[BTS COMEBACK] Interlude: Shadow การกลับมาครั้งนี้เพื่อเผยด้านมืดของวงการบันเทิง?

[autumnn_]

        บอยแบนด์ชื่อดังระดับโลกอย่าง BTS เพิ่งจะประกาศ comeback ไปเพียงไม่กี่วันก็ทำให้วงการเพลงต้องลุกเป็นไฟ

BTS ถือเป็นหนึ่งในศิลปินระดับโลกที่ได้รับรางวัลจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นจาก AMA หรือ BBMA รวมทั้งได้มีโอกาศไปเข้าร่วม Grammy ในฐานะผู้ประกาศรางวัล จบปี 2019 ด้วยยอดขายกว่า 3.4 ล้านอัลบั้มแม้ว่าจะ comeback ไปเพียงครั้งเดียวเมื่อเดือนเมษายน

ล่าสุด BigHit Entertainment ผู้เป็นต้นสังกัดของ BTS ได้ประกาศว่าวงจะปล่อยอัลบั้ม Map of the Soul: 7 ในปี 2020 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ และสร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งวงการเพลงโซเชียลมีเดียที่ BTS ใช้เป็นหลักอย่าง Twitter เองก็ตอบสนองกับข่าวนี้ #7isComing และ #BTSisComing ถูกพูดถึงจนกลายเป็น worldwide trend รวมทั้ง trending ในไทย
 

MAP OF THE SOUL : 7 'Interlude : Shadow' Comeback Trailer ถูกปล่อยออกมาในวันที่ 9 มกราคม 2020 ด้วยธีมที่ดูมืดหม่นกว่า MAP OF THE SOUL : PERSONA 'Persona' Comeback Trailer อย่างมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยข้อความที่ส่งถึงใครหลายๆ คน แต่ในกระทู้นี้ เราจะมาเน้นในเรื่องของวงการบันเทิงในโลกแห่งความเป็นจริงกัน

 

                 
 

Interlude : Shadow ที่ถูกแต่งและแสดงโดย SUGA แห่ง BTS เริ่มต้นขึ้นด้วยประโยค

I wanna be a rap star

I wanna be the top

I wanna be a rockstar

I want it all mine

I wanna be rich

I wanna be the king

I wanna go win

I wanna be …

นี่คือสิ่งที่มินยุนกิ หรือ SUGA คาดหวังเอาไว้ก่อนเข้าวงการบันเทิง แต่ดูเหมือนว่าวงการบันเทิงนั้นจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่ใครหลายๆ คนคิด โดยเฉพาะวงการบันเทิงเกาหลีที่ขึ้นขื่อในเรื่องของแฟนคลับที่บ้าคลั่งตัวศิลปินจนผิดปกติ หรือที่เรียกกันว่า 'ซาแซง'

                  

ซาแซง หรือที่อาจจะเรียกได้อีกอย่างว่าสตอร์กเกอร์คือแฟนคลับที่พยายามติดตามไอดอลของพวกเขาไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นในเวลางานหรือเวลาส่วนตัว พวกเธอสนใจเพียงแค่ได้ใกล้ชิดไอดอลของตัวเองโดยที่ไม่พิจารณาถึงความเป็นส่วนตัวของพวกเขา ฉากแรกใน MV เริ่มต้นขึ้นโดยมีคนในชุดสีดำยืนอยู่ข้างหน้าบานประตูของสถานที่ที่ดูคล้ายกับโรงแรม ฉากนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของเหล่าไอดอลที่มีต่อซาแซงเมื่อพวกเธอพยายามติดตามพวกเขาไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบนเครื่องบิน หรือกระทั่งภายในโรงแรมที่พัก

                   

ไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปทางไหนก็มักจะมีมือเอื้อมออกมาฉุดกระชากพวกเขา พฤติกรรมของเหล่าซาแซงนั้นมีตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงพยายามเข้าถึงตัวของเหล่าไอดอล หลายครั้งที่ยามที่เหล่าไอดอลออกไปซื้อของนอกเวลางาน พวกเขาก็ต้องวิ่งหนีคนเหล่านี้ที่พยายามจะเข้าถึงตัวของพวกเขา ไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวนอกเวลางาน

                   

ฉากนี้ใน MV อาจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฉากที่เสียดสีเหล่าซาแซง หรือแม้กระทั่งแฟนคลับได้รุนแรงที่สุด
ภายในฉาก มินยุนกิ สามารถเดินอยู่ท่ามกลางฝูงคนได้โดยที่ไม่มีใครสนใจเขา เพราะทุกคนมัวแต่สนใจ SUGA ที่ยืนอยู่บนเวที นี่สะท้อนให้เห็นว่าหลายๆ ครั้ง ซาแซง หรือแม้กระทั่งตัวแฟนคลับเองก็ลืมไปว่าตัวไอดอลนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ไอดอล เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ SUGA แห่งวง BTS แต่ว่าเป็นมินยุนกิ คนธรรมดาคนหนึ่งยามที่ไม่ได้ยืนอยู่บนเวที
หลายครั้งที่แฟนคลับคาดหวังให้ไอดอลทำตัวเป็นไอดอลตลอดเวลา ต้องมีความสุขตลอดเวลา ทั้งๆ ที่พวกเขาเองก็เป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์โกรธหรือเศร้า
ภายในท่อนนี้ SUGA ได้แรปด้วยเนื้อเพลงเดียวกับตอนต้นเพลง แต่มีประโยคหนึ่งที่แตกต่างออกไป

"I WANNA BE ME"

                    

ฉากสุดท้ายของ MV จบลงด้วยแสงแฟลชที่สาดลงบนใบหน้าของ SUGA ครั้งนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เพียงเสียดสีเหล่าซาแซง ทว่ายังเป็นสื่อทั้งหลายที่มักจะทิ่มกล้องใส่หน้าของพวกเขา หากพวกคุณเคยเห็นคลิปสนามบินล่ะก็ ภาพนี้อาจะเรียกได้ว่าไม่ต่างไปจากเหตุการณ์เหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย


                 




นี่เป็นเพียงหนึ่งในทฎษฎีและความคิดที่ได้รับจาก MV เท่านั้น เป็นที่รู้กันว่า Map of the Soul นั้นเป็นอัลบั้มที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากหนังสือ Map of the Soul ของ Carl Jung และตัว MV รวมทั้งเนื้อร้องก็สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยมุมมองของจิตวิทยา หรือแม้กระทั่งวิเคราะห์ได้ในมุมมองของเนื้อเรื่องที่ดำเนินต่อกันมาตั้งแต่ต้นของ Bangtan Universe แต่โพสต์นี้ต้องการพูดถึงมุมมองของวงการเพลงในโลกความเป็นจริงเท่านั้น

ทุกคนคิดยังไงกับ Interlude: Shadow บ้างคะ? ช่วยคอมเม้นหน่อยน้าา

ปล. นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ถ้าเกิดมีข้อผิดพลาดตรงไหนสามารถทักท้วงได้เลยนะคะ
ปลล. แก้ไขเนื่องจากข้อความหายไปประมาณครึ่งนึง ;-;