Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

‘เด็กดี’ ดีจากจิตใจ...หรือหุ่นชักใยที่ผู้ใหญ่กำหนด?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
                ก่อนอื่น ต้องขอชี้แจงก่อนว่าการตั้งกระทู้นี้เป็นเพียงกระทู้บอกเล่าของเด็กคนหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัวระหว่างช่วงเวลาของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้มีเจตนาส่อเสียด หรือกล่าวให้ร้ายต่อบุคคลใด หรือสิ่งไหนก็ตาม นี่เป็นเพียงเสียงเล็กๆ ที่ออกมาสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมเท่านั้น

                ถ้าพูดถึงคำว่า ‘เด็กดี’ ส่วนใหญ่จะนึกถึงอะไรกันคะ...เด็กอ่อนน้อมถ่อมตน ทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่โดยไม่มีข้อโต้แย้ง รับฟังคำสั่งสอน ทำตามค่านิยมอันดีงาม เป็นเด็กเรียบร้อยอ่อนหวานน่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคน

                ใช่ค่ะ เราเคยเป็นคนอย่างนั้น อย่างน้อยญาติผู้ใหญ่ก็มองเราอย่างนั้น ถึงแม้มันไม่ใช่ความจริงเลยก็ตาม 5555 ความจริงคือเราเป็นสาววาย ติ่งฝรั่ง บ้านิยาย ติดเกม สารพัดอย่างมากค่ะ เสื่อมทรามเท่าที่คนๆ หนึ่งจะเป็นได้เลยล่ะ 555

                สิ่งที่เกิดขึ้น คือเราไม่สามารถเปิดใจเรื่องนี้กับพ่อแม่ได้ อย่างหนึ่งที่เรายอมรับเลยก็คือว่าพ่อแม่ของเราค่อนข้างที่จะเป็นคนหัวโบราณ ยังยึดถือคติประเพณีเก่าๆ บางอย่างอยู่ แม้ว่าบางอย่างเราจะยอมรับไม่ได้ก็ตาม แต่สุดท้ายด้วยคติโบราณที่ว่า เด็กต้องทำตามผู้ใหญ่ ทั้งหมดที่เราทำได้เมื่อไม่เห็นด้วยกับความคิดของพวกท่านก็คือเงียบ

                พวกผู้ใหญ่มักจะมองเราในแง่ดีค่ะ เพราะไม่ว่ายังไง สุดท้ายเราก็มักจะทำตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ พ่อแม่ให้เรียนห้องเรียนพิเศษวิทย์-คณิต เราก็เรียน และในฐานะเด็กวิทย์สายเลือดแท้ เราสร้างความภาคภูมิใจให้พ่อแม่มากมาย สิ่งไหนที่เราทำให้พวกท่านภูมิใจได้ เราทำ เราอยากให้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่พวกท่านลงทุนเลี้ยงดูส่งเสียเรามามีผลตอบแทนที่คุ้มค่า ไม่อยากให้พ่อกับแม่เสียใจที่ทำให้เราเกิดขึ้นมา

                ก่อนหน้านี้ ความชอบของเรา กับความต้องการของพ่อแม่จะตรงกันเป็นคู่ขนาน ค่านิยมที่บอกว่าเด็กวิทย์คือเด็กฉลาด เรานี่แหละเด็กวิทย์ตัวจริง

                และแล้วทางแยกก็มาถึงในสมัยมหาวิทยาลัย (ขอข้ามช่วงมหากาพย์ TCAS ไป เพราะมันจะยาวมาก 555) เราสอบติดสายวิทย์สุขภาพในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตอนสอบติดบอกเลยว่าดีใจมาก 5555 แต่อย่างหนึ่งที่ยอมรับคือเราไม่รู้ตัวเองเท่าไหร่ว่าจะเหมาะกับคณะนี้จริงๆ เหรอ คือมันก็เป็นคณะสายวิทย์ที่เราชอบนั่นแหละค่ะ แต่มันก็ยังดูสูงส่งเกินเรา (ที่ตอนแรกอยากเรียนคณะวิทยาศาสตร์ตรงๆ ไปเลย) มาก เรารู้สึกว่านี่มันดีเกินไปที่เราควรได้รับ

                แต่พอเราได้มาเรียน มาสัมผัส เราก็ว่า...เฮ้ย มันใช่ว่ะ มันตรงกับสิ่งที่เราต้องการเลย ถึงมันจะไม่ได้ตรงโดนใจเท่ากับคณะวิทยาศาสตร์ แต่ตอนนั้นเราก็คิดว่ามันแลกมาด้วยโอกาสหางานที่ง่ายกว่า และเส้นทางอนาคตที่ชัดเจนกว่า อยู่ที่นี่ เราจะได้เรียนวิทยาศาสตร์ที่เราชอบจริงๆ และเราก็เพิ่งมารู้ตัวว่าชอบเคมีตอนเรียนคณะนี้เอง (ตอนแรกเรารู้แค่ว่าชอบวิทยาศาสตร์ แต่เราไม่เคยซีเรียสว่าต้องเป็นฟิสิกส์ เคมี หรือชีวะ ขอแค่เป็นวิทยาศาสตร์เราชอบหมดเลย) กราฟความชอบเคมีของเราพุ่งสูงขึ้น (หรือเป็นเพราะกราฟฟิสิกส์กับชีวะลดต่ำลงเพราะเรียนยากชิบหายก็ไม่รู้ บวกคณิตศาสตร์อีกตัว TT)

                บางคนน่าจะพอเดาได้แล้วว่าคณะอะไร 555…ต่อนะคะ คณะของเราจะมีวิชา introduction ของวิชาชีพเนอะ ก็จะเรียนเหมือนเป็นเส้นทางอนาคตน่ะค่ะ ให้เห็นคร่าวๆ ว่าหลังจากจบไปแล้วเราสามารถต่อทางไหนได้บ้าง ต้องขอบคุณที่มีวิชานี้ รักและเคารพอาจารย์วิชานี้สุดหัวใจ ทำให้มุมมองของเราที่มีต่อคณะนี้กว้างขึ้นมา ทำให้เรารู้ว่าวิชาชีพนี้...ทำอะไรได้มากกว่าร้านขายยาและโรงพยาบาล (เอิ่ม ชัดเจนเลยแฮะ) เรายอมรับว่าสนใจงานงานหนึ่งของคณะนี้มากๆ ค่ะ และคิดว่ามันน่าจะเป็นงานที่เหมาะกับเรา (แต่มันดูเป็นยากจัง -*-)

                แต่ยอมรับว่า ด้วยค่านิยมของสังคมไทย ก็ยังคิดว่าเด็กที่สอบหมอติดคือเด็กที่เก่งที่สุด วิชาชีพหมอคือวิชาชีพที่อยู่สูงที่สุด วิชาชีพหมอคือวิชาชีพที่รายได้ดีที่สุด และสิ่งเหล่านั้น ทำให้ผลกรรมมาตกอยู่ที่เรา...รวมถึงเด็กอีกหลายๆ คนที่กำลังประสบชะตากรรมเดียวกัน

                พ่อแม่มองว่าเราพลาดหมอไปนิดเดียวเอง ลองอีกปีมั้ย แถมด้วยการผลักดันเราด้วยคำดูถูกสุด exclusive ต่างๆ จนบางทีเราก็สงสัยว่านี่ผลักดันหรือกดให้จมดิน? บางทีถึงกับนั่งร้องไห้ว่าความพยายามที่ผ่านมามันไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไรเลยเหรอ แค่สอบหมอให้ไม่ได้ทุกอย่างก็จบ? ชีวิตจบ? ต้องใช้ชีวิตใต้เงาของหมอไปตลอดกาล?

                กลับเข้าเรื่อง สิ่งเหล่านี้แหละค่ะที่ทำให้เราเจ็บปวด ไม่ว่าเราจะชี้แจงกับพวกท่านยังไง อธิบายแค่ไหน แต่เราทำไม่ได้แม้กระทั่งทำให้พ่อหยุดเครียดจนสมองแทบแตกทุกครั้งที่เห็นร้านยาปิดกิจการ หรือเปลี่ยนความคิดของท่านที่ว่าหมอคืออาชีพบนสุดของพีรามิด อย่างอื่นก็เป็นได้แค่ทาสหมอ หรือค่านิยมใดๆ ก็ตาม

                ทุกคนมีภาพติดตาไปแล้วว่าเราคือเด็กดี คือเด็กที่ทำตามคำสั่งของพ่อแม่ จนเมื่อถึงวินาทีที่เราตัดสินใจลุกขึ้นมาเพื่อเดินเลี้ยวเข้าทางแยกที่ตัวเองเลือก มันกลับกลายเป็นตราบาปติดตัว กลายเป็นเด็กชั่วดื้อดึงไม่ทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่ทันที

                สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครพูดกับเราตรงๆ ค่ะ ไม่มีใครด่าว่าเราเป็นเด็กชั่ว อันที่จริงเราว่ามันออกจะเกินความเป็นจริงไปหน่อยด้วยซ้ำ แต่เราต้องการพูดให้เห็นภาพ เพราะหลังจากที่เราไม่สามารถเคลียร์กับพ่อแม่ได้ว่าเราไม่อยากเป็นหมอ เราก็ตัดสินใจชัดเจนว่าจะมั่วข้อสอบให้จบๆ ไป แต่ความรู้สึกผิดก็เล่นงานเราทุกครั้งที่แม่จะพาเราไปซื้อหนังสือแบบฝึกหัดสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือพ่อกับแม่คุยกัน วาดฝันว่าชีวิตของเราอีกสิบปีข้างหน้าในฐานะหมอจะเป็นยังไง (แม้ว่าเราที่เป็นเจ้าของชีวิตนั้นแท้ๆ ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะมีส่วนร่วมก็ตาม)

                พ่อแม่ท่านยังเป็นคนดี และยังสนับสนุนเราด้วยกำลังสูงสุดของพวกท่าน ต่อให้ค่าใช้จ่ายจะสูงแค่ไหน พวกท่านก็ยังยอมจ่าย ต่อให้จะเหนื่อยแค่ไหน พวกท่านก็ยอมทำ ทั้งหมดนั่นเพื่อให้เราเป็นหมอ

                ตอนพิมพ์ไปก็จะร้องไห้ (แม้ว่าเมื่อวานเราจะเพิ่งร้องไห้มาก็เถอะ) ช่วงนี้เรากำลังซึมเศร้า (ไม่แน่ใจว่าเข้าข่ายเป็นโรคแล้วหรือยัง) เราตั้งคำถามเสมอว่าทำไมเหตุการณ์แบบนี้มันถึงเกิดขึ้นกับเรา

                เราเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ เราแค่รักที่จะเรียนรู้มัน เราแค่อยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง ไม่ได้อยากไปรักษาใคร เราแค่อยากรู้ว่าสิ่งรอบตัวเราถูกสร้างมาจากอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เราไม่ได้อยากจับเข็มเย็บแผล เครื่องมือผ่าตัดท่ามกลางความเสี่ยงชีวิตของคนอื่น นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่ทำไมกันนะ...ทำไมเราถึงถูกยัดเยียดด้วยค่านิยมแบบนี้ ทำไมคนถึงคิดว่าเราเรียนเก่งแล้วเราต้องเป็นหมอ ทำไมถึงไม่มีใครฟังเสียงสะท้อนของเจ้าของชีวิตอย่างเราเลย

                บุคคลต้นเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา คือ นศพ คนหนึ่งค่ะ วันนี้เรามีเรียนวิชาเรียนรวม อาจารย์ให้ (บังคับ) นศพ คนนั้นออกมาพูดหน้าชั้นในหัวข้อ ‘การเสียสละ’ นศพ คนนั้นไม่เต็มใจ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ทำให้เขาต้องพูด

                คำพูดของเขาทำให้เราแทบร้องไห้ตาม ชีวิตของเขาคล้ายกับเรามาก เขาคือเด็กคนหนึ่งที่ถูกผู้ใหญ่มองว่าเป็นคนดี บอกให้ทำอะไรก็ทำตามมาโดยตลอด เขาคือคนที่ชอบวิทยาศาสตร์ และสอบติดทุนวิทยาศาสตร์ถึงปริญญาเอก เขาสอบหมอให้พ่อกับแม่ แค่เพื่ออยากแสดงให้พ่อแม่เห็นว่าเขาฉลาดและมีศักยภาพ แต่ผลที่ได้คือหนังคนละม้วน พ่อแม่บังคับให้เราเรียนหมอ แล้วละทิ้งทางวิทยาศาสตร์ที่เขาชอบ

                สิ่งที่ทำให้เขาต่างจากเรา คือเขาสอบติดหมอนี่แหละค่ะ หลังจากเจอประโยคที่ว่า ‘ที่แม่เลือกให้ก็เพราะรัก’ เป็นเหมือนประโยคน็อคเอาท์ที่ทำให้เขาตัดสินใจเรียนหมอตามที่ทางบ้านบอกมาให้ และทำให้เขาไม่มีความสุขในปัจุบัน

                เพราะค่านิยมคำว่า ‘เด็กดี’ ทำให้เขาไม่สามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ ทำได้เพียงเป็นเด็กดีของพ่อแม่ต่อไป โดยไม่สามารถหนีออกจากกรงขังแห่งนี้ได้เลย

                ณ วินาทีนั้นแหละค่ะ บ่อน้ำตาเราแทบแตก...ใช่ค่ะ เรารู้อยู่แก่ใจ และสัมผัสได้ด้วยว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำกับเราในตอนนี้เป็นเพราะความรักจริงๆ แต่ความคิดอย่างหนึ่งที่ทั้งเราและทั้ง นศพ คนนั้นคิดเหมือนกัน คือการตั้งคำถามว่า ‘เพราะความรักของพ่อแม่ คือสิ่งที่ทำให้ลูกต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ทุกวันนี้เหรอ’

                จขกท อยากบอกพ่อกับแม่ว่า เรารักท่านนะ และรู้อยู่แก่ใจว่าพวกท่านก็รักเรา แต่ทำไม...ความรักของพวกท่านถึงเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาทำร้ายเราล่ะ ทำไม มันถึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ทรมานจนถึงทุกวันนี้ล่ะ

                เพราะรัก...เราถึงพยายามทำตัวเป็นเด็กดี เพราะรัก...เราจึงทำตามที่พวกท่านสั่ง เพื่อความสบายใจของพวกท่านเอง จนสุดท้ายเมื่อมาถึงทางแยก...ตอนนั้น เป็นตอนที่เรารู้สึกว่าคำว่า ‘เด็กดี’ กำลังกดเราจมใต้น้ำ กำลังขังเรา กำลังทำให้เราทุกข์ทรมาน

                เราอยากที่จะเลือกเส้นทางที่เราชอบ...อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเองว่าเรายังเป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ เป็นคนที่ยังสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ ไม่ใช่ตุ๊กตาชักใยที่ทำได้เพียงเคลื่อนไหวตามคำสั่งของคนอื่น แต่ทุกครั้งที่เราคิดอย่างนั้น ความรู้สึกผิดจะวกกลับมาเล่นงานเรา กดเราให้จมดินเหมือนเดิม

                ชีวิตตอนนี้ของเราเหมือนไร้ทางออก จะสอบให้ติดหมอ มันคือการสร้างความสุขให้ผู้อื่นด้วยการสังเวยชีวิตของตัวเองทั้งชีวิต...มันคุ้มเหรอ มันไม่มีทางอื่นเลยเหรอที่จะทำให้ทั้งเราและพวกเขามีความสุข จะสอบให้ไม่ติด...ความรู้สึกผิดก็จะเล่นงานเรา พ่อแม่รักเรามากนะ พ่อแม่พยายามสนับสนุนเราอย่างเต็มที่นะ เราจะหักหลังพวกท่านอย่างนั้นเหรอ

                ตอนนี้ถ้ามีแคมเปญบางอย่างให้เลือก เราขอเลือกการรณรงค์พ่อแม่ให้งดบังคับเด็กให้สอบเข้าในคณะที่ตัวเองต้องการ มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมนี้ เด็กทุกคนที่เกิดมาสมควรได้รับโอกาสในชีวิตที่จะได้เลือกว่าตัวเองจะเป็นอะไร งดเอาคำว่า ‘รัก’ ‘บุญคุณ’ และ ‘หวังดี’ มาบีบคั้นเด็ก งดทำให้เขาเป็นหุ่นเชิดที่มีชื่อว่า ‘เด็กดี’ งดขังเขาไว้ให้ทุกข์ทรมานภายในกรงขังที่เรียกว่า ‘ความภาคภูมิใจของพ่อแม่’ และปล่อยให้เขา...ได้เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง

                เหตุการณ์เหล่านี้คงไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเราและ นศพ คนนั้น แต่คงเกิดกับอีกหลายคนทั่วประเทศ เราเสียคนที่มีศักยภาพไปมากเท่าไหร่แล้วกับการที่มัวแต่ยัดเยียดให้พวกเขาเป็นหมอ เสียพวกเขาไปเท่าไหร่แล้วที่ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้ทำตามความชอบและความถนัดของตัวเอง เสียไปเท่าไหร่แล้วกับการดับประกายแห่งชีวิตของคนหนึ่งคนให้กลายเป็นตุ๊กตาหุ่นเชิดที่พ่อแม่ภาคภูมิใจ

                อย่าให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับใครที่ไหนอีกเลยค่ะ หากพ่อแม่ของเด็กคนไหนได้มาอ่านกระทู้นี้ รบกวนเก็บแนวคิดของเราไปพิจารณาด้วยนะคะ สิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มันเจ็บปวดทรมานมากจริงๆ แม้ได้เรียนในสิ่งที่ชอบแล้ว แต่ก็ยังถูกบีบคั้นจนไม่มีความสุข ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องสู้ต่อไป ตราบใดที่ค่านิยมว่า ‘คนสอบหมอคือคนเก่ง’ หรือ ‘เป็นหมอแล้วรวย’ ยังอยู่ ก็คงมีเด็กอีกนับหมื่นนับแสนที่ต้องตกอยู่สภาพเหมือน นศพ คนนั้น

                ฝากไว้เท่านี้แหละค่ะ

ปล. ไม่รู้เอากระทู้นี้ไว้หมวดไหนดี ผิดหมวดยังไงขออภัยด้วยนะคะ

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

m13ss 13 ต.ค. 61 เวลา 10:18 น. 1

เป็นหมอแล้วรวยจรึงไหม ก็อาจจะจริง แต่ไม่ใช่ว่าต้องเป็นหมอเท่านั้นถึงจะมีความสุข ขออนุญาตเรียกคุณจขกท.ว่าพี่นะครับ พี่ทำในสิ่งที่พี่รักและชอบเถอะครับ

ต้องเข้าใจว่าพ่อแม่ของพี่และพี่เกิดคนละช่วงเวลา

ค่านิยมเลยต่างกันหลายสิบปีอยู่ คุณพ่อและแม่รักพี่ครับเขาเลยคาดหวังว่าหากเขาลาโลกไป พี่จะอยู่ยังไงประกอบกับค่านิยมอาชีพแพทย์ต่างๆรายได้ดี+ข้าราชการ=มั่นคง

อันนี้ส่วนใหญ่นะครับ ไม่ว่าใครก็อยากได้ความมั่นคงอยู่แล้ว แต่ว่าความหวังก็เหมือนดาบสองคม

พี่สู้ๆนะครับ ^ ^

ปล.ผมอยู่มอห้าอาจจะไม่เข้าใจชีวิตมหาลัยก็ขออภัยครับ สู้ๆครับ

0
LiuKA 21 ก.ค. 64 เวลา 22:50 น. 2

เราก็โดนกับอะไรแนวๆนี้ค่ะ แต่มาในรูปแบบของการหวังดีแนะแนวทางให้แต่ออกแนวบีบทางเลือกให้เราไว้ว่าต้องเลือกทางนี้ พวกเค้ามักจะใช้การคิดแทนเราเป็นส่วนใหญ่ ด้วยความที่เค้าอยากให้เราเติบโตมาเป็นเด็กที่ดีมีคุณภาพ และ ประสบความสำเร็จ เอาตัวรอดได้ การสอนของเค้ามันเริ่มมาตั้งแต่ยังเด็กเลยค่ะ ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป ตอนเด็กๆเราร่าเริงมากค่ะ พูดเก่ง กล้าเข้าสังคม แต่พอเค้าเริ่มสอนเราในลักษณะของการเริ่มใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่มันเริ่มทำให้เราเปลี่ยนค่ะ ช่วงเวลานั้นมันโคตรอึดอัด มันกดดันจนเราไม่กล้าขอหรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องปกติๆ แค่คุยกันเหมือนครอบครัวทั่วไปเรายังทำไม่ได้เลยค่ะ เราเริ่มประชดเค้าโดยการขัดขืนแบบเงียบๆจากการกระทำค่ะ ประชดโดยการตีสองหน้าใส่ ทำเป็นไร้อารมณ์ใส่เค้า เรารู้สึกแย่ทุกครั้งที่ทำแบบนี้ค่ะ ทุกสิ่งที่เค้าสอนเรารู้ตลอดค่ะว่าหวังดี แต่เรากลับไม่กล้าแสดงออก เราเกลียดความคิดของเค้าตรงที่ชอบคิดแทนเราไปซะทุกเรื่อง และคำพูดของเค้าที่สื่อว่าพอเราโตมาต้องไม่ทิ้งเค้า สำหรับเราเราแอบรู้สึกว่า เค้าจะสื่อว่าเลี้ยงเราให้เอาชีวิตเราให้เค้าไม่ใช่มีชีวิตเป็นของงตัวเอง ไม่แน่เราอาจจะแค่อคติกับเค้าเฉยๆแต่มันทรมานเหลือเกินค่ะ ทุกคำพูด ทุกการกระทำ ทุกการหวังดีและห่วงใยของเค้า มันกดดันและเหยียบเราให้รู้สึกแย่ถ้าเราจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง เหมือนเราต้องแคร์เค้าตลอดเวลา เราอยากหนีออกมาจากความรู้สึกแบบนี้เหลือเกินค่ะ แต่เรายังไม่กล้าพอ เราแคร์พวกเค้ามากเกินกว่าตัวเราเองไปแล้วค่ะ อยากลองเห็นแก่ตัวดูบ้าง บางครั้งเคยคิดเล่นๆว่าอยากตายแต่มันทำไม่ได้เลยค่ะ ยังโชคดีที่เราฮีลใจตัวเองได้ง่าย เรายังพยายามมองความเป็นจริงได้ เรายังพอได้รับความใส่ใจจากพวกเค้าในการแสดงความชอบของเราอยู่บ้าง ทั้งยังสนับสนุนเราอีก เพราะฉะนั้นเราถึงเกลียดครอบครัวเราไม่ลงจริงๆค่ะ กระทู้หลายปีแล้ว แต่ขอระบายหน่อยนะคะ อึดอัดมากยิ่งเห็นคนที่เป็นแบบเดียวกันยิ่งช้ำใจ สุดท้ายแล้วในอนาคตหลังจากนั้น เราเองต่างหากที่เป็นคนใช้ชีวิตของเรา อาจเขียนสับสนบ้าง แต่มาจากใจเราค่ะ สู้ๆ

0