจจุบัน
ภาพดาวเทียมชุมชนบ้านชีทวน หรือเมืองซีซ่วนในอดีต ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ภาพจาก : Google Maps
รบราฆ่าฟันกันอยู่หลายปี การต่อสู้ยืดเยื้อกันอย่างยาวนาน ต่างเสียกำลังไพร่พลกันทั้งสองฝ่าย ในที่สุดท้าวกาละหงส์ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เสียชีวิตในสนามรบ
เมื่อทัพของเจ้าอินทะสะเกษชนะ จึงจะเดินทางกลับเมืองศรีษะเกษ โดยข้ามแม่น้ำมูล จึงหยุดพักพล หาเสบียงอาหาร ส่วนนางเจียงใดนั้น เอาแต่ร้องไห้เพราะจากบ้านจากเมืองมาและกำลังจะออกนอกเขตเมืองของตน จึงพยายามพูดบ่ายเบี่ยงว่าลืมสร้อยสังวาล อ้อนวอนขอท้าวอินทะสะเกษว่าจะกลับไปเอา แต่พระองค์ไม่ยอม ที่ตรงนี้จึงเรียกว่าหนองสังวาล ต่อมาเพี้ยนเป็นหนองไชยวาน
ในระหว่างพักพลมีการฉลองกันที่ได้นางมาเป็นคู่ครอง ที่แห่งนี้ต่อมาจึงเรียกว่ากุดกินดองหรือกุดสันดองในเวลาต่อมา อาหารที่จัดเลี้ยงก็เป็นของที่หาได้แถวนั้น นั่นก็คือเต่า จึงใช้เต่าเป็นอาหาร ที่แห่งนี้ต่อมาจึงเรียกว่าถ้ำเต่า เป็นถ้ำใกล้ลำน้ำมูลหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าท่าถ้ำเต่า
หนึ่งปีผ่านไปนางเจียงไดได้เป็นมเหสีของท้าวอินทะสะเกษ นางได้ตั้งท้องและคลอดบุตรออกมาเป็นชาย ให้ชื่อว่า “ท้าวบาลิง” เพราะหน้าตาเหมือนลิงและมีขนขึ้นเต็มตัว ทำให้ท้าวอินทะสะเกษครุ่นคิดไปว่าเป็นลูกของ ท้าวกาละหงส์ เมืองพะนา ในช่วงปีนั้นฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารขาดแคลน ไพร่บ้านพลเมืองที่ได้รับความเดือนร้อนเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างคิดว่าเพราะท้าวบาลิงเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง จึงประชุมกันให้ท้าวอินทะสะเกษหาทางขับไล่ ท้าวบาลิงออกจากเมือง
ด้วยท้าวอินทะสะเกษรู้สึกโกรธมาแต่เดิม เพราะคิดว่าท้าวบาลิงมิใช่ลูกตน แต่เป็นลูกชายชู้ของนางเจียงได ท้าวอินทะสะเกษจึงสั่งทหารให้นำท้าวบาลิง ขณะนั้นอายุประมาณ 3 ขวบ มาปล่อยลอยแพ
เมื่อนางเจียงใดทราบข่าว นางก็ร้องไห้จนสลบด้วยความรักและอาลัยในตัวท้าวบาลิงผู้เป็นบุตร ยามค่ำนางจึงลักลอบหนีจากเมืองเดินลัดเลาะริมฝั่งแม่น้ำมูล เพื่อดักรอแพลูกน้อยจะล่องผ่านมาที่ท่าน้ำทางข้ามสู่เมืองซีซ่วน นางมาปักหลักรอพบแพ ของลูกที่ล่องมาหลายวัน นางโศกเศร้าเสียใจร้องห่มร้องไห้เกินที่จะบรรยาย ใครผ่านไปมานางก็ถามว่าพบลูกของนางหรือไม่ ผ่านไปหลายวันร่างกายของนางเจียงไดก็เริ่มซูบผอม จนสุดท้ายนางก็ขาดใจตาย ตรงท่าน้ำข้ามระหว่างเมืองซีซ่วนและเมืองศรีษะเกษ ชาวบ้านที่ผ่านไปมาจึงเรียกท่าน้ำนั้นว่า “ท่านางเหงา” หรือ “หาดนางเหงา” จนถึงปัจจุบัน
หาดนางเหงาในปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอกันทรารมย์ โดยเฉพาะในเทศกาลสงกรานต์
ต่อมาท้าวอินทะสะเกษ เกิดสำนึกผิดว่าได้ฆ่าลูกและเมียของตนไปแล้ว จึงได้นำอัฐิของนางเจียงใดมาไว้ ณ อุทยาน คือบริเวณวัดทุ่งศรีวิไลในปัจจุบัน เพราะพระนางเจียงใด ทรงโปรดอุทยานแห่งนี้มาก
บั้นปลายของชีวิตท้าวอินทะสะเกษได้ออกบวชเพื่ออุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้พระนางเจียงใด ณ อุทยานของนางเจียงใด จนกลายเป็นโบราณสถานสมัยทวารวดี ในบริเวณวัดทุ่งศรีวิไล มาจนถึงปัจจุน และผลจากสงครามทำให้เมืองซีซ่วนได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากจนกลายเป็นเมืองร้างในเวลาต่อมา
เอกสารอ้างอิง
BIBLIOGRAPHYmathranger. (6 กุมพาพันธ์ 2558). ตำนานรักพื้นบ้าน หาดนางเหงา เหงา เหงา. เรียกใช้เมื่อ 1 มกราคม 2560 จาก oknation.nationtv.tv: http://oknation.nationtv.tv/blog/olderlover/2015/02/06/entry-2
วัดทุ่งศรีวิไล. (ม.ป.ป.). พระพุทธวิเศษ. เรียกใช้เมื่อ 1 มกราคม 2560 จาก http://www.ubonpra.com: http://www.ubonpra.com/board/index.php?topic=1400.0;wap2
วาปี สังข์ปัสสา. (14 มิถุนายน 2555). ประวัติเมืองพนา. เรียกใช้เมื่อ 1 มกราคม 2560 จาก www.gotoknow.org: https://www.gotoknow.org/posts/305249
แสดงความคิดเห็น