รีวิว ที่เรียน ที่กิน และที่ช้อป ของสายเกาในยุค 2018 ย่าง 2019 นี้
อันยองฮาเซโย ขอทักทายทุกคนเป็นภาษาเกาหลีกันหน่อย (ถือคติที่ว่าเรียนมาต้องใช้บ่อยๆ) ขอแนะนำตัวก่อนเลยว่าเป็นคนชอบอะไรก็ตามที่เป็นเกาหลีสุดๆ เจอรูปใน ig ไม่ว่าจะเป็นที่เที่ยวต่างๆ ของกิน ของใช้ stationary ยิ่งพวกเครื่องสำอางนะ ถึงขั้นขอร้องแม่ว่า “แม่ยอมหนูเถอะ” เสียทรัพย์ว่าได้แต่เสียใจน่ะไม่ อ้อนจนแม่ยอมและถามบ่อยมากว่าจะไปเกาหลีอีกเมื่อไหร่ นั่นไง..มีคนชอบแบบเราเพิ่มขึ้นมาอีกคน
สำหรับกระทู้นี้ จะมาเขียนเล่าประสบการณ์การเรียนภาษาเกาหลีที่เมืองไทยเรานี่ล่ะค่ะ ว่าทำไมเราถึงเลือกเรียนที่นี่ รู้จักที่นี่ได้ยังไง ไปเรียนอะไร อ่ะไปเรียนอะไร? มันคือคำถามในใจว่าไปเรียนทำไม 555 ก็ความชอบ ได้อ่านภาษาที่ชอบออกก็ยังดีอ่ะเน๊อะ การมารีวิวนี้เผื่อจะช่วยเป็นทางเลือกสำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาที่เรียนเสริมภาษาเกาหลี อาจจะรวมๆ ถึงคนที่ตั้งใจจะไปเรียนต่อด้วย ละก็จะมีรีวิวเกี่ยวกับที่กินก็จะเป็นร้านอาหารเกาหลีโดยเฉพาะเลย รวมไปถึงแหล่งช๊อปสินค้าของเกาหลี จะเขียนออกมาเป็นพาร์ทๆ ไป วันนี้ขอเล่าที่เรียนกันก่อนดีกว่า ตามอ่านกันเล๊ยยย
PART 1 : รีวิวที่เรียน ของสายเกาในยุค 2018 ย่าง 2019 นี้
เราเรียนภาษาเกาหลีที่ รร.เซจง กรุงเทพฯ ชื่อภาษาอังกฤษ Sejong Korean School ตอนนั้นเรียนพิเศษแถวสีลม เจอสถาบันนี้โดยบังเอิญตอนไปกินข้าวกับเพื่อนหลังเรียนเสร็จ แว็บแรกที่เห็นคือ ออฟฟิสสีเหลืองทองสว่างมาก พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เป็นสถาบันสอนภาษาเกาหลี แปลกมากบวกกับความรู้สึกตื่นเต้น มีสถาบันสอนภาษาเกาหลีอยู่ในนี้ด้วย มีคนนั่งรอเรียนอยู่พอดี เลยอดใจไม่ไหวขอเดินเข้าไปข้างในหน่อย คือบรรยากาศแบบโคเรียสไตล์ก็มา ณ ตอนนั้น มีเสียงเพลงเกาหลีเปิดกระตุ้นให้อยากเรียนมาก เราก็ชวนเพื่อนเดินเข้าไปถามรายละเอียดกับขอโปรชัวร์พี่เค้ากลับมาอ่าน ค่าเรียนตอนนั้นเป็นโปรโมชั่นเราก็จำไม่ได้ แต่ถูกมากเหมือนจะ 3 คอร์สจ่ายราคาเดียว ไม่ถึง 7k แล้วเรียนได้นานมาก อาทิตย์ถัดไปคืออ้อนให้แม่พามาสมัครเรียนเลยจ้า
ตอนสมัครเรียนที่นี่คือซอนแซงนิมเค้าจะถามเราก่อนที่จะลงคอร์สว่ามีพื้นฐานมาก่อนรึเปล่า ถ้าไม่มีก็ลงคอร์สเริ่มต้นไปได้ แต่เราพอมีมาบ้างแล้วก็จะได้ทำแบบทดสอบนิดหน่อย และสัมภาษณ์ประมาณ 10-15 นาที ไม่นาน ผลสอบเราได้ระดับ 1A กลางๆ ที่สถาบันจะใช้หนังสือ 1A ของ ม.ซอกัง (서강) ตอนนั้นคืออ่านตัวอักษรได้แต่ยังช้า รู้คำศัพท์บ้างนิดหน่อย ตอนเรียนซอนแซงนิมเค้าจะให้เราทุกคนฝึกอ่านคำศัพท์ ประโยคบรรทัดนี้สั้นๆ กันทีละคนเลยเป็นประจำทุกวัน ข้อดีคือเราอ่านได้คล่องมากขึ้นและสะกดถูกต้องแม่นยำกว่าเดิม ชนิดที่ว่าร้องตามเนื้อเพลงเกาหลีได้เลยอ่า แต่ยังไม่ถึงขั้นแรพ
พอเราได้พื้นฐานตรงนี้แล้ว ทุกระดับจะมีคำศัพท์มาให้เก็บเรื่อยๆ จากศัพท์ง่ายๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันก่อน เรียนไม่ทันไรจะจบคอร์ส 1A ละ ก็ต่อคอร์สขึ้นในระดับ 1B เพราะว่าพอเรียนไปแล้วจริงๆ มันต้องเรียนแบบต่อเนื่อง ถ้าจะพอแค่คอร์สที่ 1A เหมือนจะเรียนแค่พื้นฐาน ถ้าต้องการนำไปใช้จริงๆ มันจะมีในบทเรียนระดับสูงขึ้นไป หลังจบ 1B เราพูดเป็นประโยคสั้นๆ ได้ รู้จักใช้ไวยากรณ์ที่เรียนมาใส่เข้าไปด้วย หลักสูตรที่เราเรียนจะได้ทุกอย่างทั้ง Grammar/ Reading/ Listening/ Vocabulary และที่สำคัญคือ Speaking ได้หมด ระดับนี้ถ้าเพื่อนๆ สนใจเรื่องของการสอบ TOPIK ด้วยแล้ว ก็มาลงเรียนกันได้เลย ส่วนใครที่อยากยื่นคะแนนเพื่อขอทุนเรียนต่อที่เกาหลี เราว่าควรเรียนเพิ่มขึ้นไปอีก ประมาณระดับ 3 ใช้หนังสือ 3A-3B
ตอนนี้เราเรียนถึงแค่ระดับ 2A เคยลองสอบ TOPIK I มีฟังกับอ่าน ผ่าน มาได้คือดีใจมาก ตอนไปสอบถามว่าตื่นเต้นมั้ย ไม่ค่อยเท่าไหร่เลย หาตึกสอบเนี่ยสิตื่นเต้นกว่า ฮ่าๆๆ แต่ไม่ต้องกังวลในทุกระดับซอนแซงนิมจะเปิดไฟล์เสียงของแต่ละท้ายบท เพื่อฝึกให้เราลองเขียนตาม ระดับสูงขึ้นมาจะเป็นการฟังแล้วเขียนตอบคำถาม ซึ่งคำตอบก็อยู่ในบทเรียน ตรงนี้แหละเราเขียนผิดบ่อย ใช้ตัวอักษรผิด (งื้อออ ก็มันเสียงคล้ายกัน) แต่ข้อดีคือเป็นการฝึกให้เราชินกับสำเนียงของคนเกาหลีและเสียงเทป เพราะไปฟังในห้องสอบจริงอาจสะดุ้ง เง้อ ใครเป็นมั่ง เล่ามา
เคล็ดลับในการเรียนให้พูดได้เร็วก็ต้องจำศัพท์ให้ได้เยอะๆ ดูซีรี่ส์เรื่องที่ชอบก็ได้ให้เราคุ้นเคยกับมัน จะมีหลายคำที่เราเรียนมาแล้ว แล้วเราก็จะรู้ว่ามันใช้แบบนี้ ในสถานการณ์นี้ ถ้าฟังตามไม่ทันก็เอาไปถามซอนแซงนิมในคลาสได้ด้วย เราจะเข้าใจและพูดได้มากขึ้น
ห้องนี้จะเป็นห้องเรียนเล็กที่เราชอบสุด เรียนๆ อยู่ก็แอบพักสายตาชมวิว ไปด้วยได้ ในคลาสจะจัดโต๊ะชนกัน เก้าอี้หันหน้าเข้าหากัน จุดประสงค์คือให้นักเรียนทุกคนได้สนทนา (เม้าส์) กันอย่างเมามันส์ นอกจากนี้มีอีกหลายห้องเลยค่ะ แต่ละวันก็จะมีซอนแซงนิมเข้ามาสอนไม่ซ้ำเช่นกัน ก็คงอยากให้เราคุ้นเคยกับหลายๆ ท่าน ด้วยค่ะ เพราะแต่ละท่านสไตล์การสอนไม่เหมือนกัน ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ
หนังสือเรียนภาษาเกาหลี ม.ซอกัง
(1 ชุดประกอบด้วย Student Book/ Work Book และ Grammar เล่มเล็ก)
ที่นี่จะใช้หนังสือเรียนของ ม.ซอกัง (서강) ค่ะ ซื้อ 1 ชุดใช้ได้ตั้ง 3 คอร์สแน่ะ เราชอบหนังสือของซอกังมาก คือจะมี Student Book (เล่มเล็กๆ) สรุปรวมไวยากรณ์และคำศัพท์ สามารถพกติดตัวไปอ่านเวลานั่งรถได้เลย เราสั่งซื้อชุด Original ไปเลย สีสันน่าใช้แต่ไม่กล้าเขียน เนื้อกระดาษอย่างสวยถนอมสายตาด้วย ราคาอยู่ที่ 1,000 ต้นๆ ค่ะ ไม่แน่ใจสอบถามที่สถาบันได้นะคะ มีรูปตัวอย่างข้างในให้ดูด้วยตามภาพด้านล่างนี้เลยค่ะ
(ตัวอย่าง Student Book)
ในหนังสือ Student Book ที่เห็นจะเป็นตัวอย่างบทสนทนาในสถานการณ์หนึ่งๆ ของบุคคล 2 คน ส่วนด้านล่างจะเป็นการฝึกนำคำศัพท์มาใช้ในบทสนทนานั้น ตรงนี้ล่ะค่ะที่ซอนแซงนิมจะให้เราฝึกกับเพื่อนในคลาส โดยเลือกใช้คำศัพท์ด้านล่างมาฝึกแต่งประโยค แต่ละหน้าเข้มข้นมากค่ะ
(ตัวอย่าง Work Book)
ส่วน Work Book จะใช้คู่กันกับ Student Book มีแบบฝึกหัดให้ทำในแต่ละบท จะเน้นเกี่ยวกับ Grammar ซะส่วนใหญ่
บทสรุป โดยรวมสำหรับสถาบันสอนภาษา Sejong Korean School
สำหรับใครที่คาดหวังว่าอยากพูดภาษาเกาหลีให้ได้เร็ว จบภายในเดือนหรือสองเดือน ขอบอกก่อนว่า ความเป็นจริงแล้วอาจต้องใช้เวลามากกว่านั้น บางคนอาจจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและการใช้งานบ่อยแค่ไหน ของเรานับว่ามีพัฒนาการเพิ่มมากขึ้น จากประสบการณ์ 1 ปี 6 เดือนที่เรียนมามันบอกว่าสิ่งเราพอรู้มันจะไม่ใช่แค่นั้น เพราะตอนที่ใช้จริงคือการพูดโต้ตอบกับคนอื่นซึ่งไม่ได้เป็นผู้พูดเพียงฝ่ายเดียว
เรื่องค่าเล่าเรียนของที่นี่จะชำระเป็นคอร์สๆ ไป คอร์สนึงตกประมาณ 5k นิดๆ ถ้ามีโปรโมชั่นจะถูกมากต้องรีบสอย เวลาเรียนประมาณ 24-27 ชม./คอร์ส ถ้าลองเปรียบเทียบกับที่อื่นก็จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ต่างกันไม่มาก แต่สำหรับที่นี่เค้าเน้นที่คุณภาพของนักเรียนเลยจริงๆ บางคนสอบจบคอร์สไม่ผ่านเกณฑ์ เค้าจะให้เรียนซ้ำ เหตุก็เพื่อตัวเราเองถ้าเผลอขึ้นไปในระดับสูงขึ้น จะลำบากมากๆ ตัวเราเองก็เคยเพราะหลอกตัวเอง เลยต้องกลับมาทบทวนอย่างหนักเพื่อตามเพื่อนในคลาสให้ทัน
มาในส่วนของซอนแซงนิม ที่นี่จะมีครูคนไทยที่จบเอกเกาหลี และครูคนเกาหลี ที่เรียกได้ว่าหอบสำเนียงมาสอนกันเลย ทุกวันจะเรียนแบบสลับครูกัน วันนี้เจอคนนี้บ้าง วันต่อไปเจออีกคน เฮฮาปนๆ กันไป ส่วนตัวเราว่าก็ดีระดับนึง ทำให้เราได้รู้เทคนิคของแต่ละท่าน แต่เราก็อยากให้เป็นคนเดียวกันสอนตลอด เพราะอย่างน้อยครูมักจะรู้ความสามารถของนักเรียนแต่ละคน ถ้านักเรียนคนใดมีปัญหาตรงไหนจะได้ช่วยแก้ไขได้แบบต่อเนื่อง
(ตึกยูไนเต็ดเซ็นเตอร์ สถาบันอยู่ในตึกนี้)
สถานที่เรียน เราว่าโอเคเลย อยู่ในย่านผู้คนสัญจรเยอะ มีรถไฟฟ้า BTS วิ่งผ่าน, MRT สถานีสีลมก็อยู่ใกล้กันกับ BTS ใกล้ที่เรียนพิเศษด้วย ข้างตึกก็จะมีซอยละลายทรัพย์เดินไปซื้อของจุกจิกจนทรัพย์ละลายไปจริงๆ เง๊ออ ร้านอาหารการกินก็ค่อนข้างเยอะเพราะที่นี่เป็นแหล่งของพี่ๆ พนง.ออฟฟิส เราชอบเดินเข้าสีลมคอมเพล็ก หาซื้อเครื่องเขียนในร้าน Muji ก่อนมาเรียนแทบทุกครั้งเลย
ลิ้งค์สถาบันสอนภาษา
https://www.facebook.com/bangkoksejong
สุดท้ายนี้มี Summarize เล็กๆ มาฝาก ไว้จดสรุปแต่ละวันว่าเรียนอะไรบ้าง สามารถนำไปปริ้นต์เป็นขนาดไหนก็ได้ เราใช้มันเวลาเรียนเสร็จในแต่ละวัน ช่วยแพลนเรื่องการอ่านหนังสือได้อีกด้วย จบสำหรับพาร์ทแรกไปแล้ว รอติดตามพาร์ทต่อไปกันด้วยน๊า
ลิ้งค์ดาวโหลด Summarize
https://drive.google.com/file/d/1uCPLA7XGMznoeoeiL2-fS67c6rOiTR_O/view?usp=sharing
แสดงความคิดเห็น