Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิว ข้อดี ข้อเสีย ของการเรียนหมอ แบบละเอียด

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
            *เป็นความเห็นส่วนบุคคลนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน แค่อยากมาแชร์ประสบการ์ณเฉยๆ
  
                    ต้องบอกก่อนว่าพื้นเพคือเป็นเด็กมัธยมต่างจังหวัด ห้องภาคเรียนธรรมดาๆคนหนึ่ง

                     เมื่อ 7-8 ปีที่แล้วเป็นช่วงที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยนิสัยส่วนตัวคือเป็นคนที่ไม่ได้มีเป้าหมายว่าอยากจะเป็นอะไรพิเศษ  การเรียนก็ไม่ได้เก่ง ไม่ได้อ่านหนังสือหนักเพื่อสอบเข้าอะไรมากมาย แต่เมื่อตัดตัวเลือกแล้วก็เหลือแต่หมอ ที่เด็กต่างจังหวัดพากันฮิตสอบเข้าแข่งกัน เราก็เลยเอาบ้าง ก็เลยมาเร่งติวสอบเอาโค้งสุดท้าย
        ด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตา ทำให้เราสอบติดโดยยื่นคะแนน GAT-PAT เข้าคณะแพทย์ที่พึ่งเปิดใหม่ไม่นาน ประจำจังหวัด เป็นโครงการที่หลังเรียนจบแล้วต้องใช้ทุน 3 ปี  
     
              นี่จะเป็นการรีวิวตลอดการเรียน 6 ปี 8 เดือน ของเรา โดยเรียนชั้นพรีคลินิกหรือชั้นปีที่1-3 ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งช่วงนั้นคณะแพทย์ที่มหาลัยต่างจังหวัดของรัฐ เปิดใหม่เพิ่มมากขึ้น เราจึงได้เป็นนักศึกษาแพทย์รุ่นแรกๆของมหาลัยนั่นไปโดยปริยาย รุ่นนึงมีนักศึกษาแพทย์ไม่ถึง 40 คน
    
                  ข้อเสีย
    1)      ความเครียดสะสม บางคนลาออกกลางคัน หรือออกช่วงใช้ทุน 3 ปี หรือช่วงไปเรียนต่อหมอเฉพาะทางซึ่งใช้เวลาอีก 3-4ปี กว่าจะเรียนจบ อาจจะทำให้เกิดภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า ได้มากกว่าปกติ มีข่าวนักศึกษาแพทย์ฆ่าตัวตายอยู่ทุกปี เพราะโดนความกดดันและความคาดหวังที่สูง ทั้งจากตัวเองและคนรอบข้าง อาจารย์แพทย์ เพื่อนแพทย์คนอื่น คนไข้ ครอบครัว    ต้องเสียน้ำตากันไปเยอะกว่าจะเรียนจบมาได้

   2)      สิ่งที่จะต้องเจอแน่ๆคือ การตรวจร่างกาย จะต้องจับแทบจะทุกส่วน เช่น วอร์ดศัลยกรรม ก็จ้องตรวจบริเวณหน้าอก ทวารหนักของคนไข้ เย็บแผลฉีกขาด เลือดพุ่ง ตอนขึ้นวอร์ดอายุรกรรม ก็ต้องเอาอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำหนอง ไปทำการย้อมหาเชื้อโรคนั้นๆ   

    3)    ต้องระวังให้มาก เวลาขึ้นวอร์ดตรวจคนไข้ เช่นต้องระวังเวลาฉีดยา ทำหัตถการที่ต้องใช้เข็ม แล้วปรากฏว่าติ่มโดนมือตัวเอง เพราะเราไม่รู้เลยว่าผู้ป่วยคนนั้นมีความเสี่ยงในเรื่องของ HIV รึเปล่า กับโรคทางระบบทางเดินหายใจ นักศึกษาแพทย์หรือหมอบางคนก็มีโอกาสติดเชื้อวัณโรคได้จากคนไข้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้นกันของแต่ละคนด้วย ทางที่ดีคือควรใส่แมชไว้ทุกครั้งเวลาราวด์คนไข้

    4)    บางทีก็นอนไม่พอ เพราะว่าต้องไปเข้าเวร ก็คือราวน์ดูคนไข้ในตึกผู้ป่วยถึงหัวค่ำ แล้วรอรับเคสผู้ป่วยใหม่ในวันนั้นอีก ไหนจะต้องทำพรีเซ้นต์เคสวันต่อไป เวลาอ่านหนังสือและเตรียมสอบก็น้อยลงไปอีกด้วย

  5)      อุบัติเหตุต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ หลังจากนอนไม่พอ อาจะเผลอหลับในได้   

 6)    มีความเสี่ยงเวลาที่ต้องทำหัตถาการหรือใช้อุปกรณ์ต่างๆลงบนร่างกายคนไข้ (ขึ้นปีสูงต้องทำแน่นอน เช่น เจาะปอด เจาะช่องท้อง เจาะไขสันหลัง  ) ถ้าไม่ชำนาญพอ หรือประมาทอาจจะทำให้อาการแย่ลง หรือมีความเสี่ยงเพิ่มมากยิ่งขึ้น

 7)    มีการสอบที่หลายขั้นตอนกว่าจะจบเป็นหมอได้ เป็นสาขาที่สอบเข้ายาก สอบจบก็ยาก ทั้งต้องสอบให้ผ่านแต่ละบล็อกวิชาที่เราไปเรียน แล้วยังจะมีสอบเอาใบประกอบวิชาชีพ 3 ขั้นตอน (National License) ซึ่งขั้นตอนที่ 1 มีความยากที่สุด หลายคนสอบไม่ผ่านจนต้องสอบใหม่หลายรอบ ในช่วงชั้นปี 4-6 ถ้าไม่ผ่านต่อให้จบมหาลัยได้ แต่ก็จะไม่มีเลขใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งต้องเอาไปใช้ในการทำงานในโรงพยาบาล 

 8)    แอบหาแฟนยาก เพราะไม่ได้เจอใครเลยจ้า แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นแพทย์คบแพทย์ด้วยกันเอง ไม่ก็เภสัช พยาบาล สัตว์แพทย์ น่าจะมาจากที่อาชีพใกล้ๆกันน่าจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า  แต่ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล รุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่นก็มีแฟนเป็นคนต่างชาติ อาชีพอื่นก็มีเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็หาผ่าน Application ทั้งนั้น

9)  ต้องหมั่นหาความรู้อ่านหนังสือบ่อยๆ เพราะไม่อย่างงั้นจะลืมเอาได้ อีกทั้งความรู้เดี๋ยวนี้มีอัพเดทมาเรื่อยๆ จะต้องกระหายที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ แต่แล้วแต่คน คนขี้เกียจอย่างเราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ถถถ                                      
 
                             ข้อดี

    1)     จะได้เรียนในสิ่งที่เกี่ยวกับมนุษย์จริงๆ แบบร่างกายทุกส่วน เข้าใจความเป็นมาของระบบกลไกของร่างกาย ทั้งแบบปกติและไม่ปกติได้ดี

     2)    การเป็นคนที่มีความสุขกับอะไรง่ายๆรอบตัว เช่นเวลา ตรวจอยู่แผนกห้องฉุกเฉินแล้ว ยุ่งมกๆๆ ต้องเดินไปตรวจเตียงนั้นเตียงนี้ ถาม ซักประวัติ ตรวจร่างกาย  ใส่ข้อมูลในคอม เขียนใบสั่งยาตั่งต่าง โทรติดต่อแพทย์เฉพาะทางเป็นต้น แล้วพอช่วงที่ได้พักแบบนั่งหายใจเฉยๆ สักประมาณ 5 นาที ก็มีความสุขมากล่ะ มีเตียงให้นอนพักหลับสนิท มีอาหารให้กินไม่หมดแรง ก็โอเคมากๆเลยในตอนนั้น 

    3)   เข้าใจโรคของร่างกายและจิตใจ ปลงในเรื่องอขงการเกิดแก่เจ็บตายของมนุษย์  เห็นสัจธรรมอีกด้านหนึ่งของมนุษย์ ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่บางคนยังมีปัญหาทางจิตใจ สังคม อะไรร่วมด้วย เคสฆ่าตัวตายมีทุกวัน เคสทำแท้ง ในขณะเดียวกันก็มีเคสคลอดเด็กเกิดใหม่

    4)    ได้ทำบุญต่อเพื่อนมนุษย์โลกตัวกัน รู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่า ที่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นด้วย เวลาคนไข้อาการดีขึ้นเราก็มีความสุข เป็นความสุขที่ไม่ต้องใช้เงินง่ายเลย

    5)     ช่วงระหว่างที่เรียนปีสูง ชั้นคลินิก แล้วจะได้เปลี่ยนวอร์ดทุกๆสามเดือน ก็จะได้เจอกับพี่แพทย์ใช้ทุน อาจาร์ยและพยาบาลประจำวอร์ด ระหว่างที่ราวน์เดินดูเคสคนไข้เขียนออเดอร์ลงในแฟ้ม ก็จะมีพี่ๆหรือน้องนักศึกษาแพทย์มาตามราวน์ด้วยกัน ก็อาจจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ช่วยกันดูแลเคสเป็นทีม ได้เรียนรู้จากรุ่นพี่ ช่วยเหลือกัน ก็จะมีโมเม้นต์ที่ดี อย่างเช่น พอสนิมสนมกันระยะหนึ่งก็ชวนกันไปทานข้าวข้างนอกบ้าง เลี้ยงข้าวน้องบ้าง ส่วนรุ่นน้องก็จะมีทำของขวัญที่ระลึก ซื้อขนมมาให้พี่ แลกเปลี่ยนกัน ถ่ายรูปกัน ก่อนจะต้องแยกย้ายไปอยู่วอร์ดอื่น  ถ้าได้พี่ใจดี หรือน้องที่ขยันทำงาน ก็จะรู้สึกไม่เครียดมาก มีทีมของช่วยเหลือ แต่เราก็ต้องพยายามด้วยเช่นกัน เพราะควรทำผิดพลาดให้น้อยที่สุด  กับประโยค Frist do no harm

   6)    ได้ทำอะไรใหม่ๆที่ตื่นเต้นท้าทาย ที่คนทั่วไปไม่ได้ทำกันแน่นอน เช่น ปั้มหัวใจ CPR ให้คนไข้หัวใจหยุดเต้น , เจอเคสทางจิตเวชในวอร์ดคนไข้ ที่อยู่ๆตีหนึ่งตีสอง ลุกขึ้นมาเต้นหนักมาก , ได้เห็นอวัยวะภายในร่างกายคน ได้ช่วงเย็บบาดแผล ใช้เข็มฉีดยาเจาะส่วนต่างๆของคนไข้เพื่อช่วย ขึ้นอยู่กับโรค เช่น ไขสันหลัง ปอด ท้อง เป็นต้น  ใช้เฝือกพันกระดูกที่หัก

    7)      จะได้เจอคนใหม่ๆผ่านเข้ามาเสมอ ได้มิตรภาพใหม่ๆเก็บไว้เป็นความทรงจำ เช่นรุ่นน้องกลุ่มใหม่ พี่ราวน์กลุ่มใหม่ แต่ก็ไม่เคยเจอคนที่ใช่จากการราวด์อยู่ดี ถถถ ไม่มีอารมณ์จีบกันเลยจ้า จะนอน!!

     8)     ถ้าคนที่มาเรียนแล้วชอบ ขยันตั้งใจ ก็จะไปได้ดีกับวิชาชีพนี้  เคยเห็นเพื่อนแพทย์และอาจาร์ยเฉพาะทางที่จบมาจากมหาลัยดังมีชื่อ นอกจากจะนิสัยดีแล้ว ยังมีความขยันตั้งใจ เป็นแบบอย่างที่ดีในการเป็นแพทย์มากๆ ความรู้วิขาการก็แน่นเป๊ะ สนุกกับการทำงาน ดูเกิดมา Born to be ที่จะทำอาชีพนี้จริงๆ

    9)      ได้ฝึกทักษะการพูดคุย ถามตอบ การวางตัว ในตอนที่ต้องคุยกับคนไข้มากขึ้น จากคนที่ไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้าตอนนี้กลายเป็นคุยได้สบายๆกันเองกับคนหลายช่วงอายุ 

10)    ถ้าอดทนจบมาได้แล้ว จะพบว่าหางานทำได้แน่นอน ไม่ตกงาน ไม่อดตาย และเดี๋ยวนี้ก็สามารถทำงานในโรงพยาบาลรัฐ เอกชน คลินิกทั่วไป คลินิกเสริมความงาม ซึ่งรายได้ก็ดีในระดับหนึ่ง  แล้วยิ่งถ้าจบแพทย์เฉพาะทางมาได้แล้ว ยิ่งสบายขึ้นด้วย แต่กว่าจะถึงจุดนั้นก็ต้องใช้เวลาพอสมควร

   11)      กรณีที่ อยากลองไปเรียนหรือทำอย่างอื่นก่อน ค่อยกลับมาเป็นหมอก็ยังสามารถทำได้อีกด้วย เช่น year gap ไปเรียนภาษา หรือไปเปิดร้านคาเฟ่ ไปทำอะไรที่อยากทำดูก่อนสักพัก แล้วถ้าเกิดหาง่ายไม่ได้ หรือไม่ประสบความสำเร็จกับธุรกิจนั่น กลับมาเป็นหมออีกสอบก็ไม่เสียหาย  แต่ระหว่างที่ไปทำอย่างอื่น ก็อาจจะเจอสายตาและคำถามที่มองแปลกๆหน่อยว่า เป็นหมอก็ดีแล้วนี่ ทำไมมาทำอะไรแบบนี้ ก็เอาเป็นว่า อย่าได้แคร์ค่ะ จะทำอะไรตัวคุณรู้ตัวดีที่สุด ใครจะเข้าใจไม่เข้าใจก็เรื่องของเขา

   12)       การเป็นหมอในสมัยนี้ ค้นหาความรู้ได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมากๆ หาอ่านไม่ว่าจากวารสาร journal ทางการแพทย์ หรือจาก application ที่เชื่อถือได้อย่าง Pubmed , Medscape เป็นต้น         

                   น้องๆคนไหนอยากสอบถามเพิ่มเติม ก็ถามเข้ามาหลังไมค์ได้นะคะ     twitter : Rin36xxx  หรือ      pink_idolberry@hotmail.com

แสดงความคิดเห็น

>

6 ความคิดเห็น

Sleepytimeeeee 13 เม.ย. 63 เวลา 13:14 น. 1

ความเครียดสะสม เพราะโดนความกดดันและความคาดหวังที่สูง "ว่าคุณต้องทำงานข้ามวันข้ามคืนเดือนละหลายวันได้โดยไม่ผิดพลาด"

1
_Rin36xxx_ 13 เม.ย. 63 เวลา 15:23 น. 1-1

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่เปลี่ยนแปลงเลยค่ะ

0
_Rin36xxx_ 13 เม.ย. 63 เวลา 15:24 น. 2

พิมพ์ผิดเยอะไป อ่านไม่ลื่นไหล ตอนขอโทษด้วยค่า ใครก็ได้บอกบุญที่ว่าแก้ตรงไหนได้บ้าง -/\-

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ข่าว ค่าย กิจกรรม กรุณาไปที่ www.dek-d.com/activities

Kuschy 24 พ.ย. 63 เวลา 17:14 น. 6

เรียน 6 ปี 8 เดือนเลยหร่อคะ เกือบ 7 ปีเลย แล้วเรียนแพทย์นี่มีใคร F มั้ยคะ เค้าตัดเกรดกันแบบไหนคะแนนสอบล้วนๆ 100% เลยมั๊ยคะ แล้วตอนทำคลอดนี่ยากมั๊ยคะ มีอาการตื่นเต้นมือสั่นบ้างมั๊ยคะในช่วงแรกที่ทำคลอด

0