เมื่อฉันไปหาจิตแพทย์ (รีวิวการไปหาจิตแพทย์ first time)
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ เราจะเขียนรีวิวนะคะ ดังนั้นถ้าผิดพลาดประการใดก็ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
**ก่อนอื่นต้องบอกว่าสำหรับเด็
งั้นขอเริ่มเลยแล้วกันเนอะ
กระทู้นี้เราจะพูดถึง
1.บรรกายาศที่คลินิคจิตแพทย์ และสิ่งที่เราต้องทำหลังเข้าไป
2.บรรยากาศ+การพูดคุยกับจิตแพทย์ first time
3.ความรู้สึกหลังคุยกับจิตแพทย์เสร็จ
4.ข้อคิดที่ได้จากการไปพบจิตแพทย์ในครั้งนี้
กระทู้นี้เราจะพูดถึง
1.บรรกายาศที่คลินิคจิตแพทย์ และสิ่งที่เราต้องทำหลังเข้าไป
2.บรรยากาศ+การพูดคุยกับจิตแพทย์ first time
3.ความรู้สึกหลังคุยกับจิตแพทย์เสร็จ
4.ข้อคิดที่ได้จากการไปพบจิตแพทย์ในครั้งนี้
เราพึงไปหาจิตแพทย์มาเมื่อไม่ นานมานี้มาค่ะ การไปหาจิตแพทย์ในครั้งนี้เป็ นครั้งแรกของเราค่ะ ที่เราไปหาไม่ใช่เพราะตัวเองเป็ นโรคซึมเศร้าแต่อย่างไงแค่ เพราะเราเครียดค่ะ เอาจริงๆคือเราก็ไม่ได้เครี ยดขนาดนั้น ตอนแรกว่าจะไม่ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะว่าทั้งปีนี้มีแต่เรื่ องเครียดๆเข้ามาหาเราค่ะ มีอยู่ช่วงนึงเลยด้วยซ้ำที่เครี ยดจนเกือบเป็นบ้า แต่ช่วงตอนที่ตัดสินใจไปหาหมด เรื่องเครียดเหล่านั้นก็ผ่ านมาเป็นเดือนแล้วนะคะ ที่เราตัดสิ นใจไปหาหมอเพราะเราอยาก reset ด้วยเองค่ะ เหมือนไปตรวจสุขภาพประจำปีนั้ นแหละค่ะ เพราะเราก็ไม่รู้ด้วยว่ าอาการเหล่านี้จะกลับมาอีกที ตอนไหนด้วย ก็เลยตัดสินใจไปหาหมอดีกว่า เราตัดสินใจไปที่ คลินิคกายใจ ที่ จามจุรีสแควร์ชั้น 2 ฝั่ง resident ค่ะ
ตอนเข้าไปครั้งแรกบรรยากาศในคลิ นิคเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบดีค่ ะ คือเขามีเปิดเพลงเบาๆให้คนผ่ อนคลายค่ะ พอเข้าไปตอนแรกเขาก็จะมีให้ กรอกประวัติ มีให้ทำแบบทดสอบประเมินอาการเล็ กน้อย หลังจากนั้นเขาก็จะขอถ่ายบั ตรประชาชนค่ะ
**ถ้าจะไป รพ. แผนกจิตแพทย์หรือคลินิ
ต่อนะคะ หลังจากนั้นเขาก็จะเรียกให้ไปวั ดความดัน ชั่งน้ำหนักแล้วก็ถามส่วนสูง หลังจากเสร็จแล้วเราก็ไปนั่ งรอคิวพอถึงคิวเราเข้าไปหาคุ ณหมอในห้องก็ค่อนข้างกว้าง คือเราสามารถเลือกได้นะคะว่ าจะให้ผู้ปกครองเข้าไปนั่งฟังด้ วยหรือเปล่า ในกรณีของเราเราบอกแม่ว่ าเราขอเข้าไปคนเดียว พอเข้าไปข้างในคุณหมอก็จะถามเรื่ อยเปื่อยประมาณว่าตอนนี้เรี ยนอยู่ที่ไหน ประมาณนี้หลังจากนั้นเขาก็ จะถามว่าแล้ว มีอะไรอยากเล่าให้หมอฟังไหม ตอนแรกอย่างที่เล่าไปว่าปั ญหาของเรามันค่อนข้างเกิดขึ้ นมานานแล้ว เราก็คิดว่าเราก็คงไม่ได้ ทรมานกับมันแล้วมั้ง แต่เอาจริงๆที่ตอนแรกเราคิดว่ าเราโอเค แต่ความจริงคือมันยังไม่โอเคเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันยั งคงเป็นแผลในใจเรา แต่แค่ที่ผ่านมาแผลมัน ชา เราเลยไม่รู้สึกอะไร การที่เราเล่าให้คุณหมอฟังมั นเป็นเหมือนการ unlock ตัวเองคุณหมอจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ว่าคุณหมอจะตั้งใจฟังมากๆซึ่ งมันเป็นความรู้สึกที่ดี นะเวลาเราเล่าอะไรแล้วอีกฝ่ายตั้ งใจฟังแต่ว่าคุณหมอเขาก็ไม่ได้ กดดันเราอย่างเช่น 'รีบๆเล่าสิ' หรืออะไรประมาณนั้น เขาก็จะฟังไปเรื่อยๆเรื่อยๆแล้ วก็อาจจะมีจุดที่เขาถาม
กลับอย่ างเช่น เราบอกคุณหมอว่ารู้สึกว่าตั วเองเก่งไม่พอ
คุณหมอก็จะตอบกลับว่า แล้วคำว่ าพอของเรามันอยู่ตรงไหน ประมาณนี้
หลังจากนั้นคุณหมอก็นั่งฟังต่ อไปเรื่อยๆเป็นผู้ฟังที่ดี อย่างมีช่วงนึงที่เราร้องไห้ จนเริ่มพูดไม่ชัดคุณหมอก็ไม่ได้ กดดันว่า เมื่อไหร่จะหยุดร้องไห้หรือว่ าอะไรคุณหมอก็แค่อยู่นิ่งๆ รอจนเราโอเคขึ้นแล้วเล่าต่อ ระหว่างที่เล่าคุณหมอก็จะมี คำถามแนวปรัชญามาเรื่อยๆหรื อบางทีก็ให้ข้อคิด ซึ่งเอาจริงๆข้อคิดที่คุณหมอให้ แต่ละอย่างคือมันตรงใจมาก จนน้ำตาไหล
หลังจากนั้นคุณหมอก็นั่งฟังต่
หลังจากที่เราคุยกับคุณหมอเสร็จ เนื่องจากเรื่องที่เราคุยกับคุ ณหมอมันเกี่ยวกับคุณแม่ของเราด้ วย คุณหมอก็จะถามต่อว่า อยากให้คุณแม่มาคุยกับหมอไหม เราก็เลยบอกว่าได้ค่ะ คุณหมอเขาก็จะถามต่อว่าอยากให้ คุยเรื่องไหนเพราะว่าปั ญหาของเรามันค่อนข้าง sensitive เราก็บอกคุณหมอไปว่าอยากให้คุ ณหมอพูดเรื่องอะไรบ้าง แล้วคุณหมอก็จะถามต่อว่าแล้ วตอนคุยกับคุณแม่ เราจะนั่งอยู่ด้วยไหมหรือว่ าจะไปนั่งรอข้างนอกแล้วก็ เลยบอกว่างั้นเราไปนั่งรอข้ างนอกค่ะเสร็จแล้วคุณหมอก็ให้ เราไปเรียกคุณแม่เข้ามาคุยด้ วยเพราะคุยกับคุณแม่เสร็จ คุณหมอก็บอกว่าขอคุยกับเราต่อ แล้วคุณหมอก็จะบอกเราว่าคุ ณหมอพูดอะไรกับแม่ไปบ้าง
ซึ่งเรารู้สึกโอเคกับขั้นตอนนี้ มากๆตั้งแต่ที่ถามแล้วว่าจะให้ คุยกับคุณแม่เรื่องไหนบ้างบลาๆ คือมันเป็นการเคารพสิทธิ์ของเรา
หลังจากนั้นก็ไปจ่ายเงิน คุณหมอบอกว่าอาการของเรายังไม่ ถึงขนาดซึมเศร้านะ ถ้าเรียกให้ถูกคงนะเป็นเครี ยดจากผลของการกระทำในอดีตมากกว่ า แล้วคุณหมอก็พูดให้ข้อคิดว่า "แต่อดีตก็คืออดีต เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราต้องคิดตอนนี้คื อทำอย่างไงให้เราสามารถใช้ชีวิ ตในปัจจุบันได้อย่างมีความสุขดี กว่า" คือเราฟังถึงตอนนี้คือแบบน้ำ ตาไหลเลย คือแบบบางทีคนเราก็ 'ยึดติด' กับอดีตจนเกินไปจนลืมที่จะอยู่ กับปัจจุบัน ทั้งๆที่ทุกคนต่างก็รู้ว่าอย่ างไงเราก็ไม่สามารถเปลี่ ยนแปลงอดีตได้ ดังนั้นแทนที่เราจะจมอยู่กับอดี ต เราจงเดินหน้าต่อไปอย่างมี ความสุขดีกว่า
หลังจากคุยกับคุณหมอจบเราก็ ออกจากห้องแล้วไปจ่ายเงิน เราคุยกับคุณหมอ 1 ชมได้ เราเสียเงินไปประมาณ 2000 เอาจริงๆเราไม่รู้นะว่าเกณฑ์ การคิดเงินมันเป็นอย่างไงแต่ว่ าเราว่ามันคุ้มนะกับการไปหาจิ ตแพทย์ครั้งนี้ จากตอนแรกที่เราคิดว่า ไม่ต้องไปก็ได้มั้งตอนนี้กลั บกลายเป็นว่า ถ้าตอนนั้นเราตัดสินใจจะไม่ไป เราต้องเสียใจแน่ๆ
หลั งจากเราออกมาจากคลินิกแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามันโล่ งขึ้นเยอะ เยอะมากๆเหมือนก่อนหน้านี้มี หมอกอยู่ในใจเราแต่พอไปหา คุณหมอมันเหมือนหมอกจะ ค่อยๆจางลงแล้วสุดท้ายก็ หายไปในที่สุด
ซึ่งเรารู้สึกโอเคกับขั้นตอนนี้
หลังจากนั้นก็ไปจ่ายเงิน คุณหมอบอกว่าอาการของเรายังไม่
หลังจากคุยกับคุณหมอจบเราก็
หลั
**การไปหาจิตแพทย์ ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นบ้า หรือไม่ได้จำกัดแค่คนที่ รู้สึกว่า ตัวเองเป็นโรคทางจิตหรือซึมเศร้
ข้อคิดที่ได้จากการไปพบจิตแพทย์
1. คนที่ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปเราไม่มีทางรู้ หรอกว่าเขามีปัญหาอะไรบ้าง ตอนที่เราไปคลีนิคเราเจอตั้งแต่ เด็กประถม วัยรุ่น และวัยทำงาน ทุกๆคนที่เราเจอคือถ้าไปเจอข้ างนอกเราคงไม่คิดว่าเขาจะเดิ นเข้ามาที่คลินิคสุขภาพจิตได้ เลย
ดังนั้นถ้าไม่รู้จักคนอื่นดีก็ อย่าไปตัดสินเขาแต่เพี ยงภายนอกเพราะเราไม่มีทางรู้ เลยว่า ข้างในเขามีอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่และ แท้ที่จริงแล้วเขาทุกข์แค่ไหน
ดังนั้นถ้าไม่รู้จักคนอื่นดีก็
2. ก่อนเรา ลากับคุณหมอคุณหมอก็ถามเราว่า การที่มาหาหมอวันนี้รู้สึกว่
'การที่ชีวิตคนเราจะดีขึ้นไม่
คือเราอย่าไปคิดว่า โอ้ย ตอนนี้มันแย่มาก ไม่มีเรื่องดีเลย เอาจริงๆเรื่องดีๆมันมีอยู่แล้
3. อันนี้เราอยากฝากถึงผู้ปกครองทุ
การมีคนคนชมตัวเองเยอะๆ=เราเก่ งมามีค่า
แต่การที่เราไม่ได้รับคำชม= เราโง่ เราไร้ค่า
ซึ่งจะเป็นการอันตรายมากหากปล่ อยให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เพราะมันอาจจะนำไปสู่การฆ่าตั วตายได้ ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาของเรื่องนี้ คือให้
"เปลี่ยนจากการชม outcome มาเป็นชม process"
เปลี่ยนจากการชมลูกว่า 'เก่งมากที่สอบได้คะแนนดี' มาเป็น 'เก่งมากที่พยายาม'
**สุดท้ายนี้ เราอยากบอกว่า ถ้าคุณรู้สึกว่า ไม่ไหวจริงๆไม่สามารถจัดการกั
ขอบคุณค่ะ
4 ความคิดเห็น
สรุปแล้ว อันสุดท้ายก็คือ ให้เปลี่ยนจากชมผลลัพธ์ที่ทำ มาเป็นกระบวนการทำ/วิธีทำ สินะครับ? อืมๆ เข้าใจล่ะ ไปหาแล้วโล่งขึ้นก็ดีแล้วครับ ดีแล้วที่คิดได้
ไปปรึกษาหมอเรื่องเรียนต่อได้ไหมครับ ทำยังไงก็ค้นหาตัวเองไม่เจอสักที
ลองไปดูก็ได้ค่ะ คุณหมอเขาอาจจะช่วยแนะนำได้ค่ะ
ขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์นะคะ ในค่านิยมที่การพบจิตแพทยไม่ใช่เรื่องปกติ(ทั้งที่มันควรจะเป็นปกติ) แต่น้องก็ยังมีความกล้าและมีทัศนคติดีๆที่จะเข้าหาจิตแพทย์ เป็นอะไรที่ดีจริงๆ
ยินดีมากเหมือนกันค่ะ ตอนแรกพอเราบอกแม่ว่าจะไปหาจิตแพทย์คุณแม่ก็ตกใจมากเหมือนกัน แต่เราก็บอกคุณแม่ไปว่า ตอนนี้การไปหาจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องแปลก โชคดีที่คุณแม่ก็เข้าใจค่ะ เราเลยอยากให้หลายๆคนลองเปิดใจกับพ่อแม่ดูเหมือนกันค่ะ
อยากไปแต่ไม่มีเงิน...คงต้องไปพบ สัปเหร่อ อย่างเด่วเลยชีวิตตอนนี้
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?