Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เคยมีปัญหานี้กันบ้างไหมคะ?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

ก่อนอื่นต้องขอโทษกับกระทู้บ่นๆของฉันต้อนรับปีใหม่ด้วยนะ

เริ่มแรกฉันเริ่มต้นอ่านนิยายตั้งแต่ประถม พี่สาวไปซื้อนิยายลดราคามาแล้วเขาไม่อ่าน(พี่ท่านอ่านไปสามบันทัดหลับคานิยายเลย) ฉันเลยมีโอกาศได้อ่านนิยายครั้งแรกตอนนั้น แม้จะไม่ได้เนื้อดีเด่นหรือมีชื่อเท่าไหร่ แต่นั้นเป็นจุดที่ทำให้ฉันชอบที่จะอ่านขึ้นมา หลักจากนั้นเราก็เก็บเงินซื้อนิยายด้วยตัวเองซักครั้ง....
อ่า...ซักหลายๆๆครั้งล่ะนะ


จนกระทั่ง ปี 54(น่าจะนะ) ฉันที่รู้จักเด็กดีมาได้ซักพักได้สมัครไอดีทิ้งไว้ และมีเพื่อนสาววายที่รักนิยายได้ขอให้ฉันแต่งนิยายวายขึ้นมา(ซึ่งยอมรับว่าเนื้อหาในนั้นตามใจคุณเพื่อนแบบสุดๆ) ฉันไม่กล้าแม้แต่จะกดเผยแพร่ออกมาให้ใครเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่แพ้UNOเพื่อน ฉันคงนั่งแต่งนิยายอ่านอยู่เงียบๆคนเดียวไปเรื่อยๆแล้วล่ะ

พอได้ลงนิยายไปครั้งแรก มันตื่นเต้น ตื่นเต้นมาก และมีความสุขมากแม้จะมีแค่ยอดวิวไม่กี่สิบวิว หัวใจยิ่งพองโตเมื่อเห็นคอมเม้นแรก ฉันพยายามอย่างมากจนกระทั่งแต่งเรื่องนั้นจนจบ และเริ่มขึ้นเรื่องใหม่เรื่องที่แต่งอยู่ในตอนนี้

ฟังๆดูฉันก็มีความสุขดีใช่ไหมล่ะ ใช่ ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ตรงนี้ อยู่หน้าจอนิยายของฉัน ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้กดเผยแพร่นิยาย กุมขมับทุกครั้งที่เห็นคำผิดหลังจากที่เผยแพร่ไปแล้ว55+

แต่ปัญหาที่ฉันกล่าวข้างต้นนั้น คือ ครอบครัว


ฉันภูมิใจนะที่เกิดมาในครอบครัวของฉันที่ ไม่มีหนี้สิ้น ครอบครัวรักกันดี ฐานะกลางๆ ไมได้ดีเลิศแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ...ชีวิตของฉันทุกอย่างล้วนมีแบบแผน แม้พวกเขาจะไม่ได้บังคับเรื่องการเรียน แต่เมื่อเสนอความคิดของตัวเองพวกทานมักมีเหตุผลกล่าวขึ้นให้เราต้องเก็บความคิดของเรานั้นไปและเดินตามทางที่ฉันมองว่าพวกท่านจะพอใจและฉันพอจะทำใจทำได้... อ่า..ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเดี๋ยวมันยาวเกินไป

เอาเป็นว่า ตั้งแต่ที่ฉันเริ่มแต่งนิยาย(ปี54) แรกฉันมักถูกมองว่าเป็นเด็กติดเกม(?) ซึ่งพวกท่านมักจะเห็นฉันอยู่หน้าคอมทุกครั้งที่มีเวลาว่าท่านจึงเหมารวมว่าฉันติดเกมตามกระแสในช่วงนั้น แต่ที่จริงแล้วฉันกำลังแต่งนิยายอยู่ ฉันเริ่มกลายเป็นเด็กไม่เอาไหนในสายตาพวกท่านมากขึ้น


จนกระทั้งจบม.ปลาย ..เรียนมหา'ลัย เรียนจบ จนมีงานทำ ฉันก็ยังคงแต่งนิยายอยู่ ความรู้สึกยังเหมือนครั้งแรกที่แต่งนิยาย ยินดี ดีใจทุกครั้วที่ได้เห็นยอดวิวและคอมเม้นทั้งบวกและลบ ทำให้มีกำลังใจที่อยากจะแต่งต่อไป แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก ที่กำลังบั่นทอนความอยากแต่งนิยายไปทุกวัน ..ทุกวัน..ก็คือ ครอบครัว
 

ทุกวันนี้ฉันอยู่กับครอบครัว มีพ่อแม่ และพี่สาว ยอมรับจากใจ พวกเขาไม่ได้รักการอ่านขนาดนั้น เวลาคุยเรื่องหนังสือเหมือนพวกท่านกับเราอยู่กันคนละโลกอย่างหนังหลายเรื่องที่เป็นนิยายมาก่อนพอบอกถึงว่ามันต่างจากในนิยายยังไงเหมือนพวกท่านไม่ได้สนใจเท่าไหร่...

ทุกคนเชื่อไหมทุกวันนี้ เวลาที่ฉันนั่งหน้าคอม บางครั้งท่านยังว่าฉันว่ามัวแต่เล่นเกมอยู่เลย ทั้งๆที่ฉันแต่งนิยายอยู่55

เมื่ออธิบายว่าฉันไม่ได้เล่นเกมแต่แต่งนิยายอยู่ ผลมันก็ไม่ได้ต่างเท่าไหร่หรอก ฉันพยายามอยากให้พวกเขาเข้าใจโลกของฉันมากขึ้นด้วยการลองบอกเล่าโลกของฉันให้พวกท่านฟังบ้างเล็กน้อยในทุกๆวัน บอกพวกท่านว่าฉันมียอดวิวเป็นหมื่นแล้วนะ มีคนติดตามตั้งหลายพัน และบอกความฝันกลายๆว่าวันข้างหน้าฉันจะเป็นนักเขียนที่มีชื่อให้ได้ในซักวัน.....และ ผลที่ได้คือ ..

'แต่งนิยาย? ..แต่งทำไม?'

'แต่งไปทำไมนิยาย แต่งแล้วได้อะไร'
'มันไร้สาระ วันๆไม่ทำอะไรมัวแต่แต่งแต่นิยาย'
'ทำไมไม่หาอะไรที่มีประโยชน์ทำ?'

'แต่งนิยายแล้วได้เงินเหรอ? ขายมันรึเปล่า?'

'แต่งแล้วไม่ขาย ทำแล้วไม่ได้เงินจะทำไปทำไม?'
'เอาเวลาที่มีไปทำอย่างอื่นที่ดีกว่าดีไหมลูก?'

'เอาเวลาไปตั้งใจเรียน อย่ามัวแต่ทำเรื่องไร้สาระได้ไหม? ไว้เรียนจบแล้วอยากทำอะไรค่อยทำ'
'เรียนจบแล้วก็ตั้งใจทำงาน ตั้งใจเก็บเงิน เรื่องนิยายอะไรนั่นมันไม่เห็นมีประโยชน์เลยนะลูก ทำแล้วไม่ได้เงินจะทำไปทำไม?'

พวกท่านมักจะมีประโยคประมาณนี้โผล่ขึ้นมาทุกครั้งที่เริ่มการสนทนาในหัวข้อนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ด่าว่าหรือตะคอกใส่และพูดด้วยท่าทีที่สงบก็ตาม แม้กระทั่งวันรวมญาติ วันตรุษจีน พวกญาติเองก็มีคำพูดแนวๆนี้ เหมือนกันและมองว่าเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
 

ไม่รู้ว่าฉันแก้ปัญหาถูกไหมคือ ตลอดสองปีที่ผ่านมานี้ฉันมีงานทำอย่างที่พวกท่านต้องการ แล้วฉันก็เริ่มพูดถึงเรื่องนิยายน้อยลง เริ่มทำตามอย่างที่พี่สาวของฉันทำทุกครั้งที่กลับมาบ้าน เวลากินข้าวที่บ้านก็เอาเรื่องที่ทำงานมาพูด หุ้นขึ้น หุ้นลง หรือพูดปัญหาเล็กๆเกี่ยวกับที่ทำงาน เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจนพวกเขาคิดไปเองว่าฉันเลิกแต่งนิยายไปแล้ว และคิดว่าฉันที่นั่งหน้าคอมในวันหยุดนั้นกำลังแค่เล่นเกมธรรมดาๆ


จนเมื่อปลายปี61ที่ผ่านมาคุณแม่ท่านมาเห็นว่าฉันกำลังจดนิยายลงสมุด ท่านถามขึ้นว่า 'นี่ยังไม่เลิกแต่งนิยายอีกเหรอ?' ....และประโยคเดิมๆที่ไม่ได้ยินมาพักใหญ่ๆก็กลับมาอีกครั้ง

คือการแต่งนิยายพวกท่านมองว่ามันแค่ขนาดนั้นเลยหรือยังไง? ในเมื่อมันก็คือความสุขของฉัน? เราพยายามตามใจพวกท่านอย่างที่สุดแล้วนะ แต่มันก็มีบางที่อยากจะทำอะไรที่เราชอบบ้างเหมือนกันนี่นา ตอนนี้ฉันพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกชินชากับคำพูดนั้น แต่ก็เริ่มมีอาการหมดไฟบ้างแล้วล่ะค่ะ พร้อมกับอาการเบื้องต้นของโรคซึมเศร้าที่เคยเป็นเริ่มกลับมาเป็นอีกครั้ง

เพื่อนๆเคยเจอเรื่องแบบนี้ หรือคล้ายๆกันบ้างไหมคะ? และเราจะจัดการความคิดตัวเองยังไงดี เมื่อพวกท่านไม่เปิดใจเรื่องการเป็นนักเขียนเลย และมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

ฉันคิดว่า ฉันจะปล่อยเงียบไปอีกครั้งให้พวกท่านคิดว่าฉันเลิกแต่งนิยายไปแล้วอีกดีไหม? เคยคิดกับพี่สาวนะว่าทำงานแล้วจะไปอยู่คอนโดกันสองคนวางแผนเรื่องเงินอย่างดิบดี แต่ก็ไม่กล้าปล่อยพวกท่านอยู่บ้านกันตามลำพังอยู่ดี


 

ปล. ฉันแค่อยากจะหาที่ระบายเท่านั้น ฉันยังรัก เคารพและเป็นห่วงครอบครัวของฉัน และเข้าใจว่าทุกอย่างที่พวกท่านเลือกนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีก็อยากให้พวกท่านเข้าใจฉันบ้าง ซักนิดก็ยังดี
ปล.2 ขอโทษที่ทำให้พวกคุณเสียเวลาที่เข้ามาอ่านนะ เราคิดว่าน่าจะมีคนหัวอกเดียวกันบ้างในนี้น่ะนะ

สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังนะคะ

แสดงความคิดเห็น

>

13 ความคิดเห็น

2 ม.ค. 62 เวลา 12:15 น. 1

ทำหน้าที่ของเราให้ครบก็พอค่ะ มีงานทำแล้ว กลับบ้านมามีอะไรที่ต้องทำก็ทำค่ะ ส่วนเวลาว่างซึ่่งเป็นเวลาอิสระของเราจะทำอะไรก็ทำค่ะ


ก่อนเราเรียนจบก็เป็นประมาณนั้นเหมือนกันค่ะ แต่พอทำงานแล้วเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอิสระก็มากขึ้นเอง สำหรับเราเราว่าถ้ามันไม่ได้ทำให้งานเสีย ไม่ได้ทิ้งหน้าที่ต่างๆ ในบ้านที่ควรจะทำก็ไม่น่าจะมีปัญหา


แต่ก็คงมีบางบ้านที่อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร พยายามประณีประนอมกันไว้นะคะ นานๆ ไปพวกท่านก็ชินเอง เพราะมันไม่ได้ทำอะไรให้เสี่ยหายนี่นา ก็เหมือนเล่นเกมส์เค้ายังไม่บ่น แต่ไม่เข้าใจมาบ่นเรื่องเขียนนิยายทำไมกัน


สู้ๆนะคะ

5
Alexandar 2 ม.ค. 62 เวลา 12:32 น. 1-1

ขอบคุณนะคะ คิดเหมือนกันว่า ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี

หวังให้พวกท่านชินได้ในซักวัน


เรื่องเล่นเกมเค้าก็บ่นนะสมัยพวกโยกัง เมเบิ้ล ปังย่าดังๆน่ะ พอมาติดการอ่านกับเขียนนิยายเค้าบ่นเหมือนกัน ท่านว่าไร้สาระทั้งสองอย่างนั่นล่ะ แต่หลังๆที่ไม่บ่นนี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน??

0
2 ม.ค. 62 เวลา 12:36 น. 1-2

คิดว่าได้นะคะ เรื่องเกมเขาไม่บ่นแล้ว เดี๋ยวเรื่องเขียนนิยายก็คงเลิกบ่นไปเองค่ะ

ลืมบอกไป เรื่องนิยายเราก็ไม่ได้คุยกับที่บ้านนะคะ ส่วนของต่างๆ ก็เก็บในห้อง ไม่ค่อยโผล่ออกไปข้างนอกห้องเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาเราทำอะไรจะไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเราทำอะไรค่ะ

0
Alexandar 2 ม.ค. 62 เวลา 13:19 น. 1-3

ไม่มีห้องส่วนตัวค่ะ(ยกผ้าขึ้นซับน้ำตา) เรานอนห้องเดียวกับพี่สาวมาร่วม 20 ปี และจะเป็นอย่างนี้ต่อไป คอมของเรากับพี่วางอยู่ห้องนั่งเล่น เพราะห้องนอนพวกเราเน็ตขึ้นไม่ถึงและไม่มีที่วางด้วย ใช้เน็ตมืถือก็ดูจะเปลืองไปหน่อย

ทุกวันนี้แต่งนิยายใส่แอพสมุดบันทึกในมือถือ แล้วค่อยเอามาลงคอมในช่วงวันหยุดแทนเอา

0
☆ราชินีอิซาเบลล่า☆ 2 ม.ค. 62 เวลา 13:28 น. 1-4

เห็นใจคนที่ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวนะคะ เราเองก็ไม่มีเช่นกันค่ะ ในตอนนี้เรานอนห้องเดียวกับน้องชายค่ะ เมื่อก่อนนี้ นอนรวมกับพ่อแม่ และน้องค่ะ แต่พอหลังๆมานี้ พ่อกับแม่แยกห้องไปค่ะ เราต้องออกมาจากห้อง และแยกมาอยู่ข้างนอกเอา ในตอนนี้เวลาที่เขียนนิยายค่ะ เราเขียนในโทรศัพท์ค่ะ ไม่มีคอมเป็นของตัวเองหรอก มีแต่คอมส่วนรวมค่ะ ซึ่งเป็นคอมของพี่ชาย น้องชายเรากับเพื่อนพี่เขา ชอบมาเล่นกัน จนเราแทบจะไม่ได้แตะเลยค่ะ มีเวลาให้เล่นอีกที ก็ตอนที่น้องชายไปเรียนค่ะ และพวกเขาไปทำงานกันหมดแล้ว เราถึงได้เล่นค่ะ555

0
เวิ่นเว้อ 2 ม.ค. 62 เวลา 13:31 น. 1-5

เราก็นอนกับพี่สาวนะคะ แต่ว่าคอมอยู่ในห้องนอนส่วนอินเตอร์เนตก็ต่อเอาจากมือถือ ง่ายดีค่ะ เวลาเราใช้คอมหรือเขียนนิยายชอบความเป็นส่วนตัวก็เลยอยู่ในห้องนั่นแหละค่ะ

0
☆ราชินีอิซาเบลล่า☆ 2 ม.ค. 62 เวลา 12:17 น. 2

ครอบครัวของเรายอมรับนะคะ แต่พวกท่านให้เราเขียนเป็นงานอดิเรกเท่านั้นเองค่ะ เราก็เข้าใจพวกท่านค่ะ ว่าการเขียนนิยาย แล้วเอาไปขาย มีรายได้น้อยมาก แต่เราก็ไม่ได้คิดว่า จะเขียนนิยายเป็นงานหลักนะคะ เราจะหางานอื่นทำดู


มาพูดถึงเรื่อง จขกทบ้าง เราเข้าใจนะคะ ว่าคุณคงเสียใจน่าดู ที่พวกผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่คุณก็มีงานเป็นหลักเป็นแหล่งแล้วนะคะ พวกเขาควรจะให้ความเป็นส่วนตัวของคุณบ้าง ไม่ใช่อะไรก็ บังคับไม่ให้เขียน บ้าหรือเปล่าคนประเภทพวกนี้ คุณก็บอกกับพวกท่านไปเลยค่ะ ว่ามีทำงานให้แล้ว ทำตามทุกอย่าง อย่างที่ต้องการไปแล้ว จะเอาอะไรอีก นี่มันสิทธิส่วนตัวนะ อย่ามาก้าวก่ายกัน คุณบอกไปเลยค่ะ บอกกับพวกท่านไปเลยค่ะ นี่เป็นสิทธิส่วนบุคคลนะ ไม่ใช่มาบังคับกันแบบนี้ งานก็มีทำแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก ถ้าไม่พอใจ ก็อย่ามายุ่ง ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องมายุ่ง นี่คือพื้นส่วนตัวของเรา ใครมายุ่งเราด่าหมดค่ะ


เราต้องการพื้นส่วนตัวบ้าง ถ้าเกิดว่าเราไปยุ่งพื้นที่ส่วนตัวของเขาบ้างล่ะ จะเป็นยังไง คุณจขกท ลองพูดบอกไปเลยค่ะ ไม่ต้องกลัว เรามีงานทำแล้ว ไม่ได้เกเรไปวันๆซะหน่อย จะแคร์ทำไม


คุณจขกท เรื่องการเขียนนิยาย เขียนต่อไปเถอะ ถ้าพวกเขารับกันไม่ได้ เราก็ไม่ต้องพูดคุยกับพวกเขา เรื่องนิยายให้พวกเขาฟังอีก ไม่ต้องไปเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกเขาฟังอีก เก็บเงียบไว้คนเดียว เป็นดีที่สุดค่ะ ถ้าอยากพูดคุยเรื่องนิยาย สามารถเข้ามาในบอร์ดแห่งนี้ได้นะคะ พวกเราทุกคนต้อนรับเป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ สู้ๆนะคะ อย่าได้แคร์ใครทั้งสิ้น จงเดินหน้าต่อไปค่ะ ให้พวกเขาเข้าใจ ว่าเป็นเด็กติดเกมส์ ต่อไปละกันนะคะ สู้ๆค่ะ


https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-09.png

2
Alexandar 2 ม.ค. 62 เวลา 12:36 น. 2-1

ขอบคุณมากค่ะ

เราจะเป็น'เด็กติดเกม'ต่อไปอย่างตั้งใจเลยค่ะ!!

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-01.png

0
2 ม.ค. 62 เวลา 12:38 น. 3

เราเป็นคนที่สุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก มีสารพัดโลกประจำตัว ทั้งหอบหืด ภูมิแพ้ ไทรอยด์เป็นพิษ และเลือดจาง ดังนั้นจึงมักจะโดนครอบครัวห้ามทุกอย่าง ชีวิตในวัยเด็กเราแทบจะไม่เคยได้ออกไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไปเลยก็ว่าได้ เราจึงกลายเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่สุงสิงกับคนรอบด้าน ญาติพี่น้องสำหรับเรานี่แทบจะเหมือนคนแปลกหน้า พูดบ่นอะไรมาเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาไปหมด


สถานที่เดียวที่เราจะออกไปทุกวันก็คือร้านหนังสือ เราซื้อทุกวัน ซื้อจนไม่มีที่จะเก็บ แต่โชคดีอย่างหนึ่งของเราก็คือคนในบ้านเราทุกคนเป็นพวกบ้าการอ่าน ถึงแม้จะไม่ใช่หนังสือนิยายก็เถอะค่ะ แม่เรา พี่ชายเรา น้าเรา ติดหนังสือการ์ญี่ปุ่นกันหมด ไม่ว่าเข้าห้องใครก็จะเจอแต่กองหนังสือ


พอโตขึ้นมีงานมีการทำ เราจึงแยกออกมาซื้อบ้านอยู่ต่างหาก คราวนี้อย่าว่าแต่ห้ามเลย แม้แต่จะเตือนอะไรเราก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่ให้เล่นเกมส์ เราก็จัดคอมส์ชุดใหญ่สำหรับเล่นเกมส์มาเลยสองชุดเปิดออนมัน 24 ชั่วโมง ไม่ให้ออกกำลังกาย เราก็วิ่งตอนเย็นมันวันละ 4 กิโลไปเลย ไม่ให้นอนดึก นอนเช้าเลยก็ได้งั้น ไม่ให้เลี้ยงแมว เราก็ซื้อแมวมาเลี้ยงเต็มบ้านเลย (ถึงแม้ตอนนี้จะเหลือแค่สามตัวก็เถอะ) ทุกวันนี้ชีวิตเรามีอิสระมาก อยากทำอะไรเราก็ทำ อยากเที่ยวเราก็เที่ยว อยากซื้ออะไรเราก็ซื้อ ไม่มีใครกล้ามาบ่นว่าเราอีก ส่วนเรื่องเขียนนิยายเราไม่บอกคนทางบ้านเลย เรารู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขารู้ คำแรกคือ เอาเวลาไปพักเถอะ เขียนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรป่วยขึ้นมาจะลำบากคนรอบข้างอีก


ดังนั้นคุณ จขกท. เองก็ต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง อะไรที่มันรบกวนจิตใจ หรือทำให้ไม่สบายใจก็อย่าได้เก็บมาคิดเก็บมาใส่ใจให้มากนัก หากเขาคิดว่าเราติดเกมส์ก็ให้เขาคิดว่าเราติดเกมส์ต่อไป ไม่จำเป็นต้องไปอธิบายอะไรให้มากความ ชีวิตเป็นของเราไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่นไปซะทุกเรื่อง สู้ ๆ ค่ะ

1
varunyanee 2 ม.ค. 62 เวลา 12:51 น. 4

มองในมุมผู้ปกครอง //เขาอยากให้เรามีอนาคต มากกว่าจะมาติดคอม


แต่.....เรารู้ว่า ....การเป็นนักเขียน....ได้อะไร มากกว่าที่เขาคิด


เราแสดงให้เห็นสิคะ...... ประโยชน์ที่เราได้รับ .....พวกเขาได้รับ


อะไรบ้างละ ...คุณไม่เที่ยว ไม่เครียด ติดบ้าน ..ก็ขายก็มีค่าขนม


เห็นนักเขียนบางท่าน ทำเป็นงานอดิเรกเลย ......บอกเขาค่ะ


...พวกเรามักมีทักษะในการสื่อสารที่ดี....จริงไหม ลองใช้ดูค่ะ


....เราก็เป็น แย่งคอมเล่นกับลูก (คอมเรา) ....พูดคำเดียว ...ทำงาน


และแบ่งเวลาให้ลูกเล่นบ้าง....ทุกปัญหามีทางออก .....อยู่ที่ว่า ...เราเจอประตู........ไหม

1
Alexandar 2 ม.ค. 62 เวลา 13:00 น. 4-1

ขอบคุณนะคะ ฉันหวังว่าจะเจอประตูซักบานในซักวันอยู่ค่ะ

0
赵美芳 2 ม.ค. 62 เวลา 12:59 น. 5

ค่อนข้างเข้าใจมากเลยค่ะ

หัวอกเดียวกันเลย เราบ้าฐานะกลาง ๆ พ่อเเม่จะเน้นเรื่องการเรียอารมณ์เเบบเรียนคือสำคัญ สิ่งที่อ่านจับต้องได้คือหนังสือเรียน เราตั้งเเต่สมัยเด็ก พอเริ่มติดนิยายก็จะยืมกลับบ้านมาจากห้องสมุดของโรงเรียน มันติดตรงที่ พ่อเเม่ไม่ให้อ่าน เเต่เเต่การ์ตูนเด็ก หนังสืออ่านเล็ก เเบบพวกนิทานเราก็ไม่ได้อ่านนะ เอาตามตรงเพื่อน ๆ ก็ตะรู้จักนิทางในดีสนีย์กันตั้งเเต่เด็ก เรามารู้จักตอนประมาณประถมห้าได้ นั่นคือการเข้าห้องสมุดอ่านเเละยืมกลับมา


จำได้ว่าสมัยนั้นเคยซื้อการ์ตูรในงานของโรงเรียนกลับบ้านมา 1 เรื่อง โดนด่ามากเลยค่ะ นอกจากพ่อเเม่เเล้วครูที่โรงเรียนก็ด่าเเบบว่าไร้สาระ พอเราโตขึ้นมาสักประถมหก ก็เริ่มเขียนนิยาย อ่านนิยาย พออยู่บ้านก็ต้องเเอบนะคะ เเบบว่าครอบครัวไม่ให้ วัน ๆ นั่งจับอ่านหนังสือเรียน พอมาอยู่โรงเรียนกะจะอ่าน เจอครูบอกว่าไร้สาระ คือเราก็ไม่คิดจะเลิกนะ อ่านต่อไป ทำไมช้านนนนน ประมาณนั้นค่ะ


พออยู่มัธยมมันดีตรงที่เรามีเพื่อนค่ะ อ่านนิยายเหมือนกัน เสร็จโจร ไม่ต้องซื้อเลยยืมเพื่ออ่านเอา ส่วนมากเราจะอ่านให้จบภายในวันเดียวเเล้วคืนเพื่อน ไม่ค่อยเเบกกลับเพราะรู้ว่าถ้าเจออาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา


เเล้วันหนึ่งก็เเบกกลับบ้านมาจนได้ เราเเอบอ่านในห้องเเละเเม่เข้ามาเห็นพอดี เหมือนจะทำนองโมโหยึดเเละฉีกนิยายที่เรายืมเพื่อนมาจนขาด คือตอนนั้นค่อนข้างช้อคมาก เราต้องเลยเอาเงินเก็บไปใช้คืนให้เพื่อนค่ะ


หลังจากนั้นพอไปเรียนพิเศษก็ใช้เงินเก็บซื้อเก็บมาบ้างเเอบซ่อนไว้ใต้หลังคาบ้านค่ะ คือไม่มีที่มากก เเม่ชอบเข้ามาค้นห้องบ่อยค่ะ เคยไว้ใต้เตียงวิ่งวุ่นซ่อนไปทั่วบ้าน 5555555


เเล้วเราก็ไม่สำนึก อ่านต่อไป 5555555 ทำยังไงได้คะ มันชอบมากก

ช่วงนั้นเราก็เริ่ม ๆ เขียนนิยายบ้าง ส่วนมากจะเขียนเเล้วดองค่ะ


พอสู่มัธยมปลาย เราก็โตมากขึ้นในระดับหนึ่งเเต่เเน่นอนว่าเป้าหมายของพ่อเเม่คือการให้เราอ่านหนังสือสอบเข้ามหาลัย เราก็เเบบว่า ... เเล้วทำไมจะอ่านไม่ได้


ช่วงนั้นก็จะไว้หนังสือที่โรงเรียน บางวันเอากลับบ้านบางวันก็อ่านที่โรงเรียนวางไว้ในใต้โต๊ะ

ช่วงม.ปลายเราเริ่มกลับมาเขียนนิยายอีกครั้ง คือตอนนั้น เราหาจุดหมายไม่เจอ จริง ๆ ตั้งใจว่าจะสอบคณะนี้เเล้ว...เเต่พอกับเเม่บอกว่า เรียนทำไม ทำไมไม่เรียน วิศวะ วิทยาศาสตร์งี้


ตอนนั้นบอกเลยว่าจนมุม หันมาเขียนนิยาย โดยใช้เวลาอยู่หน้าคมหลายเดือนอ้างว่าทำพอร์ตโฟริโอ 5555555555555555555555 เราเขียนจนจบเรื่องหนึ่งเลย โดยที่เเฟ้มยังไม่ได้จับค่ะ (ตอนนั้นก็รู้สึกผิดนะ จริง ๆ นะคะ ฮ่าๆๆ)


หลังจากนั้นเราส่งผลงานให้สนพ. โดยที่บอกไม่บอกใครในบ้าน ยกเว้นพี่สาว (ลืมบอกค่ะ บ้านเรา มีพี่น้อง 4 คน)

เรารอผลออก เเละก็ได้ตีพิมพ์เล่มเเรกอย่างมีความสุข


บอกตามตรงว่าเรากลัวมากในตอนนั้น เลยตัดสินใจยอมที่อยู่บ้านเพื่อนให้รับสัญญาที่สนพ. ส่งมาค่ะ มันมาความเเตกตอนเช็คเงินค่าต้นฉบับที่ถูกส่งมา ตอนนั้นก็ย้ำบก. นะคะ ว่าขอให้ส่งไปบ้านเพื่อเพราะเราเเอบเขียน เเต่สงสัยจะลืม ส่งมาที่บ้าน เเม่เห็นเงินก้อนเลยตกใจ


ถึงจะยอมรับบ้าง เเต่ใจจริงก็ไม่อยากให้เราเขียนนะคะ เค้าไม่่่ได้ขัดเราเเต่ก็บอกเเค่ว่าเขียนเล่น ๆ เขียนได้ค่ะ ตอนนั้นเราก็เปิดใจกับครอบครัวมากขึ้นนะ เพราะเราไม่กล้าขัดมีอะไรเลยไม่ค่อยคุย พอเปิดใจคุยทีไร โดนขัดขวางตลอด


เราคิดว่าเจ้าของกระทู้ต้องคุยเเละบอกกับครอบครัวค่ะ ถึงท่านจะไม่ยอมรับบ้าง เพราะคิดว่าไร้สาระ เสียเวลาเปล่า เเต่เราว่าการเป็นนักเขียนก็มีความสุขผ่านบนโลกตัวอักษรของเราค่ะ ลองเเง้มเเบบเบา ๆ ดูนะคะ ค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ บ้านเราก็หัวโบราณมากกกกกกกกกกกกก

เราคิดว่า ไม่ว่าเราจะโตเเค่ไหน พ่อเเม่ก็ยังมองเราเด็กเสมอ ในจุดนี้เค้าถึงไม่ยอมปล่อยค่ะ


ปล. ลืมบอก พี่สาวเราอ่านนิยายด้วย น้องสาวพอโตขึ้นก็อ่าน อันที่จริง พ่อเเม่ไม่ให้นะคะ เเต่เพราะลูกเยอะกว่า ห้ามไม่ดั้ยยยยยยยยยยย กร๊ากกกกกกกกกกกก

(กว่าจะยอมรับก็หลายปีค่ะ )


เราเป็นกำลังใจให้นะคะ ทุกอย่างต้องดีขึ้นเเละผ่านไปด้วยดีค่ะ สู้ ๆ นะคะ



2
赵美芳 2 ม.ค. 62 เวลา 13:20 น. 5-2

สู้ ๆ น๊า เราเชื่อว่าจขกท. ทำงานเเล้ว หากพูดคุยกันจริง ๆ ท่านน่าจะเข้าใจนะคะ


0
สมเหมียว@lesserpanda 2 ม.ค. 62 เวลา 13:25 น. 6

'ฉันมักถูกมองว่าเป็นเด็กติดเกม(?) ซึ่งพวกท่านมักจะเห็นฉันอยู่หน้าคอมทุกครั้งที่มีเวลาว่าท่านจึงเหมารวมว่าฉันติดเกมตามกระแสในช่วงนั้น แต่ที่จริงแล้วฉันกำลังแต่งนิยายอยู่ ฉันเริ่มกลายเป็นเด็กไม่เอาไหนในสายตาพวกท่านมากขึ้น'


นึกว่าตัวเองมาโพสเอง 555


แต่ละคนก็มีปัญหาแตกต่างกันไป มีบทบาทมีหน้าที่ของเราที่สังคม+ครอบครัว+ห่านเหว ที่กำหนดกรอบให้เรา เราแค่เดินไปตามทางที่มันควรจะเป็น  


รอวันที่เป็นอิสระจากบ่วงทุกอย่าง อาจจะกินเวลาเราไปเกือบทั้งชีวิตแต่เราจะเฝ้าและรอคอยอย่างอดทน ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน55


เอาเป็นว่า เป็นกำลังใจให้นะค้า

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-01.png

3
☆ราชินีอิซาเบลล่า☆ 2 ม.ค. 62 เวลา 13:39 น. 6-1

เราเป็นคนนอกกรอบค่ะ เราไม่ชอบอยู่ในกรอบที่พวกเขาสร้างขึ้นมา เมื่อก่อนอาจใช่ ที่เราอยู่ในกรอบของพวกเขา เพราะตอนนั้นเรายังเด็กอยู่ ยังไม่เข้าใจโลกภายนอกสักเท่าไร่ แต่พอโตขึ้นมากๆแล้ว อะไรๆเราก็รู้มาหมดทุกอย่างแล้ว เราจึงก้าวเดินออกมาจากกรอบนั้นค่ะ ในตอนแรกเราก็ไม่กล้าบอกใครค่ะ ว่าเราเขียนนิยาย เพราะเรากลัวเหมือนกัน เราตั้งใจไว้ว่า ขอทำให้สำเร็จไปก่อน แล้วค่อยบอกพวกเขา จนกระทั่งเราสามารถทำสำเร็จ ดั่งที่ตั้งใจไว้ เราจึงบอกค่ะ ตอนแรกแม่เราไม่เชื่อค่ะ แต่พอเราบอกว่า ขายนิยายได้เงินมาก็เท่านั่นแหละค่ะ ถึงกับดีใจเลยค่ะ แถมท่านยังพูดอวดไปทั่วเลยค่ะ555 เราดีใจมากเลยนะคะ ที่ท่านไม่ว่าอะไร แถมยังภูมิใจในตัวเราอีกด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่ โครตๆดีใจ5555 แม่เราชอบอวยเราตลอดเลยค่ะ ซึ่งเราก็ดีใจมากๆเลยนะคะ ที่ท่านยอมรับและเคารพพื้นส่วนตัวของเราค่ะ ท่านเป็นคนที่เรา สนิทสนมมากที่สุด เวลาเรามีปัญหาอะไร ท่านจะมานั่งรับฟังตลอด และแถมยังช่วยแก้ปัญหาให้อีกด้วย เราจึงรักท่านมากๆ มากกว่าใครทั้งนั้นเลย แม้กระทั่งพ่อก็ตาม เรารักแม่มากกว่าพ่อเสียอีก


แม่เราให้ทุกอย่าง ยอมเสียสละให้กับพวกเรา เราจึงรักท่านมากๆเลยค่ะ555(พูดแล้ว มีความสุขมากเลยค่ะ)https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-13.png

0
peiNing Zheng 2 ม.ค. 62 เวลา 14:11 น. 7

ก่อนอื่น ขอพูดเรื่องโหดร้ายเรื่องหนึ่งนะคะ


สิ่งแรก เราคิดว่า ควรเลิกคาดหวังว่าคนในครอบครัวจะเข้าใจค่ะ


ต่อให้เป็นคนในครอบครัว แต่แท้จริงแล้วเรารักและผูกพันกันด้วยสายเลือด ไม่เหมือนเพื่อนที่คบหากันด้วยนิสัย ความสนใจ หรืออุดมการณ์ที่ใกล้เคียงกัน


ในสายเลือดนั้น แม้จะอยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิต แต่ใช่ว่าจะชอบเหมือนกัน สิ่งที่คุณจขกท คือครอบครัวมองว่าความชอบของคุณจขกท มันไร้สาระ แต่สิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ที่แท้จริง มันมาจากความคาดหวังว่าจะให้พวกเขาเข้าใจและยอมรับ


ในเมื่อเปลี่ยนพวกเขาไม่ได้ ต้องเปลี่ยนที่ใจตัวเองค่ะ เปลี่ยน Mindset ตัวเองให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะมีทุกข์ไปตลอด


หากสามารถทำใจกับเรื่องนี้ได้ จะเป็นอิสระทางความคิดที่จะสามารถมองต่อไปได้ว่าจะทำยังไงต่อไป


คุณจขกท อาจจะพูดกับที่บ้านก็ได้ว่าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเขียนนิยายก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องถามอะไรอีกก็พอ 


หรือจะไม่พูดอะไรอีก แค่ไม่ต้องให้เขารู้ก็ได้หากว่าเขาสบายใจ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน


หรืออีกหลายทางเลือกที่สามารถทำได้ ถ้าจะออกไปอยู่ข้างนอกก็คิดให้ดี ถ้าคิดดีแล้วก็ลุย บางครั้งอยู่ห่างกันอาจจะดีกว่า แต่ถ้าเป็นห่วง อยากดูแลเขา ทำใจไม่ได้ที่จะอยู่ไกลกัน ก็ต้องหาทางจัดการกับใจตัวเอง


เราไม่สามารถได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ อาจจะจำเป็นต้องเสียบางอย่างเพื่อได้บางอย่าง นั่นเป็นเรื่องที่ต้องไปชั่งน้ำหนักเอาค่ะ


1
SilverPlus 2 ม.ค. 62 เวลา 14:50 น. 8

ถ้ามีงานทำ ดูแลตัวเองได้ ไม่เกาะพึ่งใคร อันนี้ไม่มีปัญหาเลย คนที่มาต่อว่าเรา ฝ่ายนั้นต่างหากที่ผิด


ส่วนประเด็น แต่งนิยายแล้วได้อะไร


ยังเป็นสิ่งที่นักเขียนนิยายต้องหาทางพิสูจณ์กันต่อไป เพราะอาชีพนักเขียนมันกระจอกในสายตาของคนทั่วไป สร้างเงินให้คนแต่งได้ไม่มาก บวกกับโดนโยงว่าเป็นกิจกรรมไร้สาระ เหมือนเด็กเล่นขายของ คนแต่งนิยายส่วนใหญ่อายุน้อย ก็เลยโดนโยงเป็นเรื่องปกติ


มีงานทำ มีรายได้ทางหลัก แค่นี้ก็ลอยลำแล้ว


พ่อแม่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็จี้มาก บางคนจี้สักพักก็ปล่อย บอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องทำอย่างไรกับสถานการณ์อย่างนี้


// ส่วนตัวอยากจะใช้วิธีแข็งกร้าวเข้าใส่ แต่ยังไม่ได้แสดงความแข็งกร้าว พวกท่านก็ปล่อย ไม่ได้ยุ่งวุ่นวายอะไร เหมือนพวกท่านอยากจะใช้ชีวิตสงบ ๆ เรียบง่าย ก็เลยไม่จู้จี้อะไรกับลูก ๆ เท่าไหร่ น่าจะเพราะอายุเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เลยอยากหาความสงบ

0
♣ M E E . R ♣ 2 ม.ค. 62 เวลา 15:45 น. 9

จขกท. ต้องพิสูจน์ตัวเองค่ะ
ตอนนี้ก็แอบเขียนไปก่อน

พอมีผลงานตีพิมพ์ มีเงินค่าต้นฉบับ

ตอนนั้นท่านก็ไม่ค้านแล้วค่ะ


แม้อาจไม่สนับสนุนเต็มที่

แต่เชื่อว่าตอนนั้น จขกท. จะมีอิสระในการเขียนนิยายค่ะ


พยายามพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวเห็น

เพราะพวกเขาต้องการเห็นประโยชน์

จากอาชีพที่เรียกว่า 'นักเขียน' ค่ะ

ไม่ใช่แค่คำเรียกหรูๆ ที่จับต้องไม่ได้


สู้ๆ นะคะ

0
มัณทนา[ไหดองล้านปีกับอาราเล่] 2 ม.ค. 62 เวลา 18:50 น. 10

พวกที่สักแต่ด่าคนอื่นแล้วไม่ดูตัวเองไม่ได้มีแค่ครอบครัวของเจ้าของกระทู้หรอกค่ะ


เราแค่เอาหนังสือที่ไม่ได้อ่านแล้วไปบริจาคให้ห้องสมุด ส่งต่อหนังสือให้คนอื่นที่ไม่มีเงินซื้อ

ยังโดนพี่สาวด่าว่าไร้สาระ ไร้ประโยชน์เลยค่ะ

ตัวเองไม่เคยเอาหนังสือไปบริจาคให้คนอื่น ยังมีหน้ามาด่าคนอื่นอีก

พี่สาวยุยงให้เอาหนังสือไปขายลงในเน็ต

แต่พอเราบอกว่าขายของทางเน็ตมีแต่พวกลูกค้าขี้โกง

พี่สาวก็โวยวายหาว่าเราอคติ ใจแคบ ดีแต่ด่าคนอื่นไปทั่ว

ทั้งๆที่สิ่งที่เราพบเจอมาในโลกโซเซียลจากกระทู้ต่างๆและข่าวต่างๆเป็นความจริงทั้งนั้นด้วย

คนแบบนี้เราเรียกว่า "พี่สาว" ไม่ลงและยกมือไหว้ไม่ลงค่ะ แต่ต้องจำใจยกมือไหว้

พวกญาติๆทางฝั่งพ่อแต่ละคนชอบคิดว่าตัวเองเป็นผู้ดีมีเงิน เป็นไฮโซ

ทั้งๆที่สถานะทางสังคมเป็นพวกชนชั้นกลาง

และอากงกับอาม่าเป็นคนจีนเสื่อผืนหมอนใบที่อพยพมาจากซัวเถา

เราไม่เคยนับญาติกับพวกญาติๆทางฝั่งพ่ออยู่แล้วค่ะ

ญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือก็ตายไปแล้วทั้งพี่สาวคนโตของพ่อกับพี่สาวคนรองของพ่อ

ซึ่งคุณป้าทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนที่ทำให้แม่ของเรามาพบกับพ่อค่ะ

หลังจากที่แม่ใหญ่ แม่ของพี่ชายกับพี่สาวตายไปแล้ว 1 ปี

แม้กระทั่งพี่สะใภ้คนโตตัวจริงที่หนีออกจากบ้านหายสาบสูญไปเมื่อ 25-26 ปีก่อน

(พี่สะใภ้คนโตคนที่เราถูกบังคับให้ยกมือไหว้เป็น "เมียน้อย" ค่ะ)

ทุกคนทำเหมือนกับว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยมีตัวตน ไม่คิดจะตามหาและตามกลับบ้านมาดูแลลูก

ไม่คิดจะติดต่อกับพวกญาติๆของพี่สะใภ้คนนี้ว่าอยู่ที่บ้านไหม

มีแต่เราคนเดียวที่มั่นใจว่าพี่สะใภ้คนโตคนนี้ยังมีชีวิตอยู่


ส่วนพวกญาติๆทางฝั่งแม่รู้ว่าเราชอบอ่านหนังสือก็รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ว่าอะไร

ออกจะชอบคนที่ขวนขวายหาความรู้

6
☆ราชินีอิซาเบลล่า☆ 2 ม.ค. 62 เวลา 19:01 น. 10-1

พวกนี้เขา "เห็นแก่เงิน"ค่ะ เขาเรียกว่า พวกหน้าเงินนั่นเอง เลยเห็นว่าการกระทำของเรา ไม่เป็นประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ก็เหมือนกับคนเราน่ะค่ะ ชอบผลประโยชน์ พอเรามีไม่มีผลประโยชน์ให้ ก็ถีบหัวเราส่ง หรือไม่ก็ พูดว่า แดกดันมานั่นแหละค่ะ

0
มัณทนา[ไหดองล้านปีกับอาราเล่] 2 ม.ค. 62 เวลา 19:17 น. 10-2

ถ้าตอนสาวๆ ตอนที่แม่ยังเป็นสาวโรงงานทำงานอยู่ที่โรงงานทอผ้า

ตัดสินใจยอมรับรักจากลูกชายของเจ้าของโรงงานทอผ้าและแต่งงานกัน

ฝ่ายชายจะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รัก

ชีวิตเราคงจะไม่เป็นแบบนี้หรอกค่ะ

แม่เคยเล่าให้ฟังว่าเจ้านายเป็นคนใจดี

0
☆ราชินีอิซาเบลล่า☆ 2 ม.ค. 62 เวลา 19:32 น. 10-3

ญาติทางฝ่ายแม่คุณนี่ ดีนะคะ พวกเราคงเห็นด้วยกับคุณแน่เลยค่ะ เพราะพวกผู้ใหญ่ที่มีความคิดที่ดี เขามักจะชอบให้เราหาความรู้รอบตัวของเราค่ะ ซึ่งญาติพี่น้องของแม่เรา ก็ชอบคนที่หาความรู้เช่นกันค่ะ พวกเขารู้ว่าเราชอบอ่านหนังสือเขียนนิยายงี้ เขาก็สนับสนุนค่ะ

0
มัณทนา[ไหดองล้านปีกับอาราเล่] 2 ม.ค. 62 เวลา 19:53 น. 10-4

เวลาพวกญาติๆทางฝั่งแม่ซึ่งเป็นพวกลูกๆของคุณลุงกับคุณป้าและมีศักดิ์เป็นพี่ชายกับพี่สาวด้วย

แวะมาหาพ่อกับแม่ที่บ้านมักจะเอาพวกขนม ผลไม้ติดไม้ติดมือมาด้วยเป็นประจำค่ะ

พอเห็นเราหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านก็ชมเราว่าเราชอบอ่านหนังสือ ใฝ่หาความรู้

แม้กระทั่งพวกหลานๆที่เป็นลูกๆของพวกเขาก็ยังชอบเลยว่าอาโกวกับอาอี๊ใช้ชีวิตอยู่กับหนังสือ

เราเป็นทั้งอาโกว อาผู้หญิงและอาอี๊ น้าผู้หญิง

อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกหลานๆทั้งฝั่งพ่อและฝั่งแม่

แต่เราชอบนิสัย การวางตัว และการมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นของพวกหลานๆทางฝั่งแม่มากกว่า

0
☆ราชินีอิซาเบลล่า☆ 2 ม.ค. 62 เวลา 19:57 น. 10-5

ดีแล้วล่ะค่ะ ที่มีญาติผู้ใหญ่แบบนี้ คุณเองก็ไม่ต้องคิดมากนะคะ ยังมีพวกเขาคอยสนับสนุนอยู่นะคะ ดีใจด้วยค่ะhttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-01.png

0
มัณทนา[ไหดองล้านปีกับอาราเล่] 4 ม.ค. 62 เวลา 08:59 น. 10-6

คนอื่นเอาหนังสือเรียนเก่าๆที่ใช้ไปแล้วมีรอยตำหนินิดๆ

นังสือที่ไม่ได้อ่านแล้วเอาไปบริจาคกันเยอะแยะ

คนในครอบครัวไม่เห็นจะมาเหยียดอะไรเลย

เห็นว่าเป็นการทำบุญด้วยซ้ำและสนับสนุน

0
บีติพร 2 ม.ค. 62 เวลา 19:24 น. 11

แต่งเรื่องราวนิยาย 1 เรื่อง ใครก็แต่งได้...แต่การจะร้อยเรียง ตัดต่อเรื่่องราว..วางบุคลิกตัวละคร วางบทพูด เขียนบรรยายถึงสถานที่่ฯ บรรยายถึงความรู้สึกของคน ด้วยสำบทสำนวน..จนเรื่องราวนั้นน่าอ่าน..น่าติดตามเป็นลายลักษณ์อักษร ด้วยความเพียรพยายาม จนมันกลายมาเป็นหนังสือนิยาย 1 เล่ม ยาว 50 - 500 หน้า นั้น..มีใครหน้าไหน? และกี่เปอร์เซ็นต์ของคนบนโลกนี้บ้าง? ที่ทำได้..

แต่ จขกท. ทำได้ แล้วมีคนอ่าน...คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นคนเก่งมาก

ดังนั้นผมไม่ได้จะมาบอกแค่ จขกท.เท่านั้น แต่่ขอบอกไรท์เตอร์ทุกทานว่า...อย่าหยุดเขียนนะครับ....

1
jesjournal90 2 ม.ค. 62 เวลา 20:16 น. 12

เราเข้าใจพวกท่านนะคะ พ่อแม่ของเราก็ไม่ได้ต้าน ปล่อยให้ทำแต่มองอย่างห่วง ๆ ชอบพูดเสมอว่ากลับไปทำงานประจำไหม หรือรับราชการ

เขาอยากให้เรามีงานมั่นคงมากกว่า แต่ใจเราก็ดันชอบ สิ่งที่เราทำได้คือทำให้ท่านมั่นใจว่าเราดูแลตัวเองได้ และต่อยอดไปจนถึงดูแลพวกเขาได้

ถ้ามันสุดทางจริง ๆ เราก็ต้องออก แต่ตอนนี้เราขอพิสูจน์ตัวเองก่อน


กลายเป็นบ่นของตัวเอง เป็นกำลังใจให้นะคะ คนหัวหกเดียวกันมีเยอะ

สู้ ๆ ไปด้วยกัน สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้เป็นปีที่ดี

0
white cane 3 ม.ค. 62 เวลา 07:54 น. 13

อ่านเนื้อหาแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยายเวอร์ชันบุคคลที่หนึ่งจริงๆ ไม่ได้ออกไปทางเหมือนมาขอปรึกษาแม้แต่น้อย นี่ถ้าไม่ได้มาเขียนที่บอร์ดนักเขียนคงนึกว่าเป็นการบรรยายความรู้สึกของนางเอกในนิยายไปแล้วนะเนี่ย ถือว่าคุณมีความสามารถครับ


ออกนอกประเด็นมาเยอะแล้ว เอาเป็นว่า คนที่บ้านผมก็เป็นเหมือนคุณ ใครมาเห็นผมเล่นโทรศัพท์ (ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่น 50 อัพ) ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เล่นเกม" ไม่ก็ "เล่นโทรศัพท์" ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ใช่เลย ผมกำลังพิมพ์นิยายต่างหาก ย้อนกลับไปเมื่อก่อนก็เหมือนกัน ถูกแม่บ่นว่าจะแต่งไปทำไม เงินก็ไม่ได้ เสียเวลา มานวดขาให้แม่ดีกว่าลูก (อันหลังนี้น่าจะเป็นเหตุผลของการบ่นของแม่ผม)


จนกระทั่งผมตัดสินใจวางขายนิยายที่แต่งจบแล้ว ปรากฏว่าเงินที่ได้มา เฮ้ย ! มันเยอะ เราสามารถหารายได้จากตรงจุดนี้ได้ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครบ่นอีกเลย ส่วนใครที่บอกว่าผมเล่นเกมหรือพูดทำนองว่าเสียเวลาไร้สาระ แม่ผมจะโต้กลับไปว่า "มันเขียนนิยาย ช่วยแม่หาตังค์ให้แม่มันใช้) แค่นี้จบ


ที่ผมอยากจะพูดคือ ถ้าคนอื่นเห็นมันเป็นเรื่องไร้สาระ ทำไมคุณไม่เอาความไร้สาระนี้เปลี่ยนมาเป็นรายได้ล่ะ ? ผมจะบอกอะไรดีๆ ให้อย่างหนึ่ง มนุษย์นั้นมักจะเห็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเป็นสิ่งไร้สาระเสมอ เหมือนอย่างบางคนชอบสูบบุหรี่ แต่บางคนไม่ชอบ พอเห็นคนสูบบุหรี่ปุ๊บ มักจะบ่นในใจว่า "เสียเงินไปกับเรื่องไร้สาระจริงๆ นอกจากเสียเงินแล้ว ยังมีโอกาสป่วยในอนาคตอีก จะสูบบุหรี่กันทำไมนักหนา มันยังน่ารำคาญสำหรับคนอื่นด้วย เหม็นก็เหม็น"


ดังนั้นลองเอานิยายที่พิมพ์จบแล้วมาวางขายดูครับ แล้ววันหลังค่อยบอกกับคนในบ้านว่าเงินส่วนนี้ได้มาจากการเขียนนิยายในช่วงว่างๆ มันเป็นทางหารายได้อย่างหนึ่ง เห็นไหม ไม่ได้ไร้สาระเลย ได้เงินด้วย


ขอเน้นตอนที่คุณจะไปบอกกับคนที่บ้าน คุณต้องพูดเน้นๆ ว่า เงินนี้ได้มาจากการเขียนนิยายในช่วง "เวลาว่าง" เน้นเลยนะครับ "เวลาว่าง" นั่นแหละครับ ทุกคนจะให้การยอมรับ เพราะเราไม่ได้เอาเวลาไปทำอะไรไร้สาระอย่างที่พวกเขาคิดแม้แต่น้อย

2
Alexandar 3 ม.ค. 62 เวลา 08:36 น. 13-1

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ


เรื่องที่เล่าเป็นเรื่องจริงแน่นอนค่ะ พอดีมันชินมือเรื่องวิธีเขียนน่ะค่ะ แล้วก็ไม่รู้จะเขียนระบายออกมายังไงให้เข้าใจเรื่องราวที่สุด สุดท้ายเลยกลายออกมาเป็นแบบนี้ เราอ่านแล้วอ่านอีกก็ออกมาแบบนี้ล่ะเราก็คิดนะว่ามันคล้ายแบบบรรยายในนิยายบุคคลที่หนึ่ง แต่ทำไงได้มันเขียนแบบนี้ติดมือไปซะแล้วเนี้ยสิ55


เรื่องแรกที่จบไปคงไม่ขายหรอกค่ะ มันไม่ได้ดีเด่นอะไรเนื้อเรื่องยังตามใจฉันสุดๆด้วย แต่เรื่องต่อไปจะพยายามมากขึ้นและจะขายแน่นอนถ้าแต่งจบแล้วนะ

0
white cane 3 ม.ค. 62 เวลา 10:33 น. 13-2

สู้ต่อไปครับ เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน อะไรที่ทำแล้วเรามีความสุขก็ทำไปเถิดครับ ส่วนใครจะว่ายังไง ก็อย่างที่คนอื่นๆ บอกไปครับ ถ้ามันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิต ต่อหน้าที่การงาน ต่อการเรียนการสอน เราก็ทำไปเถิดครับ

0