รู้สึกยังไงกับสนพ. ที่ทยอยปิดตัวไปเรื่อยๆ
ตั้งกระทู้ใหม่
และที่มากกว่านั้นนักเขียนยังเผยแพร่งานเขียนตัวเองได้โดยไม่ง้อสนพ. ที่มาตราฐานของเขาสูงกว่าเราและยังมีรายได้ดีกว่าสนพ.ด้วยนะ (แอบมีคนกระซิบว่าเคยขายนิยายในเว็บมีรายได้หลักแสนด้วย)
ทุกคนคิดเห็นยังไง...ว่าแต่ความรู้สึกเราย้อนแย้งมั้ย5555
12 ความคิดเห็น
ถ้าเป็น บก ทำงาน สนพ คงหายใจ และเหนื่อยกับการพยายามผลักดันให้ยังมีที่ยืนมากๆ แต่นี่เป็นคนนอก ดังนั้น ถ้าบอกตรงๆ คือ ไม่รู้สึกอะไร
แล้วที่ตรงกว่านั้นคือ
ตอนนี้ต้องการอีบุ๊ก เพราะบ้านไม่มีที่เก็บหนังสือแล้วจ้าาาา นิยายเก่าๆ หลายเรื่อง เราอยากให้ทำอีบุ๊กค่าาาา แต่ก็ไม่ทำ บางเรื่องเป็นหนังสือรุ่นใหม่นี่แหละ มีตัวอย่างให้อ่านในเว็บ แต่ไม่มีอีบุ๊กให้ซื้อ เรื่องเก่าก็ อยากอ่านอีก แต่ก็ไม่อยากไปห้องสมุด ถ้าทำอีบุ๊กก็พร้อมเปย์ อุ แง
เอาแค่ในมุมคนเขียนอย่างเรานะ เมื่อก่อนก็เคยกังวลว่า ทางทำมาหากินจะน้อยลง แต่พอรู้จักการทำอีบุ๊ก หรือเห็นคนทำหนังสือเอง ก็คิดว่าไม่กระทบเท่าไร
คือมันไม่ใช่แค่อีบุ๊ก แต่นักเขียนก็มีทางเลือกที่จะไม่ต้องพึ่งสนพ.แล้วด้วย ความจำเป็นของสนพ.ต่อนิยายมันก็เลยลดลง
สมัยก่อน นิยายมันไม่ได้เผยแพร่ง่ายๆ จะให้คนอ่านคนรู้จักก็ต้องตีพิมพ์สถานเดียว แต่เดี๋ยวนี้ เว็บลงนิยายออนไลน์เยอะแยะ แป๊บๆ คนก็รู้จัก ถ้าเขียนสนุก จับทางถูก ไม่ต้องพึ่งสนพ.เลย คนอ่านก็หันไปซบอีบุ๊กกันเยอะ ซื้อง่าย หาง่าย ไม่มีวันหมดสต็อกด้วย
เอาตรงๆ จะใจหายก็เพราะว่า เราเป็นคนชอบหนังสือเล่มมากกว่า ชอบการเดินหาในร้านหนังสือ และซื้อเก็บเป็นเล่ม ถ้าในอนาคตมันเหลือแต่เป็นอีบุ๊กก็เศร้าแหละ แต่นั่นคงอีกนาน
สำนักพิมพ์ตอนนี้ตลาดแคบ ลงออนไลน์ตลาดเปิดกว้าง กลุ่มนักอ่านมากกว่ากลุ่มที่ต้องการจะซื้อหนังสือหลายเท่า
จะให้เปรียบเทียบก็คล้ายๆกับเกมคอมพิวเตอร์สมัยก่อนที่บูมมากแต่สมัยนี้โดนเกมมือถือกลบหมด สาเหตุเดียวคือกลุ่มเป้าหมายมันเยอะกว่ากัน
ที่สำคัญสุดๆคือเขียนออนไลน์ เป็นอิสระ อยากเขียนยังไงก็เขียน รายได้ผมมองว่าก็คงไม่ได้น้อยกว่าส่งสำนักพิมพ์ เงินที่ได้ก็ไม่ต้องรอ 3-5 วันเบิกเงินออกมาได้เลย กลับกันในกรณีที่ส่งสำนักพิมพ์ รอพิจารณาไปสิ 3 เดือน ผ่านแล้วก็ยังมีขั้นตอนโน่น นี่ นั่น อีกตั้งเยอะ กว่าจะได้เงินรวมครึ่งปีเป็นอย่างน้อย ได้มาก็ไม่ได้เยอะไปกว่าลงขายออนไลน์เลยด้วยซ้ำ
ที่สำคัญคือผมเขียนแนวแฟนตาซี แนวแฟนตาซีส่งนำนักพิมพ์ตอนนี้ผ่านยากมากๆ ไม่ผ่าน ต่อให้ผ่านรายได้ก็ได้ไม่ถึงครึ่งของขายออนไลน์ด้วยซ้ำ มันเลยไม่มีเหตุผลที่จะส่ง [อย่างพลอตนิยายที่ขายออนไลน์อยู่ในตอนนี้ ผมเคยเสนอเข้าโครงการของเว็บๆหนึ่งที่มี บ.ก พิจารณา เขาบอกกับผมว่าพลอตมันไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่ อยากได้ที่แปลกแหวกแนว ให้ผมลองเสนอเข้าไปใหม่ สุดท้ายผมขี้เกียจทำ เขาให้ปรับโน่นแก้นี่ เหนื่อยฟรี ผมดูแล้วมันไม่สนุก มันไม่โอเค ปัจจุบันพลอตที่ผมโดน บ.กเขาปฎิเสธมา ผมลงขายออนไลน์ได้เงินไปหลักแสนๆบาทละครับ]
สุดท้ายเมื่อสำนักพิมพ์พยายามคัดกรองนิยายให้ผู้อ่าน มันเลยเหลือนิยายแค่ไม่กี่กลุ่มที่อยู่ในตลาดและแผงหนังสือมันไม่มีความหลากหลาย พี่ผมซึ่งเป็นคอนิยายก็มักจะมาบ่นว่ามีแต่แนวเดิมๆ พลอตเดิมๆ ในขณะที่กำลังซื้อเท่าเดิมหรืออาจจะลดลง คู่แข่งกับเยอะขึ้น [มีสำนักพิมพ์ผุดขึ้นเยอะ] ตลาดมันก็วายแหละครับ สุดท้ายสำนักพิมพ์จะไม่ปิดไปหมดหรอก เมื่อปิดตัวลงไปถึงระดับหนึ่ง ตลาดมันยังมีกำลังซื้ออยู่ ตอนนั้นที่ไหนสายป่านยาวก็อยู่ต่อได้แหละ
ทำไมพี่เว้นระยะแต่ละย่อหน้าหลายบรรทัดจังครับ เป็นเทคนิคอะไรหรือเปล่าครับ
เปล่าครับ มันติดเป็นนิสัยตอนพิมพ์แล้วครับ ช่วงแรกพิมพ์แบบติดๆกันแล้วโดนนักอ่านเขาทักว่าลายตา ปวดตา
เราว่าข้อเสียของ สนพ. มันคือการเลือกเยอะ มีข้อจำกัดมากกว่า พวกเว็บออนไลน์เสียอีก ไหนต้องมาสนใจเรื่องแนวนิยม หรือเรียกว่าแนวยอดนิยมมากที่สุด ตามกระแสนั่นเอง ไม่เปิดกว้างพอที่จะทำให้นิยายเรื่องอื่นๆตีพิมพ์ได้ แต่กลับกันทางเว็บออนไลน์ คือเปิดกว้างมากที่สุดแล้ว มีทางเลือกให้เลือกซื้อเลือกอ่านเยอะ ยิ่งมีอีบุ๊คด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ขายเป็นน้ำเทท่ากันเลยทีเดียว
เหตุผลก็เหมือนท่านอื่นๆ แต่บาง สนพ. ก็มีทางเลือกคือใช้วิธี Pre-Order กับขาย E-book โดยไม่วางจำหน่ายในร้านหนังสือก็มี ซึ่งหากหนังสือเล่มหมดไปจากตลาด ก็คงน่าเสียดาย เพราะตัวเองชอบอ่านและสะสมหนังสือเล่มมากกว่า
ส่วนตัวรู้สึกเสียดายค่ะ
อย่างน้อยในระดับหนึ่งก็มีคนช่วยสกรีนให้ แม้ว่ามาตรฐานการสกรีนระยะหลังจะห่วยแตกจนทำให้เราเลิกอ่านนิยายไทยไปเรียบร้อยแล้ว (คือมันก็แย่ลงเรื่อยๆ แหละ แต่ไม่มีอะไรชวนสิ้นหวังเท่าในระยะสามสี่ปีมานี้) เหลือแค่นิยายแปลก็ตาม แต่มีก็ยังดีกว่าไม่มีน่่ะ
เราไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของนักเขียนออนไลน์ค่ะ และเราไม่คิดจะไปลองอ่านเรื่องของนักเขียนที่ไม่คุ้นเคยด้วย ดังนั้นการล้มหายตายจากของสำนักพิมพ์กระทบกับเราพอสมควรเลยแหละ แต่ถามว่าเดือดร้อนมากไหม ก็ไม่นับว่ามาก เพราะสำหรับคนเสพ content มันก็มีทางเลือกอื่นแหละ
ในช่วงระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งที่โดดเด่นกว่านักเขียนนิยายคือ นักเขียนบท ค่ะ หลายครั้งที่เราเห็นว่าบทโทรทัศน์ดีกว่านิยายเยอะ ความสามารถห่างชั้นกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ คนเขียนบทมักมีประสบการณ์สูง สร้างงานได้ดี แต่มันจะแปรผกผันกับความสดใหม่ พวกเขาเขียนงานที่มีความแปลกใหม่ได้ยากกว่านักเขียนหน้าใหม่ไฟแรง ดังนั้นทางที่ลงตัวของคนทำงานละครคือ ไปซื้อลิขสิทธิ์นิยายที่มีพล็อตแปลกใหม่ (แต่เขียนยังไม่ค่อยดี) แล้วมาโยนให้กับมือเก๋าเป็นคนเรียบเรียง เราจึงมองว่าละครตอนนี้จึงน่าสนใจกว่าหนังสือค่ะ
มันคือธุรกิจครับ หากปรับตัวไม่ได้ก็ตาย Tranfrom or Die เมื่อตลาด E-Book มันกว้างและใหญ่กว่าแล้วในปัจจุบัน เมื่อก่อนไม่มีก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปด้วย Startup และโลกมันเปิดได้ด้วย Application ในมือเรา การที่เราจะต้องเดินไปซื้อหนังสือที่ห้างหรือนอนอยู่ที่ห้องแล้วกดซื้อได้เลยมันต่างกันมากครับ เวลาที่เสียไปกับการออกไปซื้อ ขึ้นรถ เดินหา จ่ายเงิน กลับบ้าน ไม่รู้ 2-3 ชมมันจะคุ้มไหม อันนี้ในมุมมองของผมในฐานะนักอ่าน
แต่หากมาพูดถึงในฐานะนักเขียนแล้ว การที่เราต้องส่งต้นฉบับไปสำนักพิมพ์ รออย่างต่ำ 3 เดือน ในขณะที่เพื่อนเราบางคนทำ E-Book ขายและรออนุมัติใน 3 วันก็ขายได้แล้ว ผ่านไป 1 เดือนบางท่านรับเงิน 5000 แบบผม หรือบางท่านได้เงินหลักหมื่น เทียบกับ 3 เดือนที่รอฟังผล ถ้าผ่านแล้วต้องรอพิมพ์อีก ยิ่งบางท่านอาต้องรอวางขายรวมไปแล้ว 6-7 เดือน เวลากว่าครึ่งปีนี้เพื่อนหลายคนทำเงินจาก E-Book ไปกว่า 5-6 หมื่นแล้ว ที่สำคัญ Meb และเด็กดี จ่ายตรงเวลาเสมอ ไม่ต้องเสียเวลาโทรทวงหรือรอคอยเงินที่ได้ ผมกล้าพูดกล้าพิมพ์เพราะสัมผัสและรับเงินแบบนี้มาแล้ว เทียบกับเวลาที่เสียไปมันไร้สาระมาก จึงไม่แปลกที่หลายคนจะทำมือหรือขาย E-Book ไม่ต่างจากมอไซค์รับจ้างกับ Grab นั่นแหละครับ
ส่วนเรื่องที่ว่าการเก็บหนังสือเป็นเล่มมันฟินกว่าหรืออะไรก็ตามเป็นเรื่องความชอบของแต่ละคน เอามาวัดเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ที่วัดได้คือความสะดวกของคนอ่านครับ และหลักฐานคือการปิดตัวของสำนักพิมพ์ที่เจ้าของกระทู้ตั้งมานั่นเอง
เผิน ๆ ก็ตามคนอื่น แต่พอรู้ปัจจัยอื่น ๆ ก็นั่นแหละค่ะ
รู้สึกว่าเป็นไปตามวิถีทางของโลกที่กำลังเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม สำนักพิมพ์ที่ปรับตัวไม่ทันก็ย่อมล้มหายไป สำนักพิมพ์ที่หาจุดแข็งของตัวเองเจอก็น่าจะพอยืนอยู่ได้ เพราะลึกๆแล้วสำหรับคนอ่าน…การได้ลูบๆคลำๆจับต้องหนังสือที่ชอบเป็นความสุนทรีย์อย่างหนึ่งในชีวิต ซึ่งอีบุ๊กไม่อาจมอบให้ได้
โดยส่วนตัวอีบุ๊กเหมือนข้าวกล่องในร้านสะดวกซื้อ ซื้อง่าย กินง่าย สุดแท้แต่ความสะดวก เอาแค่อิ่ม…สนองความต้องการในช่วงนั้นๆจบแล้วก็เดินจากไป พูดจากประสบการณ์ของคนอ่านที่มีอีบุ๊กหลายร้อยเล่ม ข้อดีอีกอย่างของอีบุ๊กก็คือมันเป็นอะไรที่ลืมง่าย ถ้าไม่อยากเห็นก็แค่ยัดมันไว้ใน my cloud หรืออ่านจบแล้วก็ลบทิ้งไปเลย ไม่เหลือซากให้ทิ่มแทงใจว่าทำไมดันหน้ามืดไปโหลดซื้อมา ซึ่งนับว่าดีต่อใจจริงๆ เรียกว่าวิน วิน ด้วยกันทุกฝ่าย
ในอนาคตอาจจะเหมือนกับในญี่ปุ่น กล่าวคือหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์และสามารถวางขายในร้านหนังสือใหญ่ๆได้ ก็จะถูกยกระดับให้อยู่ในอีกสถานะหนึ่ง เพราะนี่คืิอสิ่งที่คัดมาแล้ว คิดดีแล้วว่าคู่ควรถึงได้กล้าลงทุนผลิตและจัดจำหน่าย อะไรที่ไม่เด่น ไม่ดัง ไม่มั่นใจ ก็เลือกที่จะไม่นำเสนอ ไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยใช่เหตุ ระหว่างที่ลูกค้าเลือกหนังสือหากเกิดแผ่นดินไหวถูกกองหนังสือทับตาย อย่างน้อยๆจะได้ตายท่ามกลางคุณภาพ ฮ่า…ฮ่า
รู้สึกเฉยชา ปกติก็ไม่ค่อยซื้อหนังสือจากสำนักพิมพ์อยู่แล้ว เนื่องจากมันมีแต่แนวกระแสนิยม ไม่ก็มีแต่นิยายจากนักเขียนชื่อดังที่ส่วนใหญ่เขียนเป็นแนวทางเดิม เบื่อ
อยากได้อะไรที่มันแปลกใหม่และแหวกแนวมั่ง สุดท้ายหาซื้อนิยายจากตามเว็บไซต์ดีกว่า บางครั้งก็เจอเพชรในโคลนก็มี แล้วสำหรับนิยายบางเรื่องที่เปรียบดังเพชรก็มีเขียนไว้ท้ายตอนด้วยความน้อยใจว่า ไม่ผ่านจึงมาขายเอง
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?
บทความที่คนนิยมอ่านต่อ