Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เงินแสนกับงานเขียนออนไลน์?

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
ขอเกริ่นบอกก่อนเลยนะครับว่าผมค่อนข้างมีประเด็นกับ User หลายคนในบอร์ด ซึ่งนักเขียนที่ดีไม่ควรทำ [ผมค่อนข้างมีปัญหากับเรื่องนี้]    ซึ่งจากประเด็นด้านบนอาจจะทำให้มีเกิดเรื่องดราม่าได้

กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร คำตอบเพื่อให้ความรู้จากคนที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จกับงานเขียนออนไลน์ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมานี้ [อาจจะมีคนหมั่นไส้นะแต่ช่างเถอะ]


ประเด็นแรกที่เกิดดราม่าขึ้นกับผมคือหัวข้อ ถ้าเริ่มเขียนเพราะหวังเงินทองมันจะทำให้งานเขียนเราแย่ไหม? สมควรไหม?   สำหรับผมนะครับ ผมเริ่มเขียนด้วยความคิดที่ง่ายๆเหมือนทุกคนนั่นแหละ แค่อยากจะเขียน  อยากพิสูจน์ตัวเอง  จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียนอาชีพมันเริ่มแค่ตรงนั้น  ผมจะเล่าให้ฟัง

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้เวลาว่างคิดพลอตเรื่อยเปื่อย เช่นถ้าเราเกิดมีพลังแปลงร่างได้อย่างในการ์ตูนแล้วมีพลังพิเศษขึ้นมาเราจะทำยังไงดีนะ?  โอยถ้าเราเกิดมีเงินพันล้านบาทขึ้นมาแล้วเราจะใช้ยังไงนะ? ผมคิดไว้เป็นตุเป็นตะตั้งแต่มัธยม มหาลัย คิดพลอตนิยายได้เป็นร้อยแต่สิ่งที่ไม่เคยทำเลยนั่นคือการลงมือเขียนจริงๆ  แต่แล้ววันหนึ่งผมก็เปิดเข้าไปเจอคำคมอะไรบางอย่างในเว็บเพจของ Dek-D นี่แหละครับ ถ้าเรามัวแต่คิดแล้วไม่เริ่มลงมือเขียนสักทีนิยายของเรามันก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก   และนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมเริ่มเขียนนิยายเมื่อประมาณ 3-4ปีก่อน

ผลงานเรื่องแรกของผมเป็นยังไง? บอกตามตรงแม้แต่ผมกลับไปอ่านเองผมยังต้องยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากเลย สำนวนการเขียนไม่แน่นอน ไร้มาตราฐาน เดี๋ยวใช้ภาษาโบราณ เดี๋ยวไช้ภาษาปัจจุบันปนเปกันไปหมด มันทำให้ผมที่เขียนแล้วไม่กล้าที่จะกดเผยแพร่ออนไลน์ให้กับใครอ่านเพราะอาย กลัวว่าจะถูกด่า  [นี่คือกำแพงความกลัวอีกอย่างที่นักเขียนใหม่ต้องเจอและก้าวข้ามให้ได้ทุกคนนะหลังจากที่เริ่มเขียนแล้ว]

พอเริ่มเขียนไปได้ 10 ตอน ผมเลยตัดสินใจเอาก็เอาวะกดออนไลน์ให้คนอ่าน  ช่องนั้นมียอดวิวขึ้นมา 1 คนผมก็โครตดีใจแล้ว มีคอมเม้นมา 1 คอมเม้นผมนี่รีบกดเข้าไปอ่านแบบทันทีเลยครับ ความรู้สึกตอนนั้นคือมันอยากรู้ความเห็นของนักอ่านมากๆ   พอมีคนชมว่าสนุก มาต่อเร็วๆนะ มันก็ทำให้ผมมีกำลังใจ ช่วงนั้นเหมือนผีเข้า  ผมลงนิยายตอนใหม่ทุกๆ 3ชั่วโมง 1 วันลง 6 ตอนครับ    [สิ่งที่ผมทำไปโดยไม่รู้ตัวนี้ ผมมารู้ทีหลังว่ามันเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่จะทำให้นิยายประสบความสำเร็จได้]  ผมทำแบบนี้อยู่ 4-5 วันติดต่อกันพอวันที่ 6 เรื่องที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น คือนิยายผมติด top 20 หมวดแฟนตาซี   เหตุการณ์หลังจากที่ติดtop20ได้คือนักอ่านไหลมาเทมา ยอดกดติดตามพุ่ง << [ถ้านิยายมาถึงจุดนี้ได้แสดงว่าติดลมบนแล้ว สัญญาณที่ดีมาก]

เมื่อนิยายผมติด top สำเร็จและสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ ทำได้อย่างที่หวังแล้วพอนานวันไปผมที่ต้องเขียนนิยายทุกวัน ใช้เวลาวันละ 3-4ชั่วโมงในการเขียน  มันทำให้ผมรู้สึกถึงความเหนื่อย ท้อ เราต้องเอาเวลาว่างของเรามาเขียนนิยาย? จากการที่เขียนแล้วสนุกมันเริ่มไม่สนุก ความสนุกเปลี่ยนเป็นความเหนื่อย คอมเม้นที่เราอยากได้ ยอดวิวที่เราต้องการ เราได้มาพอแล้ว ได้มาเยอะจนเกินไป top 1 หมวดแฟนตาซีก็ติดแล้ว top 10 หมวดรวมก็เคยขึ้นแล้ว ความสนุกในการเขียนมันหายไปเลยและแทนเข้ามากลายเป็นความเหนื่อยและคำว่าภาระ   [การเขียนนิยายแฟนตาซียิ่งเราเขียนตอนเยอะและเรื่องยาวขึ้นเท่าไหร่ ความยากในการเขียนมันจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ตัวละครมากขึ้น จะเขียนอะไรเราก็ต้องคำนึงถึงตอนก่อนว่าเราเขียนเรากำหนดสเกลต่างๆไว้ว่ายังไง  งานหนักขึ้น  ความรู้สึกแบบนี้มันทำให้จากที่ผมขยันเขียนก็เริ่มห่างหายไป จากลงทุกวันก็กลายเป็นสองวันตอน สามวันตอน อาทิตย์ละตอน  [นี่คือเหตุผลหลักที่นักเขียนทิ้งนิยายครับ]

พอนานไปผมเริ่มได้คำตอบว่างานเขียนมันไปด้วยความรักอย่างเดียวไม่ไหว เพราะมันเหนื่อย เราต้องทุ่มเทเวลาส่วนตัวของเราไปกับมัน คำตอบของเรื่องนี้ที่เข้ามามันคือเงิน ถ้าเราได้เงินตอบแทนจากงานเขียนของเรามันก็จะตอบโจทย์ให้กับสิ่งที่ขาดไปได้  มาถึงตรงนี้ผมเลยเข้าใจว่างานเขียนมันต้องไปคู่กับเงินมันถึงจะอยู่ได้ ขาดอะไรไปไม่ได้ครับ  [หลายคนอาจจะเถียง ไม่จริงหรอกแค่เขียนยามว่างก็ได้ไม่เห็นต้องมีเงินเข้ามาเลย แค่ใจรักอย่างเดียวก็พอแล้ว  << ไปดูได้เลยครับว่าคนที่พูดแบบนี้บางทีเขียนนิยายยังไม่ได้ถึง50ตอนเลย เขียนไม่จบด้วยซ้ำ ใช่มันอาจจะทำได้แบบนั้น เอาเวลาว่างมาเขียนไปเรื่อยเพราะใจรักมันทำได้ แล้วคำถามต่อมาคือ 1 ปีจะจบสักเรื่องไหม? 5 ปีเขียนได้กี่ตอน? แบบนั้นเรียกว่านักเขียนจริงๆได้ไหมล่ะ?]

ตอนที่ผมคิดถึงรายได้มันประจวบเหมาะกับทางเว็บ Dek - D เขาพึ่งเอาระบบขายนิยายเข้ามาได้ไม่นานพอดี ผมเลยเริ่มศึกษาระบบ ตัวผมทำอะไรก็ไม่เป็น ประสบการณ์อะไรก็ไม่มี เส้นสายก็ไม่มี คิดได้อย่างเดียวก็-ขายออนไลน์นี่แหละ ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะโอเคไหม ผมตัดสินใจอยู่นานมากจนสุดท้ายก็ลองไปอ่านนิยายที่เขาเปิดขายแล้วได้ยอดขายหลักพันสองพันเซลล์ว่าคุณภาพนิยายของเขามันระดับไหนกันถึงขายได้   ผมกลัวที่จะขายนิยายของตัวเองมาก กลัวว่านิยายของผมจะไม่มีคุณภาพพอ

ผมศึกษานิยายที่เปิดขายอยู่นานสุดท้ายผมก็ได้รู้ว่าเฮ้ยนิยายที่เปิดขายและขายๆกันอยู่มันก็ไม่ได้ดีมากไปกว่านิยายของเราเลยนี่ บางเรื่องคำผิดยังมีเยอะ อ่านแล้วต้องแปลไทยเป็นไทยอีกนี่หว่า? ทำไมมันถึงขายได้วะ?   ผมนั่งเฝ้าหาคำตอบให้กับคำถามของตัวเองนานมาก ผมไล่เปิดอ่านนิยายขายดี ดูว่าเขาเขียนยังไง ทำยังไง  ผมสรุปที่ผมได้คือคำว่าวินัยซึ่งผมขาดไปนานมากๆแล้ว   เขาลงผลงานทุกวัน ลงถี่ เขาถึงขายได้  พอผมรู้แบบนั้นผมเลยทำอะไรแปลกๆนั่นคือลองเปิดขายนิยายตัวเองทันที   ง่ายเหมือนความคิด ดวยระบบที่สะดวกสบาย กดคลิกไม่กี่ขั้นตอน ส่งข้อมูลเลขบัญชีกับบัตรประชาชนให้ทางเว็บ ไม่ถึง 1 อาทิตย์ นิยายของผมก็เปิดขาย   

ผมจำไม่ได้ว่าผ่านไปนานไหม ไม่น่าจะเกิน 5 วัน นิยายที่ผมเขียนๆหายๆ ทิ้งๆ ขว้างๆ เปิดขายแค่ 5 วัน ได้เงินมาสองพันกว่าบาท  [ด้วยตอนนั้นแค่อยากรู้ว่ามันจะมีใครซื้อนิยายห่วยๆของเราวะ พอรู้แล้วเกิดความรู้สึกผิดเพราะรู้ดีว่านิยายเรายังห่วย] ผมเลยปิดขายไปครับแล้วรีไรท์ใหม่หมด [รีไรท์แล้วก็ยังห่วย กลับไปอ่านตอนนี้ก็ยังห่วยมีแพลนจะรีไรท์เรื่องแรกอีกรอบให้มีคุณภาพเพราะพลอตมันขายได้แต่สำนวนการบรรยายห่วยเท่านั้น]  

ผมใช้เวลาเป็นเดือนทุ่มเทกับมัน รีไรท์ + เขียนตอนใหม่ไปด้วย แล้วลองเปิดขายใหม่ ผลสรุปคือเดือนแรกได้มา 15,000 เดือนสองได้มาอีก 15,000 ตามรูปที่แนบให้ท้ายกระทู้ซึ่งผมก็เขียนๆหายๆ เขียนๆหายๆ  แต่สรุปแล้วสองปีแรก ผมมีรายได้เดือนละ 15,000 บาทโดยเฉลี่ยกับงานเขียนทุกเดือน [ข้อมูลตรงนี้ปกติคงไม่มีใครเขาเอามาบอกกันแต่ผมบอกหมดก็แล้วกันเพราะผมอยากให้คนที่กำลังอ่านอยู่ กำลังตัดสินใจอยู่ได้รู้ไปเลยว่ารายได้นักเขียนจริงๆมันเท่าไหร่ พอคุ้มค่ากับการทุ่มเทพยายามไหม มันเป็นข้อมูลที่มีค่านะ]

ระหว่างสองถึงสามปีนี้ผมเขียนๆเลิกๆ เขียนๆหยุดๆ ห่างๆหายๆ ความสม่ำเสมอไม่มีนะครับ  ยิ่งเขียนไปคนอ่านก็ลดน้อยลงเรื่อยๆแต่ถึงจะเป็นแบบนั้นสิ่งที่ผมได้มาคือประสบการณ์ วิธีการ เทคนิค เรียนรู้จากความผิดพลาด รู้ว่าทำยังไงงานถึงจะขายได้ คุณภาพงานขนาดไหนโอเค ปัจจัยอะไรที่ทำให้คนอ่านเยอะ ต้องทำยังไงถึงจะติด top Dek-d ได้ 

ยิ่งเวลาผ่านไปวงการนิยายไทยก็บูมขึ้นเรื่อยๆ [หมายถึงออนไลน์นะ จะเห็นได้จากปีสองปีมานี้เว็บนิยายเปิดใหม่เยอะมาก]  นั่นหมายความว่าช่องทางการขายนิยายเพิ่มขึ้น กลุ่มผู้อ่านขยายตัว ช่องทางจ่ายเงินออนไลน์เข้าถึงง่ายขึ้น ตลาดนิยายโตขึ้น 3 - 4 เท่า [ออนไลน์นะ]  ผมเลยตัดสินใจมุ่งมั่นจริงจังกับทางนี้และคิดว่านี่แหละงานประจำ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความสนุกที่คิดไว้ออกมา เลี้ยงตัวเองได้ด้วย ผมเลยมาเขียนนิยายแบบค่อนข้าง full time  นิยายเรื่องแรกของผมเขียนไป 300+ ตอนผมพักไว้ก่อนเพราะตอนนั้นเขียนด้วยประสบการณ์ที่น้อยนิด คำผิดคำถูกมั่วไปหมด ผมกำลังรีไรท์เรื่องแรกเพื่อให้มีคุณภาพมากขึ้น ส่วนปีนี้ผมเปิดเรื่องสองแล้วถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จมาก [รายได้ต่อเดือน 40kบาทนะครับดูได้จากรูปที่สองเนาะ นี่คือรายได้จาก dek d ที่เดียว ปกติขายอยู่ 2-3เว็บครับ] 



ตอนนี้สำหรับนักเขียนในยุคที่โลกเปิดกว้างแล้วเงินแสนมันหาไม่ยากเลย อยู่ที่ว่าน้องๆทุกคนที่กำลังฝันอยู่จะพยายามมากพอไหม จะทุ่มเวลาไปกับมันมากพอไหม จะศึกษาเรียนรู้ไหม?   ผมไม่ชอบเลยที่หลายคนในนี้ชอบพูดประมาณว่ามีนิยายดีๆตั้งมากมายทำไมถึงไม่ติด top กันนะ  นิยายติด top ไม่เห็นจะสนุกเลยติด top ได้ยังไง ?   ผมให้คำตอบได้แค่ว่าถ้ายังคิดแบบนั้นอยู่ก็ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จในเส้นทางนักเขียนได้เพราะเอาแต่ตั้งคำถามแต่ไม่ยอมหาคำตอบเลยไม่รู้ยังไงล่ะว่าเขียนยังไงถึงสนุก เขียนยังไงคนถึงชอบ เขียนยังไงคนถึงติดตาม 

การเขียนนิยายออนไลน์ เงินหมื่นหาไม่ยาก เงินแสนไม่ไกลเกินเอื้อม เงินล้านได้แน่ถ้าพยายามมากพอ อยู่ที่ตัวเราเท่านั้น และผมยังยืนยันคำเดิม เงินกับงานเขียนมันต้องไปด้วยกัน ไม่งั้นถ้าไม่มีเงินมาสนับสนุนเราก็คงทำสิ่งที่เรารักแบบไม่ได้ผลตอบแทนไม่ได้หรอก เพราะการเขียนงานมันต้องใช้ความคิด ใช้เวลา ใช้ความพยายามไม่ต่างกับการทำงาน  นี่เล่าจากประสบการณ์ตรงของคนที่เริ่มเขียนจากไม่รู้อะไรเลยจนตอนนี้พูดได้เลยว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง  

ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด ณ ปัจจุบันงานผมก็ยังมีข้อบกพร่องมาก คำผิดยังมี รูปประโยคไม่สวย ณ เวลาที่พิมพ์อยู่นี้ผมก็อ่านนิยายของท่านอื่นๆเพื่อเรียนรู้และพัฒนาไปตลอด ฝีมือของผมก็เก่งและดีขึ้นเรื่อยๆ การเป็นนักเขียน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวินัยในการเขียนครับผมขอยืนยัน  ความพยายามต้องมี อย่าเป็นน้ำที่เต็มแก้ว ต้องอ่านให้มากเรียนรู้ให้เยอะ   

และสุดท้ายผมคงเขียนอะไรที่อยากจะบอกออกมาได้ไม่หมดและไม่ครอบคลุม  ที่ลงรูปรายได้ให้ดูก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมทำได้จริงไม่ใช่แค่ฝันมโน [ไม่ได้จะอวดนะครับแต่คงห้ามความคิดใครไม่ได้ ผมอยากให้ความรู้และแบ่งปันเทคนิคจริงๆ  ใครที่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมอยากปรึกษา อยากได้แนวทาง IB มาได้นะครับ ผมพร้อมจะให้คำปรึกษาในถนนการเป็นนักเขียนออนไลน์]


ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้น หนึ่งคืออยากจะสื่อไปถึงคนที่เขามีประเด็นกับผมว่าผมเล่าจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่การฝันเพ้อมโนขึ้น ทุกอย่างที่เล่าเจอมากับตัวสื่อออกมาได้เป็นตัวอักษรว่าแค่ใจรักมันไม่พอให้เป็นนักเขียนจนสุดทางได้ ผมไม่ได้ทรนงตัวว่าเก่งแต่ผมคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ในเรื่องนี้พอจะถ่ายทอดให้กับคนที่เริ่มหัดเขียนได้  ตอนผมเริ่มเขียนผมหาข้อมูลพวกนี้ไม่ได้เลยว่าจริงๆแล้วนักเขียนรายได้เขาเท่าไหร่กันพอเลี้ยงตัวเองได้ไหม  นี่เลยเอามาเปิดให้ดูเลยว่า เริ่มจาก 0 แบบผม เดือนละ 50k บาททำได้ ถ้ายังเป็นเด็กนักเรียนหรือยังเรียนอยู่ เดือนละ 7-8 พันบาททำได้แน่ถ้าพยายามมากพอและต่อยอดไปถึงหลักแสนได้ด้วยถ้าหัดเรียนรู้พัฒนาตัวเอง



ปล.เห็นมีนักอ่านหลายคนเข้าใจเจตนาผมผิด กระทู้นี้คือการให้ข้อมูลกับนักเขียนใหม่ครับ ผมเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์  ผมไม่ได้ตั้งใจแขวะการตีพิมพ์หรือนักเขียนที่เขียนไม่ถึง 50 ตอน หรือเขียน 5 ปี 10 ปี ไม่จบ   [ผมเข้าใจว่ามันมีคนที่เขียนงานเป็นงานอดิเรก ที่ผมจะสื่อคือ งานเขียนกับเงินมันคือของคู่กันถ้าเราต้องการทำเป็นอาชีพ หรือไม่ก็ต้องเลือกให้มันกลายเป็นงานอดิเรกแบบไม่จริงจัง  ดังนั้นท่านจะมาบอกว่าเงินไม่สำคัญ เงินทำให้งานเขียนแย่ลง มันไม่ได้ครับ แค่นี้ เจตนาไม่ได้ต้องการแขวะ]     

และที่สำคัญที่ผมไม่กล่าวถึงการตีพิมพ์ มันเพราะผมเป็นคนสายเขียนออนไลน์ ไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์กับการตีพิมพ์เลยครับ ในเมื่อผมไม่รู้จริงและไม่เคยมีประสบการณ์ ผมเลยเลือกจะไม่เอ่ยถึง ถ้าทำให้ใครเข้าใจผิด ผมขออภัยด้วยครับ







+ นะครับ]


 
 

แสดงความคิดเห็น

>

17 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของ

SayWindy 14 ส.ค. 62 เวลา 09:08 น. 1-1

ไม่แขวะไม่ได้เหรอคะ

เขาแค่มาให้คำแนะนำ คนเราจะรับฟังเพื่อคิดถึงนิยายตัวเองหรือพัฒนาตัวได้เป็นไม่ได้เลยหรือ

สมองน่ะไม่ได้มีแค่ความคิดด้านร้ายด้วยความหมั่นไส้หรอกนะคะ

เพราะแบบนี้ไงงานบางอย่างถึงได้หยุดอยู่กับที่ เพราะมันเจาะเข้าถึงใจคนไม่ได้เลย

0
FreudMs 14 ส.ค. 62 เวลา 09:20 น. 1-2

ยังไม่ได้อ่านคห.ของผมอีกหรอ?


ผมเข้าใจนะ คุณคิดว่าผมอคติกับเขา แต่ไม่เลย เขาทำตัวเอง

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-01.png


0
FreudMs 14 ส.ค. 62 เวลา 11:06 น. 1-3

ถูกลบโดยdekd ก็ถูกลบโดยdekdไม่ได้หรอ ทำไมต้องถูกลบโดยเจ้าของ?


555 สับสนกันหมด

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

FreudMs 14 ส.ค. 62 เวลา 16:29 น. 1-5

ความคิดช่างแคบจังเลยนะ นักอ่านบางคนอาจจะรู้ดีและเขียนเก่งกว่านักเขียนบางคนอีกก็ได้


นี่น่ะหรอนักเขียนมืออาชีพ? นี่คือเด็กหัดเดิน แต่อาจพาคนอื่นประสบความสำเร็จได้โดยการเอาความล้มเหลวของเขาเป็นตัวอย่าง

0
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 16:35 น. 1-6

อ่าวนี่ผมกำลังล้มเหลวอยู่หรอครับ ? อืม

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 16:40 น. 1-8

ตอนนี้ผมมีความสุขกับงานเขียนของผมมาก นักอ่านของผมก็มีความสุขกับการได้อ่านงานของผม ผมมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกเดือนจากงานเขียนของผม ผมมีความสุข นักอ่านของผมมีความสุขยอมจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนผม เดือนนี้รายได้ผมเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนประมาณ 20เปอร์เซ็นต์ เป้าหมายต่อไปคือ 100k บาทต่อเดือน ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้สูง ถ้าแบบนี้เรียกความล้มเหลวแบบไหนถึงเรียกประสบความสำเร็จ? เป็นลูกผู้ชายก็หัดใจๆยอมรับความจริงๆหน่อย ไม่ใช่มีแต่คำพูดบิดเบือนความจริง ผลงานไม่มี ประสบการณ์ของผมมันช่วยให้คนหลายคนเขาประสบความสำเร็จได้มันคือเรื่องดี มันคือการส่งเสริมวงการนักเขียน แล้วคุณมีปัญหาตรงไหน?

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

yurinohanakotoba 14 ส.ค. 62 เวลา 17:04 น. 1-10

เขาเคยเขียนนะครับ โดนแบนไปพร้อมกับไอดีเก่าไง

อัพใหม่ก็ได้นะคุณ M ให้พวกเขาได้ชื่นชมงานระดับเทพของคุณ 55+

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-06.png

0
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 17:07 น. 1-11

เขามีงานเขียนด้วยหรอครับ ผมนึกว่าไม่มีซะอีก รู้แบบนี้แล้วอยากลองหาอ่านผลงานระดับเทพจัง อยากรู้ว่าจะสุดยอดเหมือนความสามารถในเว็บบอร์ดไหม

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

FreudMs 14 ส.ค. 62 เวลา 18:42 น. 1-13

ตรงที่ dekdไม่ยอมให้ผมพูด


ดาร์ก หนูก็ยังคงปัญญาอ่อนเหมือนเดิม

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-02.png


ใช่ ผมไม่สามารถพูดให้ใครประสบความสำเร็จได้ แล้วถ้าใครทำได้ พวกเขามั่ว


yuri ยังไม่ว่างเลยสาวน้อย


มีอะไรให้พวกคุณได้เรียนรู้ความจริงอันมากมาย เหมือนถูกตบหน้าด้วยเท้าเลยล่ะ หวังว่าพวกคุณจะตื่นขึ้นด้วยผลงานของผม ไว้ผมว่างเมื่อไหร่จะ1dไว้นะ

คราวนี้ลาก่อน ผมมีธุระบ่อยมากเลยช่วงนี้


0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

FreudMs 14 ส.ค. 62 เวลา 18:54 น. 1-15

จะพูดกับหนูเป็นครั้งสุดท้าย แล้วกลับไปอยู่กับแม่ซะนะ ใช่ ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่งานเขียนของผมจะไม่มีวันใช่งานที่ตัวเองบอกว่าชอบ แต่ความจริงแล้วเปล่าเด็ดขาด


ผมถึงได้เขียนๆ แล้วลบ แล้วทิ้ง อยู่อย่างนี้ไง เพราะยังตามหาไม่เจอสักที

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 19:03 น. 1-17

แล้วงานเขียนตัวเองยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ผลงานยังไม่มีแบบนี้ ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนครับว่าตัวเองเก่งจนสามารถสอนคนอื่นได้? ผลงานไม่มีเป็นชิ้นเป็นอันยังกล้ามาเสนอหน้าเถียงกับผม ? กล้าด่าผลงานผมว่าล้มเหลว ? ตัวเองล้มเหลวในทางสายนักเขียนอยู่แท้ๆดันเสนอหน้ามาสอนคนอื่นว่าคนอื่น ถ้าคุณมีฝีมือในการเขียนสักครึ่งหนึ่งของความหน้าด้าน + ความมั่นใจผิดๆในตัวเอง งานเขียนคงไปรอดออกมาเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว นี่ความกล้าที่จะเขียนงานและเผยแพร่ยังไม่มีไม่รู้ไปเอาความกล้าจากไหนวิจารณ์งานคนอื่น

0
FreudMs 14 ส.ค. 62 เวลา 20:25 น. 1-18
0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

FreudMs 15 ส.ค. 62 เวลา 00:33 น. 1-20

เอาไปให้หลายๆ รูปเลย แล้วอย่าลืมแคปข้อความคนอื่นแถวนี้ไปเยอะๆ ด้วยล่ะ ทำเป็นหรือเปล่า? จะขอให้แม่ช่วยทำก็ได้นะจ๊ะหนูดาร์ก เอ้อ แล้วก็อย่าลืมข้อความของหนูเองด้วยนะจ๊ะ เผื่อจะเอาไว้บอกตัวเองในภายภาคหน้าไง


ความจริงมันอาจจะเร็วหรือช้ากว่านั้นก็ได้ แต่รีบขอตังค์แม่มายืนกำไว้เลยนะหนู รับรองมีขายตั้งแต่แพ็คเกตเปิดตอนจนถึงปกแข็งลิมิเต็ดพร้อมลายเซ็นแน่นอน บางทีถ้าขายดีเกินไปอาจจะเลิกจำหน่ายเร็ว เพราะกลัวกินค่าลิขสิทธิ์นานไป จนไม่เขียนเรื่องใหม่อีกเลย

0
TunKoB 15 ส.ค. 62 เวลา 00:45 น. 1-21

ร่วงหรอจ๊ะ รายได้ผมเพิ่มทุกวันสวนทางกับคนดีแต่พูด

0
TunKoB 15 ส.ค. 62 เวลา 00:48 น. 1-22

อ่านแล้วโครตจี้ จะเป็นนักเขียนมืออาชีพใน 1 ปี ทั้งๆที่ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันตอนนี้ยังไม่มีสักชิ้น เฮ้ยนักเขียนอาชีพมันเป็นง่ายขนาดนั้น ? อ่านแล้วขำสุดๆ ให้อีก 3ปี อย่าง FreudMS ก็เป็นไม่ได้ รับรอง

0
yurinohanakotoba 15 ส.ค. 62 เวลา 01:03 น. 1-23

เฮ้ยฝีมือคุณก้าวกระโดดขนาดนั้นแล้วเหรอคุณ F สุดยอดเลย คนที่บอกว่าพล็อตเป็นแค่ของตกแต่งนิยายจะเขียนเรื่องแบบไหนให้ได้อ่านกันนะ ตื่นเต้นดีชะมัด

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-06.png

0
FreudMs 15 ส.ค. 62 เวลา 03:09 น. 1-24

ไงสาวน้อย :) คุณเคยถามผมนิว่าทำไมพล็อตคือการตกแต่ง นั่นคือสิ่งที่ผมค้นพบว่านักเขียนเขียนพล็อตตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อ 2จุดประสงค์คือ

1.รู้ตอนเริ่มต้นและตอนจบ

2.ทำให้รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้างที่จะนำไปถึงตอนจบได้ยังไง


ซึ่งจากมุมมองของนักเขียนที่เป็นผู้สร้างสรรค์ จะหมดความสนใจในนิยายของตัวเองทันทีเพราะรู้เรื่องทั้งหมดก่อนแล้ว และสิ่งทำให้เราสนใจที่ช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจเขียนต่อโดยไม่รู้ตัวคือเนื้อหาที่ถูกเพิ่มขึ้นมาใหม่เสียมากกว่า เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ไม่รู้ คาดเดาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร ย่อมน่าตื่นเต้นกว่าถูกสปอยอยู่แล้วและจะทำให้งานเขียนของเราสนุกยิ่งขึ้นจนส่งต่อไปถึงนักอ่าน มีความสุขกับงานเขียน


คำถามคือ เราจะทำยังไง ในเมื่อใจนึงก็อยากให้นิยายวางบทดีเหมือนที่เคยเขียนเป็นพล็อตเอาไว้ แต่อีกใจก็ไม่อยากเขียนไปพร้อมกับอะไรซึ่งสปอยเราไปจนหมดแล้ว

นั่นคือ การไปจัดแต่งวางบทใหม่เอาทีหลังหลังจากเขียนนิยายจบแล้วหรือก็คือเขียนพล็อตขึ้น แล้วจากนั้นตกแต่งบทนิยายทั้งเล่มใหม่ให้เป็นแบบที่พล็อตวางเอาไว้นั่นเอง แต่เชื่อเถอะว่ามันใช้เวลาพอๆ กลับการขัดเกลา แก้ไขฉากหรือตรวจทานคำผิดนั่นแหละ


งั้นคำถามต่อไปคือ อย่างงี้จะรู้ว่าตอนจบเป็นแบบไหนได้ยังไงและจะเขียนสดนำเส้นเรื่องไปถึงตอนจบโดยไม่ออกทะเลไกลเกินที่จะวกกลับมาได้ยังไง


ผมจะบอกเคล็ดลับพิเศษให้ ตอนจบไม่จำเป็นต้องคิด มันเกิดมาพร้อมกับตอนเริ่มต้นเรียบร้อยแล้ว ทุกจุดเริ่มต้นจะมีประเด็นอยู่ อาจเป็นคำถามหรือความขัดแย้ง ตอบคำถามประเด็นนั้นด้วยความซื่อสัตย์ซะ แล้วจะพบตอนจบเอง


ส่วนวิธีการดำเนินเรื่องยังไงให้ไปถึงจุดจบ นี่ก็เป็นเคล็ดลับพิเศษเหมือนกัน เพราะงั้นจะละไว้ในฐานที่เข้าใจ......555

ผมรู้ว่าคุณ yuri ก็มีประสบการณ์และฝึกมาเยอะด้านการเขียนเหมือนกัน เพราะงั้นแค่เขียนจากต้นไปถึงจบให้น่าสนใจ คุณก็น่าจะทำได้


ผมตอบคุณเท่านี้คงจะเกินคำว่าพอใจไปเยอะ เพราะงั้นไปล่ะ ส่วนคำขอบคุณไม่ต้อง ขอบคุณตัวเองเถอะ

0
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 14:51 น. 2-1

จริงๆมันไม่ได้ยากขนาดนั้นนะครับถ้าเราให้คุณค่ากับมัน เช่นเขียนดองไว้ 1 อาทิตย์แล้วค่อยลงวันละ 6 ตอนติดกัน 3-4 วันก็ได้ งดออกไปเที่ยวสักพักเพื่อเอาเวลามาเขียนงาน

0
SayWindy 14 ส.ค. 62 เวลา 09:13 น. 3

ขอบคุณสำหรับความรู้และการตัดสินใจให้กับหลายๆคนที่อยากจะขายงานค่ะ

ใจรักแต่กินแกลบก็ไม่ไหว ใครที่หมั่นไส้ก็ขอคงต้องมองความจริงบ้างนะว่านักเขียนก็กินข้าว (ฮา)

ไล่ตามความฝันจริงๆอาจจะมีแค่ครอบครัวที่บ้านมีฐานะเหลือเฝืออยู่แล้ว ชีวิตจริงไม่สวยหรู ใช่ว่าทุกคนจะทำได้

คนหมั่นไส้อาจจะมี แต่เราหวังว่าจะไม่มีใครคิดว่าการออกหนังสือเพื่อตีพิมพ์กับสนพเป็นอะไรที่ทำให้ถูกกดราคานักเขียนก็พอ เพราะสำนักพิมพ์ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในฝันของนักเขียนหลายคนอยู่ คุณขายออนไลน์ ใช่ว่าจะมาพูดใส่นักเขียนที่ออกเล่มได้นะ

ถึงจะมีสื่อออนไลน์เข้ามาก็ใช่ว่าจะสามารถทดแทนได้ทั้งหมดอยู่ดี

ดังนั้นอ่านแล้วใช้วิจารณญาณเยอะๆนะคะ สำคัญมากค่ะสำหรับคนอยากเขียน

ขอบคุณ

3
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 18:40 น. 3-1

ขออภัยด้วยครับที่ผมไม่ได้กล่าวถึงเรื่องสำนักพิมพ์ ปกติผมเขียนแนวแฟนตาซี ซึ่งต้องยอมรับว่าสำนักพิมพ์ในไทยตอนนี้ค่อนข้างปิดเกี่ยวกับตลาดแนวนี้ มันไม่ปังเท่านิยายรักแนวจีนย้อนยุค นิยายรัก นิยายวาย มันเลยผ่านสำนักพิมพ์ยากมากถ้าผลงานไม่สุดยอดจริงๆ ผมก็เลยไม่ได้เลือกทางสำนักพิมพ์และไม่มีประสบการณ์ครับ เลยไม่ได้กล่าวถึงในสิ่งที่ผมไม่รู้ จริงๆไม่ได้คิดว่าสำนักพิมพ์ไม่ดีครับแค่ผมไม่เคยมีประสบการณ์ก็เลยไม่รู้จะแนะนำยังไง

0
SayWindy 15 ส.ค. 62 เวลา 07:43 น. 3-2

ก็ไม่ได้อยากให้คุณเขียนเรื่องสำนักพิมพ์ค่ะ จะเขียนทำไมในสิ่งที่ตัวเองก็ยังไม่เคยเข้าไป นั่นถูกต้องแล้ว เราแค่เอ่ยถึงความคิดของหลายๆคนที่หวังจะเขียนงานขายไม่ง้อสำนักพิมพ์ เหยียดคนที่ทำเล่มเพราะตัวเองแค่เขียนทางเน็ตก็ขายได้ ซึ่งถ้าจขกท.ไม่ได้คิดก็ไม่มีอะไรค่ะ เราแค่เศร้าใจที่กลุ่มนักเขียนหลายคนชอบหาว่าสำนักพิมพ์กดราคานักเขียน ก็สำนักพิมพ์มีค่าใช้จ่ายแล้วมีฐานคนอ่านในการวางร้านไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่องค์กรการกุศลสักหน่อย


กลไกทางตลาดของนิยายทางเว็บเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมถึงฮิต เพราะเป็นนิยายที่ราคาไม่กี่บาทเอง มันเหมือนเศษเล็กน้อยเพื่อทดแทนความค้างของนักอ่าน จ่ายง่ายโอนไว เสียใจทีหลังก็คืนเงินไม่ได้ผิดกับเล่มที่ราคาแรงกว่าและรอเวลาจะออกแต่ละเล่ม ไม่พอใจก็ขายมือสอง กลับเข้าตลาดตามเดิม นิยายกระแสหรือติดท๊อปจึงได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้แทบจะทันที


ขอแค่อย่าให้มีพวกปลิงทำลายตัวมันเองจนคนหมดความเชื่อถือแบบเดียวที่ทำให้แฟนตาซ๊ไทยคนเมินก็แล้วกัน ซึ่งมันจะน่าเศร้ามากที่เป็นแบบนั้น นิยายแค่ไม่มีอะไรมากเลย ขอแค่เขียนให้จบ ไม่ลอกใครก็ได้แท้ๆ แต่เปิดขายแล้วลอยแพแล้วหาย มันก็ทำให้วงการเน่าในยิ่งขึ้นไปอีก - -


คนที่อยากขายได้แบบจขกท. มีเยอะแน่นอน แต่ต้องคิดก่อนนะว่าเขียนกระแสใช่ว่าจะได้ไปถึงจุดนั้นทุกคน แล้วต้องมีวินัยสูง จะเขียนเล่นทำเล่นแล้วจะเอาเงินแสน ไม่มีความพยายามจะตีตลาดมันก็เป็นแค่ดีแต่คิดนั่นล่ะ

0
TunKoB 15 ส.ค. 62 เวลา 19:14 น. 3-3

ถูกต้องแล้วครับผม คนที่อยากขายได้ต้องพยายามมากจริงๆ ความพยายามในที่นี้มันมีหลายความหมาย ทั้งต้องศึกษานักอ่าน ศึกษาตลาด ศึกษากลุ่มเป้าหมาย เข้าไปไล่อ่านคอมเม้นของนิยายคนอื่นเป็นพันๆเพื่อหาจุดบกพร่องที่นักอ่านติเข้ามา พยายามปรับปรุงแก้ไขงานเราให้ไม่เป็นแบบนั้น ยอมเสียเงินกดซื้ออ่านนิยายคนอื่นว่าเขาพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ศึกษางานที่ขายได้ดีกว่าเราว่าเพราะอะไร ศึกษางานที่เขาด้อยกว่าเราและล้มเหลวว่าเพราะอะไร มันอธิบายให้ครอบคลุมยากมาก มากจริงๆ คือนักเขียนมือใหม่หลายคนยังติดอยู่ในกับดักความคิดที่ว่าแค่เราเขียนพลอตตลาดที่คนนิยมเหมือนคนอื่นก็คงติด top แล้วล่ะ โถ่ [แต่ไม่ยักกะลองเขียนพิสูจน์สักที] การจะเขียนนิยายให้ขายได้ต่อเดือนหลักสามหมื่นบาทขึ้นไปมันต้องมีวินัยจริงๆครับ ลงสม่ำเสมอไม่ขาด ไม่ทิ้งนักอ่าน ซึ่งมันอาจดูเหมือนง่ายแต่มันไม่ง่ายเลย ต่อให้เป็นสิ่งที่รักอย่างการเขียนนิยายแต่พอได้ลองมาทำดูจริงๆแล้วมันก็เหนื่อยไม่ต่างจากงานอื่นๆครับผม สู้ๆนะครับ ที่ผมเลือกหนทางออนไลน์เพราะผมเขียนแค่แนว Action-Fantasy ซึ่งสำนักพิมพ์ในไทยค่อนข้างจะแคบ การจะส่งสำนักพิมพ์มันลำบากกว่าแนวอื่นๆพอสมควรเลยเลือกทางนี้ ปล.แต่ในใจก็แอบหวังนะครับว่าเมื่อพัฒนาตัวเอง+เขียนงานและรีไรท์จบให้ภาษาน่าอ่านกว่านี้แล้วจะลองส่งสำนักพิมพ์ดูสักครั้ง สุดท้ายจุดสูงสุดของนักเขียนก็คือการได้เห็นหนังสือตัวเองเป็นรูปเล่มนั่นแหละ

0
Echo9 14 ส.ค. 62 เวลา 09:44 น. 4

บางอย่างในกระทู้ที่คุณพูด เราว่าดีเลยนะ แต่จะไม่โอเคที่ไปแขวะบุคคลที่สามเสียมากกว่า อย่างพวกที่ใจรักเขียนไม่ถึง 50 ตอน ไม่จบ อันนั้นภาพกว้างที่คุณมอง? อันที่จริงคนเขียนจบก็มี แต่เป็นส่วนน้อย ทางนี้เข้าใจว่าเห็นได้ยาก อยากให้ลองพูดอื่น ๆ ดูนะคะ แบบไม่แขวะคนอื่น เพราะสายออนไลน์เอง ก็มีประเด็นไม่แพ้กัน แน่นอนว่าเราไม่คิดโจมตีใครขอไม่พูดถึงแล้วกัน


อ่านมาทั้งหมดเนี่ย เรานับถือใจในการศึกษาจนทำให้งานเขียนขายได้เลย เพราะเราก็เคยแล้วคิดTOP 100 แน่นอนว่าเป็นช่วงใกล้นิยายจบ แล้วปล่อยจบ ทั้งที่หลายคนบอกว่า ทำแบบนั้นแบบนี้สิ นิยายจะได้ขึ้น TOP กระแสดี แต่เรายืนยันว่า นิยายมันจบก็ปล่อยจบไปเถอะ นิยายเราไม่ถึง 50 ตอนค่ะ แล้วเราก็ไม่เคยไต่อันดับไปถึงจุดนั้นได้อีก ถามว่ารู้สึกอะไรไหม? ก็ไม่นะคะ ไม่ใช่ว่าใจรักหรืออะไร พล็อตเรามีแค่นี้ ถ้ายืดไปจะเสียหมด ปัจจัยที่เขียนนิยายไม่จบมันมีหลายอย่างค่ะ อย่างเราเขียนจบแต่ช้ามาก แล้วเป็นงานอดิเรกที่ทำได้นานมากกว่า คิดหาเงินจากตรงนี้ไหม? คิดค่ะ แต่อยากรับผิดชอบมากกว่า ส่วนตัวทำงานประจำ ไม่ได้เขียน Full Time


ทัศนคติ เงินแสนกับงานเขียนออนไลน์ของคุณ มันเป็นจริงได้เพราะมีปัจจัยหลายอย่างด้วย บางคนอาจไม่มีความพร้อมขนาดนั้น แต่การแบ่งปันของคุณไม่ผิดนะคะ ส่วนที่ว่าดีเราจะบอกว่าดีค่ะ ส่วนไม่ดีไม่ขอนำมาพูดต่อ อย่างที่บอกไปข้างต้น เราไม่โอเคแค่การแขวะ การแซะ ต่าง ๆ เท่านั้น ทุกวันนี้พวกสายผลิตเองก็ไม่เคยแซะพวกเขียนออนไลน์นะคะ ด้วยเราทำงานเหมือนกัน ไม่มีประโยชน์จะต้องมาทำอะไรแบบนี้เลย แบบคุณก็เขียนงานของคุณไปสิ เราก็เขียนของเรา ไม่มานั่งแซะว่าคนนั้นคำผิด ขายดี ติดท๊อป คนอ่าน ทำไมเราบลา ๆ คือ มันเสียเวลาชีวิตค่ะ เอาเวลาไปพัฒนาตัวเองดีกว่า


แล้วที่เป็นประเด็นเนี่ย มันมาจากตรงนี้ส่วนหนึ่งนะคะ ไม่ใช่แค่เรื่องขายฝันแบบ 300% ด้วยคุณทำได้อย่างที่พูด มีรายได้จริงจัง คือ การที่คุณมาตั้งกระทู้แล้วมีการพูดถึง ว่าเขียนไม่ถึง 50 ตอน ใจรัก1 ปีจะจบสักเรื่องไหม? 5 ปีเขียนได้กี่ตอน? แล้วก็มีประเด็นเนี่ย ลองมองว่า 'เขวี้ยงก้อนหินใส่คนอื่นก่อนแล้วคาดหวังว่าเขาจะโยนดอกไม้กลับมาเหรอคะ' นั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่กลายเป็นประเด็น การเป็นนักเขียน ไม่ว่าจะสายไหนต้องระวังสักนิดก็ดีนะคะ ดราม่ามันเกิดง่ายค่ะ


สุดท้าย ขอบคุณการแบ่งปันนี้นะคะ

6

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

Echo9 14 ส.ค. 62 เวลา 17:00 น. 4-2

อ้าว! ลบอะไรกัน! เป็นกระทู้ที่เจ้าของความคิดลบเยอะมากเลยนะคะนี่ เพิ่งนึกอีกประเด็นได้ เป้าหมายในการเขียนแต่ละคนอาจจะต่างกันค่ะ บางคนแค่เขียนก็พอ บางคนอยากมีรายได้ บางคนขอแบบตีพิมพ์ ได้รางวัลก็พอ ฉะนั้นคุณคือ ความสำเร็จของคนที่อยากหารายได้กับตรงนี้จริงจังค่ะ หลายคนอาจเห็นคุณเป็นแรงบันดาลใจก็ได้นะคะตรงนี้

ปล. เพิ่มเติมไม่อยากแก้คอมเมนต์ค่ะ

0
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 18:42 น. 4-3

ที่เห็นลบๆนั่นผมไม่ได้เป็นคนลบนะ เห็นเยอะเหมือนกันสรุปที่ลบๆกันนี่ใช่ทีมงานเขาลบหรือเจ้าของความเห็นเขาลบครับ ผมก็งงๆ

0
darkius 14 ส.ค. 62 เวลา 19:25 น. 4-4

ผมลบเองน่ะครับ เมื่อเช้าพิมพ์ไว้ พอดีคิดว่ามันไร้สาระ เลยลบออกครับ

0
Echo9 14 ส.ค. 62 เวลา 20:12 น. 4-6

อ๋อค่ะ จริง ๆ แก้ไขข้อความก็ได้ค่ะ มาเปิดอ่านช่วงเย็น แอบตกใจ 55

0
วีริญญานา 14 ส.ค. 62 เวลา 09:57 น. 5

ขอบคุณที่มาแบ่งปันประสบการณ์นะคะ เราได้อ่านจนจบทั้งหมดเลย ตอนนี้กำลังแต่งเรื่องแรกอยู่ค่ะ อ่านแล้วมีไฟ มีกำลังใจเลย กระทู้นี้ของคุณ ตอบคำถามเราได้มากมายหลายประเด็น ขอบคุณมากจริงๆที่เปิดเผยอย่างไม่มีกั๊ก เรามีความฝันว่าในสักวันเราจะได้ทำงานเขียน เป็นงานประจำเช่นกันค่ะ https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-big-13.png

1
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 14:49 น. 5-1

ครับ ตอนผมเริ่มผมหาข้อมูลพวกนี้ไม่ได้ ผมเข้าใจถึงหัวอกและความกังวลใจของคนที่กำลังเริ่มเป็นอย่างดี เพราะผมผ่านมันมาได้ไม่นาน ข้อมูลบางอย่างมันหาไม่ได้จริงๆ

0
G.Tenju 14 ส.ค. 62 เวลา 10:06 น. 6

ขอบคุณมากที่มาแชร์ให้ฟังครับ ใจมาใจกลับไม่โกง (555)


สารภาพตามตรงว่าเมื่อก่อนเคยรู้สึกดูถูกพวกนิยายติดท็อปอยู่เหมือนกัน เช่นว่าทำเพื่อเงินมั่งล่ะ คุณภาพแย่บ้างล่ะ แต่พักหลังมานี้ผมเริ่มรู้สึกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ อย่างนักเขียนหลายๆคนทุ่มเทหนักมากกับการเขียนนิยายให้ออกมาดีแต่กลับแป๊ก แต่คนเขียนเล่นๆเอามันส์กลับได้ดิบได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆกันซะงั้น มันทำให้ผมสงสัยว่าเป็นไปได้ไหม...ว่าตัวเองกำลังมีทัศนคติที่ผิด?


- เวลาเราเห็นตัวร้ายในละครหรือในหนังมักจะเป็นพวกคนรวย

- เวลาได้ยินว่าใครทำอะไรเพื่อเงิน ก็จะมีคนโผล่มาด่าว่าไร้อุดมการณ์

- เวลาเกิดเรื่องอะไรไม่ยุติธรรม ก็จะมีคนบ่นกันว่าพวกคนรวยแม่มรอดหมด

- เราได้ยินแต่เรื่องพวกนี้ตั้งแต่เด็ก...จนเผลอคิดว่า 'เงิน' คือสิ่งเลวร้ายอยู่หรือเปล่า?


อย่างในวันที่สถานะครอบครัวตกต่ำถึงขีดสุดของสตีเวนคิง ถ้าเขาดันไม่ได้เงินค่าต้นฉบับจากเรื่องแคร์รี่มาช่วยเอาไว้ เราก็คงไม่มีวันได้ยินชื่อ 'ราชาแห่งนิยายสยองขวัญ' ในวันนี้


มียูทูปเบอร์คนนึงที่ผมชอบชื่อซานแบรี่ พี่เขาเคยพูดประมาณว่า "ถ้าเราใช้เงินเพื่อหาความสุขใส่ตัว เราจะมีกำลังใจให้อยากทำคลิปต่อไปเรื่อยๆเว้ย" ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ยังกะบอกว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพื่อให้รวยกว่าเดิม แล้วพี่เขาก็ดูมีความสุขตลอดเวลาจริงๆ ในคลิปเป็นไงตัวจริงเป็นงั้น


อะไรหลายๆอย่างรวมทั้งกระทู้นี้มันทำให้ผมกลับมานั่งคิด ว่าเป็นไปได้หรือเปล่าว่า...ผมกำลังพยายามเขียนให้มันดีเพื่อ 'อัตตา' ของตัวเอง? (พยายาม = ฝืนใจ = เหนื่อย) ผมเห็นหลายคนโปรโมทนิยายตัวเองโดยอ้างว่าไม่ใช่แนวนู้น แนวนั้น แนวนี้...ยังกะว่าหลีกเลี่ยงพวกนิยายขายดีที่ติด Top แทนที่จะบอกว่านิยายตัวเองเป็นแนวไหน แต่ถ้านิยาย Top มีคนซื้อ...ก็แปลว่าคนอ่านมีความสุขกับมันไม่ใช่เหรอ? มันเท่ากับว่าเป็นการทำ 'เพื่อคนอื่น' ด้วยไม่ใช่เหรอ?


คนนึงพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ทำทุกอย่างให้ซับซ้อน ตั้งเงื่อนไขสารพัด...คนไม่อ่าน

แต่อีกคนนึงปล่อยใจแบบเด็กๆ ใส่ทุกอย่างที่อยากเขียน แต่เขียนไม่หยุด...คนซื้อเพียบ

สรุปแล้วเรากำลังเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับ 'เงิน' อยู่หรือเปล่า?


นี่คือความคิดที่ตกตะกอนหลังจากผมอ่านกระทู้นี้ครับ ขอบคุณมากๆ

1
SayWindy 15 ส.ค. 62 เวลา 07:52 น. 6-1

ที่จริงคนอ่านนิยายก็แค่อยากได้ความสนุกเท่านั้นแหละค่ะ เราเชื่อว่าคนอ่านทุกคนเขาฉลาดที่จะเลือกเสพในสิ่งที่เจาะใจของเขาได้

คนเขียนหลายคนเหยียดว่าคนอ่านชอบอ่านแนวเด็กเบียว ไร้สมอง บลาๆมากมายที่เราเห็นแล้วก็ว่าแรงมากในกลุ่ม ซึ่งมันน่าเศร้านะ คนอ่านก็คน เขารู้แหละว่าตัวเองกำลังอ่านอะไร แต่เขามีสิทธิ์ที่เลือกในสิ่งที่เข้าถึงจิตใจของเขาและสนุกตอนอ่าน ดังนั้นถึงนิยายติดท๊อปจะดูบ้าบอในสายตาคนเขียนขี้จับผิด แต่มันเจาะใจคนส่วนใหญ่ได้ //กระแสและดวงก็มีผลแหละ ใครเขียนก่อนก็กอบโกยได้ก่อนมันคือเรื่องปกติในทุกๆตลาด

0
yurinohanakotoba 14 ส.ค. 62 เวลา 10:32 น. 7

คือเนื้อหากระทู้จะบอกว่าการเขียนนิยายทำเงินได้มากถ้าเราศึกษาลูกค้าและคนที่ประสบความสำเร็จแล้วทำตาม ถึงไม่เก่งด้านการเขียนก็กำเงินหมื่นได้ทุกเดือน และมีหลักฐาน

แต่เราไม่เข้าใจกับกระทู้นี้มาก คือเหมือนไปเฟลอะไรมาแล้วต้องการเรียกความมั่นใจ เป็นกำลังใจให้แล้วกันครับ จงเป็นอย่างแบทแมนในจักรวาล DC https://image.dek-d.com/27/0733/2441/129114065

1

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

FreudMs 14 ส.ค. 62 เวลา 12:44 น. 8-1

ผมขึ้นแสดงว่าคุณยังบำรุงรักษามันดีอยู่ ไม่ก็ยังไม่ถึงเวลาตามกรรมพันธ์ุ แต่ถ้าอยู่ๆ ผมไม่ขึ้นคุณควรไปหาหมอนะ

0
FreudMs 14 ส.ค. 62 เวลา 12:49 น. 8-2

อ้าว ไม่ต้องเขินๆ ปัญหาความหล่อแค่นี้ ช่วยกันแก้ไขได้

0
K..KURIKO 14 ส.ค. 62 เวลา 11:58 น. 9

เป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากครับ​ ส่วนตัวผมก็พึ่งจะเริ่มเหมือนกัน​ แต่ตอนยังน้อยและคนติดตามก็น้อยอยู่เช่นกัน​ แต่ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรที่ขึ้นไปติดTOP2ของโหมดออนไลน์ได้​ (สิ้นเดือนคงย้ายไปโหมดแฟนตาซีเพราะความเป็นเกมมันน้อยไปหน่อย)​


ตั้งใจไว้ว่าอยากจะสะสมจำนวนตอนให้มากซัก50​ 60​ ตอนก่อนแล้วค่อยรวมแพ็คขาย


ซึ่งความฝันผมก็คือ​ การออกจากงานประจำเพื่อกลับไปดูแลพ่อที่ป่วยจนเดินไม่ไหวที่ต่างจังหวัด​ แต่เพราะงานประจำมันคือรายได้ที่เรามีทางเดียว​ ถ้าทำได้แบบ​ จขกท นะ​ ผมจะไม่รีรอเลยที่จะกลับบ้านไปดูแลท่าน​ ทุกวันนี้ก็ใช้พลังตรงนี้เป็นการขับเคลื่อนแรงใจให้ตัวเองอยู่แล้ว​ แต่พอเห็นลู่ทางชัดๆว่ามันสามารถทำได้นะ​ กำลังใจมาเต็มเลยครับ​ ขอบคุณ​มากๆที่มาแบ่งปันให้กัน​ แต่ด้วยสำนวนและวิธีอธิบายแล้วผมนี่ปูเสื่อรอเลยครับ5555

1
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 14:19 น. 9-1

ทำได้ครับแต่เราต้องพยายาม ขยันและศึกษาตลาด ต้องไปอ่านคอมเม้นนิยายของคนอื่นด้วยนะครับ ดูว่านักอ่านติยังไงแล้วเอามาปรับปรุงด้วยนะ ไม่เกิน 1 ปี เก่ง ถ้าเราทำประจำ ข้อสำคัญที่สุด ความสม่ำเสมอนะครับ

0
crystaljade 14 ส.ค. 62 เวลา 12:03 น. 10

ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่วิธีการอธิบายของจกท.ก็ดึงดราม่าได้ดีเหมือนกัน

ไม่รู้นะว่านอกเรื่องรึเปล่า สำหรับเราถ้าคิดจะเขียนนิยายหาเงิน นอกจาก-เทคนิคที่ว่ามาแล้ว ความขยันอย่างเดียวไม่ช่วยอะ ต้องมีฝีมือด้วย ถ้าเขียนห่วยต่อให้ขยันคนก็ไม่ตามอ่านหรอก

ถ้ามีแค่ขยันก็ต้องขยันให้ตลอด เพราะทันทีที่หยุดขยันคนอ่านคนเม้นท์ก็หายทันทีเพราะนิยายมันไม่ดึงดูด ไม่ทำให้คนอ่านรักหรืออยากติดตามแม้ว่าจะหายไปนาน

เพราะฉะนั้นนอกจากขยันก็ต้องหาทางพัฒนาฝีมือของตัวเองด้วย และถ้ามันดีจริงต่อให้หายไปเป็นเดือนยังไงคนก็ยังติดตามอ่านเรื่องนั้นอยู่ดี

28
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 14:30 น. 10-1

ฝีมือมันมาพร้อมกับความขยันครับ วิธีการเรียนรู้ในการเขียนที่ดีที่สุดคือการลงมือเขียน ถ้าขยัน มันหมายความว่ามเราต้องขยันอ่าน ขยันหาข้อมูล ขยันเปรียบเทียบ เมื่อเราทำอย่างเป็นประจำ ไม่เกินสามเดือน เก่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย ปัจจัยแรกคือขยัน เขียนได้ทุกวันยิ่งดี ถ้าคุณได้อ่านนิยายที่เคย ติด top ขายดีแล้วเมื่อก่อนๆแล้ว คุณจะต้องไม่พูดแบบนี้ ที่ผมพิมพ์อธิบายบอกไปว่าต้องแปลไทยเป็นไทย มันคือเรื่องจริง คืออ่านแล้วต้องแปลไทยอีกที แต่มันขายได้เพราะเขาลงวันละ 3-4ตอน ติดต่อกันเป็นเดือนๆ พอลงเยอะมันก็ติดอันดับ พอติดอันดับมันก็มีคนอื่น พอมีคนอ่านมันก็ขายได้ นี่เรื่องจริงครับ พลอตมันก็พลอตตลาดทั่วไปนั่นแหละ

0
crystaljade 14 ส.ค. 62 เวลา 14:51 น. 10-2

เรื่องขยันนั้นเป็นความจริง และขอตอบว่าเราเป็นคนอ่านนิยายเยอะมาก นั่นคือความชอบ ไม่ต้องให้คุณบอกเพราะยังไงเราก็จะพูดแบบนี้

เราพูดว่าขยันแต่ไม่มีฝีมือ ก็ไม่มีคนอ่านเราพูดผิดตรงไหน คนอ่านแยกแยะเป็นว่างานแบบไหนมีคุณภาพหรือไม่มีคุณภาพ

เราพูดว่าถ้ามีความขยันอย่างเดียวก็ต้องขยันให้ตลอด เพราะดึงคนอ่านได้เรื่อยๆ เราพูดผิดตรงไหน

แล้วถ้ามีฝีมือมากพอต่อให้ขยันน้อยลง คนอ่านชอบงานมีคุณภาพ คนก็ยังตามต่อ อันนี้เราพูดผิดตรงไหน

ยกตัวอย่างนิยายขายในเว็บFL เรื่องดังๆดีๆ ต่อให้เขาไม่มาต่อเป็นเดือนเราก็ยังอ่าน

ที่คุณพูดมาไม่ผิด เรื่องการลงนิยายแบบนั้นแล้วมันขายได้แต่อย่ามาตัดสินคนอื่นด้วยความคิดของตัวเอง

และอีกอย่างเราเป็นนักเขียนเหมือนกันและกล้าเปิดเผยงานของตัวเองอยากรู้ก็ลองเปิดดูได้ แล้วคุณล่ะ? เราอ่านมาเยอะเหมือนกันแล้วคุณ...เอาอะไรมาตัดสินคนอื่นว่าเขาไม่อ่าน?

0
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 15:04 น. 10-3

ผมอาจจะตีความผิดมั้งครับ? ที่ผมอยากจะสื่อก็คือพลอตตลาด + ขยันมันไปได้แค่นั้นเอง ซึ่งพลอตตลาดนี่ก็อย่างนิยายกำลังภายในจีนที่ดังอยู่ในตอนนี้มันก็มีโครงเรื่องสูตรสำเร็จให้เราศึกษาและหยิบมาใช้ได้ [มันสูตรสำเร็จจริง] ดังนั้นเมื่อมีพลอตอยู่แล้ว ใส่แค่ความขยันลงไปงานมันก็ไปได้แล้วไง เพราะเหตุผมนี้ผมเลยมองข้ามเรื่องพลอตไปเหลือแค่ความขยัน


ส่วนเรื่องที่ว่าต่อให้นิยายดีแล้วไม่ลงนานๆนักอ่านก็ตามต่อมันก็จริงครับที่จะมีนักอ่านตามนิยายเราต่อแต่ปฎิเสธไม่ได้หรอกว่ายอดติดตามหายไป 20-50 เปอร์เซ็นต์แน่ ประสบการณ์จากเรื่องแรกของผมที่เขียนเป็นเรื่องยาว 300+ตอน เริ่มจากเขียนทุกวัน ลงทุกวันคนติดตามเยอะมากแต่ดันมีบางช่วงขี้เกียจไป 3-4 เดือน กลับมาอีกทีจากคนอ่านหลักหมื่นต่อตอนเหลือสามพันดังนั้นความขยันและสม่ำเสมอผมเลยคิดว่ามันยังเป็นปัจจัยหลักมากกว่าอย่างอื่นและที่สำคัญ พอคนหายไปแล้วมันเอากลับมาไม่ได้ << เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับคนที่เขียนออนไลน์ขายเป็นรายตอน ยอดคนอ่านลด = รายได้ลด ต่อให้ผลงานดียังไงถ้ามาๆหายๆ ไม่ประสบความสำเร็จในการขายออนไลน์แน่นอนครับ

จริงๆที่คุณพิมพ์มามันก็ไม่มีอะไรผิด ผมอาจจะอ่านแล้วตีความผิดเองแค่นั้นครับ อีกอย่างผมไม่ได้ปิดบังผลงานตัวเองนะครับ ที่ไม่เอ่ยถึงเพราะไม่อยากให้คนคิดว่าโปรโมททางอ้อม นิยายผมตอนนี้ก็ติด top 1 หมวดแฟนตาซีใน dek สลับกับเรื่องของท่านโชเขาอยู่ [คนนี้ idol ผม] ส่วนที่ fiction นิยายผมก็ติดอันดับขายดีนิยายไทยประจำเดือน 1-5 นั่นแหละ ที่ผมเล่าให้ฟังมันมาจากประสบการณ์ในการขายนิยายรายตอนที่ fiction นั่นแหละครับ เพราะยอดนักอ่านสำคัญมากกับผม มันทำให้ผมใช้เวลาเป็นวันๆศึกษานิยายของคนอื่นๆว่าทำไม 100 ตอนแรก คนอ่านหลักหลายพันต่อตอน 200 ตอนหลังเหลือแค่หลักสิบถึงหลักร้อย คำตอบที่ผมได้คือความสม่ำเสมอครับ คนอ่านจะหายไปกระจุดใหญ่ทันทีที่นักเขียนหายไปทีละนานๆ ถ้าทำบ่อยๆ ก็แบบที่เห็นหลายๆเรื่อง จากคนอ่านหลักพันต่อตอนเหลือ 100 ต่อตอนได้เลย

0
crystaljade 14 ส.ค. 62 เวลา 15:14 น. 10-4

นั่นคือส่วนที่เราเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็นั่นแหละถ้าเขียนไม่ได้เรื่องแล้วจะมีคนอ่านเหรอ ต่อให้ลงถี่ๆแต่พออ่านๆไปแล้วมันไม่สนุกคนก็ไม่อ่านหรอก ปัจจัยที่สำคัญคือขยันและแต่งสนุก อ่านได้ไม่ติดขัด

ส่วนที่เราไม่โอเคกับคุณ คือการที่คุณพูดว่า "ถ้าคุณได้อ่านนิยายที่เคย ติด top ขายดีแล้วเมื่อก่อนๆแล้ว คุณจะต้องไม่พูดแบบนี้" นั่นแหละ เราไม่รู้จักกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปตัดสินคนอื่น วันหลังก็อย่าไปพูดแนวๆแบบนี้กับคนอื่นเลย

ขอบคุณ

0
มัมมี่ซ่ากาแฟไทย 14 ส.ค. 62 เวลา 19:19 น. 10-6

ไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกันอยู่ไหม ไม่ขอยุ่งด้วยนะ


ที่เราอยากจะพูดก็คือ เรื่องความขยันและฝีมือ


มันเป็นเรื่องมีในทุกสายอาชีพ

ถึงไม่มีพรสวรรค์ ก็สามารถเอาชนะ พวกที่มีพรสวรรค์ ได้แน่นอนถ้ามีพรแสวง หมั่นฝึกฝนเยอะๆ


แต่ว่าถ้าคนที่มีพรสววรค์ และมีพรแสวงในคนเดียวกัน คนธรรมดาสามัญเช่นเราอย่าได้ไปเทียบชั้นเชียว จะเจ็บตัวเปล่าๆ พวกนี้แต่ล่ะคนมันสัตว์ประหลาดชัดๆ

0
crystaljade 14 ส.ค. 62 เวลา 20:45 น. 10-7

เพราะอย่างนั้นถึงได้มีคนอย่างกิมย้ง โกวเล้ง สมัยใหม่หน่อยก็เอ่อเกินไง(อ่านนิยายจีนส่วนใหญ่เลยยกมาแค่นี้)​ เขียนนิยายเป็นพันๆตอนแต่ยังสนุก ปุถุชน​ธรรมดาอย่างเราก็คงเอาอย่างได้แค่ความขยัน แต่ส่วนตัว...ตอนนี้ยังทำไม่ได้ เหอๆ

0
14 ส.ค. 62 เวลา 21:45 น. 10-8

จากคอมเมนต์ #10-3


พล็อตตลาด + ขยัน ?

แล้วขยัน แต่พล็อตดันไม่ตลาดล่ะครับ กรณีนี้ใช้ได้หรือเปล่า


ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการหาเรื่องมั้ย แต่

เพราะคุณเขียนพล็อตตลาดแล้วดันโชคดีประสบความสำเร็จไงครับ มันเลยดูง่าย

แต่ถ้าเขียนพล็อตไม่ตลาดแต่ประสบความสำเร็จได้ในระดับเดียวกัน การตั้งกระทู้แบบนี้ขึ้นมามันจะเป็นอะไรที่ดูน่าเชื่อได้มากกว่าที่เป็นอยู่อีก


ให้ผมเป็นคนพิสูจน์เองคงไม่ไหว แต่ถ้าเป็นคุณเองคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ได้ ไม่ว่ากัน

ให้ถือว่ากระทู้นี้คือผลลัพธ์ของนิยายพล็อตตลาด + ขยัน

และกระทู้ต่อไปในภายภาคหน้าขอให้เป็นนิยายพล็อตไม่ตลาด + ขยัน นะครับ

ถ้านิยายเรื่องนั้นมันประสบความสำเร็จได้พอๆ กับนิยายเรื่องนี้

ก็หมายความว่า 'ความขยันมันใช้ได้จริง'

และอาจจะเป็นการพิสูจน์ต่อนักเขียนหลายคนด้วยว่า 'พล็อตไม่ตลาดก็ขายได้นะเว้ย'

0
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 23:15 น. 10-9

ผมเขียนในสิ่งที่ผมชอบ พอดีสิ่งที่ผมชอบคนอื่นเขาก็ชอบ ก็ในเมื่อมันรู้ว่าสินค้าสีนี้ขายดีแล้วจะไปเขียนสิ่งที่มันขายไม่ดีทำไม ? ผมก็ไม่เข้าใจ? ผมเขียนนิยายเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ผมก็ต้องทำในสิ่งที่ขายได้ ผมจะไปเปลี่ยนตัวเองทำไมครับ ? งง ผมไม่ต้องการพิสูจน์อะไรแล้ว เพราะผมทำสำเร็จแล้ว มันไม่จำเป็น งั้นผมถามล่ะ คุณเองเขียนพลอตตลาดให้สำเร็จได้สักเรื่องยังล่ะ ?

0
15 ส.ค. 62 เวลา 08:47 น. 10-10

พล็อตตลาด คนส่วนใหญ่ชอบอ่านกัน ขายร้อยบาท อ่านร้อยคน ได้หมื่นหนึ่ง


พล็อตไม่ตลาด คนส่วนน้อยที่จะชอบ ขายร้อยบาท อ่านยังไงก็มีไม่ถึงร้อยคน ซื้อให้ตายยังไงก็คงไม่ถึงหมื่นหนึ่ง ความขยันช่วยให้ไปแตะหลักหมื่นได้หรือเปล่า?


พล็อตตลาด ส่วนใหญ่ เอื้อต่อการสร้างหลายภาค คูณจำนวนขายเข้าไปได้อีก จากหลักหมื่นคิดว่าจะเป็นหลักอะไร


พล็อตไม่ตลาด ส่วนใหญ่ ไม่เอื้อต่อการสร้างหลายภาค เขียนได้แค่ไหน ก็ขายได้แค่นั้นเลยหรือเปล่า ก็ในเมื่อมันจบแค่นั้น ไม่มีการอัปเดตอีก น้อยคนนักที่จะเห็นและสนใจ ความขยันช่วยให้ไปแตะหลักหมื่นได้หรือเปล่า?


...


เรื่องที่ขอให้คุณเขียนนิยายพล็อตไม่ตลาดขึ้นมาน่ะ ผมหวังเอาไว้อยู่ครึ่งหนึ่งนะว่าคุณจะเขียน แต่ก็เข้าใจอยู่ล่ะมันไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เขียนขึ้นมาจริงๆ แต่คุณไม่อยากจะรู้หน่อยเหรอว่า ถ้าความขยันมันใช้กับพล็อตตลาดที่มีคนอ่านเยอะ อัปเดตได้เรื่อยๆ และขายได้หลายครั้ง แล้วจะสามารถนำความขยันไปใช้กับพล็อตไม่ตลาดที่มีคนอ่านน้อย ที่สิ้นสุดการอัปเดต และขายได้ครั้งเดียวได้หรือเปล่านะ


และการที่ผมขอให้คุณเป็นคนพิสูจน์เองนั้น มันก็พอจะมีเหตุผลอยู่

-คุณบอกเองว่าพล็อตตลาด + ขยันมันทำให้งานขายได้

-คุณเคยประสบความสำเร็จมาแล้วและตอนนี้ก็ยังประสบอยู่

-คุณมีฝีมือและทักษะการเขียนที่มากในระดับที่ส่วนใหญ่ยอมรับ

-ผมไม่รู้ว่าคุณทำงานอะไรอยู่อีกไหม แต่เข้าใจว่าคุณมีเวลามากพอในระดับหนึ่ง

-คุณมีฐานแฟนคลับจากเรื่องเก่าๆ อยู่แล้ว นามปากกาของคุณมันเรียกลูกค้าได้


ถ้าคุณยังยืนยันว่าไม่ทำก็ไม่เป็นไรครับ แต่ไม่อยากลองหน่อยเหรอ หวังนะเนี่ยๆ

ขนาดระดับคุณยังไม่กล้า แล้วระดับผมหรือคนอื่นมันจะเหลืออะไร

มันตอกย้ำได้ในระดับหนึ่งเลยว่า 'เลิกหวังซะกับพล็อตไม่ตลาด'


...


หนึ่งในพล็อตตลาดที่ว่า คือการที่ตัวเอกสักตัวตายห่าแล้วไปเกิดใหม่ที่ต่างโลกใช่ไหมครับ อันนี้ก็เคยวางแผนที่จะเขียนอยู่ แต่คงจะเป็นเรื่องที่ 3 หรือ 4 นู่นเลย ตอนนี้ผมเขียนนิยายวายร้าย กับนิยายบาปมหันต์อยู่ ก็อย่างที่คุณว่ามานั่นแหละ 'ผมเขียนในสิ่งที่ผมชอบ' แต่พล็อตตลาดนั่นน่ะ ผมเขียนแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ก็เท่านั้นเอง และจะสำเร็จไหม อันนี้ก็ยังบอกไม่ได้


อ้อ ดูเหมือนว่านิยายวายร้ายของผมนี่คงจะเป็นพล็อตไม่ตลาดสินะ งั้นก็ดีเลย


...


แล้วก็ผมได้ข้อสรุปมาแล้ว กระทู้นี้คือกระทู้สำหรับคนที่เขียนนิยายพล็อตตลาดเท่านั้น ถ้าคุณเพิ่มความขยันเข้าไป รับรองว่าคุณประสบความสำเร็จไม่มากก็น้อยแน่นอน


ส่วนคนที่เขียนนิยายพล็อตไม่ตลาด นอกจากจะต้องเพิ่มความขยันเข้าไปแล้ว ก็ขอให้ภาวนาให้มีคนอ่านเยอะๆ พอๆ กับนิยายพล็อตตลาดไม่ว่ามันจะเป็นได้ยากแค่ไหนก็ตาม พยายามวางโครงเรื่องให้ยาวๆ ให้ได้หลายตอนหลายภาค คู่พระนางรักกันแล้วก็ต้องยัดนางร้ายตัวใหม่เข้ามา ภาคลูกก็ต้องเขียน ไม่งั้นมันไม่ยาว อะไรที่สมควรจบก็อย่าจบเป็นอันขาด เพราะการอัปเดตตอนต่อไปเรื่อยๆ มันส่งผลค่อนข้างมากในการให้นักอ่านเข้ามาเจอนิยาย และสามารถเปิดแพ็กเกจได้มากยิ่งขึ้น

0
TunKoB 15 ส.ค. 62 เวลา 09:08 น. 10-11

จริงๆ-การมาเขียนนิยายพลอตตลาดไม่ตลาดนี่มันเป็นอะไรที่ไร้สาระมากครับ ก็ไม่รู้จะยกขึ้นมาเถียงกันทำไม นิยายที่เขียนแล้วไม่มีคนอ่าน มันก็คือไม่มีคนอ่าน ต่อให้เขียนพลอตตลาดมันก็ไม่ใช่ว่าเขียนแล้วจะประสบความสำเร็จ คำว่าขยัน มันไม่ใช่แค่สักแต่จะเขียน มันต้องศึกษาทุกอย่าง มันไม่ได้ง่ายแบบที่หลายคนคิดหลอกนะว่าแค่เขียนพลอตตลาดแล้วจะขายได้แล้วดัง แล้วการที่คุณปล่อยอึ่งมาบอกให้ผมลองเขียนพลอตไม่ตลาดดูสักครั้งมันดูเพ้อเจ้อ มันไม่เหมือนคนปกติเขาคุยกัน ถ้าได้ลองเขียนนิยายแบบจริงจังดูสักครั้งแล้วอาจจะไม่พูดแบบนี้ นิยายแต่ละเรื่อง การที่เราจะเขียนออกมาให้มันมีคุณภาพ มันต้องทุ่มทั้งเวลาและมันสมองไปมาก มันไม่ใช่อะไรที่จะทำเล่นๆแบบเพื่อมาพิสูจน์เหมือนเล่นขายของ แค่นิยายเรื่องสองที่ผมเขียนอยู่ตอนนี้ ผมก็โดนนักอ่านบ่นแล้วว่าเขียนลงวันละตอนมันน้อยเกินไปแล้วจะให้ผมเอาเวลาที่ไหนไปเขียนนิยายเรื่องใหม่? เดี๋ยวพอโตขึ้นและต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองแล้วจะเข้าใจครับสิ่งที่ผมจะบอกเองครับ ตอนนี้คงยังเรียกอยู่ใช่ไหม วัยเรียนนั่นสบายสุดแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง ไม่ต้องกังวลเรื่องทำงาน เรียนอย่างเดียวไง มันเลยมีเวลาว่างแต่ผมโตแล้ว เวลาว่างของผม ผมต้องทำงานไง แค่เรื่องโลกาวินาศที่เขียนอยู่นี้ก็หนักสุดๆแล้วครับผมคงไม่มีเวลาไปลองพลอตไม่ตลาดหรอก และต่อให้ผมลองผมก็ไม่รู้ว่าพลอตไม่ตลาดนี่มันคืออะไร หมายถึงอะไร ? แล้วเรื่องโลกาวินาศของผมที่กำลังเขียนอยู่นี้เป็นแนว sci-fi แฟนตาซีโลกปัจจุบัน ถือเป็นพลอตตลาดด้วยไหม?

ดังนั้นอย่าจำกัดตัวเองแค่คำว่าพลอตตลาด ถ้าคิดว่าตัวเองมีฝีมือ ถ้าเขียนพลอตตลาดก็ขายได้เหมือนกันก็ลองดูเลยจะได้รู้สักดีว่ามันไม่ใช่

โพสคุณปล่อยอึ่งนี่ผมอ่านแล้วมันก็ดูเหมือนหาเรื่องผมจริงนะครับ? แล้ว-คำว่าพลอตตลาดที่คุณปล่อยอึ่งพูดถึงมันครอบคลุมไปขนาดไหนครับ? แฟนตาซีนี่คือพลอตตลาดหมดเลยไหม? เกมออนไลน์นี่ก็พลอตตลาด? นิยายวายนี่ก็พลอตตลาด? นิยายรักก็พลอตตลาด? สุดท้ายพาลไปว่านิยายที่คนอ่านเยอะพลอตตลาดหมด? กำลังภายในก็พลอตตลาด ? มันกว้างเนอะ-การด่ากราดพลอตตลาดเนี่ย

กระทู้ของผมมันคือประสบการณ์และวิธีการที่จะทำให้ติด top ส่วนพลอตตลาดหรือไม่มันก็ใช้ได้หมดการจะเขียนอะไรมันก็ต้องรู้กลุ่มผู้อ่าน อยากเขียนแนวสืบสวนสอบสวนท่านก็ต้องศึกษาตลาด ศึกษากลุ่มนักอ่าน อยากเขียนแนว sci fi ท่านก็ต้องศึกษา ถ้าท่านเอาแต่จำกัดตัวเองและแบ่งแยกดูถูกนิยายคนอื่นว่าพลอตตลาดสุดท้ายหนทางนักเขียนท่านมันก็ไม่ไปไหนหรอก

เป้าหมายในการเขียนคืออะไร? อยากให้คนอ่านเยอะแต่ไม่เขียนแนวที่กลุ่มนักอ่านเยอะ? ท่านต้องการอะไรจากสังคม?
อยากประสบความสำเร็จ นิยายขายได้ มีเงินมีทอง แต่ไม่ยอมเขียนสิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบ?

คือผมอธิบายลำบาก ถ้าแนวคิดมันเบี้ยวแต่แรก หนทางนักเขียนมันก็เบี้ยวอะครับ เลิกเหยียดนิยายพลอตตลาดแต่แรกแล้วลองไปเขียนดูสักเรื่อง เอา-แบบที่ตายแล้วไปต่างโลกนั่นแหละ ทำให้ติด top 1-5 ในหมวดลองดู


0
15 ส.ค. 62 เวลา 10:40 น. 10-12

จริงๆ-การมาเขียนนิยายพลอตตลาดไม่ตลาดนี่มันเป็นอะไรที่ไร้สาระมากครับ ก็ไม่รู้จะยกขึ้นมาเถียงกันทำไม

พล็อตตลาด ไม่ตลาด คุณเป็นคนเริ่มก่อนนะ ในความเห็นที่ 10-3 นั่นน่ะ ทั้งๆ ที่ในตัวกระทู้คุณก็ไม่ได้จำเพาะเจาะจงเอาไว้ จากที่เข้าใจว่าใช้ได้กับนิยายทุกพล็อต กลับกลายเป็นว่าแค่พล็อตตลาดอย่างเดียวเท่านั้น


แล้ว-คำว่าพลอตตลาดที่คุณปล่อยอึ่งพูดถึงมันครอบคลุมไปขนาดไหนครับ?

ผมไม่รู้เหมือนกันครับว่ามันครอบคลุมไปถึงไหน ผมเข้าใจแค่ว่าเป็นแนวที่คนส่วนใหญ่เขาชอบอ่านกัน และเชื่อเถอะว่าคนที่หยิบยกเอาเรื่องพล็อตตลาดมาพูดไม่ใช่แค่ผมคนเดียว และผมไม่ได้เป็นคนแรกที่พูดเรื่องนี้แน่นอน และก็ ผมพูดถึงส่วนใหญ่ที่มองเป็นภาพรวมนะ หยิบยกขึ้นมาพูดเพื่อให้มันง่ายต่อการสนทนาเท่านั้น


ถ้าท่านเอาแต่จำกัดตัวเองและแบ่งแยกดูถูกนิยายคนอื่นว่าพลอตตลาดสุดท้ายหนทางนักเขียนท่านมันก็ไม่ไปไหนหรอก

หืม ผมไปดูถูกอะไรเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนล่ะเนี่ย


แล้วเรื่องโลกาวินาศของผมที่กำลังเขียนอยู่นี้เป็นแนว sci-fi แฟนตาซีโลกปัจจุบัน ถือเป็นพลอตตลาดด้วยไหม?

นี่ไง เรื่องที่จะนำมาใช้ในการพิสูจน์น่ะ


เป้าหมายในการเขียนคืออะไร? อยากให้คนอ่านเยอะแต่ไม่เขียนแนวที่กลุ่มนักอ่านเยอะ? ท่านต้องการอะไรจากสังคม?

-เป้าหมายของผมคือ อยากให้ผมและคนอื่นได้ดูหนังที่ผมต้องการดูครับ แต่มันไม่มี เลยต้องมาเขียนนิยายแก้ขัดแทน

-ใช่ครับ ผมอยากให้คนเข้ามาอ่านเยอะๆ แต่ต้องเยอะในหมู่ของคนที่ชอบแนวเดียวกันกับผมนะ แต่เอ๊ะ ผมบอกตอนไหนว่าผมต้องการคนอ่านเยอะๆ กันนะ

-เอิ่ม พิมพ์ชนกอะ อ่า เก้าอี้นาย ก. ด้วย


อยากประสบความสำเร็จ นิยายขายได้ มีเงินมีทอง แต่ไม่ยอมเขียนสิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบ?

อ้าว แล้วประโยคนี้ของผมล่ะ หมายความว่าไง ...หนึ่งในพล็อตตลาดที่ว่า คือการที่ตัวเอกสักตัวตายห่าแล้วไปเกิดใหม่ที่ต่างโลกใช่ไหมครับ อันนี้ก็เคยวางแผนที่จะเขียนอยู่ แต่คงจะเป็นเรื่องที่ 3 หรือ 4 นู่นเลย ตอนนี้ผมเขียนนิยายวายร้าย กับนิยายบาปมหันต์อยู่ ก็อย่างที่คุณว่ามานั่นแหละ 'ผมเขียนในสิ่งที่ผมชอบ' แต่พล็อตตลาดนั่นน่ะ ผมเขียนแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ก็เท่านั้นเอง และจะสำเร็จไหม อันนี้ก็ยังบอกไม่ได้...


เดี๋ยวพอโตขึ้นและต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองแล้วจะเข้าใจครับสิ่งที่ผมจะบอกเองครับ ตอนนี้คงยังเรียกอยู่ใช่ไหม วัยเรียนนั่นสบายสุดแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง ไม่ต้องกังวลเรื่องทำงาน เรียนอย่างเดียวไง มันเลยมีเวลาว่าง

เรื่องที่คุณบอก ผมเข้าใจดีครับ ขอบคุณ

แต่ ทำไมต้องลากไปเรื่องรับผิดชอบชีวิตด้วยอะ

ฮึ๊ย แต่ผมเรียน ม.4 มา 2 ครั้งแล้วนะ นี่ยังจะให้ผมกลับไปเรียนใหม่อีกเหรอ แค่จะจบ ม.6 ได้นี่ก็ต้องตามแก้เกรดไปหลายตัวเหมือนกันนะ ใจร้ายอะ

0
TunKoB 15 ส.ค. 62 เวลา 15:41 น. 10-13

อายุมันมีส่วนกับความคิด ตอนนี้อายุยังน้อย ชีวิตตัวเองยังไม่ต้องรับผิดชอบเต็มที่ เวลา มันเลยไม่ค่อยจะมีค่าไงครับ พอโตขึ้นต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองเมื่อไหร่ มุมมองมันจะเปลี่ยนไปเองหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะได้เข้าใจว่าคนเรามันอยู่โดยไม่ทำงานหาเงินและให้พ่อแม่เลี้ยงตลอดไม่ได้เท่านั้นเอง อายุต่างกันมุมมองก็ต่างกัน

0
15 ส.ค. 62 เวลา 16:44 น. 10-14

...ขำ...

ชีวิตของคนคนหนึ่งถูกลากเข้าไปอยู่กับเรื่องนิยายขายได้ได้ไงล่ะนั่น

0
TunKoB 15 ส.ค. 62 เวลา 18:12 น. 10-15

เวลามันมีค่า ช่วงชีวิตมัธยมตอนนี้ทำอะไรบ้างครับ เรียน? ภาระในชีวิตพ่อแม่รับไปดูแลหมด บ้านก็มีอยู่ ค่าเช่าไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องสงเสียเลี้ยงดูใคร เลยไม่คิดว่าเวลามันคือต้นทุน เมื่อไม่คิดว่าเวลามันคือต้นทุน ก็จะเอาเวลาไปทำในสิ่งที่ไม่ได้รับผลตอบแทนกลับมาโดยไม่เสียดาย เพราะแบบนี้คุณปล่อยอึ่งเลยแนะนำผมว่าให้ผมลองไปเขียนนิยายพลอตไม่ตลาดดูสักครั้งแบบขัดกับหลักความเป็นจริง เพราะคุณปล่อยอึ่งมีเวลาว่าง เลยคิดว่าผมคงจะว่าง?

ส่วนเวลาของผมมันคือต้นทุน ผมวัยทำงานแล้ว แบมือขอเงินพ่อแม่ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน อายุของคนเรามันมากขึ้นพร้อมกับความรับผิดชอบที่เพิ่มสูงขึ้น ผมมีค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ต้องดูแล มันเป็นรายจ่ายรายเดือน เวลาของผม ผมต้องเอาไปคิดหาวิธีที่จะสร้างรายได้จากงานของผม เข้าใจไหมครับ? คนโตแล้วต้องทำงาน งานของผมคือการเขียนนิยายขายซึ่งผมต้องใช้เวลาต่อวันเยอะมากในการศึกษาตลาด วางแผนการเขียน + วางเนื้อหา ผมเขียนนิยายไม่เหมือนกับคุณปล่อยอึ่งที่ทำเป็นกิจยามว่างนะครับ ผมทำเป็นอาชีพ! ความจริงจังในการเขียนงานของผมมันเยอะ ผมวางเป้าหมาย ผมมีเป้าหมาย ผมลงมือทำ

ภาระของผมในตอนนี้คือการต้องเขียนนิยายออกมาให้ได้วันละ 5 หน้า A4 เป็นอย่างน้อยเพื่อลงให้นักอ่าน 3000+ คนที่เขารออยู่ทุกวันอ่านให้ได้ ขาดลาแทบไม่ได้เพราะนักอ่านเขารอ เขารอผลงานของเรา มันคือความรับผิดชอบที่ผมต้องทำทุกวัน เข้าใจคำว่าต้องทำไหม? ไม่ใช่ทำเฉพาะตอนมีอารมณ์นะ นี่คือความต่างของคำว่ามือสมัครเล่นกับมืออาชีพ ถ้าเข้าใจแล้วลองนึกย้อนกลับไปนะ ลองเปลี่ยนดูว่าถ้าคุณปล่อยอึ่งมาอยู่ในจุดมุมมองของผม เอาประสบการณ์ที่ตัวเองผ่านมา มาแนะนำกับคนอื่น สุดท้ายแล้วมีคนมาพิมพ์ประมาณว่า "ก็เพราะนิยายของนายมันพลอตตลาดไง คำแนะนำของนายมันสำหรับนิยายพลอตตลาด+ขยันเท่านั้น ถ้าลองเขียนพลอตไม่ตลาดแล้วดังได้จะดูน่าเชื่อถือขึ้น? ลองไปเขียนพลอตตลาดดูสิ" เนี่ยอ่านแล้วจะรู้สึกยังไง?

ผมเขียนนิยายมาสองเรื่อง ก็ประสบความสำเร็จหมดสองเรื่องนะ เรื่องสองก็เป็นพลอตแฟนตาซีฉีกแนวตลาดนิดๆ ก็ติด top ไง ผมเลยไม่เข้าใจว่าคุณปล่อยอึ่งมาโพสแบบนี้ต้องการอะไรจากผม? จะบอกว่าผมไม่น่าเชื่อถือ? จะบอกว่าผมมีรายได้ขึ้นมาเดือนละ 50kบาทได้นี่เพราะโชค ? สุดท้ายผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะว่าจะมาพยายามอธิบายให้คุณปล่อยอึ่งเข้าใจทำไม เพราะสุดท้ายคงไม่เข้าใจ

ที่ถามว่าชีวิตของคนๆหนึ่งถูกลากเข้าไปเกี่ยวกับนิยายขายได้ไง ฟังนะสั้นๆ
เด็ก = ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง มีพ่อแม่คอยสนับสนุน วันๆความคิดก็จะมีแต่ กิน เที่ยว เล่น วันนี้ฉันจะไปเล่นที่ไหนดีเนาะ อุยวันนี้ฉันจะไปทำอะไรให้มันรู้สึกสนุกตื่นเต้นดีเนาะ วันนี้ขอเงินพ่อแม่ไปเที่ยวเดินห้างหาของอร่อยๆกินดีกว่า วันนี้ไปเที่ยวกับเพื่อนดีกว่า เพราะเวลามันมีเยอะเลยไม่เห็นค่าของเวลาไงจ๊ะ

ผู้ใหญ่ = โตแล้ว ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง คนที่เขาโตแล้วก็ต้องหัดฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ มีภาระ มีค่าใช้จ่าย สมองก็ต้องคิด วันนี้ฉันจะหาเงินยังไงนะ ฉันจะทำยังไงให้มีเงินไปผ่อนรถดีๆ อุ่ยอยากได้บ้านที่ดีกว่านี้คงต้องทำงานให้หนักขึ้นแล้ว อุ่ย อยากเล่นเกมจังเลยแต่ค่างวดรถยังหาไม่ได้เลยคงต้องพักไว้ก่อน ทำงานก่อนดีกว่า ? เห็นไหมครับว่าวัยต่างกันความคิดมันก็เปลี่ยน

สำหรับผมคุณปล่อยอึ่งยังอายุน้อย มีทางบ้านสนับสนุน เลยไม่เข้าใจความลำบากของคนที่เขาอายุเยอะต้องทำงานหาเลี้ยงทางบ้านและตัวเอง เพราะถ้าเข้าใจคงไม่มาพิมพ์์แนะนำให้ผมไปเขียนงานนิยายพลอตที่ไม่มีคนอ่าน

ถามจริง? คิดได้ไง ผมก็พิมพ์บอกอยู่แล้วว่าผมเขียนงานในแนวที่ผมชอบ ผมชอบนิยายแฟนตาซีพระเอกเก่ง พระเอกรักนางเอก ชอบนิยายที่พระเอกมีความโรแมนติก ใจดี ผมก็เอาความชอบมาเขียนนิยายให้คนที่เขาชอบแบบผมมีความสุขไง? แล้วอยู่ๆจะมาให้ผมไปลองเขียนนิยายพลอตอื่นที่ผมไม่ชอบ? เนี่ยอ่านแล้วงงว่าคุณปล่อยอึ่งต้องการอะไรจากผม?

จะให้ผมไปลองเขียนนิยายพลอตแปลกๆบ้าๆบอๆที่คนไม่อ่านกันแล้วพยายามทำให้ประสบความสำเร็จเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ? มันคือความคิดโครตเด็กที่ไร้สาระ ในหัวข้อกระทู้ผมก็บอกไปแล้วว่า-การพิสูจน์ตัวเอง ผมผ่านมันมาสองครั้งแล้วจากผลงานทั้งสองเรื่องของผมที่มีคนอ่านรวมกันเกือบสี่ล้านวิวแล้วแค่นี้ยังไม่พอ?

เวลาว่างของผมคือการนั่งเปิดหาข้อมูล ศึกษาหาข้อมูล วางพลอตเขียนนิยาย ศึกษาตลาด อ่านงานคนอื่น [อ่านแบบเรียนรู้กับอ่านเอาสนุกมันต่างกันนะ] สุดท้ายผมลองเข้าไปอ่านผลงานของคุณปล่อยอึ่งมาแล้วนะครับ[ลองอ่านไปนิดหน่อย 2-3 ตอนแบบสุ่มอ่าน] ผมมองว่าฝีมือในการเขียนของคุณปล่อยอึ่งโอเคดี ความสามารถในการเขียนและสื่อสิ่งที่คิดออกมาเป็นตัวอักษร คุณปล่อยอึ่งทำได้ดี แต่อย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาของคุณปล่อยอึ่งคือแนวคิดและพลอตเรื่อง มาถึงจุดนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องพลอตตลาดหรือไม่ตลาดแล้วดีกว่า ตัดคำนี้ที่เป็นประเด็นออกไปเลย ผมขอใช้คำว่า "พลอตที่น่าสนใจแทนก็แล้ว" นิยายของคุณปล่อยอึ่งเท่าที่ผมอ่านดู ความสามารถในการเขียนดูโอเคเลย อาจจะดีกว่าผมด้วยนะครับ นี่พูดจริงนะแต่พลอตเรื่องที่เขียนมันขาดความน่าสนใจ ในเมื่อพลอตที่เขียนมันขาดความน่าสนใจ มันไม่ชวนให้คนอ่าน อ่านแล้วอยากกดติดตามอยากอ่านตอนต่อไป นิยายมันอยู่ไม่ได้ ถ้าจะให้ผมแนะนำนะครับ ลองเปลี่ยน mind set แล้วจัดลำดับความสำคัญ วางโครงเรื่องใหม่ วางเป้าหมายของเรื่องให้แน่น กำหนดกลุ่มนักอ่านที่ต้องการ วางแนวเรื่องของตัวเองให้แน่นอนไปเลยว่าจะเอาเป็นแนวไหน สยองขวัญ? สืบสวนสอบสวน ? ดราม่า? เอาให้ชัดผมว่าอาจจะรุ่งก็ได้นะครับ ผมยังย้ำคำเดิม ความขยันชนะทุกอย่าง ถ้ามีความขยันและความพยายามมากพอ ยังไงก็ประสบผลสำเร็จ [ความขยันไม่ใช่หมายความว่าขยันเขียนนะครับ ต้องขยันที่จะเรียนรู้ ขยันเปิดมุมมอง ขยันเปิดรับสิ่งใหม่ อย่าตีกรอบให้ตัวเอง มันครอบคลุมไปหมด]

0
Infinite insight 15 ส.ค. 62 เวลา 18:32 น. 10-16

“จำคำผมไว้แล้วกันความคิดของคุณนั่นแหละจะเป็นบ่วงดักตัวเอง” เพราะคุณเป็นคน “เชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง” ด้วยสิ่งที่คุณ “พยายามเพื่อให้ได้มา” และยิ่งคุณไม่ละความทะนงตนเอง คุณจะยิ่งตกในบ่วงความคิดของตนเองและอารมณ์คุณจะไม่ดีขึ้นเรื่อยไปจนกว่าคุณจะรู้สึกตัวนะครับ


8-27 จากกระทู้ 


https://www.dek-d.com/board/view/3939123/1/?comment=8_42


และ

8-31


แล้วคำว่า "ประสบการณ์ชีวิตไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนักเขียนนะครับที่ผมกล่าวหมายถึงภาพรวม"(คำพูดผมไม่ได้เจาะจงในการเขียนแต่อย่างใด) เพราะคุณใช้เวลากับการเขียนมากเกินไป ประสบการณ์ชีวิตคุณจึงด้อยกว่าผู้อื่นนั่นแหละ คุณถึงได้เป็นโรค "คิดเองเออเองซึ่งผมเข้าใจเพราะมันเป็นเรื่องปกติของการเขียนนิยาย" ดังนั้น "คนเขียนนิยายควรจะมีสติให้มากกว่าผู้อื่น" ไม่งั้นจะเป็นโรคจำพวกนี้ได้ "ตัวอย่างก็เหมือนดาราฮอลลีวูดที่พยายามปรับตัวตามบทจนต้องไปบำบัดเช่นนักแสดงเป็นโจกเกอร์" ดังนั้นไปหัดฝึกสตินะครับ "ไม่งั้นจะบ้าและหลอนในความคิดตัวเอง"


ผมได้เตือนคุณถึงความจริงที่คุณเป็นไปแล้ว และนี่คือข้อความเก่าที่ “และมันก็เป็นตามนั้น” ถ้าคุณไม่แก้ไข “คุณก็จะยิ่งเป็นคนคิดมากไปเรื่อยๆ เวลาใครพูดอะไรที่ดูเหมือนจะโดนคุณด้วยแม้เขาไม่ได้ว่าคุณ คุณจะนึกเอาเองว่าเขาว่าคุณ” และ “คุยกันแต่คล้ายว่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน(แต่ไม่ใช่)” เพราะคุณฟังแต่เสียงในหัวของตัวเองโดยรู้หรือไม่ว่า “ปัญหาชีวิตของคุณที่เคยเกิดทั้งหมดมาจากการคิดเอาเองตัดสินใจของคุณเอาเองทั้งสิ้น” อันไหนรู้ว่าผิดก็แค่แก้ไขหากไม่แก้ไขอาการของคุณจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนภายหลังคุณจะพบว่า “ทำไมโลกนี้มันทุกข์เสียเหลือเกิน”(เพราะชอบคิดเอาเอง) ยกเว้นว่าคุณจะพบเจอกลุ่มคนที่ “เกรงใจคุณทุกการกระทำ” นะครับ




0
TunKoB 15 ส.ค. 62 เวลา 19:01 น. 10-17

ผมไม่ได้ทุกข์นะครับ ผมก็ยังปกติดี ซึ่งผมเป็นคนที่ค่อนข้างชอบในการโต้วาทีด้วยตรรกะและเหตุผลเท่านั้นเอง คนเรามันก็มีหลายประเภท หลายการกระทำแตกต่างกันไป สิ่งที่คุณคิดว่าไม่ดีคนอื่นอาจจะคิดว่าดี สิ่งที่คุณไม่ชอบ คนอื่นอาจจะชอบก็ได้นะครับ ผมย้ำคำเดิมนะผมยังรู้สึกตัวอยู่ตลอด ผมคุณพูดอะไรมากไม่ได้เพราะคุณเองก็ตัดสินผมไปแล้ว เห็นได้จากการตามมาแสดงความเห็นในที่นี้ จริงๆประเด็นพวกนี้มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยถ้าคุณปล่อยอึ่งเขาไม่พิมพ์อะไรที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้มา


"เพราะคุณเขียนพล็อตตลาดแล้วดันโชคดีประสบความสำเร็จไงครับ มันเลยดูง่าย

แต่ถ้าเขียนพล็อตไม่ตลาดแต่ประสบความสำเร็จได้ในระดับเดียวกัน การตั้งกระทู้แบบนี้ขึ้นมามันจะเป็นอะไรที่ดูน่าเชื่อได้มากกว่าที่เป็นอยู่อีก" ซึ่งมันตีความได้สองแง่สองง่าม สรุปที่ผมมาเล่าประสบการณ์ชีวิตให้ฟังนี่มันดูง่าย? ผมพิมพ์ตรงไหนว่ามันง่าย ที่ผมพิมพ์ในหัวกระทู้คือความขยันและพยายามมากพอ ไม่มีอะไรสื่อว่ามันดูง่ายนะครับ? ปล.ผมแค่เชื่อว่าเหตุและผลมันถกกันได้แค่นั้นเองครับ การคิดมากมันไม่ใช่อะไรที่ผิดนะ?

0
Infinite insight 15 ส.ค. 62 เวลา 19:39 น. 10-18

ชอบ “โต้วาที?” คุณทำไม่ได้หรอกเพราะคุณคุยคนละเรื่องจากที่ผมอ่านแล้ว “คุณยังคุยคนละเรื่องกับคุณปล่อยอึ่งอยู่เลย” ดังนั้นคุณไม่ได้โต้วาที(คุยเรื่องเดียวกันแต่ยกเหตุผลมาโต้) แต่คุณ “ตอบคนละเรื่องว่าผมไม่ทำ = การคุยเรื่องนั้นจบสิ้น = สมมุติฐานนั้นยกเลิกเพราะไม่ได้ลองทำ” แต่คุณดันคิดเอาเองมโนเอาเอง “คนอ่านที่โตจะรู้เองว่าคุณโคตรมั่วหัวเรื่องเลย”


เช่น “ชีวิตคนๆหนึ่งถูกลากไปปนกับนิยายได้ยังไง?” (ของคุณปล่อยอึ่ง) นั่นแหละ คุณขายดีก็เรื่องของคุณ “เพราะที่ผมคุยกับคุณไม่เกี่ยวอะไรกับนิยายหมายถึงนิสัยของคุณโดยตรงว่าคุณฝันกลางวันจนไม่รู้ถึงความจริง(เช่นเรื่องที่เขาคุยกันหัวเรื่องอะไร)เพราะคุณชอบอยู่ในมโนของตัวเอง”


และผมจะบอกอะไรให้อย่าง “คุณไม่รู้สึกตัวเลย” คนเราใช้ชีวิตแบบ auto ถ้าคุณขับรถเป็น คุณอยากจะไปไหนมันก็ไปตามความจำของคุณ ไม่เหมือนตอนขับครั้งแรกที่เรียกว่าเกร็งที่รู้สึกที่แขน


“ถ้าไม่เชื่อให้หายใจเข้าปอดแรงๆแล้วเก็บเอาไว้ไม่เอาออกนะครับ” จนผ่านไปจนแน่นมากๆ “อันนี้แหละภาษาไทยเรียกรู้สึกถึงลม” หากคุณเกร็งแขนแรงๆบีบมือแน่นๆค้างไว้จนชา “ภาษาไทยเรียกรู้สึกแขน” แต่คุณบอกคุณรู้สึกทั้งตัว “ไม่มีทางเป็นไปได้เลยสำหรับคุณ” เพราะอาการรู้สึกทั้งตัวจริงๆ คืออาการ ทางศาสนาพุทธ “ที่เรียกว่าฌานในสัมมาสมาธิ” หรือคุณทำฌานได้ละ ? ถ้่าได้บอกวิธีทำผมมา นี่คือความจริงว่าคุณ “คิดเอาเอง” หรือไม่คือคุณ “เข้าใจเอาเองว่าความรู้สึกตัวต้องเป็นแบบนั้นทั้งๆที่ภาษาก็พูดชัดว่า “รู้สึกตัว” นะครับ” ภาษาที่คุณใช้มันผิดหากจะให้ชัดเรียก “รู้ตัว” ไม่ใช่ “รู้สึกตัว” ใดๆ


แล้วทีนี้ให้ลอง คิดภาพในหัวเป็นหนังสักเรื่องให้ภาพชัดๆเลย จะพบว่าขณะนั้นไม่รู้สึกตัวอะไรเลย หลงอยู่แต่กับในภาพหัว ขณะนั้น “ไม่มีสติ และไม่มีสมาธิใดๆเลย” หากคุณหลงกับมโนตัวเองมากๆ(เรื่องปกติของนักเขียน) จะทำให้อารมณ์มั่วซั่วเพราะไม่รู้และรู้สึกตัว และหากคิดบ่อยๆจะเป็น “เป็นพวกคิดเอาเอง”(ผมไม่ใช่คนชอบตีความแบบคุณนะ ผมเห็นตรงๆจากที่คุณพิมพ์มาเลยตามที่ผมตอบนั่นแหละและผมไม่ได้ตัดสินคุณผมพูดตามเนื้อผ้าทั้งหมด) ซึ่งคุณเป็นอยู่ อ่านให้ชัดๆ จนกว่าคุณจะ “คุยเรื่องเดียว/โต้วาทีในประเด็นเดียวที่คุณอ้าง” ได้นะครับ


Edit : และความจริงคือคุณทุกข์(กดดัน/ตั้งมั่นไม่ได้) เมื่อคุณเห็นภาพในหัวชัดแบบ hd ต่อมาให้ทดลองเกร็งแขนแรงๆมันจะหลุดออกมาจากภาพในหัวแต่ให้ภาพค้างไว้อย่าหลุดจะพบว่ามันเกร็งที่ในหัวอย่างรุนแรง ที่เขาบอกคิดจนปวดหัวนั่นแหละ แต่เพราะไม่รู้สึกตัวจึงไม่รู้เองว่ามันทุกข์ นั่นแล

0
Infinite insight 15 ส.ค. 62 เวลา 19:48 น. 10-19

ผมเลยบอกคุณไว้ตั้งแต่กระทู้ที่แล้วว่ายิ่งเป็น “นักเขียนยิ่งต้องมีสติมากกว่าคนทั่วไปไม่งั้นจะเป็นแบบ นักแสดงในฮอลลีวูดที่อินกับบทหนังจนต้องไปบำบัดนั่นแหละ” ไม่งั้นคุณจะหลงในความคิดตัวเองแบบที่คุณกำลังเป็นอยู่(ผมไม่ได้คิดเอาเอง เพราะผมเห็นจากที่คุณตอบข้างบนนั่นแหละ) “ดังนั้นตั้งสติก่อนตอบนะครับ”

0
15 ส.ค. 62 เวลา 20:11 น. 10-20

ถึงว่าล่ะ อยู่ๆ ก็เห็นยอดหวิวมันเพิ่มขึ้นมา ขอบคุณที่แวะเข้าไปเยี่ยมชมผลงานและจะเก็บไปพิจารณาครับ


และผมขอจบการสนทนานี้ด้วยคำว่า "คุณเคยถูกใครทักท้วงเรื่องการสื่อสารไหมครับ"

0
SayWindy 16 ส.ค. 62 เวลา 08:50 น. 10-22

อ่านมาจนถึงตอนนี้ ก็งงว่ามันยาวมาได้ยังไง

แต่เห็นพูดเรื่องรายได้ทีไรอยากแท๊กสรรพากรตลอดเลย

จขกท.จริงๆเราก็โอเคกับแนวคิดสุดโต่งของคุณนะ

คุณจะคิดอะไรก็ได้ จะทำอะไรกับตัวเองก็ได้

แต่นั่นล่ะ อยู่ที่สูง ไม่ได้แปลว่าจะพูดอะไรไม่ระวังได้ไง 555555

ยิ่งท้าทายคนอื่นยิ่งไม่ควรเลย

0
Echo9 16 ส.ค. 62 เวลา 11:45 น. 10-23

อ่านมาถึงตรงนี้อีกคน เพราะเห็นว่าน่าสนใจ (ปูเสื่อรอ) ด้วยเห็นแจ้งเตือนบ่อย ๆ เลยคิดว่ายังไม่จบ เลยมาแสดงความเห็น ณ ตรงนี้ด้วย ซึ่งขออภัยเจ้าของความคิดเห็นนี้ด้วยนะคะ


อ่านหลาย ๆ ความคิดเห็นย่อยในนี้ เรื่องแนวคิดคุณ เราเห็นด้วยกับ คุณ SayWindy นะคะ นิยายของคุณมันทำรายได้ เพราะทำเป็นอาชีพหลักแอบสงสัยเรื่องการโต้แย้งด้วยเหตุและผลเนี่ย มันลากไปเด็กไม่ต้องรับผิดชอบได้ไง แอบงง อันนี้มองผ่านมุมมองของตัวเองเกินไปหรือเปล่าเอ่ย? การที่คุณพูดถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อบอกว่างานเขียนที่ทำคืออาชีพหลัก คือ งานหลักมันต้องรับผิดชอบรายจ่ายประจำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ? การที่เด็กไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เพราะหน้าที่เขาคือ 'เรียน' ค่ะ เพื่อให้ได้ความรู้นำไปสู่รายได้ในอนาคต ด้วยต่อมาเขาต้องใช้ความรู้สร้างรายได้ พอคิดว่าเด็กต้องรับผิดชอบทั้งค่าใช้จ่ายและเรียนไปด้วย มันออกน่าสงสารไปนะ การเรียนคือหน้าที่ของวัยเรียนค่ะ การอบรมสั่งสอนให้รู้จักภาระหน้าที่คือครอบครัวของเขา การที่เขาส่งลูกหลานเรียนเนี่ย มันเป็นการลงทุนเพื่อให้หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในอนาคต บางคนก็ทำงานพิเศษกันตั้งแต่อายุยังน้อย ตรงนี้จบค่ะ


ดังนั้นการเขียนออนไลน์ รายได้เป็นแสนคืองานหลักของคุณที่มาพร้อมหน้าที่รับผิดชอบรายจ่ายประจำ อันนี้เราเข้าใจถูกไหมคะ เพราะเราทำงานหลักเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ที่เพียงพอต่อรายจ่ายประจำ ดังนั้นคุณจริงจังกับงานเขียนด้วยเหตุผลว่า 'อาชีพหลัก' ก็ไม่ควรมาพูดใส่คนที่ทำเป็น 'งานอดิเรก' แบบนั้น ด้วยจุดประสงค์มันต่างกัน


ทุกคนที่มาตอบ เขามาแสดงความคิดเห็น ว่าชื่นชมคุณนะที่ทำได้ ทำเป็นรายได้หลักได้ ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย เขาไม่ได้โจมตีผลงานคุณเป็นอย่างไร เขามาเตือนเรื่องทัศนคติในส่วนนั้นมากกว่า คุณไปยืนตรงนั้นได้ ก็ใช่ว่าทุกคนจะไปยืนตรงจุดนั้นได้เหมือนคุณ มันมีหลายคนที่ไม่ได้สิ่งที่คุณได้มา คุณอยากให้กระทู้นี้เป็นแรงบันดาลใจก็จริง แค่บางประโยคก็ไม่ได้ทำให้คนอ่านรู้สึกดีตามซะทุกคนนะคะ เราไม่อยากพูดในมุมมองที่เราเห็นคุณจากกระทู้ ด้วยหลายอย่างที่เจอในชีวิตจริงด้วย ปัจจัยเยอะเกินไปที่จะระบุว่าใครเป็นเช่นไรเพียงแค่เห็นทัศนคติในนี้


เนื้อหากระทู้ที่มีการแก้ไข บอกว่าอาจจะเป็นด้วยการสื่อสาร แต่ไม่มีเจตนาคิดแบบนั้น แต่ด้วยคำพูดของคุณ บอกตามตรงนะคะ เราคิดว่าคุณแซะพวกเขาเหล่านี้จริง ๆ คุณบอกว่าหลายคนเข้าใจเจตนาคุณผิดพลาด แต่การที่คนหมู่มากเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน มันก็บ่งบอกอะไรหลายอย่างนะคะ ลองย้อนกลับไปอ่านดูอีกรอบนะคะ ถ้าไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติก็ตามนั้นค่ะ เราเข้าใจเจตนาจากส่วนแก้ไข ไม่ติดใจอะไรหรอกค่ะ


ถ้าอยากไปต่อ อยากให้ระวังการวางตัวนะคะ นข. มีหลายคนพังเพราะการวางตัว แต่ก็รอดตายเพราะได้ฐานแฟนกลุ่มใหม่ ๆ


ขอบคุณค่ะ

0
crystaljade 16 ส.ค. 62 เวลา 13:47 น. 10-24

เห็นด้วยกับคุณEcho9ทั้งหมด ต่อให้ประสบความสำเร็จ(ในความคิดของตัวเอง)​แล้ว แต่ลดอีโก้ลงมาบ้างก็ดี

0
TunKoB 16 ส.ค. 62 เวลา 16:18 น. 10-25

ที่แก้ไขไปก็อย่างที่เจตนานะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะแซะ การเขียนงานผมเข้าใจมันมี 2 อย่าง คือ



1.เขียนยามว่าง เขียนเรื่อยๆ ว่างก็เขียน ดังนั้นแบบนี้มันคืองานอดิเรก จะเขียนๆหยุดๆ อาทิตย์ละหน้า เดือนละหน้าก็ได้ เพราะคนทำอาจจะมีงานประจำอยู่แล้ว แบบนี้คือใจรักอยากจะเขียน [ในกรณีนี้ เพราะเราไม่ทุ่มเวลาให้กับมันเต็มที่ ก็คงต้องยอมรับว่างานเขียนของเราคงยากจะเสร็จสักเรื่องหรือจบสักเรื่อง นักอ่านก็คงติดตามน้อย เพราะนานๆลงทีมันเลยไม่มีใครรู้ว่าผลงานของเรามันมีอยู่]

2.ตั้งใจจะทำเป็นอาชีพ หรือ อยากจะทำให้มันดี มุ่งเป้าที่จะประสบความสำเร็จ ถ้าอย่างในมุมมองข้อสองนี้ คนที่มีเป้าหมายแบบนี้ต้องทุ่มความพยายามลงไปอย่างเต็มที่โดยมีเป้าหมายในเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวด้วย ซึ่งถ้าคิดจะเดินในหนทางข้อสองนี้มันคือกรณีที่ผมอยากจะเสนอแค่ใจรักมันไม่พอจริงๆ


ด้วยหลายอย่างผมอาจจะพิมพ์ออกมาไม่ชัดเจนหรือกล่าวถึงประเด็นอ่อนไหว เพราะผมก็เข้าใจว่าในบอร์ดนี้มีคนที่ไม่ได้เขียนงานเป็นอาชีพเยอะ [มีอาชีพอื่นอยู่แล้ว เขียนงานเป็นงานอดิเรก] ผมเข้าใจ พอลองกลับไปอ่านดูอีกที เอิ่มอ่านแล้วมันก็ชวนทำให้คนกลุ่มนี้ไม่พอใจ


ส่วนโพสของคุณปล่อยอึ่งเขา พอผมมาอ่านดูอีกทีแล้วก็รู้สึกว่าตัวผมอาจจะตีความผิดไปในทางร้ายก็ได้ครับ [โพสแรก] ส่วนเหตุผลจากมุมมองของผมมันก็อธิบายยาก คือผมเขียนงานสองเรื่อง มันประสบความสำเร็จทั้งสองเรื่อง หลายคนอาจจะคิดเข้าใจไปว่าเรื่องแรกมันประสบความสำเร็จแล้วเรื่องสองมันก็ง่ายล่ะสิ


จริงๆจากประสบการณ์ที่ผมเจอมันไม่ใช่แบบนั้น เพราะเรื่องแรกผมค่อนข้างเขียนๆทิ้งๆ หายๆมาๆ ในบางครั้งผมหายไป 4 เดือน หายไป 1 เดือน มันเลยทำให้ผมเจอกับปัญหาใหญ่นั่นคือ ยอดผู้ติดตามหลักหมื่น [15,000 ] ลงตอนใหม่มีคนอ่านอยู่แค่ 1,200 ก็เต็มที่แล้ว ที่นี้พูดถึงฐานนักอ่านตอนเปิดเรื่องที่สอง นักอ่าน 1,200 นี้ก็แทบที่จะไม่ได้ตามมาเรื่องใหม่ของผมเลย เพราะมันเป็นคนละแนว เรื่องแรกแนวกำลังภายในเกิดใหม่ย้อนยุค [สำนวนโบราณ บริบทของเรื่องยุคกลาง] เรื่องสองที่เขียนเป็นแนวแฟนตาซี sci-fi โลกปัจจุบัน


ตอนเปิดเรื่องที่สองใหม่เมื่อสี่ถึงห้าเดือนก่อน ผมได้เจอกับปัญหาใหญ่ที่ผมเคยเจอมาเมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง นั่นคือผลงานผมไม่มีคนอ่าน! ลงไป 1 อาทิตย์มีคนอ่าน 200 คน [ตอนละ 20คน 10 ตอน 200คน นักอ่านจริงๆมีแค่ 20 คน] ใจแป้วมาก ผมเลยต้องมานึกย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่หมดว่าผมใช้วิธีการไหน ต้องทำยังไงในเรื่องแรก พอรู้แบบนั้นผมเลยพยายามทำซ้ำแบบเดิม ขยันเขียนตอนดองไว้ ลงวันละมากๆ ลงอย่างสม่ำเสมอไม่ขาด คุยกับนักอ่านบ้าง และในที่สุดเรื่องของผมมันก็ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งขึ้นมาได้อีกครั้งและในเมื่อผมทำได้ถึงสองครั้งผมเลยค่อนข้างมั่นใจในวิธีการที่ถูกต้องแล้ว+ความพยายามเข้าไป


พอมาเห็นคุณปล่อยอึ่งเขาโพสประมาณว่าเพราะโชคดี+พลอตตลาดนิยายของผมเลยประสบความสำเร็จไงเลยดูเหมือนง่าย ใช่เรื่องแรกมันอาจจะโชคดีแต่เรื่องสองสิ่งที่ผมผ่านมาไม่นาน ผมรู้ ผมจำได้ว่ามันไม่ใช่โชค มันมาจากการศึกษาเรียนรู้ + ความพยายามล้วนๆ พอมาอ่านถ้อยคำที่พิมพ์ประมาณว่าพยายามไปก็เปล่าประโยชน์ถ้าไม่ใช่พลอตตลาดแบบนี้มันเลยทำให้ผมค่อนข้างโกรธ แล้วสิ่งที่ผมทำอยู่มันไม่ง่ายนะครับ ช่อง 1เดือนแรกของการเปิดเรื่องนิยาย ผมต้องนั่งอยู่หน้าคอมวันละ 10 ชั่วโมงเพื่อพิมพ์งาน คิดงาน มันไม่ได้ง่ายสักหน่อย ผมรวมความยากลำบากที่ผมเจอถ่ายถอดออกมาเป็นคำว่า ความพยายาม แต่คำนี้กลับถูกตีค่ากลายเป็นดูง่ายซะงั้น


ผมเข้าใจนะครับว่านักเขียนที่ดีควรเงียบ อ่านแล้วยิ้ม แล้วเก็บทุกอย่างไว้ในใจ ผมเข้าใจว่าอีโก้ของผมเยอะนะครับไม่ใช่ไม่ว่าเข้าใจจุดนี้ผมก็น้อมรับแต่การกระทำของผมมันก็มีเหตุและผลในตัวชองมันจากมุมมอมความคิดของผม ซึ่งบางทีผมอาจจะอ่านความเห็นของหลายคนแล้วด่วนตีความเข้าใจผิดไปเองนั่นแหละ [ผิดที่ผม ผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปแล้ว เพราะเคยมองโลกในแง่ดีแล้วกลายเป็นคนโง่ หลายอย่างมันก็เกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันเนาะ แก้ยากครับ] แต่ผมเป็นแบบนี้นักอ่านของผมเขาก็รู้นะครับ ถามว่าผมจะเปลี่ยนไหมคงไม่เปลี่ยนแต่จะพยายามลดอีโก้และกรั่นกรองให้มากขึ้น


ประเด็นทั้งหมดในกระทู้นี้ที่เกิดขึ้นมันเพราะผมตีความประโยคการพิมพ์ [นิยายของคุณมันประสบความสำเร็จได้ก็เพราะโชคดี+เขียนพลอตตลาดไงมันเลยดูเหมือนง่าย] ที่คุณปล่อยอึ่งเขามาพิมพ์ว่าเป็นการดูถูกผลงานผม ผมเลยโมโห ซึ่งความจริงแล้วคุณปล่อยอึ่งเขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น


ผมยังยืนยันคำเดิมนะครับ ความพยายาม+วิธีการที่ถูกต้อง มันจะทำให้นิยายเราประสบความสำเร็จได้ [ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีฝีมือระดับหนึ่งและมีความชัดเจนในการเขียนว่านิยายของเราจะเล็งกลุ่มผู้อ่านแนวไหน] ซึ่งที่คุณปล่อยอึ่งเขาสรุปไว้ว่า กระทู้นี้มันสำหรับนิยายพลอตตลาด+ขยัน [ผมคิดว่ามันเป็นการสรุปที่ไม่โอเค เพราะผมวิเคราะห์ดูแล้ว คุณปล่อยอึ่งเป็นประเภทแรกคือเขียนงานเป็นงานอดิเรกยังไม่ได้ทุ่มเวลากับการเขียนงานอย่างเต็มที่เลย แล้วจะมาสรุปได้ยังไงว่าต่อให้พยายามไปผลงานตัวเองก็ไม่มีคนอ่าน? ลองดันให้นิยายติด top ดูก่อนแล้วจะเข้าใจเพราะผมผ่านมันมาก่อน นิยายผมตอนยังไม่ติด top มันก็มีคนอ่านแค่ 10-20 คนนั่นแหละแต่พอติด top แล้วยอดนักอ่านใหม่มันจะเพิ่มเข้ามาวันละ 50 60 คนเลย แปบเดียวก็มีฐานนักอ่านถึง 500 คนแล้ว พอถึง 500 คน เราลงตอนใหม่ไปแค่ตอนเดียวมันก็ติด top แล้ว]


สรุปประเด็นสุดท้ายที่ทำให้ผมโมโหก็เพราะผมอ่านสิ่งที่คุณปล่อยอึ่งพิมพ์แล้วมันพาลให้ผมคิดไปว่า ยังไม่พยายามอย่างเต็มที่แต่มาตัดสินผลของมันซะแล้ว [เขาพิมพ์ไว้ว่า สรุปกระทู้นี้มันสำหรับนิยายพลอตตลาด+ขยัน] เลยโมโหขึ้นมาแต่ก็ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างมันอาจจะเกิดจากการตีความผิดของผมเองก็ได้

เท่านี้แหละครับ

ปล.มีคนทั้งท้วงเรื่องสัมภากรณ์เข้ามา น่ากลัวเหมือนกันนะครับเนี่ย ปกติเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ แอบลบออกดีไหมนะ นี่ก็เป็นเพราะหนึ่งในความไม่ระวังและไม่รอบคอบพอของผมเองสินะ ครั้งหน้า

0
SayWindy 16 ส.ค. 62 เวลา 17:45 น. 10-26

นักเขียนก็เป็นมนุษย์ค่ะ จะมีมุมนี้บ้างก็ไม่แปลก แต่เพราะการอ่านอย่างเดียวมันไม่ช่วยให้เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร ซึ่งการตีความเจตนาไม่แตกนี่ล่ะทำให้ทะเลาะกันมาหลายดราม่าแล้ว

คนอยากเป็นนักเขียน เราเข้าใจนะว่าคุณคงพูดถึงความพยายามไม่เคยทำให้เสียใจ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะประสบความสำเร็จ คุณสำเร็จก็เข้าใจค่ะ แต่มันมีอีกหลายสิบคนหรือหลักร้อยเลยที่ไม่ได้เป็นแบบนี้

ดังนั้นจุดของความสำเร็จแต่ละคนไม่เท่ากันเลย อยากขายงานในเน็ต อยากออกเล่ม อยากทำซีรีย์ อยากทำละคร รึแค่อยากเขียนให้จบแล้วมีคนมาอ่านเยอะๆก็พอก็มี

และอยากให้ตระหนักด้วยว่านักเขียนไม่ใช่อาชีพที่มั่นคง การพูดเชิงให้คนอื่นทุ่มเทหรือชวนให้คนอื่นมาร่วมทำแบบนี้ด้วยมันเหมือนการขายตรงอะไรสักอย่างเลยค่ะ ไม่ว่าคุณจะมีเจตนาเช่นนี้รึเปล่า

มีบางคนไม่ถึงฝั่งฝัน ก็จะชีวิตพังได้เลยเหมือนกัน ด้วยอายุที่มากขึ้นเรื่อยๆมันกลับไปแก้ไม่ได้

หลายคนที่พูดติติงเชิงไม่เห็นด้วยเขาคงมองจุดนี้กัน ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรนะ ความฝันเป็นเรื่องดี แต่ชีวิตจริงมันไม่สวยงามเลย เป็นไปได้สำหรับคนที่คิดอยากจะให้ได้แบบจขกท เรียนให้จบ ทำงานบางอย่างจนเบื่อแล้วเอานักเขียนเป็นงานอดิเรก พอมันสามารถเลี้ยงตัวเองได้ก็ถอยออกมา มันก็ไม่สาย เพราะก็ยังมีอาชีพเลี้ยงตัวเองหลงเหลืออยู่

ก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ ยังไม่นับรวมเรื่องหากจะลาออกจากงานมาทำแบบนี้ ต้องตีตลาด ต้องอัพให้ตรงเวลา ต้องจับคนอ่าน หลายๆอย่างที่มากกว่าเขียนตามกระแส ต้องใช้ดวงและเวลาอีกมาก ตามนั้น

0
16 ส.ค. 62 เวลา 19:36 น. 10-27

จากความเห็นล่าสุด หรือก็คือความเห็นที่ 10-25 ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความเห็นที่สะสางเรื่องทั้งหมดลงได้อย่างสวยงามแล้ว แต่...เชื่อไหมว่ามันเป็นการสะสางเรื่องให้จบด้วยความที่ยังเข้าใจผิดอยู่


ผมชื่อ 'เกม' ครับ

ผมขอเรียกคุณว่า 'ตุ่นกบ' ละกัน ผมไม่รู้จะเรียกอะไร

ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่า ...เมื่อมีโอกาสได้เขียนนิยายแฟนตาซีสักครั้ง ก็อยากจะหาเวลาว่างลองอ่านนิยายที่มันติดท็อบดูบ้าง อยากจะรู้ว่ามันต้องสนุกระดับไหนถึงจะอยู่ในจุดนั้นได้ และอยากจะพูดคุยกับนักเขียนเจ้าของผลงานด้วย... แต่ไม่นึกเลยว่าโอกาสนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ แถมผมยังเป็นตัวก่อประเด็นที่เป็นปัญหาในบอร์ดของคุณซะด้วย อันนี้ต้องขอโทษด้วย และยินดีที่ได้รู้จักครับ


ตอนแรก ผมลังเลอยู่นานว่าจะตอบกลับดีไหม สุดท้ายก็เลยเลือกที่จะจบการสนทนานี้ไปดีกว่า เดี๋ยวมันจะกลายเป็นการบั่นทอนความรู้สึกของคุณมากเกินความจำเป็น เดี๋ยวมันจะส่งผลต่อการทำงานของคุณ แต่พอมาเห็นโพสต์นี้อีกครั้ง มันกลับทำให้ผมรู้ว่าผมตัดสินใจผิด ผมผิดเองที่ไม่ยอมอธิบายอะไรให้มันกระจ่างเอง ขอโทษด้วยครับ ดังนั้นแล้ว นี่จึงเป็นการกลับมาแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองที่ยอมปล่อยให้คุณยังเข้าใจผิดอยู่ และผมคิดว่านี่แหละ คือทางออกที่ดีที่สุด บางทีอาจจะช่วยให้คุณกลับมาอารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง


...


ถ้าผมจำไม่ผิด ถ้าคุณจำไม่ผิด และถ้าคนอื่นจำไม่ผิด รู้สึกว่าผมจะเคยมีประเด็นกับคุณมาแล้วครั้งหนึ่งนะ น่าจะเป็นเรื่องสินค้าที่ขายในเซเว่นหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ถ้าหน้าตามันดี ดึงดูดลูกค้า ต่อให้รสชาติแย่แค่ไหนก็ยังขายได้นั่นน่ะ ซึ่งตอนนั้นผมก็เอะใจหน่อยนึงอยู่นะว่าคุณกำลังเข้าใจผิดในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ พอมาถึงกระทู้นี้ก็อีหรอบเดิมอีกแล้วล่ะครับ เราไม่ได้ถกเถียงเพราะว่าเห็นต่างหรืออะไรทั้งนั้น แต่เราถกเถียงเพราะว่าคุณเข้าใจสิ่งที่จะสื่อผิดไป


ผมไม่รู้ว่าคุณให้ความสำคัญกับคำว่า 'โชคดีประสบความสำเร็จ' ของผมมากแค่ไหน แต่

เพราะคุณเขียนพล็อตตลาดแล้วดันโชคดีประสบความสำเร็จไงครับ มันเลยดูง่าย

แต่ถ้าเขียนพล็อตไม่ตลาดแต่ประสบความสำเร็จได้ในระดับเดียวกัน การตั้งกระทู้แบบนี้ขึ้นมามันจะเป็นอะไรที่ดูน่าเชื่อได้มากกว่าที่เป็นอยู่อีก


ผมจะเอาประโยคสีฟ้าพวกนี้มาเปรียบเป็นการต่อสู้ละกัน

-เอา12ไปสู้กับ10 ถ้า12ชนะ แปลว่ามันเก่งมากหรือเก่งพอประมาณก็ได้ เพราะค่ามันเยอะกว่าหนิ

-เอา10ไปสู้กับ10 ถ้า10(อันแรก)ชนะ แปลว่าวัดอะไรไม่ได้ เพราะมันค่าเท่ากัน แต่ก็คงจะเก่งอยู่มั้ง

-เอา8ไปสู้กับ10 ถ้า8ชนะ แปลว่า8เก่งกว่า12และ10 เพราะขนาดค่าน้อยกว่าก็ยังฝืนชนะ10มาได้

-เอา6ไปสู้กับ10 ถ้า6ชนะ แปลว่า6โคตรเก่งยิ่งกว่า8,10และ12 เพราะขนาดค่าที่โคตรน้อยยิ่งกว่าก็ยังฝืนสู้ชนะ10มาได้


ต่อให้6เป็นค่าที่น้อยที่สุด ผมเชื่อว่าใครต่อใครต่างก็ต้องมองว่า6นี่แหละเก่งที่สุดในบรรดาค่าทั้งหมด เพราะมันผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าต่อให้ค่าน้อยยังไงก็ยังเอาชนะค่าที่มีมากกว่าได้ กลายเป็นว่า8,10และ12นี่เทียบชั้นกับ6ไม่ได้เลย 12มันควรจะขายหน้าให้กับ6เสียด้วยซ้ำ


จากประโยคสีฟ้านั้น ผมเข้าใจครับว่าพล็อตตลาดที่คุณทำให้มันประสบความสำเร็จได้นั้นมันทำได้ยากมากแค่ไหน แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่า มันจะดูง่ายลงไปทันทีเมื่อเทียบกับพล็อตไม่ตลาดที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ในระดับเดียวกันได้ยากกว่า ...ผมไม่ได้ดูถูกพล็อตตลาดนะ...


อะ เคลียร์เรื่องนี้ด้วยเลย แต่มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรหรอก

ตั้งแต่ที่ผมเป็นสมาชิกของเว็บ ผมใครต่อใครต่างก็พูดถึงนิยายแฟนตาซี เกิดใหม่ที่ต่างโลก ระบบ เกมออนไลน์ จีนโบราน ชายรักชาย หรืออะไรพวกเนี้ยะ ผมเข้าใจว่ามันคือนิยายกระแส (เพราะใครๆก็เขียนและอ่านกัน) ที่เหลือจากนั้นก็เป็นพวกนอกกระแส ทั้งระดับที่ยังถูกเอ่ยถึงบ้าง อย่างนิยายรัก และระดับที่เกือบจะไม่มีการพูดถึง อย่างนิยายกีฬา


...


ผมเคยขอให้คุณเขียนพล็อตไม่ตลาดดูสินะ

ตอนนั้นคุณแค่พูดถึงเรื่อง 'ขยัน' ผมเลยเข้าใจไปว่าแค่ขยันก็น่าใช้ได้แล้ว นิยายทุกเรื่องมันก็คงจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่พอมาเห็นคุณบอกว่า 'พล็อตตลาด+ขยัน มันใช้ได้' ผมหรือใครก็ต้องคิดเป็นเรื่องปกติหรือเปล่าว่า 'งั้นขยันแต่พล็อตไม่ตลาดมันก็ใช้ไม่ได้น่ะสิ' ...อย่าลืมนะครับว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องพล็อตที่จะนำไปสู่เงินหลักแสนอยู่...


พล็อตตลาด คนส่วนใหญ่ชอบอ่านกัน ขายร้อยบาท อ่านร้อยคน ได้หมื่นหนึ่ง


พล็อตไม่ตลาด คนส่วนน้อยที่จะชอบ ขายร้อยบาท อ่านยังไงก็มีไม่ถึงร้อยคน ซื้อให้ตายยังไงก็คงไม่ถึงหนึ่งหมื่นบาท ความขยันช่วยให้ไปแตะหลักหมื่นได้หรือเปล่า?


พล็อตตลาด ส่วนใหญ่ เอื้อต่อการสร้างหลายภาค คูณจำนวนขายเข้าไปได้อีก จากหลักหมื่นคิดว่าจะกลายเป็นหลักอะไร


พล็อตไม่ตลาด ส่วนใหญ่ ไม่เอื้อต่อการสร้างหลายภาค เขียนได้แค่ไหน ก็ขายได้แค่นั้น ก็ในเมื่อมันจบแค่นั้น ไม่มีการอัปเดตอีก น้อยคนนักที่จะเห็นและสนใจ ความขยันช่วยให้ไปแตะหลักหมื่นได้หรือเปล่า?


...


เรื่องที่ขอให้คุณเขียนพล็อตไม่ตลาดยังไม่จบ

ผมต้องการให้คุณพิสูจน์ว่าความขยันมันใช้ได้จริงไม่ว่าจะกับพล็อตไหนๆ เพราะนั่นมันคือความรู้สึกหลังจากที่เห็นคุณแบ่งแยก 'พล็อตตลาด' กับ 'พล็อตไม่ตลาด' ออกจากกัน ส่วนเหตุผลผมก็ให้ไปแล้ว


และการที่ผมขอให้คุณเป็นคนพิสูจน์เองนั้น มันก็พอจะมีเหตุผลอยู่

-คุณบอกเองว่าพล็อตตลาด + ขยันมันทำให้งานขายได้

-คุณเคยประสบความสำเร็จมาแล้วและตอนนี้ก็ยังประสบอยู่

-คุณมีฝีมือและทักษะการเขียนที่มากในระดับที่ส่วนใหญ่ยอมรับ

-ผมไม่รู้ว่าคุณทำงานอะไรอยู่อีกไหม แต่เข้าใจว่าคุณมีเวลามากพอในระดับหนึ่ง

-คุณมีฐานแฟนคลับจากเรื่องเก่าๆ อยู่แล้ว นามปากกาของคุณมันเรียกลูกค้าได้


และจากที่คุณให้ข้อมูลมาในความเห็นที่10-25 มันก็ยืนอะไรหลายๆ อย่างได้

-นามปากกาไม่ได้เรียกลูกค้าได้เสมอไป

-จากข้อที่แล้ว เห็นหรือยังครับว่าพล็อตไม่ตลาดมันยากกว่าพล็อตตลาดยังไง (ผมเคยเห็นกระทู้กระทู้หนึ่ง นานแล้ว จำได้ไม่แม่น เกี่ยวกับนิยายแนวไซไฟ น้อยคนนักที่จะเขียน อ่าน และให้ความสนใจ เห็นได้ชัดว่ามันนอกกระแสในระดับไหน มีใครพอจะหามาให้ผมได้บ้างไหมนะ หมายถึงถ้าอยากจะหามาให้อะนะ)

-มองเห็นถึงความต่างของจำนวนนักอ่านที่ชอบแนวกระแสหรือไม่กระแสหรือยังครับ จำนวนระดับนั้นน่ะ ถ้าเอามาคำนวณตอนเปิดขาย ก็รู้แล้วว่าแนวไหนขายได้ถึงหลักแสน และแนวไหนขายไม่ได้ถึงหลักแสน และอย่าลืมว่าพูดถึงภาพรวมนะ ไม่ได้เจาะจงไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง


ตรงนี้ด้วย ผมไม่ได้บังคับให้คุณทำนะ

ถ้าคุณยังยืนยันว่าไม่ทำก็ไม่เป็นไรครับ แต่ไม่อยากลองหน่อยเหรอ หวังนะเนี่ยๆ

ขนาดระดับคุณยังไม่กล้า แล้วระดับผมหรือคนอื่นมันจะเหลืออะไร

มันตอกย้ำได้ในระดับหนึ่งเลยว่า 'เลิกหวังซะกับพล็อตไม่ตลาด'


และดันกลายเป็นว่าผมมารู้ทีหลังเพราะคุณมาบอกทีหลังว่าตัวเองกำลังเขียนนิยายแนวไซไฟ แฟนตาซี โลกปัจจุบันอยู่ ก็นี่ไงครับนิยายพล็อตไม่ตลาด สิ่งที่ผมขอให้คุณทำบังเอิญว่ามันถูกเขียนขึ้นมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ประสบความสำเร็จไปแล้วด้วย


ให้ผมเป็นคนพิสูจน์เองคงไม่ไหว แต่ถ้าเป็นคุณเองคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ได้ ไม่ว่ากัน

ให้ถือว่ากระทู้นี้คือผลลัพธ์ของนิยายพล็อตตลาด + ขยัน

และกระทู้ต่อไปในภายภาคหน้าขอให้เป็นนิยายพล็อตไม่ตลาด + ขยัน นะครับ

ถ้านิยายเรื่องนั้นมันประสบความสำเร็จได้พอๆ กับนิยายเรื่องนี้

ก็หมายความว่า 'ความขยันมันใช้ได้จริง'

และอาจจะเป็นการพิสูจน์ต่อนักเขียนหลายคนด้วยว่า 'พล็อตไม่ตลาดก็ขายได้นะเว้ย'


นี่ไงครับสิ่งที่ผมร้องขอ มันอยู่ในความเห็นแรกที่ผมโพสต์ลงไปเลยนะ

ไม่ได้บังคับให้ทำ ไม่ได้จำกัดเวลา คุณพิสูจน์ได้ด้วยการเขียนนิยายไปตามปกติเหมือนที่เคยทำ แต่การสื่อสารที่มีปัญหากลับทำให้เรื่องมันลากยาวมาไกลซะงั้น


***********************************************************


มาถึงตรงนี้ คุณพิสูจน์ได้แล้วว่านิยายนอกกระแสก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน นักเขียนคนอื่นที่ผ่านมาเห็นกระทู้ก็คงจะมีไฟฮึดขึ้นมาอีกไม่มาก็น้อย ไม่ต้องมาทำหน้าเป็นหมาหงอยอีกต่อไป มันจะมีทั้งคนที่เข้าอ่านและเข้ามาซื้อได้อย่างแน่นอน


***********************************************************


หวังว่าความเห็นนี้จะทำให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นนะครับ


อ้อ เรื่องที่คุณว่าผมเป็นเด็กนั้น อย่าได้ใส่ใจเลย ความเข้าใจผิดมันเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน (เอ้ย แต่ผมก็ยังเด็กอยู่นี่หว่า)


ถ้าไม่อยากโพสต์ต่อ กดถูกใจแทนก็ได้ ผมจะได้รู้ว่าคุณอ่านแล้ว และจะได้ไม่รบกวนคนอื่น งั้นลาแค่นี้แหละ

0
Infinite insight 16 ส.ค. 62 เวลา 20:34 น. 10-28

อันทีีจริงผมเป็นแฟนคลับนิยายคุณนะ (ขอไม่เอ่ยชื่อเดี๋ยวจะหาว่าดันนิยาย) ที่เขียนได้ยาวกว่าเรื่องใหม่


ผมเลยมาแนะนำคุณนี่แหละว่า “คุณอินเกินไปแบบดาราฮอลลีวูดที่ต้องไปรักษา” และผมก็ได้บอกไปแล้วว่าคุณจะทุกข์ ขึ้นเรื่อยๆที่ผมให้ลองนึกภาพในหัวแล้วกลับมามีสติด้วยการทำให้รู้สึกที่สักอย่างของร่างกาย ที่มันเกร็งในหัวนั้นแหละ


เคยได้ยินผู้หญิงที่เมนส์มาแล้วหงุดหงิดง่ายไหมครับ? ทำไมคนทำงานหนักๆแล้วเป็นโรคเครียดก็เคสเดียวกับคุณนั่นแหละ พอร่างกายไม่สบายจิตใจก็ไม่สบายเวลาเจอเรื่องอะไรจึงกดดันและจะอารมณ์ไม่ดีได้ง่ายๆ ที่ผมได้บอกไปแล้วว่า “คุณจะเข้าใจผิดว่าเขาว่าคุณ” ซึ่งคุณตอบผมแล้วว่าคุณมองโลกในแง่ร้ายเพราะมองโลกในแง่ดีแล้วไม่เวิร์ค


“ความจริงคือคุณคิดไปเอง” ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง “กาลครั้งหนึ่งมีพนักงานออฟฟิสเห็นคนในที่ทำงานนั่งเล่นโทรศัพท์”


Point of view

แง่ดี = โหคุยกับลูกค้าด้วยตั้งใจทำงาน

แง่ร้าย = ไม่ยอมทำงาน มัวแต่อู้


ซึ่งผิดทั้งคู่ คุณควรมองโลกตามความเป็นจริง = ไม่รู้ว่ามันคุยกับใครรู้แค่ “มันใชัโทรศัพท์เท่านั้น” ถ้าอยากจะรู้ต้องพิสูจน์ ไม่ใช่คิดไปเองแบบที่ผมได้บอกไปว่า “เรื่องที่คุณทำพลาดมาทั้งหมดก็มาจากคุณเองนั่นแหละที่คิดเอง” ถ้าใครไม่ยอมรับรู้ก็จะเจอแต่ปัญหาเดิมๆซ้ำไปไม่ใช่เพราะใคร เพราะตัวเขาเองแต่เขาไม่รู้เองว่าเขาทำ เพราะเขาหลงเชื่อความคิดตัวเองทั้งๆที่ความจริงคือเราไม่รู้ต้องทดสอบนั่นแลครับ


และตอนนี้ถ้าคุณสังเกตุในคอมเมนท์ของผมคุณจะรู้ได้เลยว่า “ผมไม่ได้ตีความใดๆเลยเพราะผมตอบตามที่คุณพิมพ์มาเด้ะเลย” จะพูดว่ามันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งก็ได้ถ้าคุณลองสังเกตุที่ผมได้พิมพ์ไป “มันตรงกับคุณทุกอย่าง” ไม่แน่ผมอาจจะรู้จักคุณมากกว่าที่คุณรู้จักตัวเองนะครับ ฝากไว้เป็นข้อคิดครับ

0
ปีศาจหัวโต 14 ส.ค. 62 เวลา 13:31 น. 11

ขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์อันมีค่านี้ให้ฟังนะฮะ

เราชอบอ่านอะไรเกี่ยวกับประสบการณ์ตรงแบบนี้มากเลย :)

อ่านแล้วได้รู้ถึงความพยายามที่จขกท.ได้ผ่านอะไร ๆ มา เทคนิคต่าง ๆ ในการไปสู่จุดติดท็อป และ การขายทำรายได้ สุดยอดเลยอ่ะ ยกนิ้วให้เลยฮับ


ปล.เป็นคนหนึ่งที่เคยอ่านนิยายติดท็อป ได้ลองศึกษาหาอ่านดูแล้วก็ แต่ไม่ใช่ทางเราเท่าไหร่อีกอย่างเรามีนิยายเล่มที่ดองไว้เยอะด้วยเลยจำเป็นต้องอ่านเป็นแนวรูปเล่ม ซึ่งพอมาลองหาอ่านบนเว็บเลยไม่ชินซะงั้น ทั้งภาษา สำนวน พล็อต ความสมเหตุสมผล จะมีน้อยเรื่องมาก ๆ ที่ถูกใจเราจริง ๆ ซึ่งคนอื่นเขาก็รอซื้อ รอเมนท์ รอติดตามกันเยอะแยะไปนะฮะ แต่แค่ตัวเราแค่ไม่อินเหมือนพวกเขาเท่านั้นเอง

4
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 15:18 น. 11-1

ผมโชคดีอย่างคือ นิยายที่ผมชอบคือนิยายแนวฮีโร่ หรือ ผู้กล้า พลอตตลาด + มีเรื่องความรักหวานๆปนมานิดหน่อย พอผมเขียนผมเลยเขียนแนวที่ผมชอบและเสริมในสิ่งที่อยากจะให้เป็นเข้าไป มันเลยมีคนอ่านครับ

0
ปีศาจหัวโต 14 ส.ค. 62 เวลา 17:00 น. 11-3

ถ้าตัวเองชอบในงานเขียนและผลงานตัวเอง แล้วมีคนมาชอบด้วยก็ยิ่งดี อีกทั้งยังขายได้เยอะขนาดนี้อ่ะ สุดยอดแล้วนะฮะ555 โชคดีนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง

แต่ของจริง คือ ความพยายาม ไม่ย่อท้อ และเอนจอยกับผลงานของ จขกท. นี่แหละฮะที่ยั่งยืน

0
TunKoB 14 ส.ค. 62 เวลา 17:11 น. 11-4

ที่ผมไม่อยากจะเอ่ยบอกไม่ใช่เพราะผมกลัวหรืออยากปิดบังนะครับ ผมไม่อยากแฝงการโปรโมททางอ้อม ไม่อยากให้เกิดประเด็นว่าผมแอบแฝงเจตนา ที่มาลงนี่คืออยากจะแสดงให้รู้ว่าผมมาให้ความรู้มาแนะนำจากประสบการณ์ตรง นิยายของผมถ้าเปิดไปดูหมวดแฟนตาซีก็จะเห็นอยู่แล้วว่าติดอันดับอยู่ทุกวัน 1 2 3 มันก็สลับกันไป ชื่อนามปากกามันก็ชัดอยู่ครับ แอทเพื่อนมาแล้วส่องดูก็ได้ครับ

0
5CD081 14 ส.ค. 62 เวลา 20:06 น. 12

ขอแสดงความชื่นชมในความสำเร็จครับ และขอบคุณที่ใจดีแชร์ข้อมูลส่วนตัวขนาดนี้ (เรื่องรายได้นี่ผมถือเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก)



ปล. แต่น่าจะเซ็นเซอร์ชื่อตัวเองหน่อยนะ

0
เกียรติ์ 14 ส.ค. 62 เวลา 20:09 น. 13

เราเห็นด้วยกับคุณเลยค่ะ เราเขียนนิยายมานาน พัฒนาตัวเองสม่ำเสมอ เขียนตรงตลาดบ้าง เขียนตามใจตัวเองบ้าง แต่ไม่เคยเขียนอะไรที่ไม่ผ่านการคัดกรองก่อนเผยแพร่ เราลงขายเรื่องสั้นเรื่องนึงในเมบ ลงเล่น ๆ ไม่โปรโมทอะไรเลย ไม่แชร์ลงเฟส ไม่แชร์ลงกลุ่ม ตอนแรกคิดว่าจะมีคนซื้อไหม ไป ๆ มา ๆ ตอนนี้เรื่องนั้นติดสายสะพาย ได้เบสท์เซลเลอร์เรียบร้อยแล้วค่ะ


กับนิยายอีกเรื่องที่ลงออนไลน์ได้ไม่ถึง 30% ของเรื่อง มีนักอ่านมาถามแล้วค่ะว่าจะลงอีบุ๊กมั้ย เราขอแสดงความเห็นในแง่ของหลักการและเหตุผลนะคะ นิยายคือความบันเทิงชนิดหนึ่ง เขาเสพเพื่อความบันเทิงค่ะ เขียนถูกจริตนักอ่านเขาก็พร้อมซื้อค่ะ เสน่ห์ของการเป็นนักเขียนก็เหมือนกับเสน่ห์ของจิตรกร ศิลปินแหละค่ะ ไม่มีนักเขียนคนไหนที่มาซ้ำรอยกันได้ ทุกคนมีสไตล์การเขียนเป็นของตัวเองทั้งนั้น ที่สำคัญคือไม่ว่าจะเขียนนิยายออกมาแบบไหน ย่อมมีคนมาอ่านแน่นอนถ้าหากว่าลงออนไลน์ไม่ได้เก็บไว้กับตัวเอง เป็นนักเขียนก็เหมือนก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นค่ะ ไปเรื่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ ท้อก็พัก แต่อย่าทิ้ง ทุกอย่างต้องมีการสะสมทั้งนั้นค่ะ ใช้เวลา ไปช้า ๆ แต่สักวันจะเห็นผลเอง

0
ตอน อวสาน 15 ส.ค. 62 เวลา 20:58 น. 14

เราก็เขียนมา3-4ปี แต่ยังไม่จบสักเรื่องเลยเกือบ20เรื่องเลย ไม่จบแล้วเปิดใหม่ตลอด ราวกับเต้พระราม7ที่ชอบเปิดตลอด


อยากจะจบสักเรื่องเหมือนกัน อยากลองขายดู แต่สิ่งที่ทำไม่ได้ตอนนี้คือ... เขียนได้น้อยมากต่อวัน ยังไม่ปิดได้สักที อยากติดลมบนแล้วเขียนได้มากๆเหมือนกัน //แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่าง การดำเนินชีวิต จิตใจ ข้ออ้างต่างๆนาๆ ที่ทำให้เขียนไม่ได้มากเช่นนั้น //แต่ถึงอย่างนั้นเราก็อยากเขียนจบนะ อยากลองขายดู คุณอาจเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจ ที่ทำให้เราอยากเข็นมันออกมาขายไวๆก็ได้ อยากมีเงินหมื่นเงินแสนด้วยงานเขียนเช่นกัน...



1
TunKoB 15 ส.ค. 62 เวลา 21:04 น. 14-1

ต้องบังคับตัวเองครับ ผมเองเรียนนิติศาสตร์มา ขอบอกว่าการบังคับตัวเองให้นั่งเขียน นั่งคิดเนื้อหานิยาย ลำบากไม่ต่างกับการบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือสอบเลยครับ

0
20 ส.ค. 62 เวลา 09:07 น. 15

ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ค่ะ เราเป็นนักเขียนหน้าใหม่ จะพยายามไปให้ได้อย่างคุณ สู้ สู้ (บอกตัวเอง)

0
Nadear133 1 ธ.ค. 62 เวลา 15:16 น. 16

หนูชอบเขียนนิยายมาตั้งแต่ม.ต้นตอนนี้ก็จะจบม.ปลายแล้วเคยคิดว่าอยากทำอาชีพนี้เพราะว่าใจรัก เวลาเรียนมาเหนื่อยๆ ก็มานั่งเขียนเรื่องราวในจิตนาการของเราให้คนอื่นได้อ่านพอเขาเม้นมาดีใจสุดยิ่งกว่าสอบได้ที่1 555 การอ่านคอมเม้นของนักอ่านเลยเป็นสิ่งที่มีความสุขกว่าการได้ออกไปเที่ยวตอนนี้เลยอยู่แต่บ้านเขียนนิยายไป...จะลองเอานิยายมาเปิดขายดู เผื่อมีรายได้ 5555 แต่ก็แอบคิดอยู่นิดๆ ฝีมือยังห่วยแตกอยู่เลย จะฝึกฝนไปเรื่อยๆ จะเดินสายนี้ให้ได้ อิอิ

0