Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

{Review} สอบสัมภาษณ์ BALAC 2019 (early round)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่ะ หลังจากที่เราได้สอบสัมภาษณ์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ภาคอินเตอร์ หรือ BALAC ไปในวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา ผลออกมาว่าเราสอบติด เราเลยจะมารีวิวการสอบสัมภาษณ์ปีนี้ให้กับทุกๆคนที่สนใจจะเข้าBALACรอบแรกนะคะ :-)

Requirement
- ปีนี้requirementก็ยังคงเหมือนปีที่แล้วอยู่นะคะคือยื่นคะแนนcu-aat/sat/act พาร์ท verbal ควบคู่กับคะแนน cu-tep/ielts/toefl โดยคะแนนต้องถึงตามที่คณะกำหนดไว้ ซึ่งทุกคนสามารถเข้าไปดูเกณฑ์ได้ทางwebsiteของบาลัคเลยค่ะ >>  http://www.arts.chula.ac.th/~balac/web/Procedures-Balac
แค่คะแนนถึงเกณฑ์ก็มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์แล้วค่ะ เพราะบาลัคไม่ได้rankคะแนนเหมือนคะแนนอื่นๆอย่างbba,eba,หรือiseนะคะ เพราะตัวเราเองก็ยื่นคะแนนไม่สูงค่ะ (ielts7,sat verbal 540) แค่ผ่านเกณฑ์เหมือนกัน5555
- ในแบบฟอร์มสมัครเราต้องเขียนSOPด้วยนะคะ ส่วนตัวเราคิดว่าสำคัญมากๆ เพราะมันเป็นจุดที่representความเป็นเรามากที่สุด และprofessorsสามารถถามคำถามจากในSOPของเราได้ เขียนให้เป็นตัวเองมากที่สุดนะคะ (ทางบาลัคกำหนดให้ไม่เกิน1,000 words แต่ส่วนตัวเราเขียนไปประมาณ500 wordsค่ะ)

Interview
*ปีนี้ของเราไม่มีถามcurrent issues ไม่มีให้แนะนำbooks ถ้าเราไม่เป็นคนเปิดเรื่อง อาจารย์ถามเราเฉพาะสิ่งที่เราพูดออกมาว่าสนใจ กับในSOP ไม่เกินนี้ค่ะ ทำความเข้าใจและเตรียมตัวจากSOPเยอะๆนะคะ*

หลังจากที่คะแนนผ่าน ยื่นเสร็จเรียบร้อย ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ (ก็คือทุกคนที่สมัคร) เราก็เตรียมตัวกันจนถึงวันสอบค่ะ! ส่วนตัวกังวลมากๆๆๆๆ พอสมัครเสร็จก็ฝึกพูดกับเพื่อน ฝึกพูดคนเดียว research ข้อมูลเกี่ยวกับคณะและcurriculumต่างๆ รวมถึงเตรียมtopic ฝึกimpromptu speechไปอย่างหนัก และอ่านcurrent issuesมากมาย เพราะเห็นจากกระทู้ปีที่แล้วคือไม่ง่ายเลย รวมถึงเตรียมportfolioไปด้วยค่ะ ถึงแม้ทางบาลัคจะไม่requireแต่เราว่ามีไว้ก็อุ่นใจนะคะ5555

พอมาถึงวันสัมภาษณ์ เราได้สัมภาษณ์รอบบ่ายโมงค่ะ (แต่ได้สัมจริงๆก็ประมาณบ่ายสองครึ่ง แต่ไปเร็วก็ดีกว่าแน่นอนค่ะ) เราสัมภาษณ์ห้องท้ายสุดเลย เป็นห้องที่แยกออกมาอยู่ห้องเดียว ตอนเข้าไปก็ประหม่านิดหน่อยค่ะ แต่อาจารย์ทุกท่านยิ้มแย้มเป็นอย่างดี (เป็นอาจารย์ฝรั่ง2ท่าน และอาจารย์ไทย1ท่านค่ะ) โดยที่เริ่มคำถามbasicคำถามแรกเลย

-Could you please introduce yourself and tell us why are you interested in BALAC?
อันนี้เราก็แนะนำตัวชื่อนามสกุลอายุชั้นโรงเรียน บลาๆไปแล้วบอกว่า it started from my father's storytellings about history and the influence of K-POP that make me want to understand more about cultures, so that's why I'm here in the interview today.

หลังจากนั้นก็โดนเลยจ้าาา ถามเรื่องประวัติศาสตร์รัวๆๆ แต่ไม่ใช่ถามข้อมูลเชิงลึกแบบทดสอบความรู้ทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นถามแนววิเคราะห์มากกว่าว่า แล้วเธอรู้อะไรเกี่ยวกับประศาสตร์บ้าง เธอคิดว่ามันrelate กับculturesยังไง ประมาณนี้ค่ะ เราก็จำแม่นๆไม่ได้เหมือนกัน เพราะตอนนั้นคือสติหลุดไปแล้วค่ะ 55555

พอถามเรื่องประวัติศาสตร์จบ ก็มาต่อที่K-POPเพราะดันไปเกริ่นว่าเพราะK-POPเราถึงสนใจcultures ก็โดนประมาณว่าเธอว่าทำไมK-POP ถึงบูม อันนี้เราตอบไปว่า มันเป็นstrategyของKorean governmentที่ใช้K-POPเป็น soft power ในการพัฒนาeconomyของเกาหลีให้เติบโตอย่างรวดเร็ว พอตอบไปอย่างงั้นก็เลยโดนถามเรื่องsoft powerต่อเลยว่า ใช้K-POPเป็นsoft powerยังไงล่ะ (โชคดีที่คิดมาแล้วว่าต้องถาม55555) เราเลยตอบไปว่า K-POPสำหรับเกาหลีอ่ะมันไม่ใช่แค่genreของเพลงนะ แต่มันหมายถึงthe whole Korean entertainment industry มันเริ่มต้นจากผลักดันseriesเกาหลีให้ไปดังทั่วโลกนะ แบบมีsubtitlesหลายภาษา หรือขายcopyrightsของหนังไปให้ประเทศอื่นแบบจีนงี้ พอมายุค2000 ก็เริ่มจะสร้างK-POPด้าน music industryแล้ว โดยส่งศิลปินไปจีน ไปญี่ปุ่น ทำเพลงให้catchy มีท่าเต้นที่โดดเด่น แบบgangnam styleงี้popularมากๆ ยอดวิวยูทูปเป็นพันล้าน แล้วทางkorean governmentก็supportด้านบันเทิงเยอะมากๆให้งบเยอะ เพราะK-POPถือว่าเป็นรายได้หลักของปท.เลย (จำแม่นๆไม่ได้แต่ประมาณนี้ค่ะ) พอถามเรื่องนี้เสร็จอาจารย์ก็ถามต่อว่าแล้วเธอคิดว่าสำหรับประเทศไทย อะไรคือsoft powerหล่ะ เราก็คิดไปซักแปป แล้วก็ตอบว่าน่าจะเป็น tourism นะ เพราะแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยเยอะมาก เพราะไทยมีที่เที่ยวมากมายที่สวยๆ แล้วก็สร้างรายได้ให้ประเทศไทยอย่างมหาศาลเลย อันนี้คือแบบตอบแบบงงๆเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะถามหนะค่ะ555555 พอมาทีนี้อาจารย์ที่เป็นคนไทยถามมากอาจารย์ซัดมาอย่างแรงมากว่า ถ้าเธอเคยดูซีรี่ย์พีเรียดเกาหลีเธอจะเห็นว่าราชวงศ์โชซอนของเกาหลีนั้นอยู่ยุคเดียวกับราชวงศ์ชิงของจีน คนจีนบางคนที่ดูซีรี่ย์เกาหลีก็ออกมาวิจารณ์ว่าเกาหลีนั้นถ่ายทอดเรื่องราวข้อมูลที่ผิดไปจากความเป็นจริง แบบประวัติศาสตร์จีนรางชวงศ์ชิงไม่ได้เป็นแบบที่เกาหลีนำเสนอ เธอคิดยังไงกับเรื่องนี้ อันนั้นตอนแรกเราฟัง เราช็อคไปเลยค่ะเพราะคำถามยาวมากกก แบบต้องนั่งฟังอย่างตั้งใจ555555 เราตอบไปประมาณว่า เราก็ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศอ่ะ มันไม่มีผิดไม่มีถูกอยู่ที่ว่าใครเป็นคนถ่ายทอดมากกว่า อย่างหนังไทยแบบพระเนรศวร ข้อมูลบางส่วนก็ไม่ตรงกับที่พม่าเล่าเหมือนกัน เราต้องไม่เลือกข้าง stay neutralในข้อมูล คือรับข้อมูลทั้งสองฝ่าย แล้วก็เอาความต่างของประวัติศาสตร์ของทั้งสองข้างมาเทียบกัน (อะไรวะ555555) เพราะผู้ชนะคือคนเขียนประวัติศาสตร์อ่ะ ยังไงเค้าก็ต้องเขียนเข้าข้างประเทศตัวเองอยู่แล้ว ประมาณนี้555555 อาจารย์ก็พยักหน้าอืมๆไป

พอมาทีนี้อาจารย์ก็อ่านจากSOPค่ะ ถามว่าเธอเขียนว่าอยากเป็นDiplomat เธอคิดว่าculturesมันช่วยยังไงบ้าง อันนี้เราจำไม่ได้ว่าตอบอะไรไป แล้วอาจารย์ก็ถามอีกว่าถ้าอยากเป็นdiplomatทำไมไม่ไปเรียนirล่ะ (โดนไล่เฉย55555) เราตอบไปว่า เพราะเราคิดว่าculturesมันสำคัญ ถ้าเราเข้าใจculturesเราก็จะเข้าใจโลกได้มากขึ้น เข้าใจผู้คนได้มากขึ้น การnegotiateกับต่างประเทศก็จะดีขึ้น เราก็จะสามารถbridge the gap among peopleได้ แล้วเราก็จำไม่ได้แล้วว่าอาจารย์ถามอะไรอีกเพราะอย่างที่บอกว่าวันนั้นสติหลุดมาก คือช็อคไปหมด ไม่คิดว่าจะโดนยิงคำถามแบบรัวๆๆๆมาก่อน งั้นขออนุญาตข้ามไปimpromptu speechเลยนะคะ5555

impromptu speech ปีนี้ไม่เหมือนปีที่แล้วค่ะ เพราะปีนี้ให้จับมา2หัวข้อ แล้วให้เอาสองหัวข้อมาrelateกัน (ห้องอื่นได้จับ3เลือก2ค่ะ แต่ห้องเราอาจารย์ให้จับ2แล้วเอาtopicนั้นเลยTT) ส่วนตัวได้ immigrations กับ politics ค่ะซึ่งหายนะมากกกกกกก แม้เรื่องมันจะจับมาrelateกันง่าย แต่ความรู้เราเรื่องนี้คือน้อยมาก บวกกับความสติกระเจิงในวันนั้นด้วย อาจารย์ให้กระดาษมา1แผ่น เขียนเตรียมตัวพูดประมาณ1นาทีค่ะ อันนี้เราพูดเรื่องโรฮิงญาไป เราจำไม่ค่อยได้อ่ะเพราะตอบแย่มาก แย่แบบกลับบ้านมานอนร้องไห้555555 แบบมีจังหวะที่เงียบเพราะคิดไม่ออกด้วยคือ เราแบบนึกไม่ออกจริงๆตอนนั้น แต่โดนอาจารย์ถามประมาณว่า คิดว่าบังคลาเทศอยากรับโรฮิงญามั้ย โรฮิงญาควรอยู่ประเทศไหนพม่าหรือบังคลาเทศ โรฮิงญาควรกลับพม่ามั้ย แล้วถ้าเธอเป็นUNHCRเธอจะแก้ปัญหายังไง คือเราจำคำถามได้แต่จำไม่ได้ว่าตอบไปว่าอะไรเพราะแบบตอนนั้นคือไม่ไหวแล้ววว หัวสมองblankมาก พูดไปแบบทั้งๆที่สติหลุด ขอโทษจริงๆนะคะ55555 

พอผ่านเรื่องนั้นมาได้อาจารย์ก็วนมาที่SOPเราอีกรอบค่ะ ของคนอื่นยังไงไม่รู้แต่ของเราอาจารย์ชอบถามเรื่องStudy Planของเรามาก55555 มีถามว่าคิดว่าบาลัคจะให้ประโยชน์ไรกับเธอถ้าเป็นdiplomat อันนี้ถ้าจำไม่ผิดเรายกเรื่องพวกcoursesของบาลัคมาพูดแบบคร่าวๆ แบบมีcultural studiesที่จะทำให้เราได้เข้าใจวัฒนธรรม แบบความต่างของwestern กับ eastern cultures ในวิชา western civilization กับ eastern civilization แล้วก็มีวิชา general philosophy ที่ทำให้เราเข้าใจperspectives หรือแนวคิดของphilosophersที่effect modern society ประมาณนี้จำไม่ได้ว่าพูดวิชาไหนอีกมั้ย555555 แล้วอาจารย์ไทยก็ซัดคำถามมาอีกแล้วค่ะ2คำถามว่า 1.ทำไมไม่เรียนIRล่ะถ้าdiplomatต้องเรียนIRนะ(อีกแล้ว) เราก็ตอบไปประมาณเดิมค่ะ แต่เราก็พูดไปอีกว่า As I wrote in my SOP, I will further my Master's Degree in IR but for my Bachelor's Degree ฉันจะเรียนbalacก่อน เพราะวัฒนธรรมสำคัญกว่า5555 2.อาจารย์ถามต่อว่า supposed you are already a diplomat and you graduated from BALAC but your colleague who graduated from IR มาพูดกับเธอว่าเนี่ยเธอจบบาลัคเธอเข้าใจวัฒนธรรม แล้วยังไง เธอก็ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับด้านinternational relations, politics, economics, หรือพวกด้านรัฐศาสตร์มานะ เธอจะมาเป็นทูตได้ไง เราก็แบบยังยืนยันว่าถ้าเข้าใจcultures เราก็จะสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ เราจะเข้าใจที่มาที่ไปของทุกๆการกระทำว่า ทำไมเค้าถึงทำแบบนั้น ทำไมเค้าถึงคิดแบบนั้น เพราะcultures are the root of everything ภาษาก็มาจากculture อาหาร ความเชื่อ บลาๆๆก็มาจากculturesหมด อาจารย์ฝรั่งก็สวนเลยว่า แต่บางคนเค้าไม่ดูrootนะเค้าดูที่ตัวfruitเลย เธอจะทำยังไง แล้วอาจารย์ก็ขำที่สวนเรากลับได้... อาจารย์คะ!อย่าแกล้งหนูสิ555555 เราก็แบบWell....but I still believe that cultures are the most important ยังไงวัฒนธรรมก็สำคัญที่สุด ยังไงก็ต้องวัฒนธรรมสิ ฉันเข้าใจวัฒนธรรม ฉันก็ต้องเข้าใจทั้งหมด! (แต่ในใจคือก็หนูอยากเข้าบาลัคไงคะอาจารย์ ถ้าหนูอยากเข้าirหนูคงไม่มาอยู่ตรงนี้555555) อาจารย์ก็แบบโอเคๆๆ เลิกถามเรื่องนี้

หลังจากนั้นก็ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ อาจารย์ก็จะถามว่า Do you want to ask us any questions เราก็เลยขอให้เค้าดูportfolioเราหน่อย(อุตส่าห์ทำมา555) อาจารย์ก็แบบงั้นเลือกหน้าที่ภูมิใจที่สุดมา เราก็เลยเปิดหน้าที่เป็นyouth representativeที่เกาหลีมา อาจารย์ก็wow so you're a diplomat? เราก็แบบ Yes! ทันที เราบอกไปว่าเราเป็นทูตระหว่างประเทศนะ (อันนี้exaggerateไปนิดนุง5555) อาจารย์ก็ถามว่าแล้วใครส่งเธอไป เราก็แบบ governmentค่ะ! อาจารย์ก็ตาโตwowๆกันไป หลังจากนั้นอาจารย์ก็ถามใหม่ว่ามีไรอยากจะถามอีกมั้ย เราก็เลยถามเรื่องวิชาbasic thoughts of Asiaไปว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร อาจารย์ก็ตอบมาบลาๆ คือจริงๆเรารู้อยู่แล้วแหละว่ามันประมาณไหน แต่ถามไปเพื่อที่จะบอกว่า ฉันว่าชื่อวิชามันน่าสนใจดีนะ ฉันอยากรู้ว่าแบบbeliefsมันส่งผลยังไงต่อasia เช่นทุกวันนี้แบบจีน ญี่ปุ่น เกาหลี หลายๆอย่างก็คือbased on ลัทธิขงจื๊อ,เต๋า อะไรพวกนี้ ให้อาจารย์เห็นว่าสนใจอยากเรียนจริงๆ มีความสนใจด้านculturesนะ555555 แล้วก็ถามเรื่องภาษาที่สามไป อาจารย์ก็ตอบๆๆ จริงๆก็คืออยากยื้อเวลาแหละ เพราะรู้สึกตอนimpromptuทำได้ไม่ดี ต้องแสดงให้เค้าเห็นตอนนี้ว่าเราสนใจ55555 จนไม่มีอะไรจะถาม เลยถามคำถามสุดท้ายไปว่า did i meet your qualifications? อาจารย์ก็ยิ้มๆกันหมดแล้วตอบ We'll decide that later เราก็ย้ำไปอีกว่าที่ถามเพราะเราอยากเข้าบาลัคมากจริงๆนะแบบ I really hope to be accepted and study with you guys เค้าก็ขำกันแล้วอาจารย์ก็บอกว่า มันต้องใช้เวลาในการพิจารณาก็เลยยังตอบไม่ได้ รอดูผลเอาละกัน เราก็แบบโอเคๆ แล้วก็บอกลากัน -จบ- ps.เราสัมประมาณ30นาทีนิดๆนะคะ

Tips
- เราว่าสิ่งสำคัญคือ posturesต้องดี เรานั่งหลังตรงเด่ง พยายามไม่แสดงออกว่าnervous แม้จะทำไม่ค่อยได้55555 แล้วก็eye contactก็สำคัญมาก เราคือจ้องไปในตาเค้าเลย เวลาพูดก็มองหน้าอาจารย์ทุกคน หันซ้ายขวาหาทุกคนให้ครบ ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยแรงกล้าที่อยากจะเรียนที่นี่55555 อย่างสุดท้ายทำให้อาจารย์เห็นว่าเรามีpassionที่อยากจะเรียนบาลัคจริงๆ เพราะตัวเราเองอย่างที่บอกก็คิดว่าทำได้ไม่ดี ตอบคำถามแย่ ออกจากห้องสอบมาคือเข่าทรุด กลับบ้านไปนอนร้องให้ ไม่ยอมคุยกับใคร ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด เว่อร์วังมาก แต่ก็ยังติด55555 ส่วนตัวคิดว่าอาจารย์น่าจะเห็นpassionในตัวเราว่าเราอยากเข้า เรารู้สึกเราพยายามทำให้ตาเรามีประกายอยู่ตลอดอ่ะ เวลาพูดทุกๆเรื่อง เราย้ำๆๆๆๆๆบ่อยมากว่าculturesสำคัญ culturesคือทุกอย่าง เพราะบาลัคอ่ะเนอะคือ Language and Culture เราก็เลยพูดเรื่องวัฒนธรรมบ่อย 
- ทำบุญค่ะ5555555 อันนี้พูดจริงๆ เราทำบุญ ไหว้พระ ไหว้เทพเยอะมากๆๆ ตอนปีใหม่ก็คือไปไหว้ตามวัด ไปไหว้ร.5ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ไหว้อนุเสาวรีย์สองรัชกาล ไหว้ๆๆๆ ทำบุญ บนบานตามสบาย เพราะเราทำแล้วเราสบายใจ ทางใครทางมันเนอะๆ แต่สะสมบุญไว้ก็ดีค่ะ555555 ปล.จริงๆเราดูดวงจนเครียดด้วยค่ะ ขอให้เป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าเชื่อดวงมากกว่า เชื่อตัวเรานะคะ เรานี่ดูทุกศาตร์ ไพ่ยิปซี ไพ่ทาโร่ ดูแบบไทย ดูราศี ดูแบบจีน ดูกราฟชีวิต ดูลายมือ ดูชื่อ ดูวันเกิด ดูหมด555555 ยิ่งดูยิ่งเครียด ดังนั้นอะไรดีก็จำๆไป อะไรไม่ดีก็คิดซะว่าไม่แม่นหรือไม่ก็ไว้เตือนตัวเองไม่ให้ประมาทนะคะ

ท้ายสุดขอบคุณทุกคนที่อ่านนะคะ หากมีข้อสงสัยสามารถcommentสอบถามได้เลยค่ะ แล้วก็สำหรับน้องๆที่อยากเข้าBALACปีหน้า สู้ๆนะคะ เตรียมตัวให้ดี เราเชื่อว่าถ้าเรามีpassionมากพอ และเราแสดงมันออกมาได้ดี ยังไงอาจารย์ก็ต้องเห็นpassionในตัวเราค่ะ :-)

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

dom9914 16 ม.ค. 62 เวลา 23:42 น. 1

นี่จะเป็นหนึ่งในกระทู้ในตำนานไปอีกหลายรุ่นเลยนะ เขียนดี + เห็นภาพเว่อ 55555 ขอบคุณมากๆที่มาแชร์ประสบการณ์นะเออ ประเดี๋ยวนี่จะเอาไปแปะให้เหล่าว่าที่ชาว BALAC รุ่นหลังๆอีกรอบล่ะ ^^

0
Aeenaun 24 ก.ย. 63 เวลา 10:56 น. 4

รบกวนสอบถามแนะนำที่เรียน interview หน่อยได้มั้ยคะ เจ้าของกระทู้ไปเรียนที่ไหนมาคะ

0