พออ่านนิยายมากขึ้น ทำให้รู้ว่าสกิลเทพทรูคือตัวสร้างปัญหาเนื้อเรื่องเลย
ตั้งกระทู้ใหม่
สกิลเทพ ๆ ที่เจอก็มีประมาณนี้
1. สกิลเทพตั้งแต่เกิด พวกพระเอกที่ตายตอนอายุ 30 กว่า ๆ มาเกิดใหม่ในโลกแฟนตาซีนี่มีทุกคน คือเรียนรู้เร็วกว่าชาวบ้าน ทันเกมตัวร้ายจนทะลุปรุโปร่ง เอาใจสาว ๆ เก่งตั้งแต่เด็ก ประสบการณ์ระดับล้นทะลัก ไม่รู้ทำไมต้องไปเกิดโลกที่ล้าหลังกว่าโลกเดิมด้วยหว่า
2.สกิลได้รับพลังเทพตั้งแต่ต้น คืออยู่ ๆ พอเริ่มเรื่องพระเอกก็มี หรือได้รับพลังอะไรซักอย่างจนพวกเซียนเต๋าจีนยังอิจฉาตาร้อน ฝึกเป็นเซียนมาพันปีหมื่นปี ทำไมต้องแพ้พระเอกที่เทพกว่าเซียนทั้งที่ฝึกแค่ไม่ถึงสัปดาห์ สะกิดทีเดียวก็ตายทั้งกองทัพ กลายเป็นว่าแทนที่เนื้อเรื่องจะไปสำรวจที่อื่น ๆ ที่อาจสร้างปัญหาให้พระเอกและพวกพ้อง ดันกลายเป็นพล๊อตที่ต้องสาธยายความเทพเกินพิกัดของพระเอก เทพไม่บันยะบันยัง จะเทพไปไหน ไม่มีอุปสรรคอะไรจะคุกคามพระเอกอีกแล้ว มาเมื่อไร ตัวร้ายเตรียมจองวัดได้เลย แบบนี้ไม่เรียกว่านิยายผจญภัยสุดอลังการแล้ว บ้านเราเรียกว่านิยายจูนิเบียว
3.สกิลก๊อปปี้มหากาฬ ถ้าโลกนี้สามารถก็อปความสามารถคนอื่นได้ ไม่ต้องเรียนหนังสือตลอดชั้นปีหรอก ก็อปปี้นักเรียนท็อประดับชาติ ไม่สิ ท็อประดับโลก O.NET A.NET กี่ครั้งยังไงได้เต็มตลอด พระเอกจะได้รับพลังจากสัตว์ประหลาดหรืออะไรซักอย่าง จนได้รับความสามารถใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด กินมังกรได้ไฟมังกร กินหมีได้เล็บหมี กินเทพได้พลังเทพ ปกติก๊อปปี้พลังได้ก็เทพพออยู่แล้วนะ นี่ยังก๊อปปี้แบบไม่มีขีดจำกัดอะไรอีกต่างหาก แล้วใครมันจะไปสู้อะไรพระเอกมันได้ฮะ
ผมว่าปัญหาที่ทำให้นิยายไม่เป็นที่สนใจ ทั้งที่เขียนตามกระแสอยู่แล้ว น่าจะเป็นเพราะคนเขียนใส่องค์ประกอบพวกนี้เข้ามา เข้าใจว่าคงใส่มาสนองความต้องการของคนอ่านให้เกิด impression ช่วงต้นเรื่องให้มากที่สุด และไม่ได้เผื่อระยะยาวว่าจะรักษาฐานคนอ่านยังไง พอพลังพระเอกมันเทพเกินไปจนไม่มีใครต่อกรอีกแล้ว วิธีแก้ปัญหาข้างต้นกลับเป็นทิ้งจุดประสงค์หลักไปซะงั้น บางเรื่องมักง่ายไปสร้างฮาเร็ม สโลวไลฟ์บ้าง หรือลูปนรกแบบนิยายจีน 1000+ ตอน ไม่ต้องเดินเรื่อง สุดท้ายก็อยู่ที่ความอดทนของคนเขียนอย่างเดียว เพราะความเทพของพระเอกกำลังทำร้ายคนเขียนซะเอง ทำกับตัวเองล้วน ๆ ถ้ามุ่งพล็อตหลักอย่างเดียวอาจจะจบไม่กี่เล่มก็ได้ ยังดีกว่าหมดไฟจนดองไม่มีวาระกำหนด
จริง ๆ ก็เห็นใจคนเขียนนะครับ เพราะรสนิยมของคนเขียนกับคนอ่านไม่ค่อยจะเป็นเคมีเข้าหากัน แต่ผมก็มองตามเนื้อผ้าน่ะนะ ว่าปัญหามันมาจาก
1 ต้องการเรียกร้องให้คนสนใจในช่วงแรกมากเกินไปหน่อย เลยใส่ความสามารถให้พระเอกซะเวอร์เกิน พอพ้นช่วงแรกไป คนเขียนหลงทาง
2 ไม่อยากให้เรื่องหลักมันจบเร็ว เพราะการจะคิดเรื่องหลักต่อเนื่องมันยาก เลยต้องทู่ซี้เล่นประเด็นตลาด ๆ ที่มันขายได้ชัวร์ ๆ เพื่อยืดเรื่องมันออกไป
3.ถ้าเขียนจบ ฐานะลูกค้าอาจจะหนีไป ได้แฟนคลับจริงน้อยนิด เกิดขายจริงอาจจะไม่คุ้มกำไร ความนิยมพวกท็อปเท็นจะตกหล่นไป เพราะมีเรื่องอื่นเบียดดันทุกวัน
ผมสรุปได้ประมาณนี้แหละครับ ซึ่งมาจากการอ่านทั้งไทยและนิยายแปลของนอก ถ้าเห็นว่าผิดก็แย้งได้เลยครับ อาจเป็นไปได้ว่าหลัง ๆ สกิลที่ว่าเทพ ๆ ของพระเอกมันอาจจะเทพไม่พอจะสู้บอสอะไรพวกนี้ ซึ่งผมไม่รู้เพราะยังอ่านไม่ถึง
20 ความคิดเห็น
ลืมความจริงที่สำคัญไปนะ
และผมว่านี่น่าจะเป็นสิ่งที่ตรงกับความเป็นจริงพอ ๆ หรือเผลอ ๆ ก็มากกว่าเหตุผลทางการตลาดด้วย
4. คนเขียนจูนิเบียว เมากาว
หมกหมุ่นคลั่งไคล้หลงไหลเรื่องแนวพระเอก/นางเอก แกรี่สตู /แมรี่ซู เข้าขั้นอาการหนัก
ตัวละครเอกอ่อนด้อยโดนศัตรูหรือตัวร้ายสะกิดไม่ได้ คนเขียนจะดิ้นทุรนทุรายเหมือนจะขาดใจตาย เลยเอาแต่เขียนตัวเอกให้ออกมาเป็นแบบนั้น
5. คนเขียนเซลฟ์ อินเสิร์ท
ตอนเขียนคงเขียนไปมโนเพ้อฝันเป็นตุเป็นตะ เอาตัวเองใส่ลงไปเป็นตัวละครเอกที่เทพ ๆ เสียเอง
พอเขียนให้ตัวละครเทพ ๆ โชว์เทพ โชว์เหนือที ก็ฟินน้ำแตกแทบจะขึ้นสวรรค์ชั้น 7
ว่า อาาาา "This is it!!"
ฉันนี่แหละเทพ ทุกคนยกย่องฉัน ชื่นชมฉัน ศรัทธาฉัน เคารพยำเกรงฉัน
เหนือฟ้า ใต้หล้า ฉันนี่แหละที่เทพกว่าผู้ใดในสามภพหรือห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลเหนือล้ำจินตนาการ
เพราะงั้นแหละ ต้องเขียนให้เทพเวอร์ ๆ อีก เพื่อที่ตัวเอก (ตัวคนเขียน) จะได้รับการชาบู ๆ กราบไหว้บูชาหรือปลาบปลื้มปิติศรัทธา ฟินเสียจนทวารทั้งเก้าเปิด
อืม ก็อะไรทำนองนี้ล่ะนะ
หาดูได้ไม่ยากครับ ตามแถว ๆ นี้แหละ
มากจนหาเรื่องที่ไม่ใช่แบบนั้นนี่ยากกว่าราว ๆ งมเม็ดฝุ่นสักเม็ดในมหาสมุทรเลย
"ผมว่าปัญหาที่ทำให้นิยายไม่เป็นที่สนใจ ทั้งที่เขียนตามกระแสอยู่แล้ว น่าจะเป็นเพราะคนเขียนใส่องค์ประกอบพวกนี้เข้ามา" อันนี้ไม่จริง ถ้าใส่เข้ามาคนอ่านเพียบ ทั้งวิวทั้งเฟบโตเร็วมาก
พอเทพจนเริ่มมีคนบ่นก็เปลี่ยนมา ฮาเร็ม สโลวไลฟ์ ช้ามากไปก็กลับมาวนลูปนรกไปเอาชนะดินแดนใหม่ซักหนึ่งรอบแล้วกับมาปลูกผักต่อ
จขกท ต้องไปอ่าน re zero นะฮะถ้ามาสายนี้
ส่วนตัวทีมเอมิเลียครับ
ทีมเบียทริส
ทีมเดียวกับเพื่อนผมเลย
55555 แต่ทีมนี่ต้องทำใจ แห้วแน่นวล
ทีมเอมิเลียเหมือนกันครับ
ถ้าพระเอกมันเทพเกินก็แต่งมาได้แล้วแบบนะครับ ผมว่า อย่างแรกก็ปล่อยให้มันเทพไป แล้วดำเนินเรื่องแบบไซตามะ
หรือเอาที่ง่ายกว่านั้น คือวางโครงตัวร้ายที่เพิ่มความน่ากลัวมาให้ทันเทีนมกับพระเอก และเพิ่มบทของตัวละครอื่นเข้าไปเรื่อย ๆ กลายเป็นฟามหมู่ อะไรแบบนี้ก็ได้ครับ
และยังมีอีกหลายทางออกเลย แต่จะยิ่งง่ายท่าวางปมมาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว อย่างผมก่อนแต่งจะคิดฉากจบที่ต้องการก่อนเลย หรือแต่งไปก่อน แต่มีการปูเรื่องถึงลาสบอสเอาไว้แล้ว
ผมเองก็แต่งนิยายแนวพระเอกเทพนะ(เป็นเทพจริงว่าที่เทพธิดา)
แต่จากประสบการณ์ก็รู้ดีว่าขืนเทพแบบนี้ต่อไปมีหวังอะไรๆ มันจะง่ายเกิด ไม่มีให้ลุ้นโครงเสียหมด เเละเพราะพึ่งเริ่มเรื่องไม่กี่ตอน เลยตัดสินใจให้แนวมันออกมาคล้ายแบบนารูโตะน่ะ คือการใส่ข้อจำกัดพลัง ใส่ตัวร้ายที่ส่อแววโกงกว่าพระเอกเข้ามา
เหมือนกับนารูโตะช่วงแรกที่ขโมยคำภีร์ต้องห้ามคาถาแยกเงาพันร่างจนเทพ แยกเป็นพันร่างดูโกงดี แต่ใช่ว่าต่อจากนั้นจะชนะไรง่ายๆ เพราะก็ใส่ตัวละครที่เก่งกว่าตัวเอกเข้ามาเงี้ย
สำหรับผมนะ ผมไม่เคยมองนารูโตะตอนเด็กเก่งเลย จนมันได้กระสุนวงจักร 5555
ได้คาถาดีแต่ใช้ยังไม่คล่อง555
-ข้อ 3 เนี่ยนะ
จะช้าจะเร็ว สุดท้ายแล้วมันก็ต้องเขียนให้จบอยู่ดีหรือเปล่า จบแล้ว สุดท้ายคนอ่านก็จะหนีไปอยู่ดี แล้วท็อบก็ต้องตกลงไปเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ
เราว่าไม่จริงค่า ดูตัวอย่างนิยายที่ทุกวันนี้ก็ยังมีคนอ่าน มีคนรู้จักอยู่อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ นิยายสมัยรุ่นพ่อจนตอนนี้ก็ยังมีคนตามเรื่อยๆ ถ้าเกิดเขียนเนื้อเรื่องดีจริงๆล่ะก็ จะกี่ปีเรื่องก็ไม่หล่นท็อปหรอกค่ะ
มันขึ้นอยู่กับนักเขียนมากกว่า ไม่ว่าตัวละครมันจะเทพเเค่ไหน ถ้านักเขียนเก่งพอ นักอ่านก็จะสนุกกับมัน เช่น ไซตามะ ซุปเปอร์เเมน เเละ พี่เทพเทนโด หล่อเเละเท่ทุกกระบวนท่า
เเต่ถ้านักเขียนไม่เก่งพอ วางเเผนไม่ดี เนื้อเรื่องมันจะเริ่มออกทะเล -ตัวเทพจะเริ่มน่ารำคาญ อย่างที่จขกทบอก
ไซตามะนีสุดๆครับเรื่องความเทพ หมัดเดียวจอด แต่ดันกลายเป็นฮีโร่คลาสCซะงั้น
วัน พันช์ แมนนั่นมันอยู่ในฐานะที่ว่า "คอเมดี้" จะกาก จะโกงก็ช่าง เอาฮาไว้ก่อน มันเลยเขียนได้
ถ้าจะเน้นจริงจังน่ะ แบบนี้มันไปไม่รอด
คุณคงจะอ่านแนวนี้มากจนเอียนสินะครับ?
ลองมาอ่านดูครับ TopUp Now!! จงเติมเงินซะสิ แล้วเจ้าจะเก่งขึ้น
พระเอกเทพช้าจนคนอ่านบ่นกัน ฮ่วยยย
https://writer.dek-d.com/cloudsovercast/story/view.php?id=2005094
ผมเป็นแฟบนิยายคุณแล้ว รู้ตัวบ้างมั๊ย *-*
ว่างๆแวะมาอ่านนิยายเราบ้างนะ
https://writer.dek-d.com/popu07/writer/view.php?id=2009542
คร้าบผม
นิยายพระเอกเทพเราว่ามันเสียเพราะคนเขียนดัน Self-insert พอเอาความเก่ง(ที่ตัวเองคิดว่าเก่งสุด ๆ ไม่มีใครชนะ)มาครอบเรื่องมันไม่ได้แสดงความขัดแย้ง ถ้าถอยห่างออกจากตัวเองได้ และมุ่งไปที่โลก มุ่งไปที่ตัวละคร มันมีแง่มุมที่นำเสนออยู่อย่าง chrome shelled regios นี่ก็เห็นเลยว่าพระเอกเก่งใช่ว่าจะพามนุษยชาติรอดพ้นภัยพิบัติ หรือ ถ้าดังหน่อยก็ เทพประยุทธ์เซียนกลอรี่ พระเอกเทพแต่เป้าหมายของเขามันไปด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ มีความขัดแย้ง ในเกมส์พระเอกไร้พ่ายเก่งเทพ แต่นอกเกมก็เป็นแค่วัยรุ่นตอนปลายที่เฟ้อฝันเรื่องเดิมตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้เกิดความสนใจน่าติดตาม มีมุมที่ให้เอาใจช่วย
แต่ความ Self-insertion ก็เป็นจุดขายของนิยายประเภทนี้ถ้าดึงคนอ่านลงไปได้เขาก็อยู่กับมันได้ ไม่ว่าเรื่องมันจะซ้ำซากน่าเบื่อขนาดไหน
อยู่ที่ตััวคนเขียนด้วยครับ หากเขียนเป็นไม่กาวและไม่เข้าข้างพระเอกเกินก็สนุกได้ครับ
*หนึ่งในปัญหาของพระเอกเทพแล้วเนื้อเรื่องทุกอย่างจะจบลงที่พระเอก ตั้งแต่ลูกกระจ๊อกไปยันลาสบอสโดยไม่แบ่งให้ตัวละครรองได้มีบทได้มีโอกาศแก้ปัญหาเลย(แม้ให้ตัวรองลองสู้ด้วยพลังเต็มที่แล้วแพ้ก็ยังไม่มี) เนื้อเรื่องแบบนี่มันจะตันเร็วมากกก เพราะพระเอกเทพอยู่แล้วการพัฒนาตัวละครด้านพลังแทบไม่มี(ต้องเน้นด้านความสัมพันอย่างเดียว)
รำคาญที่สุดคือ พระเอกเปิดตัวมาแบบหายใจใส่ก็ตายครึ่งทวีป
แล้วก็เขียนเนิฟพระเอกให้กาก เจอแบบนี้เลิกอ่านทันที
เดี๋ยวนะหายใจตายครึ่งทวีปมันมีด้วยเรอะ!??
เรื่องไรครับบอกลิงค์หน่อย ดูเวอร์ดี
เปรียบเปรยเฉยๆ
คือ จะเขียนแมรี่ซู ก็ไปให้สุด หยุดที่ออกทะเลไปเลย แต่มาเนิฟตัวละคร อ่านแล้วมันสะดุด เหมือนกับว่า จะเนิฟตัวละครทำไม
อย่างกับเกมเลยนะครับเห็นคนนั้นคนนี้เล่นเทพเกินไปประมาณอัตราชนะ 100% ไรงี้ ตัวละครที่ผู้เล่นคนนั้นเล่นก็โดนเนิฟทันที
มาอ่านนิยายแฟนตาซีตลกของเราแก้เครียดหน่อยป่าว พระเอกไม่เก่งมาก แต่ลากเทพมาด้วย
ชื่อเรื่องตกงานทั้งที ไปเอาดีที่โลกแฟนตาซีดีกว่า
https://writer.dek-d.com/popu07/writer/view.php?id=2009542
ปัญหา - เลยเหรอ
เป็นปัญหาของใครกัน ใครบ้างที่คิดว่ามันเป็นปัญหา
หรือจริงๆแล้วมันไม่ใช่ปัญหา
มันเป็นแค่เพียงว่า มันไม่ถูกกับรสนิยมของคุณ
สมมติว่าคุณเป็นคนไม่กินเนื้อไก่ แต่คนอีก60%กิน
แล้วเลยมีคนเปิดร้านขายไก่จำนวนมาก
ร้านขายไก่จำนวนมากนี้เป็นปัญหาของคุณหรือเปล่า
ตัวเอกในเรื่องของผม กากตั้งแต่ต้นเรื่องเลย คนอื่นๆจะเก่งกว่าหมด จนใกล้จะจบแล้วยังพัฒนาสกิลขึ้นมาได้นิดหน่อยเอง สิ่งสำคัญที่ผมเน้นคือพัฒนาการด้านความคิด ความกล้า เน้นการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ มากกว่า จะรับพลังเทพๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
กากเกินไปก็ไม่ชอบ เทพทรูเกินไปเราก็ไม่ชอบ
น่าจะมีเรื่องเทพทรูประเภทเก่งแต่จิตใจอ่อนแอ บอบบางกว่าสาวน้อย เห็นเลือดแล้วเป็นลม เห็นเข็มแล้วเป็นลม เห็นศพแล้วสลบไปเจ็ดวัน เป็นพวกมีความ emotional สูง อินกับชาวบ้านทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องตัวเอง
กับพวกกากแล้วชอบเสนอหน้าไปตาย แต่ก็ไม่ตาย เอ้ยแนวนี้เยอะละ
ก็จริง แรกๆสนุกมาก ตื่นเต้น แต่หลังๆคนจะเริ่มเบื่อ เพราะชนะอย่างเดียว ดังนั้นคนแต่งจึงต้องสร้างอะไรมากลบจุดนี้ ซึ่งผมมองว่ายาก
คนที่เก่งพอก็จะแต่งต่อไปให้ได้ยาวเรื่อยๆ รักษาฐานคนอ่านหรือลูกค้าต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าคนเขียนหมดมุขเมื่อไหร่ นิยายก็เตรียมโดนดองยาวได้เลย
จริงๆมันไม่มีหมดมุขหรอก ถ้าหมดมุขก็ตัดจบหรือหาจุดจบให้เรื่องของเราแบบสวยๆก็ได้แต่ปัญหาคือนิยายมันยังขายได้นักเขียนก็เลยเลือกจะยืดตอนขาย ซึ่งจะมากจะน้อยมันก็ขึ้นอยู่กับนักเขียนแต่ละคนแต่ยิ่งฝืนยิ่งยืดยิ่งยื้อคนอ่านมันก็จะน้อยลงแหละเพราะนักอ่านเขารู้และสัมผัสได้
อย่างเรื่องแรกของผมที่พลาดไปเยอะก็จะตัดจบแบบสวยๆก็ได้แต่ผมเลือกจะหยุดเอาไว้แล้วจะมารีไรท์ใหม่ให้มันโอเคกว่าเดิมเพราะผมยังรักในตัวละครและนิยายเรื่องนั้น ท่าน darkius รีไรท์ไปถึงไหนแล้ว เห็นช่วงนี้ตั้งกระทู้บ่อยคงกำลังตันๆหรือสับสนอยู่สินะ สู้ๆนะครับ ผมเองคงอีกสักสองสามเดือนแหละถึงจะเริ่มเรื่องแรก [โดนคนอ่านตามด่าตามบ่นตลอด ที่พีทสุดคือผมแอบไปเล่นเกมแล้วไปเจอนักอ่านที่เป็นแฟนตัวยงเขารู้ว่าเป็นผมแล้วมาบ่นใส่ 555]
รีไรท์ได้แค่ 20% เองจ้า เครียดน่ะ เลยพักสมองมาอ่านกระทู้หน่อย วันไหนอ่านและตอบบ่อยๆคือวันนั้นตัน 555
อ่านหลายคอมเม้นแล้วผมมองว่าหลายคนกำลังเข้าใจอะไรผิดและมองผิดทาง
พระเอกเทพทรูมันไม่ได้ทำให้นิยายกากหรือน่าเบื่อ ถ้านักเขียนเก่งและเข้าใจในนิยายของตัวเองมากพอว่าเจาะกลุ่มนักอ่านแบบไหนและคุมโทนของเรื่องได้ นิยายมันปังยอดอ่านไม่มีตกเป็นพันตอนได้อยู่แล้วแต่สำหรับนักเขียนที่ประสบปัญหาความสับสนในตัวเอง ยังไม่เข้าใจนิยายของตัวเองดี ก็จะเจอปัญหายอดตกวูบนั่นแหละ
โดยส่วนมากไม่ว่านิยายอะไรมันต้องมีความพอดี เก่งไปก็น่าเบื่อ อ่อนไปก็อ่านแล้วหงุดหงิด โดยหลักจิตวิทยาแล้ว นักอ่านที่เข้ามาอ่านนิยาย อ่านเรื่องของตัวเอกเขาจะจินตนาการไปว่าตัวเองเป็นตัวเอกและคอยเอาใจช่วยตัวเอกอยู่เสมอ << นี่คือที่มาของความสนุก เพราะนิยายคือการอ่านแล้วอินไปกับมัน ถ้านักเขียนไม่เข้าใจในจุดนี้ เขียนยังไงก็ไม่ปังเข้าถึงคนอ่านไม่ได้ นักเขียนหลายคนในเว็บ Dek d นี้ ผมเห็นการใช้ภาษา การพิมพ์วรรคตอนดูแน่นและเป๊ะกว่าผมมาก คำผิดแถบไม่เจอแต่นิยายคนอ่านน้อยก็อาจจะเพราะสาเหตุนี้
และจากสาเหตุข้างต้น ถ้านักอ่านอินไปกับนิยาย มันจะมีใครอยากให้ตัวเอกในนิยายกากเดน ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ เจอใครก็โดนตบดิ้น ? ดังนั้นพระเอกเทพทรูมันคือการเข้าถึงความต้องการของนักอ่านอีกรูปแบบหนึ่ง
ถ้าวิเคราะห์จากสิ่งที่ผมอธิบายให้เข้าใจไปแล้วทีนี้ก็จะเข้าใจว่าทำไม นิยายแนวต่างโลก หรือแนวนีทที่ไม่มีอะไรดีชีวิตล้มเหลวแล้วได้ไปเทพต่างโลกมันถึงขายดี มันเพราะนิยายแนวนี้มันทำให้นักอ่านที่เป็นนีทหรือไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆเขาอ่านแล้วเขาอิน มันเป็นเรื่องของโอกาสที่สองที่เขาอยากให้มันเกิดกับตัวเองแต่มันทำไม่ได้เขาก็เลยเอาความหวังนี้ไปลงกับนิยาย อ่านแล้วเป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ
ทีนี้กลับมาเรื่องเทพทรู เทพทรูไม่ผิดถ้าคุมโทนของเรื่องและดึงเนื้อหาส่วนอื่นเข้ามาผสมปนเปให้มันน่าติดตามเช่นในเรื่องต้องมีปมต้องมีเป้าหมาย คนเขียนต้องมีสติและคุมโทนของเรื่องไม่ให้มันออกทะเลเกินไปหรือไม่ให้มันรีบเร่งจนเกินไป มีจุคพีค มีจุดผ่อน รู้ว่าเขียนแบบไหนนักอ่านจะติด เขียนแบบไหนนักอ่านจะชิวๆ
คนเขียนเซลฟ์ อินเสิร์ท ไม่ผิด ไม่ใช่แค่ไม่ผิดถ้าท่านทำอย่างถูกวิธีมันจะทำให้การเขียนไหลลื่นและทำให้การกระทำของตัวละครดูเป็นธรรมชาติด้วยซ้ำ การที่นักเขียนจำลองไปว่าตัวเองเป็นตัวละครในเรื่องนั้นๆ ยิ่งจำลองและนึกเห็นภาพได้ใกล้ความจริงมากเท่าไหร่การเขียนงานมันก็จะง่ายและสะดวกมากขึ้นเท่านั้น
สุดท้ายพิมพ์อธิบายไปคงไม่เห็นภาพ ก็คงบอกได้อย่างเดียวว่าความพยายามเท่านั้นจะทำให้เข้าใจถึงความจริง ต้องลองไปอ่านงานที่เขียนแล้วยอดนักอ่านตกวูบ [20 ตอนแรกหลักหมื่น 50 ตอนหลังเหลือหลักร้อยหลักสิบมาเปรียบกับงานที่เขียนไปหลายร้อยตอนแล้วนักอ่านยังหลักพันเหนียวแน่นแทบไม่ตกเลยดูแล้วจะเข้าใจ] โดยส่วนตัวกว่าที่ผมจะเข้าใจและทำให้ยอดนักอ่านคงที่ได้เป็นร้อยๆตอนก็ใช้เวลาเรียนรู้นายเหมือนกันครับ
ปล.อยากจะให้นักเขียนตระหนักรู้ไว้ว่าความชอบของคนมันมีหลายประแบบ บางคนชอบพระเอกเก่งเฉยๆ บางคนชอบพระเอกแบบเทพทรูมหาโครตเทพ บางคนก็ชอบแบบค่อยเป็นค่อยไป นักเขียนต้องเลือกเองว่าจะเน้นกลุ่มนักอ่านแบบไหนแล้วคุมโทนเรื่องไม่ให้หลุดออกจากเส้นเรื่อง ถ้าทำได้ก็จะประสบความสำเร็จมียอดนักอ่านเข้ามาเรื่อยๆ การเขียนนิยายความสนุกมันไม่ได้มีอยู่แค่ความเก่งเทพและการตบเกรียนของพระเอก ความสนุกมันมีมาได้หลายรูปแบบ ทั้งการลุ้นว่าตัวเอกจะเก่งขึ้นแบบไหน ได้ความสามารถอะไรมาใหม่ ตัวร้ายมันจะเลวได้ขนาดไหน แกล้งพระเอกยังไง พระเอกจะจีบนางเอกยังไง ปมของเรื่องคืออะไร เขียนได้หมด ถ้าจัดโทนเนื้อหาและเหตุการณ์ได้โอเคเขียนไป 300 ตอนก็ไม่ต้องวนหลูบ สุดท้ายมันอยู่ที่ประสบการณ์ของนักเขียนล้วนๆ
ผมเองก็เป็นนักเขียนคนหนึ่งที่เขียนแนวพระเอกเก่ง พระเอกทุกเรื่องของผมต้องเก่ง [แต่ผมก็กำลังพัฒนาตัวเองอยู่เหมือนกันในการคุมโทนความเก่งของพระเอกไม่ให้มัน Op เกิน] และสุดท้ายจริงๆ นักเขียนท่านไหนที่ว่างอยู่ หรือหาอะไรทำแก้เบื่อ ผมแนะนำความบรรเทิงขั้นสุดในเว็บ Fictionlog ในเว็บนี้มันมีระบบรีวิวนิยายที่ถือได้ว่าโอเค คือคอมเม้นกับรีวิวจะต่างกันนะและในเว็บนักนักอ่านเขาจะชอบรีวิว อย่างอ่านแล้วชอบก็จะมารีวิว อ่านแล้วไม่ชอบก็จะมารีวิวแบบสับเละเหมือนกัน ดังนั้นถ้าท่านนักเขียนว่าง ผมขอเชิญไปเสพประสบการณ์อ่านรีวิวนิยายของคนอื่นซึ่งถือว่าบรรเทิงพอสมควรและได้ความรู้ด้วย [ความรู้คือเราจะได้รู้ว่านิยายเขียนยังไงถึงโดนด่า ทำไมถึงโดนด่า นิยายเรื่องนั้นที่โดนด่าเยอะๆมันเป็นจริงแบบที่นักอ่านเขาด่าไหม อ่านแล้วก็เอามาปรับใช้กับนิยายของเราได้ครับ]
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?