ว่างครับ หาเพื่อนคุย ถาม-ตอบ แลกเปลี่ยนสารพันปัญหาเกี่ยวกับการเขียนนิยาย
ตั้งกระทู้ใหม่
คุณต้องการจะลบกระทู้นี้หรือไม่ ?
15 ความคิดเห็น
ก็พอคุยได้แหละนะคะ แต่จะคุยที่ไหนล่ะ
ที่นี่แหละครับ แต่ถ้าเป็นความลับก็ค่อยว่ากันหลังไมค์ก็ได้
ปกติถ้าคุยที่นี่จะตอบยากหน่อยแหละค่ะ 555 กว่าจะรีมาดู มันดูยากกว่าแชท
ลบแล้วนะครับ
เอาชื่อเฟสแทนมั้ยคะ มันไปโฮมเฉ จะได้แอดไป
ลบแล้วนะครับ
ทำไมเราหาไม่เจอล่ะเนี่ย ซะงั้น
อะ ชื่อเฟสเรา
บายขอแอดด้วยย555555
อ่าคุยเรื่องไรดีหยอ
คุยเรื่องเกี่ยวกับการเขียนนิยายครับ ^^
งี้เองสินะ
ตอนนี้มีปัญหาแค่ว่าติดเล่นโซเชียลจนไม่มีเวลาจะแต่งนิยาย
แถมตอนนี้อยากจะแต่งเรื่องใหม่เพิ่มอีกด้วยแหละ...
ถามได้แบบนี้ได้ไหม?
555 ว่าแต่ส่วนไหนคือคำถามล่ะครับนั่น
55555 วิธีแก้ไขน่ะค่ะ
เราควรจัดการยังไงดีกับ 2 เรื่องนี้ที่เกิดขึ้น
คำถามแรก
ตอบ : เล่นไปด้วยเขียนไปด้วยครับ อาจจะเขียนใส่กระดาษก็ได้ แล้วเล่นโซเชียลในคอมหรือมือถือ
คำถามที่สอง
ตอบ : ต้องกดปุ่มหยุดคิดไว้ก่อนครับ ถ้าจะคิดแวบเมื่อไรต้องรีบกดหยุดปุ่มทันที อย่าปล่อยให้ไฟมันลาม555
เราไม่มีคำตอบให้ค่ะ แต่เราจะบอกว่า....เราก็เป็นเหมือนกันค่าาาาา555555 แต่เอาจริงๆก็แอบยุ่งเรื่องการเรียนการสอบด้วยแหละ55555
3-3 ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ^^
3-4 เป็นกำลังใจให้นะคะสำหรับการเรียนการสอบ^^
ขอถามสองข้อแล้วกันครับ นั่งคุยกับเพื่อนแล้วยังไม่ค่อยพอใจกับบทสรุปที่ได้ อยากสร้างสไตล์ของตัวเองที่โดนใจคนอ่านต้องเริ่มอย่างไรครับ Voice ต้องถูกใช้ออกมาแบบไหนงานถึงจะดูมีเสน่ห์
คำถามแรกนะครับ
ตอบ : ต้องเริ่มจากคิดถึงใจคนอ่านก่อนครับ เริ่มตั้งแต่เขียนให้คนกลุ่มไหนอ่าน คนกลุ่มนั้นชอบแบบไหนยังไง ส่วนสไตล์นั้นต่อให้ไม่อยากสร้างมัน มันก็มีความเฉพาะของแต่ละคนอยู่ดี
คำถามที่สอง
ตอบ : Voice ต้องถูกใช้ออกมาแบบที่คนเล่าเรื่องรู้สึก 'สนุก' ตอนที่เล่าเรื่องด้วยครับ อันนี้สำคัญมากเลย การยืม Voice มาจากเพลงหรือแรงบันดาลใจถือเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่งเพราะมันจะถูกใช้แก้ขัดได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นแต่ไม่มีความยั่งยืน
แล้วเรื่องสไตล์นี่ผมจะเริ่มแบบไหนครับ ขอแบบเป็นรูปธรรมหน่อยได้ไหมครับ อยากได้คำแนะนำ แล้วก็เรื่อง voice นี่ค่อนข้างเกี่ยวกับเรื่องสไตล์อยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่มั่นใจว่าเราคุยกันความหมายเดียวกันหรือเปล่า
จริง ๆ ผมเองก็สับสนเรื่องสไตล์กับวอยซ์อยู่เหมือนกันว่าอะไรจะมีอธิพลต่อคนอ่านมากกว่ากันในเรื่องของความจับใจ คุยกับเพื่อนความเห็นก็ค่อนข้างแตก ว่าเราควรแน้นสไตล์หรือวอยซ์มากกว่ากัน
งั้นเอาแบบนี้ดีกว่าครับ คุณช่วยขยายความระหว่าง voice กับ สไตล์ ในความเข้าใจของคุณให้ได้ไหมครับ เพื่อที่จะได้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน เพราะหลายๆความเห็นค่อนข้างจะแตกออกและไม่ค่อยจะตรงกันในเชิงความเข้าใจสักเท่าไร
ส่วนสำหรับผม ผมไม่ได้มองสองอย่างนี้สำคัญเลย เพราะผมมองว่าสองสิ่งนี้จะแฝงอยู่ในงานเขียนด้วยตัวของมันเองเมื่อมีปัจจัย 2 อย่าง
1. คือการกำหนดแก่นหลักใจความสำคัญ
2. คือเมื่อคุณมีทักษะของ 'การเล่าเรื่องที่ดีพอ'
ผมค่อนข้างขอค้านครับ Voice ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนกันได้ง่ายนั่นเรื่องจริง และการเลือกเรื่องที่เข้ากับ Voice นั่นก็ทำให้ง่ายกว่าก็จริง แต่คนเขียนสามารถกำหนดและเปลี่ยนแปลง Voice ได้ตาม 'มุมมอง' ครับ ถ้าลองเปลี่ยนมุมมอง Voice ก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย
เอ มันไม่ต้องขยายความอะไรเลยนะครับคำว่า style กับ voice ความหมายในเชิงงานเขียนมันใช้กันชัดเจนอยู่แล้ว เหมือนเราพูดคำว่า plot กับ theme เราคงไม่ต้องย้อนถามกันหรอกนะว่า plot ในความเข้าใจของผมคืออะไร นิยายทุกเรื่องมันก็มี style และ voice ของผู้แต่งอยู่แล้วล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นนิยายที่เล่าเรื่องดีหรือแย่ คำถามผมเลยอยากพูดคุยเรื่องการสร้าง style จะเริ่มสร้างอย่างไร "อย่างเป็นรูปธรรม" ถ้าผมจะปล่อย style ให้เกิดขึ้นอย่างตามมีตามเกิดก็คงไม่ถามขึ้นมาหรอกครับ ส่วนเรื่อง voice หลายครั้งที่เห็นผู้เขียนสนุกกับการเล่าเรื่องแต่คนอ่านไม่ได้สนุกด้วย นักเขียนจึงควรรู้จังหวะการใช้ voice ของตัวเองให้เกิดเสน่ห์ แล้วเราจะใช้ออกมาแบบไหนดี ขอถามย้ำอีกครั้งแล้วกันครับ อยากฟังไอเดียเพื่อนำมาใช้ สำหรับคุณคนเมาคำ voice ของนักเขียนแต่ละคนไม่ใช่เรื่องที่จะเปลียนได้เลย คำถามของผมเลยมุ่งไปที่การถูกนำมาใช้อย่างมีเสน่ห์ คำตอบของคุณคือการเลือกเรื่องที่เขียนให้เข้ากับ voice ของคนเขียน ผมพิจารณาแล้วก็เห็นด้วยอยู่หลายส่วน แต่พอเป็นนักเขียนเราก็อยากจะเล่าเรื่องหลาย ๆ แนว เลยอยากได้ไอเดียที่ยืดหยุ่นกว่านี้ ยังไงก็ขอบคุณมากครับสำหรับไอเดียนี้
ก่อนอื่นนะครับ การถามถึง Voice กับ Style สำหรับผมมันไม่ต่างจากคำถามที่ว่า 'การเป็นตัวของตัวเองมันต้องทำยังไงเพื่อให้มีสเน่ห์' เพราะคำตอบในใจของผมคือนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะประเด็นสำคัญคือ เพื่อใคร เพื่ออะไร ทำอย่างไร ด้วยวิธีไหน และเมื่อไร
เอาเรื่องสไตล์กันก่อน ขอบอกถึงการสร้างสไตล์ของตัวผมเองอย่างเป็น 'รูปธรรม' ผมเริ่มสร้างตั้งแต่การศึกษากลุ่มเป้าหมายที่ตัวผมต้องการจะเขียนนิยายให้พวกเค้าอ่าน ผมเขียนนิยายโรแมนติกครับ แต่พื้นของตัวผมชอบเขียนแอ็คชั่น กลุ่มนักอ่านของผมคือ 'ผู้หญิง' เป็นส่วนใหญ่ สไตล์ของผมจึงถูกสร้างตาม 'กรอบพื้นความชอบของกลุ่มเป้าหมาย' และตัดส่วนเกินที่กลุ่มเป้าหมายไม่ต้องการออกไป เช่น ตัวเอกควรเป็นผู้หญิง ตัวเอกควรมีนิสัยชวนเพ้อฝัน บรรยายกาศของเรื่องควรจะละมุนอบอุ่นหัวใจ จังหวะการดำเนินเรื่องควรจะชวนลุ้น(รัก)
การตอบครั้งแรกผมบอกว่า '...การคิดถึงใจคนอ่านก่อน' การคิดถึงใจคนอ่านจะสร้างกรอบว่าอะไรควรทำไม่ควรทำในงานเขียน และสุดท้ายสไตล์จะเกิดขึ้นในกรอบนั้นเอง(ขออภัยที่ผมอาจตอบได้ไม่เข้าใจ)
ส่วนคำตอบครั้งที่สองผมตอบว่า 'เมื่อมีการกำหนดแก่นหลักใจความสำคัญ' และ 'เมื่อมีทักษะในการเล่าเรื่องที่ดีพอ' สไตล์จะตามมาเอง เพราะข้อแรก เมื่อคุณกำหนดแก่นหลักใจความสำคัญว่าคุณเขียนเพื่อใคร อะไร อย่างไร เท่าไร แบบใด สิ่งที่ได้ตามมาคือ 'กรอบ' ที่จะเป็นแม่พิมพ์ในการสร้างสไตล์ขึ้นมา
ข้อสอง เมื่อคุณมีทักษะในการเล่าเรื่องที่ดีพอ อันนี้ค่อนข้างจะเทไปทางว๊อยซ์ซึ่งตรงกับที่คุณถามตอนหลังพอดี ถ้าเปรียบให้เห็นภาพมากขึ้นด้วยการเปรียบการเขียนนิยายเป็นการเล่านิทาน ต้องเล่าอย่างไร แค่ไหน เมื่อไร เพื่ออะไร มีวัตถุประสงค์อย่างไร หลังจากที่คุณเข้าใจในเรื่องของ 'ทักษะการเล่าเรื่องแล้ว' ถึงตอนนั้นที่ขาดไม่ได้เลยคือ 'ความสนุกที่การเล่าเรื่องของเราทำให้คนอ่านมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย'
ทั้งสองคำตอบอาจไม่ใช่คำตอบทางตรง แต่ผมเชื่อว่ามันมีผลโดยตรงต่อทั้งว๊อยซ์และสไตล์แน่นอน
ผมยังยืนยันว่าว๊อยซ์ของคนเขียนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามมุมมอง และไม่ใช่แค่ว๊อยซ์ แต่ความจริงนักเขียนยังสามารถเปลี่ยนสไตล์การเขียนได้ด้วย ผมเคยเจอนักเขียนคนนึงที่ทำได้แบบนั้น เค้าสามารถเขียนงานสองชิ้นให้ดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจนนึกว่าเป็นคนละคนเขียนได้ด้วยการเปลี่ยนมุมมองของผู้เขียนที่มีต่องานเขียน(เสียดายที่ผมไม่ได้เซฟเก็บไว้เพื่อนำมาให้ดู)
อันนี้เป็นตัวอย่างงานเขียนอีกสองชิ้น ผมอยากให้ลองสังเกตงานเขียนสองชิ้นนี้ที่มีพื้นฐานของ 'ความกลัว' เหมือนกัน แต่ใช้ 'มุมมอง' ต่างกัน หากมองข้ามเรื่องของเทคนิคการเขียน จะพอเห็นได้ว่า 'สไตล์ของงานทั้งสองชิ้นต่างกันเหมือนเหรียญคนละด้าน'
.
.
.
คำถาม 1. คิดว่าในงานสองชิ้นนี้มีนักเขียนกี่คน
2. คิดว่างานเขียนทั้งสองชิ้นนี้มีงานเขียนไหนที่ใช้คนเขียนเดียวกับงานสองชิ้นด้านบนหรือไม่?
.
.
.
ขอบคุณสำหรับคำถามด้วยครับ คุณช่วยให้ผมได้มองเห็นในมุมมองใหม่ๆเยอะขึ้นด้วย ขอบคุณครับ
ผมพยายามนั่งหาคำตอบว่าถ้านักเขียนสามารถเปลี่ยนว๊อยซ์หรือสไตล์ได้ ทำไมนักเขียนจึงไม่เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คำตอบที่ผมพอจะคิดได้คือเพราะความชอบส่วนนึง และเพราะว่าเราได้เลือกสไตล์หรือว๊อยซ์ที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเองแล้วส่วนนึง ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาให้วุ่นวายหรือเสียเวลาโดยไม่จำเป็น
ตอนแรกผมพยายามจะแสดงให้คุณเห็นด้วยการเปลี่ยนว๊อยซ์หรือสไตล์ของตัวเองเป็นตัวอย่าง มันพอจะทำได้แต่ใจมันไม่โอเค เหมือนใจมันไม่ยอมรับในผลงานที่รู้แก่ใจว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึกว่าโอเคที่สุด ผมเลยขอให้คนรู้จักช่วยโดยการขอให้เค้าลองเปลี่ยนมุมมองในการเขียนดู ซึ่งก็ได้ผลตามตัวอย่างด้านบน
ผมไม่เคยคิดถึงมุมมองอะไรแบบนี้เลย ขอบคุณมากครับ ผมรู้สึกว่าได้รับประโยชน์เยอะมากจากความคิดที่แตกต่างกัน หวังว่าจะมีอะไรที่ได้มานั่งถกกันอีกในโอกาสต่อไป
ขอบคุณครับ
; _ ;) ไม่อยากจะพิมพ์อะไรยาว ๆ เลยครับ ไม่ค่อยมีเวลา และเรื่องพวกนี้พูดไปก็เหมือน สอนหนังสือสังฆราช คนรู้มากเห็นเข้ามีแต่จะหัวเราะ แต่มีสองจุดที่ผมเห็นต่าง
Style จะเป็นเรื่องของการเขียนครับ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิค การเลือกใช้คำ การใช้ระดับภาษา แม้แต่โทนเสียง ความสั้นยาวของประโยค การเว้นจังหวะหายใจเวลาอ่าน ยังมีจำแนกอีกว่าเป็น style แบบบรรยาย โน้มน้าวใจ เล่าเรื่อง OK ผมสรุปที่คุณจะพูดคือ ถ้าผมอยากเขียนไลท์โนเวล ผมต้องไปหาไลท์โนเวลมาศึกษา Style แล้วผมก็จะพบว่าไลท์โนเวลใช้ประโยคสั้น ๆ ใช้บทพูด จะ Narrative กันไว ผมก็ต้องเขียนโดยใช้ style นั้นสื่อสารกับคนอ่าน แค่นั้นก็พอแล้ว ไปสนใจการเล่าเรื่องดีกว่าเพราะเป็นสิ่งที่สำคัญ ทั้งหมดจะบอกว่าไม่ผิดนะครับ การเล่าเรื่องสำคัญแน่นอนครับ แต่ไม่ตรงกับคำตอบที่ผมต้องการ ; ; Voice จะถูกแบ่งเป็น Author’s Voice (วอยซ์ของผู้เขียน) กับ Character’s Voice (วอยซ์ของตัวละคร) เรามาที่ Character’s Voice กันก่อน Voice ในที่นี้ไม่ใช่เสียงพูดของตัวละคร แต่เป็นการสื่อสารที่ตัวละครนั้นแสดงออกมา ถ้าตัวละครคุณโตมาในครอบครัวที่เข้มงวด ถูกกดด้วยสังคมแบบอำนาจนิยม แต่ดันมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงมัน คุณก็ต้องออกแบบการพูดการใช้คำการแสดงออกให้เข้ากับตัวละคร นั่นคือความหมายของคำว่าวอยซ์ ลองคิดต่อไปว่า ตัวละครตัวเดิมดันมีตำแหน่งเป็นเจ้าชายพ่วงเข้าไปด้วย การพูดการแสดงออกการใช้คำก็ยิ่งซับซ้อน แล้วหากเขาเป็นเด็กข้างถนน วอยซ์ของตัวละครก็จะยิ่งพลิกไปเป็นอีกแบบหนึ่ง
Author’s Voice ก็ทำงานเหมือนกับวอยซ์ของตัวละครแต่ต่างกันทีมันคือวอยซ์ของผู้เขียนที่ถ่ายทอดผ่านนิยาย ยกตัวอย่างเช่น นิยายสืบสวนเรื่่องหนึ่ง ผู้เขียนเป็นนักหนังสือพิมพ์ ทำงานอยู่กองข่าวอาชญากรรม กับอีกคนหนึ่งเขียนนิยายสืบสวนเหมือนกัน แต่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่คลั่งไคล้นิยายรหัสคดี คนหนึ่งงานจะดูสมจริงสมจัง แต่อาจจะไม่ลึกลับมีเสน่ห์เท่ากับอีกคนหนึ่ง เพราะต่างมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน วอยซ์เป็นสิ่งที่หล่อหลอมอยู่ในจิตไร้สำนึกของผู้เขียน มันจึงยากที่จะเปลี่ยนแปลง อย่างคนหนึ่งเป็นศิลปินวาดภาพ อีกคนเป็นช่างภาพ การบรรยายภาพของผู้หญิงก็จะแตกต่างกัน คนแรกอาจจะเริ่มที่เส้นโค้งของโครงหน้า ในขณะที่ช่างภาพอาจจะพูดถึงอิมแพ็คที่เกิดขึ้นตอนเห็นผู้หญิงคนนั้น ซึ่งทั้งหมดที่พูดเพื่อบอกว่า Style เปลี่ยนได้ แค่อ่านนิยายสักเล่มก็อาจจะเปลี่ยน Style การเขียนไปแล้ว (แต่การสร้าง Style เฉพาะตัวผมกลับรู้สึกทำไม่ได้) แต่ Voice นี่เปลี่ยนไม่ได้หรอกครับมันมีแต่จะชัดเจนขึ้น (stable) อีกอย่างหนึ่งคำว่า signature ในงานเขียนนี่เป็นยังไงครับพออธิบายหรือยกตัวอย่างได้ไหมครับ ผมเพิ่งรู้จักคำนี้แล้ว Google หาความหมายไม่พบ
yorinohanakotoba ผมเห็นด้วยกับคุณทุกอย่างครับ ทั้งหมดเกิดจากความเข้าใจผิดของผมเองครับ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาจริงๆครับ
หัวกระทู้มันกว้างไป จำกัดพื้นที่ให้แคบลงหน่อย แค่ขอบชีสก็ได้
อะไรก็ได้เกี่ยวกับการเขียนนิยายผมคุยได้หมดครับ
ขอบชีส5555 ดูหิวๆนะครับ
บ้านนอกไม่เคยกินครับ
ได้สักครั้งคงเป็นบุญปาก
เราห่างจากฟิคไปนานมากๆ พอตอนจะกลับมาปั่นกลับเขียนฉากจูบไม่เป็นแล้วค่ะ ทำไงดี55555
จินตนาการว่าตัวเองกำลังจูบค่ะ เลิศ!
หลับตาแล้วยกหมอนข้างขึ้นมาครับ จากนั้นก็...
ก็จินตนาการเอาครับ 555
มีอะไรบิวต์อารมณ์เปล่าคะ เผื่อบางทีอาจจะใส่อินเนอร์ไม่มากพอหรือเรายังไม่อินกับตอนที่เขียน
มีตัวอย่างมั้ยคะ อยากลองดูเผื่อจะช่วยอะไรได้
อันนี้ปัญหาน่าจะเกิดจากการที่ตอนเขียนคุณอาจเล่นคำ หรือเล่นสำนวนครับ การจำคล้ายๆกับการทานอาหาร...บางทีอะไรที่ง่ายๆก็ย่อยง่ายตามไปด้วย
หรือถ้าไม่ใช่ปัญหานี้ ส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นเพราะการกำหนดจังหวะไม่ดี การกำหนดจุดเริ่ม จุดพักก็สำคัญไม่แพ้กัน คล้ายๆตอนที่เราเล่าเรื่องให้ใครสักคนฟัง เราก็ต้องกะจังหวะในการเล่าให้อีกฝ่ายคิดตามให้ทันด้วยครับ
อ้อลืม อีกประเด็นคือการกำหนดใจความสำคัญครับ บางทีบางย่อหน้า เราก็อาจลืมใส่ในส่วนที่เป็นใจความสำคัญหลักไป
สำนวนหลวม ช่วยขยายความทีครับ
คืออ่านแล้วรู้สึกมีน้ำมากกว่าเหนือหรือคะ หรือแบบไม่ดีเท่าสำนวนเมื่อก่อน
ไม่ต้องตอบแล้วใช่ไหมครับ 555
ถ้าให้ตอบ งั้นช่วยขยายความของคำว่า 'สำนวนหลวม' ทีครับ
ขอข้อมูลนิยายในจักรวาลเดอะ หลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์หน่อยครับ
นอกจากเดอะ ฮอบบิทแล้ว ยังมีอะไรอีกไหม ผมเข้าไปดูในพันทิปแล้วยังงงๆ กับการให้ข้อมูลอยู่เลย
มีนิยายเรื่องอะไรบ้าง มีกี่เล่ม
หากมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็จัดมาเลยครับ เรียบเรียงข้อมูลให้ด้วยก็ดี ใครจะตอบแทนก็ได้ ขอบคุณ
ถ้าเป็นคำถามนอกเหนือจาก 'การเขียนนิยาย' ผมจะตอบไม่ค่อยได้ครับ 555 ขออภัยด้วยจริงๆ
ผ่านมาพอดี ชี้เป้าให้ก็แล้วกันครับ https://www.youtube.com/playlist?list=PLRnpnADVJSUwaKcizJKNJoKbSJtJqrM02
ว้าว ขอบคุณครับ
มีปัญหากับการห่างหายแล้วภาษาดิ่งลงเหวค่ะ และแย่ยิ่งกว่ามีปัญหาเรื่องตัวละครคุยบทสนทนามากกว่า 3 ตัวขึ้นไป จะสับเปลี่ยนบทไม่ถูก 55555555555
ปัญหาห่างหายแล้วภาษาดิ่งลงเหว ส่วนใหญ่จะเกิดจากการยืม Voice มาจากเพลง งานเขียน หรือหลายๆสิ่งที่นักเขียนใช้ยึดเป็นแรงบันดาลใจครับ ซึ่งก็ตรงความหมายของคำว่า 'ยืม' ที่เมื่อต้องคืนเมื่อไรก็หมดครับ555
ส่วนปัญหาเรื่องตัวละครคุยกันหลายๆตัวแล้วสับเปลี่ยนบทพูดไม่ถูก อันนี้ถ้ายังไม่ชำนาญก็ใส่เป็นประโยคคำพูดตอบโต้กันเปลือยๆ แล้วบรรยายตอนหลังก็ได้ครับว่าใครพูดกับใครบ้าง หรือจะใช้การ 'หลบ' โดยบรรยายเอาแทนก็ได้ไม่ต้องใช้บทสนทนา
ขอบคุณมากเลยค่ะ ที่บอกว่ายืมจากเพลงหรืออะไรก็ตามแล้วหมดนี่ใช่เลย
ทำไมเวลาตูตั้งกระทู้ให้ถาม แล้วไม่มีใครมาถามแบบนี้บ้างวะ เรียกแขกก็เรียกแล้ว พวกนี้แม่มไม่รู้จักของดี มีแต่นอกเหนือคำถามมาคุยง้อแง้งๆ กันสองคนเพิ่มยอดเม้นที่ไม่ต้องการในกระทู้ให้
แถมยังโดนเว็บมาสเตอร์มารยาททรามมาตามลบเม้นที่เราอุตส่าห์ช่วยเซ็นเซอร์คำหยาบให้ในกระทู้อีก เซ็งเลย
ผมก็ไม่คิดว่าจะเรียกแขกขนาดนี้ครับ รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่คาดเดาได้เลย
ถูกต้องแล้วไอน้อง ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถคาดเดาได้
การเริ่มต้นนิยายแบบไหนน่าประทับใจ น่าติดตามที่สุดคะ จัดอันดับ top 5 ก็ได้นะ
คำถามนี้ไม่สามารถตอบได้ครับ แต่ถ้าจะตอบคงมีคำตอบเดียว
คือขึ้นอยู่ที่ว่านักเขียนต้องการเล่นกับอารมณ์ ความรู้สึกของคนอ่านแบบไหน นักเขียนจำเป็นต้องตอบคำถามนี้กับตัวเองให้ได้ก่อน แล้วค่อยยึดคำตอบนั้นเป็นหลักในการ 'เริ่มต้นนิยาย'
ย้ำนะครับ '...เล่นกับอารมณ์ ความรู้สึก'
;_____;
สวัสดีค่ะ
บ่อยครั้ง เรารู้สึกว่าคำฟุ่มเฟือยก็มีประโยชน์ในตัว คือทำให้ประโยคสมบูรณ์ขึ้น แต่มากเกินไปก็ทำให้รู้สึกว่าประโยคขาดความกระชับ สละสลวย
ไม่ทราบว่า จขกท มีวิธีหรือคำแนะนำในการกำจัดคำฟุ่มเฟือยแต่ยังทำให้ประโยคคงความสมบูรณ์ไหมคะ?
ขอบคุณค่ะ
การใช้ 'หลักภาษา' เพื่อนำมาเป็นกรอบวัดความขาดเกินของรูปประโยคจะช่วยได้ในระดับนึงครับ เช่น ในหลักภาษาเรื่องการสร้างประโยค หลักของมันอาจช่วยวางกรอบให้เราได้ว่าเราควรจะขยายคำใด ข้อความไหนในประโยคเพื่อให้เกิความสมบูรณ์ของเนื้อหา
แรงบันดาลใจอะไร ที่ทำให้คุณมาเขียนนิยายหรือคะ? เพราะเหตุอะไร แต่งเพื่อความชอบตัวเอง หรือเพื่อคนอื่น หรือตามกระแส?
แต่งนิยายอืม..ก็คงจะเป็นเพราะอยากปลดปล่อยจินตนาการตัวเองละมั่ง คือการสร้างเรื่องราวของตนเองละม้างงแต่ละคนคงอยสกปลดปล่อยความเบียวในหัวใจหรือการมโนปลดปล่อยมั้ง
มั้ง เยอะจังเลยนะคะ55555
หรอลืมๆ
คำตอบของผมคงเป็น ทั้งสามข้อที่คุณบอกมาเลยครับ
ความชอบหนึ่ง
เพื่อต้องการมอบบางอย่างให้คนอ่านหนึ่ง อันนี้ขอตอบยาวนิดนึงว่าผมเคยมีปัญหาชีวิตแบบหนักมากๆ และนิยาย หนัง อนิเมะ มังงะ ช่วยทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา จากเรื่องราวที่สนุก มีข้อคิดบ้าง ไร้สาระบ้าง ผมอยากอยู่ในจุดที่มอบความรู้สึกว่ายังอยากมีชีวิตอยู่นะ ส่งต่อไปให้คนอื่นๆบ้างผ่านงานเขียน
และสุดท้ายตามกระแสอีกหนึ่งครับ เพราะผมเชื่อว่าต่อให้คนเขียนปารถนาดีแค่ไหนแต่ถ้าตัวงานเขียนส่งไปไม่ถึงคนอ่านก็คงจะน่าเสียดาย
หื้มม แบบนี้นี่เอง ส่วนตัวเราเขียนเพราะว่า ไม่มีนิยายที่อยากอ่าน เลยผันตัวเองมาเขียนซะเองเลยเป็นไง ทุกวันนี้ที่เราเขียนและเป็นนักเขียน เพราะว่าความชอบของเราค่ะ เราเขียนแนวไหนก็แล้วแต่ เราจะเขียนตามความชื่นชอบของเราเท่านั้นเอง แนวไหนที่ไม่ได้จริงๆ ก็จะไม่เขียน เรามีแนวยึดหลักเป็นของตัวเอง ไม่ตามกระแสค่ะ ไม่ตามใจผู้อ่าน เพราะถ้าเราตามใจ เราคงจะเหนื่อยแย่เลย และไม่เป็นของตัวเองด้วยค่ะ
โอ้โหรู้สึกว่าตัวเองโง่ไปเลยอ่ะ Voice คืออารายยไม่ได้ศึกษามาแค่เห็นเค้าเขียนไงก็เอามาเขียนสไตล์ตัวเองเฉยๆ
บางคนบอกว่าว๊อยซ์กับสไตล์แตกต่างกัน บางคนก็ว่ามันไม่แตกต่างกันเลย อ้อ ยังมีเรื่องของ signature อีกอย่างครับ ซึ่งระดับความสำคัญของแต่ละอย่าง แต่ละคนก็ให้ความสำคัญแตกต่าง แต่ส่วนใหญ่จะมุ่งไปให้ความสำคัญที่ซิกเนเจอร์เลยเพราะมันเป็นหน่วยใหญ่สุด
คิดฟิคเรื่องต่อไป อย่างแต่งแบบเบาสมอง แต่พอแต่งจริง ดันดร่าม่าจนได้ ใครมีเคล็ดลับบ้างบอกทีค่ะ
อันนี้แนะนำให้ศึกษาศาสตร์ของ 'การเล่าเรื่อง' ครับ จะช่วยคุณได้ มันต้องใช้ทริคเรื่องของ 'มุมมองต่อการเขียนนิยาย' เวลาเขียนผสมเข้าไปด้วย ไม่ใช่สิ่งที่จะสอนกันได้ง่ายๆนะครับ เพราะคนที่ทำได้จริงๆมีแค่หยิบมือจริงๆ คือมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนติดปัญหาแบบเดียวกับคุณทั้งสิ้น จึงมีการแก้ขัด หรือทดแทนในส่วนนั้นด้วยการยิงมุขABCอะไรก็ว่าไป ซึ่งถ้ามีใครผ่านปัญหานี้ได้ผมเชื่อว่าเค้าได้ 'เปิดประตูไปอีกมิติที่เป็นขั้นสูงสุดของการเขียนนิยาย' แล้ว
ขอเสริมอีกนิด ผมเชื่อว่ามันเป็นช่วงคอขวดที่นักเขียนต้องเจอ ซึ่งส่วนใหญ่พอผ่านไปไม่ได้ก็จะหันไปเขียนนิยายที่มีดราม่าหนักๆ สยองขวัญ หรือนิยายแนวที่มีความกดดันสูงๆแทน
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?