Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ไม่อยากเรียนหมอต้องอธิบายยังไงให้แม่ยอมคะ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ครอบครัวเรามี 4 คนค่ะ แต่พ่อไปทำงานที่อื่น เราอยู่กับพี่แม่สามคนแม่ค่อนข้างมีหน้าตาทางสังคมนิดหน่อยรวมญาติเราด้วยค่ะ

เรารู้สึกว่ายิ่งเรียนยิ่งเครียด เรียนไม่เข้าใจ พอมาอ่านหนังสือเองก็พอได้แต่ไม่ถึงกับเป๊ะทุกย่างจำได้ทุกสูตร ซึ่งพื้นฐานเราอ่อนมาก ไปเจอข้อสอบไหนก็ทำไม่ได้ เราเริ่มท้อมากค่ะ

แม่อยากให้เรียนหมอ เราได้ยินมาตั้งแต่เด็ก โดนปลูกฝังมาเรื่อยๆ เราพยายามบอกว่าเราอยากเรียนอย่างนี้นะไม่อยากเรียนหมอพวกแพทย์อะไรทำนองนี้ เพราะเราสมองไม่ไหวมันไม่ได้ ไม่ไหวจริงๆ เราเหมือนโดนตีกรอบ

เราอยู่ ม.3 ช่วงนี้มีงานจากโรงเรียนกิจกรรม การสอบ เยอะแยะไปหมด เราเหนื่อย เวลาเราเสนอความคิดตัวเองอะไรไป แม่เราชอบพูดว่าเราตามเพื่อนตลอด อะไรๆ ก็เพื่อน ว่าเราติดเพื่อน เพราะเราออกจากบ้านไปทำงานบ่อยมาก แต่ช่วงหลังๆ เราทำทุกอย่างให้ออกจากบ้านน้อยลงหาข้ออ้าง เพื่อไม่ออกจากบ้าน

แต่สุดท้ายก็โดนว่าติดเพื่อนอยู่ดี

แล้วหลังจากนั้นมาแม่เราให้หาที่เรียนต่อค่ะว่าที่ไหนเราเคยเสนอไป แม่เราก็บอกให้เลือก แล้วเราตอบว่าแล้วแต่แม่ เพราะพูดไปกลัวแม่จะว่าเราติดเพื่อน เราเลยให้แม่ตัดสิน

แกก็ว่าเราไม่มีความคิดไรเลยวันๆ เอาแต่พึ่งแม่ ด่าเราบ้าง ว่าเรา แกเป็นคนโมโหง่าย เคยใช้หลังมือตัวเข้าตาเราครั้งนึงพ่อพี่อยู่ไม่มีใครห้ามค่ะ

พี่เราก็ชอบซ้ำเติมเราตลอด เหนื่อยทุกอย่าง แฟนก็ไม่เข้าใจ บอกว่าเห็นเราเหนื่อย เขาก็เหนื่อยมากกว่าทั้งๆ ที่แฟนเราครอบครัวไม่บังคับอิสระในการเลือก เราอิจฉาค่ะ

ที่เล่ามายังไม่หมดค่ะ แต่อยากหาคำปรึกษาต้องอธิบายยังไง อยากพูดกับแม่ว่าเราไม่อยากเรียนหมอ(ไม่ว่าหมอไรก็ตาม)นะ เราไม่ชอบ อยากหาสิ่งที่เรารักจริงๆ
ต้องทำยังไงดีคะ
กลัวพูดแล้วไม่เข้าหูแม่ กลัวว่าจะโมโหกลัวจะตีเรา เราโดนด่านิดหน่อย ก็ร้องแล้วค่ะ
เราอ่อนแอมาก...

แสดงความคิดเห็น

>

10 ความคิดเห็น

patluckpop 14 ก.พ. 62 เวลา 00:02 น. 1

เพิ่งอยู่ม.3 เองครับ ยังมีเวลาค่อย ๆ ค้นหาตัวเองไป

พี่คิดว่าความสำคัญคือ น้องต้องวางแผนชีวิตให้ได้ชัดเจนที่จะบอกผู้ใหญ่ครับ

ว่าอยากจะเรียนอะไร แล้ววางแผนจะทำงานประมาณไหน

วางแผนการอ่านหนังสือหรือการสอบอย่างไร

ถ้าตอบคำถามพวกนี้ได้อย่างน้อยผู้ใหญ่เค้าก็ฟังเรามากขึ้นครับ

แต่ถ้าเค้าไม่ฟัง พี่ว่าเราก็แสดงให้เค้าเห็นไปเรื่อย ๆ ว่าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจกับทางที่เราเลือกจริง ๆ ครับ

แต่ที่สำคัญคือต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าอยากจะทำงานอะไรครับ แล้วค่อยกลับมาเลือกว่าคณะอะไรจะช่วยในการสนับสนุนการทำงานที่เราต้องการครับ

เป็นกำลังใจให้ครับ

0
Z.W. 14 ก.พ. 62 เวลา 16:29 น. 2

1. อย่างแรก ทำใจ เพราะสิ่งที่ จขกท เจอ

มีคนเจอมาเยอะกว่ามากในโลกใบนี้

แค่ในประเทศนี้ก็เยอะจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วมั้ง

จขกท ไม่ลำบากหรอก อย่าไปคิดมาก โชคดีกว่าใครตั้งหลายคน


2. พ่อแม่คือผู้ประเสริฐที่สุด เราไม่รู้นะว่าใครจะว่ายังไง

แต่สำหรับเรา เราถือว่าเราอาศัยเลือดเนื้อท่านมาเกิด

ที่ทุกวันนี้มันสมองคิดได้ เดินได้ พูดได้ ทำอะไรได้

ก็เพราะท่านให้มา ถ้าจะมาด่ามาว่าท่าน แบบนั้นไม่ถูก

กรรมกับพ่อแม่หนักมาก ที่พูดไม่ใช่อะไร เจอเองมาแล้ว

เลิกคิดไม่ดีกับพ่อแม่ก่อน ในทุกทาง ไม่งั้นจะไม่มีอะไรดีๆตามมาเลย


3. ต้องวางเกมส์ วางทางหนีทีไล่

จขกท รู้หรือยังว่าตัวเองอยากทำอะไร และรู้จริงไหม?

เช่น บางคนบอกไม่อยากเรียน แต่อยากไปเป็นนักร้อง

พอถามว่า แล้ว-จะไปฝากตัวกับคนไหน รู้ไหมว่าระบบเขาเป็นยังไ

เอ๋อ-ไปเลยก็มี เพราะไม่รู้จริง เราต้องดูว่า ถ้าเราอยากไปทำอะไร

อาชีพนั้นมีอนาคตไหม ไปได้ไหม เพราะหลายคนใช้ความอยากนำ

แต่พอจบออกมาพึ่งมารู้ว่า อ้อ... งานในตลาดรองรับมีไม่มากแฮะ... หรือไม่ก็คู่แข่งสูง


4. ที่ส่วนมากแม่ๆอยากให้เรียนหมอหรือวิศวะ เพราะหางานง่ายกว่าสายอื่น

เพราะตลาดมันต้องการตลอด อย่างตอนนี้ก็ต้องเรียนสายพวกวางโปรแกรม สาย IT ให้ตายก็ไม่ตกงาน

เพราะยังไง AI มันก็ต้องการคนพัฒนาหรือมาคอยดูระบบหลังบ้านอยู่แล้ว

เราไม่เข้าข้างใครเลย แค่บางครั้งมุมมอง ความหวังดี กับความต้องการ มันก็สวนทางกันเองก็มี


5. การชอบด้านไหน แล้วเก่งด้านนั้นจริงๆ ไม่มีคำว่าอดตาย

ถ้า จขกท เจอทางที่มุ่งมั่น ชอบ และรู้ว่าตัวเองพัฒนาได้

ก็ลองเสนอดู ทุกอย่างใจร้อนไม่ได้ ต้องใช้เวลา


6.แล้วถ้าตัดสินใจแล้ว ห้ามโทษใคร ต้องรับผลที่เราเลือกเองเท่านั้น

ทุกอย่างมีความเสี่ยงหมด จะเชื่อแม่ก็เสี่ยง จะเชื่อตัวเองก็เสี่ยง

ต่อให้ จขกท มีอิสระในการเลือกนะ จขกท ก็จะเจอกรณีเดียวกับเด็กหลายคนที่ว่า

แล้วฉันจะเลือกอะไรดี แล้วฉันจะทำได้ไหม โอ้ย เครียด

ซึ่งพอเราโดนตีกรอบ เรากลับอิจฉาเด็กที่มันได้อิสระ แต่บางครั้ง-เด็กอิสระบางคนมันก็คิดว่า ใครก็ได้มาตีกรอบให้กูที ก็มีเหมือนกัน


เราเปลี่ยนพ่อแม่ ชาติพันธุ์ กรรมของเราไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดให้มันดี เป็นคนดีได้

ทุกคนต้องสู้ในทางของตัวเองทั้งนั้นแหละ จขกท. มันไม่มีหลักสูตรตายตัวหรอกว่าควรทำยังไง

พ่อแม่ของ จขกท เองก็มีหัวใจ มี Story ที่มาแตกต่างจากพ่อแม่คนอื่น จะใช้มุขเดียวกันมันไม่ได้

จขกท เป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุด เธอต้องรู้ดีที่สุดว่าต้องทำยังไง คนอื่นเขาเอาที่เขาคิด หรือเขาใช้กับพ่อแม่ตัวเอง แต่เอามาใช้กับพ่อแม่ จขกท จะมั่นใจได้ไงว่าถูกต้อง? ในเมื่อเป็นคนละคน?


ใจเย็นๆ คนทุกคนเวลาเจอปัญหา ก็คิดว่ามันลำบากเหมือนกันหมดแหละ

ไม่มีใครที่เจอปัญหาแล้วดีใจหรอก มันต้องหลายๆอย่าง

บางครั้งเราโตมาขนาดนี้ ยังคิดเลย เออ บางอย่างพ่อแม่ก็มองขาด

ตอนนั้นเรามองไม่ขาดเพราะเรายังเด็กว่ะ เออ แบบนั้นก็มีเหมือนกัน

ทุกอย่างมันต้องเรียนรู้ สิ่งที่เราเคยคิดว่าถูกก็อาจผิด ผิดก็อาจถูก เผลอๆถึงขั้นไม่มีถูกผิดก็มี

ดังนั้น..... จขกท ต้องตัดสินใจเองแล้ว ต้องรวบรวมสติปัญญาความสามารถที่มีในการแก้ไข

ถ้าเชื่อคนอื่น แล้วคนอื่นแนะนำ ทำให้ตัวเองเกิดกรรมบาป กรรมหนักที่ทำกับพ่อแม่ขึ้นมาจะว่าไง?

เราต้องใช้ปัญญาด้วยนะ ต้องใช้ข้อมูลรอบด้านด้วย


บางคนวางแผนมา แต่ระหว่างเรียน 4 ปี โลกมันเปลี่ยนไป แผนแตกก็มี

เพราะงั้นคนเราต้องปรับเปลี่ยนตามหน้างานไง

โลกอ่ะมันเปลี่ยนแปลงเสมอ

0
Frozen 28 ก.พ. 62 เวลา 08:26 น. 3

อยากพูดกับแม่ว่าเราไม่อยากเรียนหมอ(ไม่ว่าหมอไรก็ตาม)นะ เราไม่ชอบ อยากหาสิ่งที่เรารักจริงๆ


ก็พูดตามนี้แหละครับ คนนอกพูดไปใครจะฟัง มีแต่ตัวเรานี่แหละที่ต้องพูดเอง ถ้าพูดอย่างเดียวแม่ไม่เชื่อก็หาหลักฐานครับ เช่นวิชานี้ได้คะแนนดี เคยส่งประกวด มีผลงานด้านนี้ๆ แสดงให้แม่เห็นครับ

0
คนเรียนหมอ 28 ก.พ. 62 เวลา 08:36 น. 4

ไม่ไหวอย่าเรียนเลยค่ะหมอ ให้แม่ดูข่าวไป นักศึกษาแพทย์ฆ่าตัวตายสำเร็จปีละคน ไม่สำเร็จอีกเพียบ


เรียนคะแนนไม่ดี เครียด โดนอาจารย์ด่าทุกวัน เครียด มีแต่เพื่อนเก่งๆ เครียด ไม่สตรองจริงมาสายนี้ไม่รอดหรอก


คุยเปิดอกก่อน ถ้าไม่ได้ผลค่อยทำตามทางของตัวเองไป แพทย์ถ้าสอบคะแนนไม่ถึงยังไงก็ไม่ได้เรียนอยู่ดี แม้แต่แม่ก็ทำให้เรียนไม่ได้หรอก ไปสอบอันที่คุณอยากเรียนดีกว่านะ

0
madenaja 28 ก.พ. 62 เวลา 09:26 น. 5

แต่ละคนโตมาในสภาพบ้านคนละแบบ จขกท.โตมาจากบ้านแบบบไหนไม่มีใครรู้เลยค่ะ เราโตมาจากบ้านที่ไม่เหมือนกันแน่ๆ ม.3 เหมือนกันค่ะ เราว่า จขกท.จะคิดจะทำยังไงต่อ ก็มาจบที่ตเองคุยกับแม่อยู่ดี ก็นั่นแหละค่ะยังไงก็ต้องคุยอยู่ดี ไม่ว่าจะม.3 จะหลวมตัวไปเรียนวิทย์คณิต จะลึกแค่ไหนก็ต้องคุยกับแม่อยู่ดีนะคะ


บ้านเราให้อิสระในชีวิตลูกมาก แม่เราให้ชีวิตเราเพื่อให้เราใช้ชีวิตค่ะ ไม่ได้เพื่อให้ลูกมาใช้งานตอนแก่


มุทมองของเรานะ อาจจะมองว่าอกตัญญูเลยนะ 5555

เราตอนนี้อายุยังไม่ถึงครึ่งของชีวิตเลย แม่เราอายุเท่าไรแล้ว ช้าเร็วกี่ปีเมื่อไรยังไงแม่ก็ต้องไปจากเราก่อนเราอยู่ดี แม่ไม้ได้ลงมาเรียนกับเรา แม่ไม่ได้มาเลือกชีวิตอีกสิบปียี่สิบปีเราอะ


Ex. เพื่อนเราหัวไม่ดี แต่อยากเป็นพยาบาลเหมือนแม่มากกกก แต่ถูกแม่ห้ามเพราะบอกว่างานพยาบาลเหนื่อยย ไม่อยากให้เรียนเลยเด็ดขาด!

0
pathitta 28 ก.พ. 62 เวลา 10:40 น. 6

เอาโพสนี้ให้แม่อ่าน...พี่เป็นคนนอกอ่านแล้วยังสะเทือนใจเลย...ถ้าแม่ไม่รู้สึกอะไร ก็ตั้งใจเรียนไป พอจบ ม.ปลายก็พยายามหางานพิเศษทำ ถ้าแม่ไม่ยอม ก็หาเงินเรียนเอง อาจจะทำงานเก็บเงินสักปี หรือทำงานไปเรียนไปก็ได้ ทางออกยังมีเยอะแยะ แต่ถ้าต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบไปจนตาย มันน่าเสียดายมาก

0
walnut 28 ก.พ. 62 เวลา 12:30 น. 7

อยากให้อ่านค่ะ!!! ประสบการณ์คล้ายกัน!!!! ............................................................................. ขอแชร์ประสบการณ์นะคะ ตอนนี้เราผ่านจุดนั้นมาแล้วค่ะ!!!!
แม่เราอยากให้เรียนหมอค่ะ บอกมาแต่เด็ก ตอนม. 3 เราชอบงานด้านวาดรูปมาก ปรึกษาแม่ สุดท้ายก็ต้องเลือกเรียนสายวิทย์คณิต 

 ในตอนม.3 การทะเลาะของเรากับแม่จบลงที่ว่า แม่บอกว่าเรายังไม่ได้ลองเลย จะรู้ได้ไงว่าทำไม่ได้ ทำไมถึงคิดว่าไม่ใช่ รู้ได้ไงว่าชอบไม่ชอบ! 

และเรามองว่าสายวิทย์ คณิตค่อนข้างกว้าง ถึงลงเรียนไปก็ยังสามารถมาพลิกไปด้านออกแบบได้ ถ้าสุดท้ายเรายังยึดมั่นในตัวเองอยู่ ............................................................................. ทีนี้เราอยากถามว่าถ้าไม่อยากเป็นหมอ เธอต้องถามตัวเองว่า 
แล้วเธออยากทำอะไร
 การที่เธอจะปฏิเสธคุณแม่ ว่าไม่ต้องการเป็นหมอ เราว่ามันสมเหตุสมผลที่เราเองจะต้องตอบเขาได้ว่า อ่ะไม่เป็นหมอแล้วเราอยากจะเป็นอะไร? ............................................................................. ในตอนมอสาม หลังจากการทะเลาะจบลงที่ประเด็นนั้น เราขึ้นมอสี่ แล้วเราก็ไปให้สุดค่ะ!!! เรามีเวลาสามปี เราให้เวลากับการไปให้สุดกับทางหมอที่แม่ต้องการจนถึงประมาณม.5 เทอม1. เราอยากเช็คตัวเองด้วยว่าเราไปได้จริงไหม หรือแค่อคติกับเพราะเป็นสิ่งที่แม่ต้องการ เราทำทุกอย่างทั้งเรียน ลองหาข้อสอบมาพยายามทำ หรือไปเข้าร่วมงานอบรมต่างๆด้านเกี่ยวกับแพทย์ ไปอยู่โรงพยาบาล ดูว่าถ้าเราเป็นหมอจะเป็นยังไง เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการแข่งวิชาการต่างๆ ทุกอย่างนี้ไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ว่าเราทำได้หรือไม่ 
แต่เป็นการพิสูจน์ว่า >>>เรามีความสุขไหม เราอยู่กับมันได้หรือไม่ <<< เพราะมันจะเป็นทั้งชีวิตของเราที่เหลือเลยนะ เหมือนการหาคู่แต่งงาน ถ้าเราต้องแต่งงานกับคนที่แม่เลือก เราก็จะแฟร์ๆเปิดโอกาสเรียนรู้เขา แต่สุดท้ายแม้เขาจะดีมากๆ แต่เราไม่รักเขา สุดท้ายเราก็จะไม่แต่ง เพราะถึงแต่งไปก็ไม่มีความสุข สุดท้ายตอนมอ 5 เราก็พบว่าเราไปต่อไม่ได้ เราทำได้ แต่อยู่กับมันไม่ได้ เราเครียด เกลียดงานด้านวิทยา ไม่โอเคกับการแบกภาระชีวิตในฐานะหมอ มันกดดันมากสำหรับเรา และเราก็บอกว่า เราชอบอะไร เพราะในขณะเดียวกัน เราก็ลองหาประสบการอื่นๆด้วยเพื่อหาตัวเอง แต่เราพบกับแม่ครึ่งทางว่า เราจะสอบหมอให้แม่นะ แต่เราจะพยายามความฝันของเราด้วย ซึ่งบอกเลยว่าเราก็แอบอุบอิบ ไปสอบหมอแต่กาข้อที่ผิด ทำทุกทางให้สอบตกไม่ผ่าน ให้แม่เห็นว่าเราทำไม่ได้ แต่เราพยายามแล้ว .............................................................................


อย่าพูดถึงเรื่องนี้ในครอบครัวมาก เวลาแม่พูดอะไรแนะนำให้เงียบไว้ อย่าเถียง

อย่าออกความเห็น เพราะพูดอะไรตอนนี้มันก็เป็นเพียงลมปากที่ไม่น่าเชื่อถือ ให้รอเวลา แล้วการกระทำเราจะเป็นคำพูดเองว่าเราเอาดีด้านอื่นได้. 
เข้มแข็งไว้นะคะ ถ้าคุณแม่เป็นห่วงเรื่องความมั่นคงในอนาคตว่าเธอจะตกงาน เงินเดือนน้อย ไรงี้ ตรงจุดนี้ ในตอนที่ยังเรียนเธอทำได้แค่ อ้างอิงบุคคลที่ทำงานตามด้านที่เธอชอบมาให้เขามั่นใจค่ะ ว่ามันอยู่ได้นะ ไม่ได้มีปัญหาอะไร

.............................................................................
 ตัวเราเองตอนนี้ผ่านมาแล้ว ได้ตามฝัน มีเงินมีความมั่นคง 
อยากเป็นกำลังใจให้นะคะ
เรื่องนี้มันจะยังไม่จบง่ายๆจนกว่าเราจะเรียนจบมหาลัย เพราะตัวเราเองตอนนั้นขนาดเรียนไปถึงปี3แม่ยังคอยพูดว่าอยากให้ซิ่วมาเรียนหมออยู่เลย มันเป็นความคาดหวังของเขา ต้องเข้าใจเขาส่วนหนึ่ง พูดกันตรงๆว่าการเลี้ยงลูกก็คือการลงทุน เขาเองก็มีสิ่งคาดหวังกับทุนก้อนนี้ แต่สุดท้ายก็เป็นชีวิตเรา ถ้าเงื่อนไขเขาคือเราต้องอยู่ได้มีเงินใช้ ดูแลเขาได้ ก็ต้องแสดงให้เห็นว่าต่อให้ทำอาชีพที่เราเลือกเราก็ทำได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ ใช้เวลาและความอดทนสูงค่ะ 
สู้ๆนะคะ. 
เพราะใจที่เข้มแข็งเป็นสิ่งสำคัญ
 .............................................................................

 ป.ล. ในกรณีของเราคือทะเลาะใหญ่โตและเราเลือกสิ่งที่เราชอบนั้น มันจะมีข้อเสียตามมาว่า ถ้าวันใดเราล้ม เราต้องลุกด้วยตัวเองเป็นหลัก เพราะว่าคือสิ่งที่เราเลือกเอง ถ้าคิดจะดื้อที่บ้านตามฝันตัวเอง ก็ต้องเตรียมใจในจุดนี้ไว้ค่อนข้างสูงค่ะ เราผ่านมาเยอะมากๆๆ 55555

0
IamLazysheep 28 ก.พ. 62 เวลา 14:20 น. 8

พี่น่าจะเกือบรุ่นๆ คุณแม่ของหนู พี่อยากบอกว่าชีวิตตัวเองเราต้องตัดสินใจเองไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร

คุณพ่อคุณแม่ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตแต่ให้ฟังคำแนะนำของท่านเอาไว้เผื่อเอามาปรับใช้ในชีวิตได้

ลองตะล่อมคุยกับท่านดีๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพิ่งม.สาม หนูยังมีเวลาคิดอีกใจเย็นๆนะคะ


ส่วนเรื่องการตัดสินใจ อย่างเรื่องเลือกที่เรียนหนูควรตัดสินใจเองไม่ใช่ตามใจแม่ ทำแบบนั้นแม่จะยิ่งคิดว่าหนูตัดสินใจอะไรเองไม่ได้เลยและจะควบคุมเราหนักขึ้น ส่วนเรื่องคำว่าติดเพื่อนเชื่อพี่เหอะ พ่อแม่ทุกคนพูดคำนี้ทั้งนั้น 55 มันเป็นวัยค่ะ ท่านคงเห็นว่าลูกห่างตัวเอง


พี่ไม่ได้สอนให้ก้าวร้าวหรือต่อต้านพ่อแม่ แต่เห็นมาเยอะแล้วที่ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ รู้สึกตัวอีกทีอายุ 40กว่าหันหลังกลับไม่ได้ อีกอย่างทุกอาชีพหางานได้ทั้งนั้นค่ะ ไม่ใช่แค่หมอหรือวิศวะ



ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว พี่ขอให้หนูนับหนึ่งถึงร้อยแล้วเดินไปหาแม่ บอกแม่ว่า "แม่คะ หนูมีเรื่องอยากปรึกษา" พ่อแม่ทุกคนอยากเป็นที่พึ่ง อยากเป็นคนสำคัญของลูกอยู่แล้วค่ะ จากนั้นหนูก็ค่อยๆเล่าสิ่งที่ตัวเองกังวลและอึดอัดใจ เช่น หนูไม่อยากเป็นหมอเพราะการเรียนหนูไม่ไหวจริงๆ แม่ช่วยหนูคิดได้ไหมคะว่าเรียนอะไรดี หนูชอบเรียนภาษา เรียนคณะอักษรดีไหม หนูถนัดสอนคนอื่นคณะครุฯละว่ายังไง (กางเอกสารเลย ปรึกษากัน ช่วยกัน)


อย่าก้าวร้าว โวยวายใส่เพราะไม่มีทางเข้าใจกันแน่นอน


เป็นกำลังใจให้นะคะ


0
5555555 28 ก.พ. 62 เวลา 18:42 น. 9

ถ้าในมุมของเรานะคะ เราอาจจะลองไปค่ายหมอก่อนค่ะ ไปให้สัมผัสชีวิตคนเรียนหมอ

1. พิสูจน์ความชอบตัวเราก่อน ว่าเรารับได้กับชีวิตแพทย์มั้ย เพราะมันเหนื่อยมาก ไม่มีเวลา อ่านหนังสือตลอดเวลา

กรณีอยากเรียน ในส่วนเรื่องเนื้อหา เป็นเรื่องอนาคต เนื้อหามอต้นและมอปลายค่อนข้างต่างกันขึ้นกับความขยันและตั้งใจ

2. ให้คุยกับแม่ก่อนว่าครั้งนี้ขอไปดูได้มั้ยว่าชอบมั้ย เรียนไหวมั้ย โอเคกับอาจารย์ใหญ่มั้ย ถ้าไม่โอเค หนูขอเรียนอย่างอื่นได้มั้ย เป็นการสร้างเงื่อนไขข้อตกลง และการสร้างการยอมรับค่ะ แต่ก็ต้องขึ้นกับแม่ของจขกท ว่าเป็นคนที่รับฟังมากแค่ไหนด้วยนะคะ แล้วถ้าไม่ชอบจริง หลังค่ายก็แนะนำให้อธิบายชีวิตหมอทั้งหมดที่ไปเจอมา พูดในเชิงโน้มน้าวค่ะ

อันนี้เป็นแนวทางหนึ่งนะคะ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น