Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ทุน UWC และประสบการณ์เรียนต่อสหรัฐอเมริกาในชั้นมัธยมปลาย

ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีค่ะ เราชื่อแก้ม เป็นหนึ่งในนักเรียนทุน United World Colleges (UWC) ซึ่งเราได้รับการเสนอชื่อเข้าศึกษาที่ Armand Hammer United World College of the American West หรือที่เหล่านักเรียนรู้จักกันดีในชื่อ UWC-USA ที่รัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ เราเพิ่งเรียนจบมาสด ๆ ร้อน ๆ (พฤษภา 2563/2020) นึกย้อนไปถึงช่วงที่ตัวเองสมัครแล้วยังจำได้เลยว่าเรานั่งไล่อ่านกระทู้ที่รุ่นพี่มาเขียนเล่าประสบการณ์ทุน UWC อย่างหนักหน่วงมาก (เดี๋ยวเราจะใส่ลิงก์กระทู้รุ่นพี่ไว้ข้างล่างนะคะ) จากแค่สนใจนิด ๆ จนกระทั่งรู้ว่าตัวเองได้ทุนก็อ่านซ้ำอ่านซ้อนไปหลายรอบมาก แต่จำนวนกระทู้ที่มีก็น้อยเหลือเกิน ยิ่งของโรงเรียนเราซึ่งเป็นสาขาที่อเมริกา ก็คือไม่มีเลย ดังนั้นหลังจากที่เราได้ไปเจอและเก็บเกี่ยวประสบการณ์นั้นมาด้วยตัวเองแล้ว เราเลยตั้งใจจะมาแบ่งปันเรื่องราวของเรา ที่เรารู้สึกว่าเป็น 2 ปีที่มีค่า และเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำที่สุดให้ทุกท่านที่สนใจได้อ่านกันค่ะ

เพื่อความสะดวกต่อการอ่าน    เราขอแยกเป็นตอน  ๆ และเขียนไว้ในคอมเม้นนะคะ เราจะลิสต์หัวข้อต่าง ๆ ที่เรา (ตั้งใจ) จะเล่าไว้ด้านล่างนี้ ทุกท่านสามารถเลื่อนลงไปอ่านเรื่องที่สนใจกันได้เลยค่ะ
ตอนที่ 1 – การสมัครทุน UWC
ตอนที่ 2 – การต้อนรับนักเรียนใหม่ และปฐมนิเทศน์
ตอนที่ 3 – โรงเรียนที่มีปราสาท
ตอนที่ 4 – ทำความรู้จักกับหลักสูตร IB
ตอนที่ 5 – กิจกรรมในโรงเรียน
ตอนที่ 6 – วันสำคัญของโรงเรียน
ตอนที่ 7 – New Mexico และบริเวณโดยรอบ
ตอนที่ 8 – ปิดเทอมย่อย (fall/spring break) ไปไหน?
ตอนที่ 9 – ทัศนคติ การมองโลกที่แตกต่างออกไป
ตอนที่ 10 – มาเรียนที่อเมริกาเป็นยังไงบ้าง?

ใครที่สนใจอยากหาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมของโรงเรียน เรามีเว็บไซต์ที่ทำเป็น portfolio ด้วยค่ะ แต่เนื้อหาจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดเพราะเป็นหนึ่งในงานที่ทำส่งครูที่โรงเรียนด้วย ส่วนใครมีคำถามเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเรื่องประสบการณ์หรือการสมัครทุนที่อยากคุยกับเราส่วนตัว ทักไอจีเรา @gaemsiris ได้เลยนะคะ
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจเข้ามาอ่านกันนะคะ หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่องทุน uwc หรือเกิดความสนใจกันบ้างไม่มากก็น้อย และอย่างที่ได้พูดไปแล้ว ช่วงเวลา 2 ปีของเราเป็นช่วงที่เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และมีความสุข สนุกมากจริง ๆ อยากให้ทุกคนได้มารับประสบการณ์แบบเดียวกันนะคะ

แก้ม
Sansiri Gaem Saensopa
UWC-USA Class of 2020

กระทู้ของรุ่นพี่เรานะคะ
UWC Red Cross Nordic (Norway)
Pearson College UWC (Canada)

แสดงความคิดเห็น

>

16 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

gaemsiris 24 พ.ค. 63 เวลา 14:07 น. 5

ตอนที่ 1 – การสมัครทุน UWC

United World College หรือ UWC เป็นองค์กรทางการศึกษา ที่คัดนักเรียนจากทั่วโลก และให้ทุนการศึกษาไปศึกษาต่อในโรงเรียนในเครือ เป็นระยะเวลา 2 ปีในชั้นมัธยมปลายค่ะ โรงเรียนของเรา UWC-USA นี้ก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนในเครือ ซึ่งจะเป็นสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ นอกจากที่นี่แล้วก็ยังมีอีก 17 โรงเรียนที่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์ของ UWC เลยค่ะ (https://www.th.uwc.org)


ก่อนจะเริ่ม เราต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่าเราจะโฟกัสไปที่ประสบการณ์มากกว่า โดยเฉพาะประสบการณ์ที่โรงเรียนหลังจากที่เราได้รับทุนแล้ว ดังนั้นเรื่องที่จะเล่าจะไม่ค่อยมีฮาวทู หรือรายละเอียดปลึกย่อย เช่น ลิสต์เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการสมัคร จำพวกนี้ ใครที่สนใจจะสมัครเราขอแนะนำว่าให้ตรวจสอบรายละเอียดในเว็บไซต์จะดีกว่าค่ะ หรือใครสนใจฮาวทูก็สามารถทิ้งคอมเมนต์ไว้ หรือทักไอจีมาก็ได้ค่ะ เราจะพยายามตอบทุกคนอย่างเต็มที่นะคะ

เกริ่นนานแล้ว เรามาเริ่มตั้งแต่การสมัครทุนกันเลยดีกว่าค่ะ โดยขั้นตอนการคัดเลือกจะแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ 1. กรอกใบสมัครและยื่นเอกสารที่สำคัญ 2. ทำกิจกรรมกลุ่ม และ 3. สอบสัมภาษณ์รายบุคคล โดยขั้นตอนที่ 2 และ 3 ประเมิณรวมกันเป็นขั้นตอนเดียวค่ะ ก็คือถ้าเราผ่านรอบแรกแล้วก็รอลุ้นอีกแค่รอบเดียวเลยว่าจะติดทุนมั้ย


1. กรอกใบสมัครและยื่นเอกสารที่สำคัญ

ลิสต์เอกสารที่ต้องยื่นทั้งหมดจะมีอยู่ในหน้าเว็บไซต์ของ UWC เลยค่ะ คำแนะนำจากเราเลยคือให้เริ่มทำแต่เนิ่น ๆ เพราะจำนวนเอกสารนั้นมันเยอะมากกกก และเป็นเอกสารที่มีขั้นตอนต่าง ๆ เยอะมาก ๆ ด้วยค่ะ เช่น จดหมายแนะนำ (recommendation letters) จากคุณครู จดหมายรับรองจากโรงเรียน ใบทรานสคริปต์ portfolio นอกจากนี้เราก็ต้องใส่อันดับประเทศด้วยนะคะว่าเราสนใจจะไปเรียนที่โรงเรียนของประเทศไหนที่สุด เท่ากับว่าต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก ส่วนในใบสมัครก็มีตั้งแต่การกรอกข้อมูลส่วนตัวไปจนถึงเขียนเอสเส 2-3 อัน เป็นทั้งภาษาอังกฤษและไทย ใครที่กังวลเรื่องการเขียนเอสเสภาษาอังกฤษ เราแนะนำว่าให้ลองส่งให้ครูที่โรงเรียนช่วยตรวจดูด้วยค่ะ ตอนเรายื่นเราก็ส่งให้ครูภาษาอังกฤษช่วยแก้เพื่อให้มั่นใจว่าเราเขียนออกมาได้ดีที่สุด อย่างน้อยถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรเราก็จะได้แก้ก่อนส่งได้ทัน


2. ทำกิจกรรมกลุ่ม

หลังผ่านการคัดเลือกก็จะเข้าสู่รอบกิจกรรมกลุ่มและสัมภาษณ์ค่ะ เป็น 2 ขั้นตอนแยกออกจากกันก็จริง แต่เรียกว่าทำติด ๆ กันเลย โดยเริ่มด้วยกิจกรรมกลุ่มในตอนเช้า และในตอนบ่ายก็มีการสัมภาษณ์นักเรียนครึ่งหนึ่ง ในวันถัดมาถึงจะสัมภาษณ์อีกครึ่งหนึ่ง กิจกรรมกลุ่มจะมีหลากหลายมาก ๆ แต่ส่วนมากแล้วเป็นกิจกรรมที่ทดสอบความกล้าแสดงออกของเรา ว่าเรากล้าขึ้นมารับบทผู้นำมั้ย เรากล้าเข้าหาเพื่อนคนอื่น ๆ หรือเปล่า ประมาณนี้ค่ะ ในปีเรามีแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ด้วย โดยมีคณะกรรมการ 1 คนต่อ 1 กลุ่ม ที่ถือคลิปบอร์ด คอยเดินดูและจดบันทึกพฤติกรรมไปด้วย เราเขียนแล้วฟังดูน่ากลัวก็จริง แต่จะบอกว่าตอนที่อยู่ในนั้นบรรยากาศมันไม่ได้น่ากดดันอะไรเลยนะคะ เราสนุกมากที่ได้รู้จักกับคนใหม่ ๆ เต็มไปหมด หลายคนอาจเครียดกับกิจกรรมกลุ่มเพราะรู้สึกว่าเราต้องแสดงด้านดีของตัวเองออกมา แต่เรารู้สึกว่า ยิ่งเราเกร็ง เรายิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ความเป็นเราที่สำคัญ ๆ หลาย ๆ อย่างมันก็จะดรอปตามลงไปด้วย ดังนั้นอยากให้ลองมองว่าเราแค่มาเข้าค่ายเล่นเกมกับเพื่อนเฉย ๆ มากกว่าค่ะ ทำเหมือนคณะกรรมการไม่อยู่ในห้องเลยก็ได้และก็เป็นตัวเราเองให้ได้มากที่สุด


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625273

วันทำกิจกรรมกลุ่มค่ะ


3. สอบสัมภาษณ์รายบุคคล

สัมภาษณ์เป็นขั้นตอนที่เราตื่นเต้นมากที่สุดแล้วค่ะ ตอนกิจกรรมกลุ่มอย่างน้อยก็ยังได้อยู่กับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน แต่นี่ต้องเจอคณะกรรมการคนเดียวเลย วันสัมภาษณ์เราไปก่อนเวลานิดนึงค่ะเลยได้นั่งรอข้างนอก ดูเพื่อน ๆ โดนเรียกเข้าไปทีละคน ๆ และออกมาเล่าให้เราฟังว่าเขาโดนอะไรกันบ้าง คนเล่าก็ตื่นเต้น คนฟังก็ตื่นเต้น พอกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละค่ะ5555 จนถึงคิวตัวเองโดนเรียก ห้องสัมภาษณ์เป็นห้องประชุมยาวค่ะ โดยคณะกรรมการประมาณ 12-13 คนจะนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง และเรานั่งอีกฝั่ง คำถามมีหลากหลายมาก ๆ ใครกำลังหาวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์เราแนะนำเลยว่าให้เตรียมเรื่องของตัวเองไปเยอะ ๆ เช่นแนะนำตัวเอง เหตุผลที่เลือกประเทศที่เรากรอกไปในใบสมัคร อนาคตอยากจะเรียนอะไร ประมาณนี้ค่ะ ยากที่สุดเลยคือมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษสลับกันมาจากคณะกรรมการหลาย ๆ คน เราต้องเปลี่ยนภาษาและคิดตามให้ทัน ตอนออกมาทีคือโล่งเลยค่ะ กลับบ้านรอประกาศผลอย่างเดียว


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625278

เราในห้องรอสัมภาษณ์ค่ะ ประมาณ 10 นาทีก่อนโดนรุมซัก5555


ดูจากรุ่นเราแล้ว ทุกคนที่ได้รับคัดเลือกแตกต่างกันมาก ๆ มีทั้งนักเรียนนานาชาติและโรงเรียนรัฐบาล มาจากทั้งต่างจังหวัดและในกรุงเทพ นิสัยต่างกันสุดขั้วก็มี ดังนั้นเราคิดว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวใด ๆ สำหรับการคัดเลือก คณะกรรมการจะดูทั้งความเหมาะสมของเราในขณะนั้น และศักยภาพของเราที่จะใช้โอกาสนี้ต่อยอดวิสัยทัศน์ของ UWC และทำประโยชน์ให้กับสังคมในอนาคต ด้วยความที่ทุนนี้ไม่ต้องยื่นคะแนนใด ๆ ทั้งนั้น ทุกคนจึงมีโอกาสเท่ากันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่เก่งที่สุด คะแนนสูงสุดเสมอไปที่จะได้ ดังนั้น ใครที่อยากจะสมัครแต่ยังลังเลอยู่ เราอยากบอกว่า เราเป็นกำลังใจให้นะคะ อย่างที่เราได้บอกไปแล้วคือการเป็นตัวของตัวเองสำคัญที่สุดค่ะ ดังนั้นมั่นใจไปเลย ถ้ามีคำถามอะไรก็ทิ้งไว้ข้างล่างได้เลย หรือจะทักไอจีเราก็ได้นะคะ เราจะพยายามให้ข้อมูลให้ครบถ้วนที่สุด อาจจะผ่านไปนานแล้วก็จริง แต่พวก portfolio ใบสมัคร เราก็ยังเก็บไว้อยู่เลย อาจจะพอเล่าให้ฟังได้บ้างค่ะ5555 สู้ ๆ นะคะ!

0
gaemsiris 24 พ.ค. 63 เวลา 14:10 น. 6

ตอนที่ 2 – การต้อนรับนักเรียนใหม่ และปฐมนิเทศ

สิงหาคม 2561/2018

เราเริ่มแพนิคตั้งแต่ตอนเครื่องบินลงจอดเลยค่ะ เพราะจากการมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องแล้ว รัฐนิวเม็กซิโกเนี่ยเห็นจะมีแต่ทะเลทรายทั้งนั้นเลย (เราจะเล่าเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพอากาศและสถานที่โดยรอบของโรงเรียนในตอนที่ 7 นะคะ แต่ขอสปอยก่อนเลยว่าความแพนิคของเราว่าตัวเองจะต้องกันดารอยู่กลางทะเลทรายนั้นไม่เป็นจริงสุด ๆ เลยค่ะ!) สนามบินอยู่ห่างจากโรงเรียนของเราประมาณ 2 ชั่วโมง และจะมีรถบัสของโรงเรียนมารับ-ส่งถึงสนามบินทุกครั้งที่เราบินกลับไทยไม่ว่าจะปิดเทอมใหญ่หรือปิดเทอมเล็กค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625390

สนามบินอยู่ที่เมืองอัลบูเคอร์คีค่ะ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในนิวเม็กซิโก จากเมืองนี้เราจะเดินทางไปโรงเรียนเราที่อยู่เมืองมอนเตซูมาค่ะ Fun fact คือ สนามบินที่นี่เรียกว่า Sunport แทนที่จะเป็น Airport เพราะปริมาณแสงแดดที่รัฐนิวเม็กซิโกได้ในแต่ละปีมันเยอะมาก ๆ เลยเปลี่ยนชื่อสนามบินซะเลย5555


จากการที่เราเคยไปซัมเมอร์มาหลายครั้ง ประสบการณ์วันแรกของเราในแต่ละที่จะคล้าย ๆ กันคือจะมีคนพาเราไปที่ห้องและปล่อยให้เราจัดกระเป๋าคนเดียว อย่างมากก็อาจจะมีคนพาชมโรงเรียนนิดหน่อย ดังนั้นเราเลยไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับวันแรกของเราที่นี่ คิดว่าก็คงเหมือน ๆ กัน แต่พอรถเลี้ยวเข้ามาในบริเวณโรงเรียนเท่านั้นแหละค่ะ เราก็โดนล้อมไว้ด้วยกลุ่มคน 4-5 คนที่ซักเราด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมากว่าเราชื่ออะไร พอบอกไปปุ๊บทั้งกลุ่มก็เฮกันใหญ่ เรายืนงงอยู่นานว่าเค้าตื่นเต้นอะไรกัน จนกระทั่งมีคนนึงก้าวออกมาจากกลุ่มและแนะนำตัวว่าเป็นรูมเมทเรานั่นแหละค่ะเราค่อยถึงบางอ้อ ใครจะไปนึกล่ะคะว่ารูมเมทเราจะหอบเพื่อนออกมานั่งรอถึงหน้าป้อมยามที่ห่างออกมาจากตัวโรงเรียนเป็นสนามฟุตบอล เราได้มารู้ทีหลังอีกด้วยว่าเขานั่งรอเราเป็นชั่วโมงเลยเพราะไม่รู้ว่าเราจะมาถึงตอนไหน เจอไปเท่านี้ก็ปริ่มแล้วค่ะ รู้สึกตอนนั้นเลยว่าอีก 2 ปีหลังจากวันนี้ชั้นต้องได้เจออะไรใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงเพิ่มอีกมากแน่ ๆ เลย5555


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625392

รูปนี้จากวันแรกที่เราไปถึงค่ะ ถ่ายบริเวณหน้าป้อมยาม จะเห็นปราสาทที่อยู่ไกลออกไปด้านหลัง


ถ้าถามว่าพวกปีสองตื่นเต้นกับการมาถึงของปีหนึ่งเท่าไหร่ เราก็ต้องขอพาทุกท่านข้ามเวลาไปอีก 1 ปีนับจากวันที่เราได้มาเหยียบโรงเรียนเป็นครั้งแรก สิงหาคมปีถัดมาเราเปลี่ยนบทบาทเป็นพี่ปีสองที่กำลังรอการมาถึงของรุ่นน้องเรา ทุกคนในโรงเรียนตื่นเต้นกันตั้งแต่คืนก่อนหน้า มีการแลกกระดาษสีกันจนดึกดื่นเพื่อเขียนการ์ดต้อนรับติดที่หน้าห้องทุกคน (การแลกกระดาษสีนี้จริงจังมากทีเดียวค่ะ อย่างเราก็ขอเพื่อนที่สนิทไปทั่วจนได้มา 30 กว่าแผ่น ติดยาวทั้งกำแพงหน้าห้องตัวเองกับรูมเมท ความคิดตอนนั้นคืออยากให้เขารู้สึกว่าเขาได้รับการต้อนรับจากทุกคน เหมือนเป็นความเอ็นดูตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้ามั้งคะ5555 ตอนนั้นก็เข้าใจเลยว่าทำไมรูมเมทเราปีที่แล้วถึงกับออกไปนั่งรอเราที่หน้าป้อมยามขนาดนั้น) เช้าวันถัดมาทุกคนก็วิ่งกันวุ่น กรุ๊ปแชทเด้งแจ้งข่าวรัว ๆ ทุกครั้งที่รถบัสโรงเรียนที่ไปขนน้อง ๆ มาจากสนามบินมาถึงทุกคนก็จะวิ่งหน้าตื่นออกไปต้อนรับ กินข้าวทำอะไรอยู่ก็พุ่งออกไปค่ะ ส่งเสียงเชียร์กันตั้งแต่บัสยังไม่จอดดี พอน้องลงมาก็จับมือทำซุ้มให้ลอด ทำทั้งวันจนเหนื่อยไปเลยค่ะ แต่สนุกมาก ๆ เราคิดว่าน่าจะเพราะในปี 1 เราได้รับการต้อนรับที่ดีจากรุ่นพี่ทุกคนด้วยมั้งคะ เลยกลายเป็นความรู้สึกว่าอยากให้น้องได้มาเจอการต้อนรับที่ดีเหมือนกัน และดูเหมือนว่าเพื่อน ๆ ทุกคนจะคิดไปในทางเดียวกัน ประสบการณ์ต้อนรับน้อง ๆ จึงอบอุ่นอย่างนี้ทุกปี


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625446

บางส่วนของกระดาษสีที่ติดหน้าห้องค่ะ ทุกห้องทำเหมือนกันหมด บางห้องไล่สีจากบนลงล่าง บางห้องไล่ขนาด เรียกได้ว่าเดินตามโถงทางเดินคือละลานตาไปหมดเลยค่ะ นอกจากนี้นอกห้องตรงโถงทางเดินก็จะมีติดธงประจำชาติ และก็กระดานอันเล็ก ๆ ไว้ให้เพื่อนต่างหอได้มาเขียนข้อความฝากไว้ได้ค่ะ


กิจกรรมที่เด่นอย่างหนึ่งของ UWC-USA เลยคือ Wilderness ค่ะ ซึ่งมันคือเป็นทริปแบ็คแพ็คเดินป่าที่เข้าป่าจริง ๆ ไม่ใช่เหมือนเข้าค่ายลูกเสือเนตรนารีที่เราเคยเจอมาก่อน ดังนั้นในช่วงปฐมนิเทศ สิ่งหนึ่งที่นักเรียนทุกคนต้องผ่านคือประสบการณ์เดินป่านี้ โดยจะเป็นทริปสั้น ๆ 3 วัน 2 คืน ทั้งกลุ่มมีประมาณ 10 คน โดยจะมีทั้งรุ่นพี่ปีสอง น้องปีหนึ่ง และโค้ชที่ชำนาญด้านการเดินเขาอีก 1 คนค่ะ ส่วนถ้าใครทำแล้วเกิดชอบขึ้นมา ก็จะมีทริปอื่น ๆ ให้ได้ไปอีกตลอดทั้งปี บางทริปก็ไปกลางฤดูหนาว ได้ปีนเขากลางหิมะ สร้างบ้านหิมะกันด้วยนะคะ แต่ตอนนี้เราจะขอเล่าคร่าว ๆ ถึงทริปแรกของเรากันซักหน่อย


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625395


ก่อนเดินทางเราจะได้เจอกับกลุ่มของเราก่อนค่ะเพื่อแบ่งสิ่งของส่วนรวมว่าใครจะแบกอะไร แต่ถึงจะแบ่งแล้วกระเป๋าก็ยังหนักอย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ 5 โลค่ะ เพราะใส่ทั้งเสื้อผ้า อุปกรณ์ตั้งเต็นท์ หม้อกระทะ วัตถุดิบอาหาร น้ำขวดใหญ่ 2 ขวด และอื่น ๆ อีกมากมาย ในฐานะคนที่แทบจะไม่ออกกำลังกาย ไม่ฟิตสุด ๆ เลย วันแรกก็เกือบตายเหมือนกันค่ะ เพราะเดินขึ้นเขาอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องแบกนังกระเป๋า 5 โลขึ้นไปอีก แต่ทั้งนี้ ทุกคนก็ช่วยเหลือกันดีมาก ใครที่เดินช้าหน่อยก็มีหยุดรอกันได้ตลอด ๆ พอเห็นใครดูเหนื่อยมาก ๆ รุ่นพี่ก็เรียกพักกินน้ำกินขนมทันที ตลอดทางทุกคนผลัดกันคิดเกมมาเล่น มีตั้งแต่ทายปริศนา ต่อเพลง ส่วนเราก็เอากรุ๊งกริ๊ง ๆ มีกระดิ่งกี่อันไปเล่นกับเพื่อน ๆ ทำเขางงไปหลายสิบนาที5555 พอลืมเหนื่อยไปได้เหมือนกันค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625396


เรื่องในป่านี่ถ้าจะให้อธิบายคงจะต้องตั้งเป็นกระทู้แยกเลย เพราะเยอะมากจริง ๆ เรื่องที่มนุษย์กรุงเทพอย่างเราตื่นตามาก ๆ ก็มีตั้งแต่การไปตักน้ำจากลำธารมาแกว่งให้มันใส ทำอาหารแบบใช้กระป๋องแก็สพกพา กระทะพกพา ตะหลิวพกพา ไปจนถึงกฎต่าง ๆ ในป่า เช่น เวลาแปรงฟันต้องพ่นน้ำกระจายรอบ ๆ ตัว เพราะยาสีฟันจะได้ไม่ไปกองอยู่ที่เดียวจนต้นไม้ตาย หรืออาหารถ้าทำแล้วต้องกินให้หมดเพราะถ้าเหลือทิ้งอาจจะมีสัตว์ป่าตามมาหาที่ที่พักได้ เรื่องช็อคโลกก็มีมากมายค่ะ เช่น ตอนกางเต็นท์เราก็เมียง ๆ มอง ๆ ดู สงสัยว่า ทำไมหลังคากับพื้นเต็นท์มันถึงแยกกันหว่า? อย่างงี้สมมติฝนตกจะไม่เกิดอุทกภัยน้ำหลากเข้ามาในเต็นท์หรือ? แล้วเหมือนฟ้าประทาน คืนนั้นก็ก็ได้เกิดฝนตกขึ้นจริง ๆ ซะด้วย


ฝนเริ่มลงเม็ดตั้งแต่หัวค่ำเลยค่ะ ตอนนั้นทุกคนกำลังนั่งล้อมวงทำกิจกรรมกันอยู่ รุ่นพี่ปีสองเลยบอกให้ทุกคนรีบแยกย้ายกันกลับเข้าเต็นท์ตัวเอง เราไม่มีอะไรทำก็เลยเข้านอนเลย จนกลางดึกได้ยินเสียงรุ่นพี่โหวกเหวกมาจากอีกเต็นท์เรียกให้ตื่น ๆ เราเลยสะดุ้งลุกขึ้นมา ปรากฏว่าตอนนั้นฝนกลายเป็นพายุไปแล้วค่ะ ลมแรงมาก ๆ และมีฟ้าแลบฟ้าร้องมาเพิ่มอีก รุ่นพี่สั่งให้ทุกคนเข้าสู่ lightning position ทันที ซึ่งมันเป็นท่านั่งยอง ๆ บนปลายเท้า เพื่อลดพื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างตัวเรากับพื้นดินให้เหลือน้อยที่สุดเพื่อป้องกันฟ้าผ่าค่ะ ตอนเขาสอนตอนแรกก็ไม่นึกหรอกว่าจะได้มาทำจริง ๆ อยู่ท่านั้นกันนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อยและง่วงมาก ๆ เมื่อเห็นว่าทุกคนคงไม่ได้กลับไปนอนเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ เพื่อนเราคนนึงเลยเสนอเกมมาเล่นกันค่ะ เล่นตบแปะธรรมดานี่แหละ แต่ตอนนั้นมีอะไรให้ทำเราก็เอาหมดแล้วค่ะ5555 เล่นไปเล่นมาชักสนุก ทั้งเต็นท์เลยเริ่มส่งเสียงหัวเราะกันโหวกเหวกมาก ๆ จนพอฝนเริ่มซาถึงได้เข้านอน ตอนเช้าวันถัดไปรุ่นพี่ที่อยู่อีกเต็นท์เขาก็มาถามค่ะว่าหัวเราะอะไรกัน พอเราเล่าเขาเลยบอกเต็นท์เขาน่ะกลัวตายกันมาก ๆ ทุกคนล้อมวงนั่งสวดมนต์ยาวกัน ลูกประคำอะไรล้วงออกมาหมด ได้ยินเสียงหัวเราะจากเต็นท์เราลอยมาเลยเป็นห่วง นึกว่ากลัวกันจนเป็นบ้าไปหมดแล้ว5555 (จริง ๆ แล้วโอกาสฟ้าผ่ามีน้อยมาก ๆ เลยนะคะ ไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจผิดกัน เรื่องอื่น ๆ ในป่าเราก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากโค้ช รุ่นพี่ที่มาด้วยก็คือรุ่นพี่ที่ได้ผ่านการฝึกเดินป่ามาแล้วโดยเฉพาะ ตลอดทริปเราไม่ได้รับอันตรายอะไรเลยค่ะ ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปเลย) เรื่องคืนฝนตกนี้ก็เป็นเรื่องตลกที่จนเรียนจบแล้วเรากับเพื่อน ๆ ก็ยังเอามาเล่าให้กันฟังอยู่บ่อย ๆ นับว่าเป็นประสบการณ์เดินป่าครั้งแรกที่ทำให้เราภูมิใจมากเลยค่ะเมื่อผ่านมาได้



https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625397 https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130625398

0
gaemsiris 1 มิ.ย. 63 เวลา 12:18 น. 7-1

ตอนสมัครเค้าจะมีให้ส่ง portfolio ค่ะ ส่วนมากที่เราใส่ก็เป็นกิจกรรมตอนม.ต้น มีตั้งแต่งานชมรมที่เราอยู่ ใบเกียรติบัตรสอบแข่งขันต่าง ๆ ไปจนถึงรูปภาพจากงานแสดงหรืองานจิตอาสา ปีเราไม่ได้กำหนดว่าพอร์ตได้สูงสุดกี่หน้าเราเลยใส่หมดเลย5555 แต่จริง ๆ แล้วเราว่าไม่จำเป็นต้องใส่กิจกรรมเยอะเว่อ ๆ ขนาดนั้นนะ แนะนำว่าให้คัดเอามีกิจกรรมที่เราโดดเด่น หรือที่เรามีทำมานานหลายปีน่าจะดีกว่าค่ะ

0
gaemsiris 1 มิ.ย. 63 เวลา 15:40 น. 8

ตอนที่ 3 – โรงเรียนที่มีปราสาท

“You’re really lucky you get to be in the castle (เธอโชคดีมากเลยนะเนี่ยที่ได้อยู่ในปราสาท)”

นี่คือสิ่งที่รูมเมทพูดกับเราในวันแรกตอนที่กำลังช่วยกันขนของขึ้นห้อง ตอนที่ได้ยินเราก็งง ๆ ค่ะ กำลังมึน ๆ เบลอ ๆ กับทุกอย่าง กระเป๋าก็ต้องขน ห้องก็ต้องจัด เพื่อนใหม่ก็ต้องทำความรู้จัก ไม่รู้ว่ารูมเมทจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นกับปราสาท จนกระทั่งผ่านไปได้ประมาณเกือบเดือนนั่นแหละค่ะ เราถึงได้รู้ว่า คำว่าโชคดีที่ได้อยู่ในปราสาทของรูมเมท คือหมายถึงโชคดีจริง ๆ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682870


โรงเรียนเราเป็น boarding school ค่ะ คือนักเรียนทุกคนจะอยู่หอทั้งหมด แบ่งเป็น 6 บ้าน ชาย 3 และหญิง 2 และรวม 1 โดยบ้านต่าง ๆ พวกนี้จะตั้งชื่อตามภูเขาที่สูงที่สุดของทั้ง 6 ทวีปค่ะ (ไม่นับแอนตาร์กติกา) และจะมีชื่อเล่นที่ทุกคนในโรงเรียนเรียกกันเองด้วย เช่น Mont Blanc ที่เป็นภูเขาที่สูงสุดในยุโรป ก็เรียกกันแค่ MB (เอ็มบี) หรือ Kosciuszko (คอสเซียสโก) ภูเขาที่สูงสุดออสเตรเลีย ก็เรียกกันแค่ Kozzy (คอสซี่) ค่ะ โดยน้องปี 1 ทุกคนจะถูกกำหนดบ้านให้ เพื่อที่ว่าในแต่ละบ้านจะได้มีจำนวนคนจากแต่ละภูมิภาคที่เท่า ๆ กัน แบ่งออกเป็นหอ ๆ ก็จริง แต่ทุกคนสามารถเดินเข้าออกหอ ไปหาเพื่อน ๆ กันได้ในตลอดเวลาค่ะ (ยกเว้นตอนกลางคืน)


ในแต่ละหอจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ได้ทำร่วมกันในแต่ละอาทิตย์ค่ะ อย่างของหอเราก็มีดูหนังด้วยกัน ทำคุกกี้ หรือเพนท์ฟักทองสำหรับวันฮาโลวีน นอกจากนี้ก็ยังมีฮู้ดดี้ประจำหอที่เปิดให้นักเรียนออกแบบส่งได้ในแต่ละปี ดังนั้นในหน้าหนาวเราก็จะมีฮู้ดดี้ที่มีทั้งชื่อเราและเพื่อน ๆ ทุกคนในหอให้ได้ใส่กันเป็นทีมค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682872

คืนที่เพนท์ฟักทองด้วยกัน

https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682871

รูปนี้คือรูปรวมทุกคนในหอเราค่ะ


ประเด็นเรื่องปราสาทอยู่ตรงนี้ค่ะ เนื่องจากโรงเรียนของเราตั้งอยู่ในเขตที่เป็นภูเขาและเนินเขา ดังนั้นโรงเรียนจะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โซนเชิงเขาที่อยู่ต่ำกว่า (lower campus) และโซนเนินเขาที่อยู่สูงกว่า (upper campus) ซึ่ง 4 ใน 6 หอของนักเรียน รวมไปถึงสนามฟุตบอลและห้องเรียนส่วนมากนั้น และอยู่ในโซน lower campus ส่วนอีก 2 หอที่มีจำนวนคนในหอน้อยกว่านิดหน่อย และอย่างที่หลายท่านก็น่าจะพอเดากันได้แล้ว มันอยู่ในตัวปราสาทซึ่งถือเป็นโซน upper campus นั่นเอง


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682873

4 ใน 6 หอที่อยู่ lower campus จะมีหน้าตาบ้านสีน้ำตาล 2 ชั้นอย่างในรูปนี่แหละค่ะ


Upper campus กับ lower campus นั้นจะถูกกั้นไว้ด้วยอภิมหาบันไดอันแสนยาวเหยียด ซึ่งยาวจริง ๆ ค่ะ เราเคยนับเล่น ๆ กับเพื่อนก็ประมาณ 160 ขั้นได้ เรียกว่าเดินขึ้นทีหอบแฮกกันไปตาม ๆ กัน ซึ่งปัญหาของเราก็อยู่ตรงนี้นี่แหละค่ะ เพราะโรงอาหารที่เดียวในโรงเรียนมันดันอยู่ในปราสาทนี่น่ะสิ เรื่องนี้ทำให้หลาย ๆ คนที่อยู่หอล่างเลือกที่จะไม่กินอาหารเช้าไปเลย เพราะถ้าจะต้องเดินขึ้น 160 ขั้นในตอน 8 โมงเช้าก่อนเข้าเรียนเนี่ย สู้เอาเวลาไปนอนต่อน่าจะดีกว่า ส่วนเราและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในหอปราสาทนั้นก็เดินลงบันไดมาจากห้องนอนสวย ๆ เข้าโรงอาหารได้เลยค่ะ สมกับที่รูมเมทพูดจริง ๆ ว่าโชคดี


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682874

หน้าตาของโรงอาหารค่ะ เราชอบเข้ามานั่งทำงานในนี้มาก ๆ เพราะมันปลอดคน (ในช่วงที่ไม่ใช่เวลาอาหาร)


แต่เรื่องโชคดีของปราสาทก็ยังต้องแลกมาก็บางอย่างค่ะ เช่น หอในปราสาทไม่สามารถทำอาหารแบบเป็นมื้อใหญ่ ๆ ที่ห้องนั่งเล่นส่วนกลางได้ เพราะเคยมีเหตุไฟเกือบไหม้ปราสาทมาแล้วหลายครั้ง (ถ้าอาหารง่าย ๆ อย่างอาหารเวฟก็ได้นะคะ แต่ถ้าพวกที่ต้องใช้หม้อกระทะแบบเต็มสูตรคงไม่ไหว) ต้องลงไปทำที่ที่จัดเตรียมไว้ในชั้นใต้ดินของปราสาทแทน และนักเรียนใน 2 หอนี้จะอยู่ห่างไกลความเจริญนิด ๆ ด้วยค่ะ เพราะด้วยบันได 160 ขั้นที่กั้นเราห่างจากเพื่อนหอล่างนี้ การเดินทางเยี่ยมเยียนระหว่างหอเลยจะมาไม่ค่อยถึงตัวปราสาทซักเท่าไหร่ ทำให้หลายครั้งเราต้องลงไปหาเพื่อน ๆ แทน หรือถ้าเกิดขี้เกียจทั้ง 2 ฝ่ายก็... อ่า เจอกันในห้องเรียนแล้วกันนะเพื่อน5555


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682875

ในรูปคือห้องเราเองค่ะ หอในปราสาทจะหน้าตาคล้าย ๆ กันอย่างนี้ ส่วนหอล่างจะต่างออกไป คือมีกำแพงสั้น ๆ ยื่นมากั้นระหว่างเรากับเมทด้วย อันนี้เราว่าแล้วแต่คนชอบเลยค่ะ เพราะบางคนก็บอกว่าส่วนตัวดี ไม่ต้องนั่งจ้องหน้ารูมเมทตลอดเวลา แต่บางคนก็ว่าทำให้ห้องดูแคบและแทบไม่ได้เจอหน้ารูมเมทเลย


เฟอร์นิเจอร์ในรูปคือที่โรงเรียนมีให้ ซึ่งโรงเรียนอนุญาตให้ย้ายของในห้องได้ตามใจชอบและซื้อของมาเพิ่มเติมได้ด้วย ซึ่งที่เราเคยเห็นก็มีราวตากผ้า ชั้นหนังสือ ชั้นรองเท้า ทีวี ไฟปาร์ตี้ ตู้เย็นกาน้ำก็มีนะคะ แต่อันนี้ผิดกฎโรงเรียน โดนริบกันไปบ้างตามระเบียบ ตกแต่งห้องก็ทำได้เหมือนกันค่ะ ซึ่งก็แล้วแต่ความครีเอทของเจ้าของห้องเลย บางคนก็ยกเตียงขึ้นสูงแล้วย้ายฟูกลงไปนอนใต้เตียง หรือบางคนขนโครงเตียงไปคืนครูเลยแล้วนอนฟูกเหมือนห้องนอนญี่ปุ่นแทนก็มีค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682876

ห้องเพื่อนเราที่เราเคยไปช่วยเขาตอนตกแต่งห้องมาค่ะ ขอยกมาเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงการตกแต่งที่เรียกว่าทุ่มทุนมาก ๆ


นอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ โรงเรียนเรายังเต็มไปด้วยธรรมชาติและสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกเยอะเลยนะคะ อย่างตามภูเขาที่ล้อมโรงเรียนไว้อยู่จะมีเส้นทางเดินเขาเล็ก ๆ ไม่ชันมาก ให้นักเรียนเข้าไปเดินเล่น ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติกันได้ เราก็เคยไปกับเพื่อน ๆ เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นตกมาหลายรอบเหมือนกัน บางทีก็เข้าไปอยู่กับตัวเอง หรือเข้าไปนั่งมองต้นไม้เวลาเขียนเอสเสหรือคิดงานไม่ออก เป็นชีวิตที่แตกต่างจากชีวิตกรุงที่เราเคยเจอมามาก ๆ และเราก็เชื่อว่าใครที่ได้มาเจอต้องหลงรักธรรมชาติของโรงเรียนเราแน่นอนค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682877

เดินขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ตกกับเพื่อน ๆ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682878

นี่คือบ่อน้ำร้อนค่ะ อยู่ในบริเวณโรงเรียนถัดออกไปจากสนามบอลหน่อยนึง มีบ่อเล็ก ๆ อยู่หลายบ่อ เพื่อนเราชอบมาแช่กันในช่วงหน้าหนาว แช่กันกลางหิมะ เค้าว่าสบายตัวกันมาก ๆ แต่เราเองไม่เคยลองลงไปทั้งตัวนะคะเพราะกลัวสกปรกเลยไม่กล้าลงไปในบ่อ เลยแช่แค่ขา และนั่งคุยกับเพื่อนเฉย ๆ 5555 แต่ก็ได้บรรยากาศมากค่ะ ใกล้ ๆ มีแม่น้ำด้วย บางคนอยากเล่นน้ำแช่น้ำ แต่บ่อน้ำร้อนมันร้อนไปก็โดดลงแม่น้ำกันไปค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682880

Dwan light sanctuary เป็นห้องเล็ก ๆ ที่สร้างแยกออกมาจากตึกอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นสถานที่สร้างความสงบโดยเฉพาะ ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนของเราเหมือนกัน แต่ก็เปิดให้คนภายนอกได้มาใช้ด้วยค่ะ หน้าต่างจะทำมาจากปริซึม ดังนั้นแสงที่ลอดออกมาจะเป็นสีสายรุ้ง และเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามแต่ละช่วงเวลาของวัน สวยมาก ๆ


จบเรื่องสถานที่ต่าง ๆ ในโรงเรียนไปแล้ว สิ่งที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือชีวิตการอยู่หอค่ะ จากที่เคยเล่าไปแล้วว่ารุ่นพี่ทุกคนจะตื่นเต้นกับการมาถึงของน้อง ๆ มาก ดังนั้นตอนที่เรามาแรก ๆ ก็คือจะมีคนคอยช่วยเหลือตลอดเวลา มีรูมเมทคอยสอนว่ากฎของหอคืออะไรบ้าง สอนใช้เครื่องซักผ้า อธิบายว่าแต่ละห้องเรียนอยู่ตึกไหนไปยังไง นอกจากรูมเมทก็มีคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็พร้อมช่วยเหลือตลอดเวลาตั้งแต่รุ่นพี่ไปจนถึงครูหรือผู้ดูแลหอ เรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจกังวลกับการไปเรียนต่อต่างประเทศคือเรื่องของภาษา ว่าเราจะสื่อสารกับเขารู้เรื่องหรือเปล่า จะมีเพื่อนมั้ย เราบอกเลยนะคะว่าด้วยความที่โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนนานาชาติ มีคนมาจากทั่วโลก คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเป็นเรื่องธรรมดามากกก เราเคยถามเพื่อนสนิทหลายคนที่เป็น native (คือใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เป็นเจ้าของภาษา) ว่าตอนต้นปีเขาเคยรำคาญคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้บ้างมั้ย เขาก็บอกว่าไม่นะ เพราะเขาเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเคยเรียนภาษาอังกฤษ มันเป็นภาษาที่มีการใช้อย่างแพร่หลายก็จริงแต่ไม่ใช่ทุกประเทศซักหน่อยที่ใช้ภาษานี้ ดังนั้นเขาไม่เคยรำคาญเลย เราว่านี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้โรงเรียนในเครือ UWC แตกต่างจากโรงเรียนอื่น ๆ ด้วยนะ เพราะทุกคนจะเปิดกว้างและเข้าใจกันและกันมาก ๆ


การใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งมีชีวิตอีกสิบกว่าคน ก็เป็นธรรมดาที่สิ่งที่จะตามมาคือปัญหาด้านต่าง ๆ อย่างที่เด่นที่สุดเลยที่เป็นเรื่องกันมาตั้งแต่ปี 1 จนจบปี 2 คือเรื่องล้างจานค่ะ เพราะในห้องนั่งเล่นรวมของแต่ละหอ ซึ่งเราเรียกกันว่า dayroom จะเป็นพื้นที่ทำอาหาร หรือที่คุยเล่นสังสรรค์กันของนักเรียน ที่เป็นส่วนกลางซึ่งใครจะเข้ามาก็ได้ ดังนั้นหลังทำอาหารหลายคนก็ทิ้งจานชามกองไว้ตรงอ่างนั่นแหละค่ะ และตอนดึกค่อยมีคนมาเจอ มาตรการหลายอย่างถูกเอาออกมาแก้ แต่ที่รุนแรงที่สุดคือปิดห้อง dayroom ไปชั่วคราวเลยค่ะ แต่ก็นาน ๆ ทีจะมีครั้งเพราะมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนที่อยู่หอนั้น ๆ โดยตรง ปัญหาอื่นที่รองลงมาก็คือเรื่องการส่งเสียงตอนกลางคืน หรือการใช้ห้องน้ำ มีความหลากหลายมาก ๆ ไม่แพ้กับตัวนักเรียนเลยค่ะ


ส่วนสำคัญของการอยู่หออีกอย่างหนึ่งคือ รูมเมท ค่ะ ที่โรงเรียนเรา ตามปกติแล้วจะอยู่ห้องละ 2 คน เป็นรุ่นพี่ปีสอง 1 คน และปีหนึ่งอีก 1 คน ที่จะมาจากคนละภูมิภาคกัน (เช่นเรามาจากเอเชียตะวันออก ก็จะไม่ได้รูมเมทจากเอเชียตะวันออกค่ะ) โดยในอาทิตย์แรก ผู้ดูแลหอจะแจกแบบฟอร์มคำถาม ให้เรากับรูมเมทแยกไปเขียนคำตอบของตัวเองและมาคุยกัน ตัวอย่างคำถามก็เช่น นอนกี่โมง นอนกรนมั้ย เป็นคนตื่นง่ายหรือเปล่า ต้องการล็อคห้องไหม มีเรื่องอะไรที่คิดว่าอีกฝ่ายควรรู้มั้ย เป็นต้นค่ะ ซึ่งส่วนตัวแล้ว เรารู้สึกว่าคำถามพวกนี้ช่วยเรามากจริง ๆ ในการทำความรู้จักรูมเมทเป็นวันแรก และเตรียมตัวที่จะอยู่ร่วมกัน อย่างน้อย ๆ ถ้าเราไม่รู้ว่าจะถามอะไรเขา ก็มีคำถามพวกนี้แหละค่ะ ช่วยชี้แนะบทสนทนาให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น


เรากับเมทก็เคยมีเรื่องที่คิดเห็นไม่ตรงกันอยู่นะคะ แต่ทั้งหมดก็แก้ได้ด้วยการคุย discuss กัน บอกอีกฝ่ายทันทีที่เรารู้สึกไม่พอใจอะไร แล้วก็ช่วยกันปรับค่ะ หรือบางเรื่องก็แก้ร่วมกันไปเลย ยกตัวอย่างปัญหาหนึ่งซึ่งเริ่มมาจากแค่ความขี้หนาวขี้ร้อนของพวกเรา 2 คน เมทเราเป็นคนชอบอากาศหนาวมาก ดังนั้นสิ่งที่เค้าทำตลอด ๆ เลยคือมาเปิดหน้าต่างขึ้น ส่วนเราด้วยความที่อยู่ประเทศร้อนชื้นมาแต่เกิด ก็ยังไม่ชินกับอุณหภูมิติดลบขนาดนั้น เราก็จะมาคอยปิดหน้าต่างลง ปัญหาอยู่ตรงนี้ค่ะ เตียงเราตอนแรกมันดันตั้งขวางหน้าต่างอยู่ ลำบากการเปิดปิดหน้าต่างของเรา 2 คนมาก ๆ ดังนั้นเราจึงลงความเห็นกันว่า ในเมื่อนิสัยขี้หนาวขี้ร้อนพวกเรานี่มันไม่น่าแก้ได้ง่าย ๆ แน่นอน เราก็ควรจะย้ายเตียงออกซะ ซึ่งพอย้ายเตียงปุ๊บก็ต้องย้ายโต๊ะ ตู้เสื้อผ้าและอย่างอื่น ๆ ด้วย ไป ๆ มา ๆ เฟอร์นิเจอร์ถูกสลับเปลี่ยนที่หมดเลย เรากับเมทนั่งย้ายห้องกันทั้งวันเลยค่ะ มีพากันวิ่งไปเคาะประตูห้องคนอื่นเพื่อดูห้องเขาเป็นตัวอย่างด้วย5555 ทำจนเสร็จแล้วเราถึงได้นึกขึ้นได้ว่า พวกเราลืมหาพื้นที่ไว้วางกระจกยาว! คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าจะไว้ตรงไหนดี บวกกับที่เหนื่อยจากการขนย้ายตู้เตียงแล้วด้วย เมทเราเลยบอก เอางี้ละกัน ไว้หน้าประตูนี่แหละ ทำเลดีสุดแล้ว และนั่นก็กลายเป็นที่อยู่ถาวรของกระจกไปเลยค่ะ5555 ตั้งแต่วันนั้นก็จะเป็นปกติที่จะได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวายของเราไม่ก็เมทที่กำลังนั่งอยู่หน้ากระจกและเจออีกคนเปิดประตูมาชนเข้าอย่างจัง ก็กลายเป็นกิมมิค (?) เล็ก ๆ ของห้องเราเรากับเมทว่า พวกเราเราน่ะ เปิดประตูชนกันเป็นเรื่องปกติเลยนะ5555 ห้องอื่นมีที่ไหนกัน


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130682881

เรากับเมทเราที่มาจากคอสตาริกาค่ะ รูปนี้จากวันต้อนรับน้องปี 1 ที่เรียกว่า Welcome Dinner เป็นวันที่ทุกคนใส่ชุดประจำชาติกัน เดี๋ยวเรามาเล่าในตอนที่ 6 วันสำคัญของโรงเรียนนะคะ

0
gaemsiris 2 มิ.ย. 63 เวลา 09:34 น. 9

ตอนที่ 4 – ทำความรู้จักกับหลักสูตร IB

เข้าสู่เรื่องการเรียนกันสักที ตอนนี้อาจจะยาวหน่อยนะคะ เพราะหลักสูตร IB หรือ International Baccalaureate นี่มันธรรมดาที่ไหนกัน นับได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องใหญ่ที่สุดของชีวิตนักเรียนเราที่นั่นเลยทีเดียว อาจจะดูวุ่นวาย แต่ก็อ่านไว้เป็นความรู้เสริมก็ได้ค่ะ เพราะกว่าเราจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมดนี่ ก็เล่นเอาเกือบปีเหมือนกัน


หลักสูตร IB นี้ประกอบไปด้วย 2 อย่างหลัก ๆ ที่เราต้องทำ คือ 1. Subject groups หรือวิชาเรียนทั้ง 6 วิชา และ 2. Core requirements ซึ่งคือสิ่งที่เราต้องทำนอกเหนือจากวิชาเรียน ซึ่งก็แบ่งย่อยออกได้อีก เป็น Theory of Knowledge (TOK), Extended Essay (EE) และ Creativity, Activity, and Service (CAS) โดยในตอนนี้เราจะไม่พูดถึง CAS เพราะ CAS คือบรรดากิจกรรมนอกเวลา ชมรม ทั้งหลาย ซึ่งจะแยกมาเป็นตอนของตัวเองในตอนถัดไปนี่เองค่ะ


1. Subject groups

ตอนเราเห็นรายชื่อวิชาตอนแรกเรายิ้มอยู่ในใจเลยค่ะ เรียนแค่ 6 วิชาเอง เทียบกับตอนอยู่ไทยเราเรียนตั้ง 14-15 วิชา 2 ปีนี้น่าจะสบายแล้วมั้ง ใครกำลังคิดอย่างนี้อยู่เหมือนกันมาฟังเราเล่าเลยดีกว่าค่ะ


6 วิชาที่เราต้องเรียนนี้เป็น 6 วิชาจากแต่ละกลุ่มสาระค่ะ โดยเราจะเลือกจากบรรดาวิชาต่าง ๆ ซึ่งก็มีเปิดสอนเยอะแยะมาก แตกต่างกันไปตามแต่โรงเรียนและแต่ละปี เช่นโรงเรียนเราตอนนี้ไม่มีครูที่เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา เลยไม่มีเปิดสอนวิชานั้นค่ะ แต่มีครูที่เก่งการเมืองโลกมาก ๆ ก็เปิดสอนวิชานี้แทน โดย 6 กลุ่มสาระที่ว่าได้แก่:

กลุ่มสาระที่ 1 Language A: คือภาษาที่ 1 ค่ะ มีเปิดตั้งแต่ ภาษาอังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส

กลุ่มสาระที่ 2 Language B: ภาษาที่ 2 มีเปิดเหมือนภาษาที่ 1 ค่ะ อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส แต่จะเป็นระดับที่ง่ายกว่า

กลุ่มสาระที่ 3 Humanities: กลุ่มสังคมศาสตร์ มีตั้งแต่วิชาการเมืองโลก มานุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์

กลุ่มสาระที่ 4 Natural Sciences: กลุ่มวิทยาศาสตร์ ชีวะ เคมี ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์การกีฬา

กลุ่มสาระที่ 5 Mathematics: ตรงตัวเลยค่ะ คณิตศาสตร์ ถึงกลุ่มสาระก่อน ๆ เราสามารถเลี่ยงวิชาที่เราไม่ชอบได้ แต่สำหรับเลขคือทุกคนต้องเรียนค่ะ แต่ก็ยังเลือกระดับได้นะคะ โดยตอนต้นปีเค้าจะมีการทดสอบว่าเราควรอยู่ในระดับไหน และเราค่อยใช้ผลนั้นประกอบการเลือกค่ะ

กลุ่มสาระที่ 6 The Arts: ศิลปศาสตร์ รวมศิลปะทุกแขนง เช่นทัศนศิลป์ ดนตรี เต้น การละคร โดยกลุ่ม 6 นี้จะพิเศษที่ว่า ใครไม่อยากเรียนจะสามารถเลือกวิชากลุ่มอื่นมาทดแทนได้ค่ะ เช่น เพื่อนเราที่อยากเป็นหมอ ก็ไม่เลือกวิชากลุ่ม 6 แต่เอากลุ่ม 4 วิทยาศาสตร์ 2 ตัว เป็นชีวะกับเคมีแทน ประมาณนี้ค่ะ


ข้อดีของหลักสูตรนี้ ที่เราเห็นได้ตั้งแต่ตอนแรก ๆ ที่มาเลยก็คือความหลากหลายของการเรียน ที่จะช่วยเสริมให้เราเป็นคนที่ well-rounded หรือมีความรอบรู้ทุกกลุ่มสาระค่ะ และถ้าเรามีสายอาชีพที่เราสนใจอยู่แล้ว เราก็สามารถจับคอมโบวิชาเพื่อให้ไปในทางสายอาชีพนั้นได้นะคะ อย่างเพื่อนเราที่จะเรียนวิศวะ ก็จับคอมโบคณิต ฟิสิกส์ และเศรษฐศาสตร์ หรือถ้าสายการเมืองการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็จับเป็นคู่การเมืองโลก กับมนุษยวิทยาค่ะ แต่ข้อเสียเองก็มีเหมือนกัน และก็มาพร้อม ๆ กันกับข้อดีเลยเพราะการที่เราต้องเรียนทุกกลุ่มสาระนี่แหละค่ะ ทำให้เราไม่ได้โฟกัสไปที่วิชาที่เราอยากเรียนมากที่สุด เช่น คนที่อยากเรียนทางสายวิทย์ ก็ยังต้องโดนบังคับเรียนทั้งภาษา ทั้งวิชาพวกสังคมศาสตร์ด้วย และทุกวิชา ต่อให้ไม่ได้ลงเรียนระดับยาก (HL) ก็ยังนับว่าหินไม่ใช่เล่นเลยค่ะ


จากเมื่อกี้ที่ได้แตะ ๆ เรื่องระดับไปบ้างแล้ว ดังนั้นเรามาเข้าสู่รายละเอียดกันบ้างเลยดีกว่าค่ะ ทุกวิชาเราสามารถเลือกลงเรียนได้ 2 ระดับค่ะ คือ ระดับสูง หรือ HL (Higher Level) กับ ระดับธรรมดา หรือ SL (Standard Level) และข้อบังคับคือ เราจะต้องเรียนวิชา HL อย่างน้อย 3 จาก 6 วิชาเพื่อเก็บจำนวนหน่วยกิตให้ครบค่ะ ข้อแตกต่างของระดับนี้จะต่างกันไปในแต่ละวิชาค่ะ อาจจะเป็นปริมาณงานที่ต้องทำส่ง หรือเปอร์เซ็นต์ที่ใช้ตัดเกรดคะแนนที่สูงกว่าหรือต่ำกว่า แต่ในกรณีส่วนมากที่เห็นแล้วก็คือ SL จะมีเนื้อหาการเรียนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดค่ะ ยกตัวอย่างวิชาชีวะเราเรียนนะคะ เราลงเรียน HL เลยต้องนั่งเรียนเรื่องต้นไม้กันเป็นบ้าเป็นหลัง เรียนว่ามีสารเคมีตัวไหนบ้าง การสังเคราะห์แสงและหายใจระดับเซลล์ 3-4 วงจรมีขั้นตอนอะไรบ้าง ตึ้บกันไปเลยทีเดียว เราเคยลองเทียบเนื้อหาดูเล่น ๆ ปรากฏว่าเทียบได้เท่ากับเนื้อหาสอบแพทย์ของที่ไทยเลยค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130687884

โต๊ะโรงอาหารในช่วงที่เรากับเพื่อนอ่านหนังสือเตรียมสอบกันค่ะ สงครามขนาดย่อม ๆ นี้มีให้เห็นได้ค่อนข้างบ่อยเลยทีเดียว ถ้าวิชาไหนมีสอบใหญ่เราจะรู้ได้ทันทีเลยค่ะ เพราะจะมีอย่างน้อย 1 โต๊ะในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยชีทเรียน และเป็นศูนย์รวมเพื่อน ๆ เราที่เรียนวิชานั้นไว้อยู่ค่ะ


ส่วนการประเมิณผลของจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ Internal Assessment (IA) หรืองานประเมิณผลภายในโรงเรียน กับ External Assessment คืองานที่เราต้องส่งไปให้ IB ประเมิณค่ะ อย่างหลังจะเป็นสอบปิดท้าย คือเหมือนสอบไฟนอลแต่เป็นเนื้อหาของทั้ง 2 ปีที่ได้เรียนมา ดังนั้นเราเลยจะไม่ขออธิบายมาก แต่จะขอเจาะไปที่ IA แทนนะคะ งาน IA นี้อธิบายง่าย ๆ เลยคือการเขียนรายงานของแต่ละวิชาในหัวข้อที่เราสนใจค่ะ รูปแบบอาจแตกต่างกัน แต่จะอยู่ที่ประมาณ 6-12 หน้า และจะเป็นงานที่เราทำเองคนเดียวทุกอย่างค่ะ ตั้งแต่่คิดตั้งหัวข้อที่เราสนใจเอง รวบรวมข้อมูลเอง และนำมาวิเคราะห์เป็นรายงาน หัวข้อ IA เราจะเลือกเป็นเรื่องอะไรก็ได้ค่ะ อย่างเพื่อนเราคนนึงชอบเล่นสนุ๊ค เค้าก็คิดหาวิธีการยิงลูกให้ลงหลุมให้ได้มากที่สุด มีวัดมุมวัดองศามาคำนวณกันอย่างละเอียดไปเลย หรืออย่างวิชาภาษาอังกฤษ เพื่อนเราคนนึงก็เอาการ์ตูนวัยเด็กที่ตัวเองชอบมาวิเคราะห์ตัวละคร เขียนไปได้ยาวเป็นหลายพันคำ จากการที่ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเองทั้งหมดนี่แหละค่ะ พอถึงจุดนึงเราจะกลายเป็นผู้รอบรู้ด้านนั้น ๆ ไปเลย คำถามที่เราเคยถามตัวเองบ่อย ๆ ตอนเรียนที่ไทยว่า “เรียนแล้วจะได้เอาไปใช้ที่ไหน” ก็ได้รับคำตอบตอนนี้เอง เพราะรายงานนี้เป็นตัวผลักให้เราเอาข้อมูลที่เรียนในห้องมาปฏิบัติจริง ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียนไปมากขึ้น และก็ปูทางให้อาจนำไปต่อยอดในอนาคตได้อีกด้วยค่ะ ที่พูดนี่คือมาจากประสบการณ์จริงล้วน ๆ เลย เพราะจากเราที่ตอนแรกเรียนแคลไม่รู้เรื่อง พอเริ่มทำรายงานหัวข้อที่ต้องใช้แคลมาก ๆ ก็บรรลุหัวข้อนี้ไปเลยค่ะ เราต้องทำ IA ถึง 6 หัวข้อ ของแต่ละวิชาที่เราเรียน และก็ต้องทุ่มสุดตัวจริง ๆ ค่ะ อย่างมีช่วงหนึ่งที่เราโฟกัสไปที่วิชาชีวะมาก ๆ วัน ๆ นึงก็จะหายตัวไปนั่งเพาะเชื้อแบคทีเรียในแล็บหลาย ๆ ชั่วโมงพอมาเจอหน้าเพื่อนคนอื่นทีเขาก็ล้อว่านึกว่าเปลี่ยนไปใช้ชีวิตอยู่ในแล็บซะแล้ว5555 เป็นการทำรายงานที่เหนื่อยมากแต่ก็สนุกมากเหมือนกันเพราะเราได้ทำในหัวข้อที่ตัวเองเลือก ได้ไปลองค้นคว้าในสิ่งที่ตัวเองสนใจในสายงานนั้นจริง ๆ เลย เผลอ ๆ 12 หน้านี่เขียนไม่พอด้วยซ้ำค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130687886 https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130687885

ในรูปคือครูเข้ามาช่วยสอนพวกเราทำแล็บวันแรกค่ะ หลังจากนั้นก็คือปล่อยเราทำกันเองเลย เราตอนแรกก็ เฮ้ย นี่เราเพาะแบคทีเรีย เพาะเชื้อรากันนะ ไม่มีครูคอยคุมมันไม่อันตรายเหรอ แต่ก็อย่างที่บอกค่ะ ว่ารายงานนี้เราต้องทำกันเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่หาข้อมูลจนทดลอง มันเป็นความรับผิดชอบอย่างนึงของเราไปเลยว่าต้องทำให้ได้ด้วยตัวเอง ก็ช่วย ๆ กับเพื่อนค่ะ ใครพอรู้เรื่องด้านไหนก็มาแบ่งปันกัน เรากับเพื่อนก็มีเพาะเชื้อพังกันไปหลายถาดเหมือนกัน5555 แต่สุดท้ายก็ผ่านกันมาได้นี่แหละค่ะ


2. Core Requirements

หัวข้อนี้ประกอบไปด้วย (Theory of Knowledge) TOK และ (Extended Essay) EE ค่ะ โดยเราจะขอพูดถึงทั้ง 2 อันอย่างสั้น ๆ นะคะ TOK จะเป็นวิชาที่ 7 ของเรา ที่เรียนเกี่ยวกับการเรียนรู้ เรียนว่าเราได้ความรู้มาได้ยังไง โดยจะเรียนแค่ 2 เทอม และเมื่อเราเรียนจบแล้วก็ต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับการเรียนของเรา และก็เขียนเอสเส 1600 คำค่ะ ส่วน EE เป็นคล้าย ๆ IA เลย คือเราเลือกหัวข้อที่เราสนใจที่สุด โดยคราวนี้จากวิชาไหนก็ได้ และทำการค้นคว้าก่อนนำมาเขียนเป็นเอสเส 4000 คำค่ะ ใช่ค่ะ เอสเสอีกแล้ว5555 IB จะเน้นเรื่องการเขียนมาก ทำให้เราหลังจากที่เรียนจบมา สกิลการเขียนเอสเสก็พุ่งสุด ๆ ไปเลย


การเรียนการสอนที่นี่แตกต่างจากโรงเรียนที่ไทยที่เราเคยเรียนมาอยู่มากค่ะ อย่างแรกเลยคือเราไม่มีตารางเรียนที่ตายตัว ตอนต้นปีเราจะได้โค้ดวิชามา 7 ตัว เรียงไปตามตัวอักษร A-G และแบ่งเรียนวันละ 4 ตัวไล่ไปเรื่อย ๆ คาบละชั่วโมงครึ่ง เวลาเรียนก็ 8.30-14.50 ค่ะ จำนวนนักเรียนในห้องปกติอยู่ที่ประมาณ 15 คน แต่บางวิชาที่ในปีนั้นคนไม่ค่อยเลือกก็มีแค่ 8 คน หรือบางวิชาก็มีมากถึง 25 คนก็มีค่ะ การเรียนจะโฟกัสไปที่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมาก ๆ เห็นได้จากห้องเรียนที่จัดเพื่อให้นักเรียนทุกคนหันหน้าเข้าหากันมากกว่าหันเข้ากระดาน ส่วนมากจะเป็นการเรียงโต๊ะให้เป็นวงกลม หรือบางห้องที่มีนักเรียนมาก ก็จะเป็นโต๊ะใหญ่ที่แบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ เลย


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130687887

ห้องเรียนชีวะเราที่จัดโต๊ะแบบเป็นกลุ่ม ๆ ค่ะ แต่ละโต๊ะมีกระดานประจำไว้เลยนะคะไว้ให้เราเขียนสเก็ตช์รูปกันตามต้องการ เพราะวิชานี้มันก็ต้องอาศัยการเข้าใจแผนภาพเยอะเหมือนกัน


พอเราไปแรก ๆ ก็คือช็อคกับความเพื่อนแย่งกันพูดในห้องมากค่ะ5555 ทุกคนพูดโต้ตอบ ถกกันแล้วถกกันอีก ยกประเด็นใหม่นู่นนี่ จนเราตามไม่ทันเลย และการแลกเปลี่ยนนี้ก็ไม่ได้อยู่แค่ในกลุ่มนักเรียนด้วยนะคะ ครูเองก็เข้าร่วมวงด้วย หลายครั้งเหมือนกันที่ครูเสนอไอเดียอะไรมาแล้วเพื่อนเราไม่เห็นด้วยเขาก็พูดออกไปเลยว่าเขาไม่คิดอย่างนั้นนะ พร้อมยกเหตุผลประกอบ ตัวอย่างห้องเรียนที่มีลักษณะแบบนี้เลยคือห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษค่ะ ภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเราเลือกลงเรียนได้หลายรูปแบบก็จริง แต่ในคาบอังกฤษวรรณกรรมที่เราเลือกลง การเรียนการสอนจะเน้นไปที่การวิเคราะห์นัยยะที่แฝงในหนังสือมาก ๆ ตลอด 1 ปีคือไม่เคยแตะแกรมมาร์เลยค่ะ มีแต่คุยกันว่าเรื่องนี้มีอุปมาอุปมัยตรงไหนบ้าง ทำไมนักเขียนเลือกใส่คำนี้เข้ามา ตัวละครตัวนี้ที่ทำแบบนี้คิดอะไรอยู่ และด้วยความที่มันเป็นคำถามปลายเปิด บทสนทนาก็ไหลเรื่อยไปเรื่อย ๆ แวะเรื่องนู้นเรื่องนี้ วนกลับมาเรื่องเดิม บางครั้งก็คุยเหมือนเพื่อนเม้าท์กัน บางครั้งก็ไฟแลบ แต่ต้องพูดทั้งคาบทุกคาบ เกือบเทอมเลยค่ะกว่าจะปรับตัวกับระบบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้ได้ แต่พอเริ่มชินแล้วเราก็สนุกไปกับมันนะคะ รู้สึกว่าเป็นห้องเรียนที่ครึกครื้น มีชีวิตชีวาดีมาก ๆ


อีกวิชาหนึ่งที่มีความแตกต่างจากวิชาอื่นมาก ๆ คือทัศนศิลป์ค่ะ ด้วยความที่มันเป็นหนึ่งในวิชากลุ่ม 6 คือกลุ่มศิลปะ การเรียนการสอนจะไม่เน้นไปที่เนื้อหา แต่จะเป็นทางปฏิบัติมากกว่า ห้องเรียนเลยไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็น art studio ทุกคนมีโต๊ะประจำของตัวเอง และสามารถเลือกทำงานอะไรก็ได้ตามต้องการ ไม่มีข้อกำหนดใด ๆ ทั้งนั้น อยากได้อุปกรณ์อะไรเพิ่มก็แค่บอกครู ซึ่งเป็นเหมือนผู้ช่วยหรือผู้ให้คำปรึกษามากกว่าที่จะเป็นผู้ที่คอยสั่งทุกอย่าง ดังนั้นทุกคาบเราจะเห็นงานต่าง ๆ ของเพื่อน ๆ ที่มีรูปร่างหลากหลาย แปลกหน้าแปลกตา เพราะอิสระที่ทุกคนได้รับในการทำงานศิลปะของตัวเอง


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130687888

เพื่อน ๆ ในคาบทัศนศิลป์ทั้งหมดค่ะ นี่คือ 2 ห้องรวมกัน ดังนั้นห้องหนึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 8 คน ครูเลยดูแลได้อย่างทั่วถึงสุด ๆ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130687889

ตัวอย่างงานหนึ่งที่เราเคยทำค่ะ มันคือไม้แผ่นใหญ่ ๆ ที่ใช้กั้นห้อง เราเห็นแล้วเลยเอามาเพนท์เป็นรูปป่าอะเมซอนที่ตอนนั้นโดนไฟไหม้พอดีเพื่อสร้างความตระหนักในสังคม แต่มาเสร็จแล้วมันยังดูไม่เหมือนไฟจริง ๆ เลยขอครูว่าขอลองเอาไฟมาเผาที่งานดูได้มั้ย จะได้เหมือนมีควันพลุ่งออกมา ครูก็ให้ทันทีเลย พร้อมจัดแจงเตรียมน้ำมัน ฟืนกระดาษ และก็ถังดับเพลิงไว้ให้ด้วย สำเร็จออกมาได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจทีเดียวค่ะ


เรื่องการเรียนเองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราเลือกที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศค่ะเพราะเรารู้สึกอัดอัดกับระบบการศึกษาที่เคยเจอมามาก ๆ ที่ UWC-USA นี่เราได้เลือกวิชาที่เราสนใจและต้องการเรียนจริง ๆ ได้เรียนรู้ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่แค่การท่องจำ ได้ฝึกความคิด และเปิดโลกตัวเองให้กว้างขึ้น เรากล้าที่จะเสนอความคิดของตัวเอง ในขณะเดียวกันได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่น ๆ ด้วย เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมาก ๆ และไม่ผิดหวังเลยค่ะ

0
gaemsiris 2 มิ.ย. 63 เวลา 16:40 น. 10

ตอนที่ 5 – กิจกรรมในโรงเรียน

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การเรียนเลยก็คือกิจกรรมค่ะ จากที่เราได้เล่าไปข้างต้นแล้ว หนึ่งในข้อกำหนดของหลักสูตร IB คือกิจกรรมนอกเวลา ที่เรียกว่า Creativity, Activity, and Service (CAS) โดยมีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก เพื่อให้กิจกรรมนอกเวลานี้มีความหลากหลายมากที่สุด เช่น ต้องมีกิจกรรมที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ กิจกรรมที่เราได้ท้าทายตัวเอง กิจกรรมที่เราได้ทำเพื่อสังคม ประมาณนี้ ดังนั้น โรงเรียนเราเลยจัดโปรแกรมที่เรียกว่า Experiential Education (ExEd) ขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ทั้งหมดนี้ค่ะ


โปรแกรม ExEd จะคล้าย ๆ กับการเลือกชมรม ชุมนุม เลยค่ะ และมีหลากหลายมาก ๆ เช่น หมวดศิลปะก็จะมี ร้องประสานเสียง ดนตรี เต้น การแสดง ตัดเย็บเสื้อผ้า หมวดกีฬาก็จะมี แบตมินตัน วอลเล่ย์ วิ่ง ว่ายน้ำ ปีนเขา บางกีฬามีจัดแข่งระหว่างภูมิภาค (เช่น เอเชียตะวันออก แข่งกับตะวันออกกลาง) หรือระหว่างปี 1 กับปี 2 ด้วยนะคะ ส่วนหมวดช่วยเหลือภายในโรงเรียนก็จะมี ทำหนังสือรุ่น ช่วยงานในห้องครัวของโรงเรียน ช่วยงานเบื้องหลังเวทีซึ่งมีทั้งฝ่ายไฟ ฝ่ายเสียง และฝ่ายฉาก ส่วนหมวดงานช่วยเหลือสังคมส่วนมากจะเป็นการออกไปนอกโรงเรียนค่ะ เป็นกิจกรรมที่ทำกับเด็ก ๆ ในโรงเรียนใกล้เคียงกัน เช่น อ่านหนังสือให้ฟัง สอนหนังสือ พับกระดาษหรือเล่นหมากรุกด้วยกัน ประมาณนี้ค่ะ ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ยังไม่ใช่ชมรมที่มีทั้งหมดด้วยนะคะ ยังมีอีกมากและก็กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นทุกปีด้วยค่ะ เพราะที่นี่นักเรียนทุกคนสามารถยื่นเรื่องขอตั้งชมรมใหม่ได้เองตามความสนใจของเราเลยค่ะ เช่นปีเรา มีเพื่อนที่เก่งเรื่องแฟชั่นและการตัดเย็บเสื้อผ้ามาก ๆ คนนึง แต่ก่อนหน้านี้โรงเรียนเราไม่มีชมรมที่เกี่ยวกับด้านนี้เลย เขาก็เลยยื่นเรื่องไปที่ครูผู้ดูแลเรื่องกิจกรรมนอกเวลา และก็ตั้งชมรมตัดเย็บเสื้อผ้าขึ้นมาค่ะ มีคนสนใจเยอะพอดูเลย และด้วยความที่ในแต่ละปีก็จะมีนักเรียนที่มีความสนใจและความสามารถที่แตกต่างกันออกไปหมุนเวียนมาเรื่อย ๆ จำนวนชมรมก็เลยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนี่แหละค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130690306

รูปนี้จากที่เราไปอยู่ชมรมที่ช่วยงานในห้องครัวของโรงเรียนค่ะ ได้ลองทำอะไรแปลก ๆ เยอะมาก ๆ จบเทอมทีคือหั่นสัปปะรด แตงโมคล่องไปเลยค่ะ


แต่กิจกรรมในโรงเรียนก็ไม่ได้มีแค่ในส่วนของโปรแกรม ExEd นะคะ นอกเหนือจากนั้นก็มี ซึ่งอาจจะมีตามวันหยุดที่สำคัญ ๆ เช่น UWC Day เป็นวันของ UWC ที่เชิญเด็ก ๆ จากโรงเรียนใกล้ ๆ มาทำกิจกรรมในโรงเรียน Martin Luther King Jr. (MLK) Day วันหยุดของสหรัฐ ที่โรงเรียนเราจะจัดกิจกรรมอาสานอกโรงเรียน หรือวันหยุดปิดเทอมย่อยทั้งหลาย ซึ่งมีกิจกรรมให้เล่าเยอะมาก เราเลยจะขอแยกตอนไปเล่าโดยละเอียดในตอนที่ 8 – ปิดเทอมย่อย (fall/spring break) ไปไหน? นะคะ แต่สปอยก่อนเลยว่าเราได้ไปทั้งแกรนแคนยอน และก็ข้ามชายแดนไปที่เม็กซิโกด้วยค่ะ


เราได้เคยพูดถึงภูมิภาคต่าง ๆ ไว้ยิบย่อยมาก ๆ ตั้งแต่ว่านักเรียนที่มาจากภูมิภาคเดียวกันไม่สามารถเป็นรูมเมทกันได้ หรือการจัดการแข่งขันกีฬาระหว่างภูมิภาค หลายคนอาจจะสงสัยแล้วว่าการแบ่งภูมิภาคนี้มันยังไงกันแน่ ทำไมมันดูเป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้ คืออย่างนี้ค่ะ โรงเรียนเราจะมีการแบ่งนักเรียนตามภูมิภาคของประเทศของนักเรียนมาจาก โดยจะมีแบ่งออกเป็น 6 ภูมิภาค ได้แก่

1. North America คือ ทวีปอเมริกาเหนือ

2. Caribbean and Latin America คือ ทวีปอเมริกาใต้

3. Europe คือ ทวีปยุโรป

4. Africa คือ ทวีปแอฟริกา

5. Middle East and Indian Subcontinent คือ ประเทศในตะวันออกกลางและทวีปย่อยอินเดีย

6. Pacific Asia คือ เอเชียตะวันออก


ทั้งนี้ การแบ่งออกเป็น 6 ภูมิภาค ไม่ใช่การแบ่งแยกนักเรียนแต่อย่างใด ซึ่งโรงเรียนและคุณครูทุกคนก็เน้นย้ำเรื่องนี้เสมอ แต่เป็นการตรวจสอบให้แน่ใจว่า ในแต่ละกลุ่ม หรืองานต่าง ๆ ที่ทำในโรงเรียน เช่น สภานักเรียน เรามีตัวแทนครบจากทุกภูมิภาค เพื่อที่เราจะได้รับความคิดเห็นที่หลากหลายจากตัวแทนเหล่านี้ ผู้มีพื้นหลังที่แตกต่างกัน และใช้ประกอบการตัดสินใจให้ได้บทสรุปที่ยุติธรรมต่อทุกฝ่ายมากที่สุด นอกจากนี้ การแบ่งกลุ่มก็เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รวมตัวกันทำกิจกรรมในโดดเด่นในภูมิภาคของตัวเอง เป็นการแบ่งปันประเพณีวัฒนธรรม ให้เพื่อนที่มาจากประเทศอื่น ๆ ได้รู้จัก ตัวอย่างที่เด่น ๆ ก็มี วันตรุษจีน จัดโดยนักเรียนเอเชียตะวันออก Saint Lucy’s Day เป็นวันสำคัญทางคริสต์ และเฉลิมฉลองกันในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ในวันนั้นเพื่อน ๆ เราที่มาจากแถบสแกนดิเนเวียก็จะแต่งชุดขาว ถือเทียนและเดินเข้ามาแสดงการร้องเพลงในโรงอาหาร หรือ Holi เทศกาลของทางฮินดูที่ฉลองโดยการสาดสีใส่กัน ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มนักเรียนจากทางตะวันออกกลางและทวีปย่อยอินเดีย และเปิดให้เพื่อน ๆ ทุกคนได้เข้าร่วมเล่นกันทั้งโรงเรียนค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130690307https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130690308


นอกจากนี้ก็ยังมีการรวมตัวกันทำอาหารของแต่ละภูมิภาคด้วย ซึ่งช่วยได้มากสำหรับใครที่ homesick คิดถึงบรรยากาศและรสชาติอาหารประเทศบ้านเกิดของตัวเอง อย่างของภูมิภาคเอเชียตะวันออกของเรา พอมีประกาศทีว่าจะมีการรวมตัวทำอาหารกันเร็ว ๆ นี้นะ เรากับเพื่อนก็จะเริ่มตื่นตัว เริ่มคิดเมนู หาผู้ช่วย ไปวอลมาร์ทซื้อวัตถุดิบกันให้วุ่น พอถึงวันที่นัดกันก็เข้าครัวตั้งแต่ 4 โมงยันทุ่มกว่า จานตัวเองเสร็จก็ช่วยคนอื่น เพื่อที่เราจะได้กินได้พร้อมกันทั้งกลุ่ม อาหารที่ทำก็หลากหลายกันมาก ๆ เป็นอาหารเอเชียที่หากินได้ยากเหลือเกินในนิวเม็กซิโก มีตั้งแต่เกี๊ยวจีน ข้าวราดสตูว์ฮายาชิ บิบิมบับ อาหารทิเบตที่เรียกว่าติงโม ไก่ต้มโค้กฮ่องกง อื่น ๆ อีกมากมาย แล้วก็มีต้มยำของเราที่ได้อานิสงส์มาจากก้อนคนอร์ที่เราพกไปด้วยนี่แหละค่ะ5555 สนุกแล้วก็อิ่มมาก ๆ ช่วยประทังความอยากความคิดถึงอาหารเอเชียของเราไปได้มากเลยค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130690309


การแบ่งกลุ่มภูมิภาคนี้ไม่ใช่การแบ่งกลุ่มที่ตายตัว เราสามารถอยู่ได้มากกว่า 1 กลุ่ม และสามารเลือกกลุ่มเองได้จากพื้นหลังของเราด้วย เช่น เพื่อนเราคนหนึ่งสมัครผ่านคณะกรรมการฮ่องกงเพราะตอนนั้นเขาไปเรียนอยู่ฮ่องกง แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนฟินแลนด์ เขาก็เลือก identify ตัวเองเป็นทั้งเอเชียตะวันออก และยุโรป หรือเพื่อนเราที่มาจากภูฏาน ประเทศเขาอยู่กึ่งกลางระหว่าง ตะวันออกกลาง และตะวันออก เขาก็อยู่ทั้ง 2 กลุ่มเหมือนกัน ลักษณะแบบนี้มีให้พบเห็นได้เยอะมาก ๆ และเรียกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโรงเรียนเราเลยค่ะ


พูดถึงเรื่องภูมิภาคแล้วก็คงไม่พูดถึงเรื่องงานแสดงวัฒนธรรม Cultural Showcase ไม่ได้ โดยงานนี้จะเป็นงานใหญ่ที่สำคัญงานหนึ่งของโรงเรียนเรา ที่เปิดให้นักเรียนทุกคนได้ขึ้นมาแสดงวัฒนธรรมหรือบอกเล่าเกี่ยวกับประเทศของตัวเอง 1 ปีจะมี 2 ครั้งและจะเตรียมตัวกันล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ๆ เพื่อให้ได้การแสดงที่สมบูรณ์ที่สุด รูปแบบการแสดงก็มีหลากหลาย เช่น การแสดงละครบอกเล่าเรื่องราวของคนผิวสี การแสดงเต้นหรือระบำพื้นเมือง ที่สร้างสรรค์มาก ๆ ก็เช่นที่กลุ่มอเมริกาเหนือทำครั้งหนึ่ง คือให้ทุกคนคอสเพลย์เป็นรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา และออกมาเล่าเรื่องราวของตน ทำให้เราได้รู้จักประเทศและวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สำคัญมากขึ้น ของปีล่าสุดก็ได้ลงยูทูปไว้ด้วยค่ะ (https://www.youtube.com/watch?v=JPqtx-awfbI) สามารถไปกดดูกันได้เลย


นอกจากการแสดงวัฒนธรรมนี้แล้วโรงเรียนเราก็ยังมีจัดเวทีให้ได้ขึ้นไปแสดงฝีมือกันบ่อย ๆ ด้วยนะคะ เรียกกันว่า cafe โดยจะมีตามช่วงสำคัญ ๆ เช่น ตอนเปิดเทอมแรก ๆ ช่วงวาเลนไทน์ วัน UWC Day หรือก่อนปิดเทอม เปิดรับการแสดงทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเต้น ร้องเพลง ดนตรี โชว์ตลก อ่านกลอน หรือแสดงวัฒนธรรมของประเทศเรา ไม่จำเป็นต้องเก่งก็ขึ้นได้ค่ะ เหมือนเป็นการเปิดไมค์ให้นักเรียนได้เก็บประสบการณ์ขึ้นเวทีกันมากกว่า เราที่เป็นสายเต้นก็เคยจับกลุ่มกับเพื่อนขึ้นแสดงกันหลายรอบเหมือนกันค่ะ อย่างในรูปข้างล่างนี้ก็มีทั้งแสดง Boy With Luv ของบังทัน กับ Ddu-du Ddu-du ของ Blackpink 5555


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130690310https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130690311


อย่างที่บอกไปตอนต้นเลยค่ะ กิจกรรมในโรงเรียนเรานั้นมีมากมาย นับไม่หวาดไม่ไหว ถึงขั้นที่ว่าหาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ไม่มีกิจกรรมแทบไม่มีเลยค่ะ นอกจากกิจกรรมที่จัดโดยโรงเรียนแล้ว ก็ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่นักเรียนจัดกันเองอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ตอนปี 1 ทั้งโรงเรียนเรานัดกันถ่ายวิดีโอ Lipdub ค่ะ คือเหมือนเป็นการถ่ายวิดีโอลิปซิงค์เพลง แต่พวกเราเติมความเป็น UWC เข้าไปด้วยโดยการขนเอาธงชาติของประเทศตัวเองออกมาแสดง ใครได้มาอยู่ในงานวันนั้นก็จะเห็นนักเรียนเกือบ 200 คนวิ่งโบกธงกันไปทั่วโรงเรียน เข้าไปในห้องสมุด โรงอาหาร โรงยิม มีการแปรแถวเป็นตัว UWC ที่กลางสนามบอลด้วย เป็นวันที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และสีสันสดใสของธงชาติประเทศต่าง ๆ ตัว MV ก็อยู่ในยูทูปอีกเช่นเคยนะคะ (https://www.youtube.com/watch?v=6aw6ppaGCUg)


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130690312
https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130690313


ใครอยากเห็นรูปเพิ่มเติมหรืออ่านเกี่ยวกับรายละเอียดกิจกรรมอื่น ๆ ที่เราทำไปจิ้มดูได้ที่เว็บไซต์เรานะคะ (https://sansirisaensopa.wixsite.com/exedportfolio) อันนี้เราทำเป็นพอร์ตฟอลิโอส่งที่โรงเรียน และจะรวมกิจกรรม ExEd ที่เราทำในปีนั้น ๆ ไว้ทั้งหมดเลยค่ะ

0
gaemsiris 5 มิ.ย. 63 เวลา 19:54 น. 11

ตอนที่ 6 – วันสำคัญของโรงเรียน

ในปฏิทินอันเต็มไปด้วยโค้ดเรียนและตารางกิจกรรมของพวกเรานั้น จะมีบางวันที่เหล่านักเรียนตั้งหน้าตั้งตารอกันสุด ๆ ซึ่งนั่นก็คือวันที่โรงเรียนเราจะจัดกิจกรรมประจำปีกันนั่นเอง ถ้าให้นับจริง ๆ ก็มีหลายวันอยู่นะคะ แต่ในที่นี้เราจะขอยกมาเล่าแค่ 2 วันที่สำคัญ ๆ แล้วกัน คือ Welcome Ceremony วันต้อนรับนักเรียนใหม่ และ Yule Ball หรืองานพรอมนั่นเองค่ะ


Welcome Ceremony วันต้อนรับนักเรียนใหม่

งานนี้จะจัดขึ้นในภายในเดือนแรกของทุกปีค่ะ โดยจะเป็นช่วงหลังจากปฐมนิเทศเสร็จ และเปิดเรียนไปได้แล้วประมาณ 1 อาทิตย์เพื่อให้ทุกคนพอปรับตัวกันได้แล้วบ้าง เนื่องจากงานนี้เป็นเหมือนงานเลี้ยงอาหารเย็น การเรียนการสอนในช่วงเข้าจึงยังต้องดำเนินต่อไปตามปกติค่ะ แต่พอบ่าย 3 โมงเลิกเรียนเท่านั้นแหละค่ะ ทุกคนจะพุ่งกลับห้อง ขนเอาเครื่องแต่งหน้าแต่งกายที่เตรียมไว้ออกมา โพสต์ตามหาเครื่องดัดผม เครื่องเป่าผม ตามตัวคนที่แต่งหน้าเป็นกันให้จ้าละหวั่น บรรยากาศเหมือนสับสวิตช์ ทุกคนตื่นตัวขึ้นมาทันทีเลยค่ะ


เอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของ UWC คงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องความแตกต่างด้านเชื้อชาติของนักเรียนทุกคน ดังนั้นในงานวันต้อนรับน้อง ๆ ปี 1 นี้ ตีมชุดของเราคือจะเป็นชุดประจำชาติค่ะ จะเป็นวันเดียวในปีที่เราได้เห็นทุก ๆ คนในโรงเรียนใส่ชุดประจำชาติกันอย่างเต็มยศ มีตั้งแต่กี่เพ้าไปจนถึงชุดบาวาเรียม ที่เป็นเอี๊ยมกระโปรงของยุโรป ช่วงก่อนกินอาหารเย็นทุกคนจะออกมาถ่ายรูปกันหน้าปราสาทโดยขนธงประจำชาติตัวเองออกมาด้วยค่ะ มีถ่ายแยกตามหอ ตามภูมิภาค สีสันกันสุด ๆ ไปเลย พอถึงเวลาแล้วก็จะโดนต้อนเข้าไปในโรงอาหาร มีพิธีกล่าวเปิดจากผอ. พร้อมด้วยพี่ปี 2 ที่จะเดินถือธงประจำชาติตัวเองเข้ามาในโรงอาหารค่ะ อย่างเราเพราะเป็นตัวแทนคนไทยคนเดียวในปีเลยต้องถือคนเดียว แต่นักเรียนจากประเทศอื่น ๆ เช่น จากสหรัฐอเมริกา ที่มีกันมาก ๆ ก็เดินเข้ามาเป็นพาเหรดกันไปเลยค่ะ พอจบงานแล้วก็พากันออกไปข้างนอก ร้องเพลงรอบเสาธงบ้างอะไรบ้าง เป็นพิธีการที่อบอุ่น ที่ทำให้น้อง ๆ ปี 1 ได้รู้จักกับรุ่นพี่และครูในโรงเรียนมากขึ้นแน่นอนค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130709321 https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130709322 https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130709324

รูปนี้คือที่ถ่ายรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกค่ะ


Yule Ball งานพรอม ตีมแฮร์รี่ พอตเตอร์

โรงเรียนที่มีปราสาท ได้ยินประโยคนี้แล้วใครก็คงต้องนึกถึงฮอกวอตส์ โรงเรียนของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ใช่มั้ยคะ แน่นอนว่าหลาย ๆ คนในโรงเรียนเราก็คิดเหมือนกันค่ะ เลยมีคนผุดความคิดให้จัดงานพรอมไปในตีมแฮร์รี่ พอตเตอร์ให้เข้ากับบรรยากาศปราสาทพ่อมดแม่มดไปเสียเลย โดยงานนี้จะมีในวันเสาร์วันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ บรรยากาศตื่นตัวตามหาข้าวของกันก็จะกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมอีกค่ะเพราะมีเวลาให้ทำกันได้ทั้งวัน ตอนปี 2 เราสมัครเป็นฝ่ายตกแต่งงานเลยได้รู้ขั้นตอนการทำงานหมดเลย เริ่มประดับกันตั้งแต่ 10 โมงเช้าจน 4 โมงเย็นกันเลย ของตกแต่งใช้ของปีก่อน ๆ บ้าง ทำใหม่บ้าง ซื้อใหม่บ้าง มีทั้งไม้กายสิทธิ์ ไม้กวาด ป้ายบ้านต่าง ๆ จดหมายเชิญแฮร์รี่ไปโรงเรียนที่พุ่งออกมาจากเตาผิง Backdrop ชานชาลา 9 เศษ 3/4 เสื้อคลุม แว่นตาแฮร์รี่ ตกแต่งกันเกือบทุกมุมในปราสาท เรียกว่าใครเป็นแฟนเรื่องนี้ได้มาเห็นแล้วต้องมีกรี๊ดกันแน่นอนค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130709325

จดหมายที่พุ่งออกมาจากเตาผิงค่ะ มาจากหนังสือเล่มแรก ทุกอันจ่าหน้าด้วยที่อยู่ของแฮร์รี่และร้อยไว้ด้วยเอ็นใส เป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปให้ทุกคนมาถ่ายรูปเล่นกันได้


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130709326

รูปนี้ถ่ายกับพร็อพค่ะ เป็นของตกแต่งที่วางไว้ให้ใครมาเอาไปใส่ถ่ายรูปก็ได้ เราเลยขอจัดเต็มซักหน่อย5555


ถึงจะมีบ้างคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้และเตรียมชุดคลุมแฮร์รี่ของตัวเองมาใส่แต่นักเรียนส่วนมากแล้วจะแต่งตัวเหมือนไปงานพรอมปกติค่ะ คือใส่ชุดราตรี ชุดสูท แต่แนวอื่น ๆ ก็มีให้ได้เห็นกันอยู่มากค่ะ เช่น บางคนแต่งเป็นแนวฮิปฮอปไปเลย หรือไม่แต่ง ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนไปเลยก็มีค่ะ ไม่ถือว่าแปลกอะไรเพราะทุกคนที่นี่ให้อิสระในการแต่งตัวของกันและกัน แต่ที่นักเรียนส่วนมากไม่แต่งคอสเพลย์แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเพราะมีผู้ที่รับหน้าที่นั้นอยู่แล้วค่ะ ก็คือคุณครูทุกท่านนั่นเอง จากที่เราได้มาร่วมจัดงานในปี 2 ทำให้เราได้รู้เลยว่า จริง ๆ แล้วคนที่ตื่นเต้นกับงานนี้ที่สุดน่าจะเป็นพวกคุณครูนี่แหละค่ะ เพราะเริ่มส่งใบรายชื่อให้ทุกคนมาลงชื่อว่าใครอยากคอสเพลย์เป็นใครกันให้ว่อนตั้งแต่ก่อนงานประมาณเกือบเดือนได้ และหลังจากนั้นก็ลงทุนจัดหาจัดซื้ออุปกรณ์เสื้อผ้ามาอย่างเต็มที่ สมจริงเหมือนกับเข้าไปเดินในงาน Wizarding World ของสวนสนุก ประมาณนั้นเลยค่ะ ตัวละครที่มีให้เห็นก็ตั้งแต่ ซีเรียส แบล็ค แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่ รอนและครอบครัว (อันนี้คุณครูคนที่มีครอบครัวจับทุกคนในบ้านแต่งตัวค่ะ น่ารักมาก ๆ) ด็อบบี้ สเนป ดัมบริดจ์ และปีล่าสุด คุณครูการแสดงแต่งเป็นโวลเดอมอร์ค่ะ เป็นตัวละครที่ยังไม่เคยมีใครแต่งมาก่อน ทุกคนเลยฮือฮากันมาก ๆ


ภายในงานจะครึกครื้นไปด้วยเสียงเพลงค่ะ เริ่มต้นด้วยการที่ทุกคนกินอาหารเย็นด้วยกัน โดยบางเมนูก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วยนะคะ เช่น บัตเตอร์เบียร์ หรือขนมเค้กป๊อปที่เอามาติดปีก ทำเป็นลูกสนิตช์สีทอง กิจกรรมในงานก็จะต่างกันออกไปค่ะ อย่างในปี 2 ของเรามีครูคนนึงได้ไอเดีย จัดการแข่งขันตอบคำถามแฟนพันธุ์แท้ให้ออกไปแรลลี่หาคำใบ้กันด้วยค่ะ คำถามก็ยากมาก ๆ เอาซะด้วย เช่น น้องสาวของเฟลอร์ เดอลากูร์ ชื่ออะไร เราที่อ่านมานานแล้วและไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ขนาดนั้นก็เอ๋อไปเลยค่ะ นั่งฟังเพื่อนเถียงกันเค้นสมองหาคำตอบอย่างเดียว5555 จบงานมีแสดงเต้นรำจากชมรมเต้นด้วยค่ะ เห็นว่าเป็นเพลงที่ใช้ในงานเต้นรำของฮอกวอตส์ในเล่มถ้วยไฟอัคนีด้วยนะคะ หลังจากนั้นก็มีการแสดงดนตรีอีกหลากหลายรูปแบบเลยค่ะให้นักเรียนทุกคน (ที่ยังไม่เหนื่อย) ได้ลงไปเต้นกันบ้าง เปลี่ยนฟลอร์เต้นรำเป็นงานปาร์ตี้ไปโดยปริยาย5555


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130709327

0
gaemsiris 19 มิ.ย. 63 เวลา 20:25 น. 12

ตอนที่ 7 – New Mexico และบริเวณโดยรอบ

ตอนแรกที่เราได้รู้ว่าจะได้ไปเรียนต่อที่นิวเม็กซิโก สิ่งที่เราได้ยินจากเพื่อนหรือคนรู้จักหลาย ๆ คนจะเป็นไปในแนวเดียวกันคือ นิวเม็กซิโกเป็นรัฐที่ไม่เจริญ มีแต่ทะเลทราย อากาศร้อนและกันดารมาก ๆ แถมยังมีการลักลอบขนสารเสพติดข้ามชายแดนอีก ตอนก่อนบินพอได้ยินมาก ๆ เราก็เริ่มกังวลเหมือนกันค่ะ แถมพอตอนบินไปถึงเราชะโงกหน้ามองจากหน้าต่างเครื่องบินแล้วเห็นแต่พื้นที่สีน้ำตาลที่ว่างเปล่า เรายิ่งกังวลเข้าไปใหญ่ ได้แต่ถอนใจแล้วคิดว่าอีก 2 ปีต่อไปเราจะต้องเจอแต่อากาศร้อนและก็ความยากลำบากแน่ ๆ


แต่ดูเหมือนว่าเราจะคิดผิดถนัด เพราะตลอด 2 ปีเต็มที่ได้ไปเรียนที่รัฐแห่งนี้มา เราสามารถพูดได้เต็มปากเลยค่ะ ว่าไม่เคยต้องเจอกับความลำบาก กันดาร หรืออันตรายใด ๆ แม้แต่น้อย


จริงอย่างที่หลาย ๆ คนบอกเราก่อนจะเดินทางมา พื้นที่ขนาดใหญ่รัฐนิวเม็กซิโกเป็นทะเลทรายค่ะ คิดเป็นประมาณ 40% ของรัฐได้ แต่ไม่ใช่แบบที่มีแต่เนินทรายสุดลูกหูลูกตานะคะ ทะเลทรายที่นี่จะเรียกว่าทะเลทรายแบบโซโนรัน หรือทะเลทรายแอริโซนา ฝนจะตกในทะเลทรายประเภทนี้มากกว่าถ้าเทียบกับแบบอื่น พื้นดินจะไม่ได้เป็นทรายซะทีเดียว แต่เป็นแนวกรวด ๆ มีหินก้อนใหญ่ ๆ และมีต้นไม้แห้ง ๆ ขึ้นเยอะ ซึ่งก็คือภาพพื้นที่สีน้ำตาลที่เราได้เห็นตอนเครื่องบินกำลังจะลงจอดนี่เองค่ะ อธิบายมาซะยาว แต่ว่าจริง ๆ แล้วตัวโรงเรียนปราสาทของเรานั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายนี้หรอกนะคะ5555 จะอยู่ค่อนไปทางเหนือของรัฐ สูงไปบนภูเขา และเลยทะเลทรายโซโนรันนี้ไปอีกค่ะ ซึ่งการที่เราต้องข้ามทะเลทรายขนาดใหญ่นี้นี่แหละค่ะ คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงต้องนั่งบัสโรงเรียนจากสนามบินกันถึง 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงโรงเรียน


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130801282


ตอนเราไปถึงในเดือนสิงหาคม อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 25-28 องศาค่ะ เรียกว่ากำลังเย็นสบาย พอเราเจออย่างนั้นเราก็แปลกใจค่ะ เพราะตอนแรกเตรียมใจไว้ว่าต้องได้เจอกับความร้อนแบบอบอ้าวสุด ๆ แน่ ๆ พอถามรุ่นพี่เขาก็อธิบายว่าจริง ๆ แล้วถ้าไม่ใช่ฤดูร้อน รัฐนิวเม็กซิโกก็ไม่ได้ร้อนขนาดนั้นนะ มีฝนตกหิมะตกบ้างตามปกติ แต่เพราะโรงเรียนเราอยู่ทางเหนือ อยู่บนภูเขาและยังอยู่กลางป่าด้วย อุณหภูมิเลยต่ำกว่าบริเวณอื่น ๆ ในรัฐมาก ๆ เคยมีคนลองเทียบดูด้วยว่าจริง ๆ แล้ว ภูมิอากาศของบริเวณโรงเรียนเราที่อยู่บนภูเขาเนี่ย เทียบได้กับบริเวณบอสตัน หรือแถบนิวยอร์กของสหรัฐเลยนะ เราฟังแล้วก็อึ้ง ๆ ไปเหมือนกันค่ะ ว่าอ้าว นี่ฉันคิดผิดมาตลอดเลยเหรอ แล้วเหมือนจะเป็นการยืนยันคำพูดของรุ่นพี่ พอเข้าสู่ปลายเดือนกันยายน ซึ่งก็คือฤดูใบไม้ร่วง เราก็ได้เจอการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมินี้ด้วยตัวเอง


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130801283

ฤดูใบไม้ร่วงช่วงใบไม้เปลี่ยนสีค่ะ ถ้ามองลงไปจากตัวปราสาทจะเห็นทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง สวยมาก ๆ


ปีแรกเราแทบไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวหนา ๆ ไปเลยค่ะ เพราะคิดว่ารัฐนี้มันจะต้องไม่หนาวขนาดนั้นแน่ ๆ แต่พอมาที่โรงเรียนได้เพียงแค่เดือนกว่า ๆ เรากลับต้องขอให้ที่บ้านรีบส่งเสื้อผ้าหนา ๆ มาให้โดยด่วนเพราะอุณหภูมิลดลงอย่างฮวบฮาบ หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วงไปอีกประมาณ 1 เดือนก็เริ่มหิมะตกกันแล้วค่ะ จำได้ว่าตอนปี 1 หิมะแรกของปีตกตอนวันฮาโลวีน (31 ตุลา) พอดีเลยค่ะ ตอนนั้นตื่นเต้นมากเพราะบรรยากาศการเล่น trick or treat กลางหิมะเม็ดเล็ก ๆ ที่โปรยปรายมันช่างสวยเหลือเกิน แต่หิมะเนี่ย พอมันเริ่มตกได้วันนึงแล้ว หลังจากนั้นมันจะตกลงมาถี่ขึ้น ๆ และหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตกหนาเป็นนิ้ว ๆ ตอนช่วงพีคคือเวลาเดินก็จมไปทั้งข้อเท้าเลยค่ะ ระยะเวลาก่อนหิมะจะละลายก็ยาวนานมาก ๆ เหมือนกัน บางทีกินเข้าไปในฤดูใบไม้ผลิด้วยซ้ำค่ะ หญ้ากำลังเขียว ๆ อยู่เลย หิมะตกซะงั้น ระยะเวลาที่จะได้เจอหิมะโดยปกติแล้วอยู่ที่ประมาณ 5 เดือนตั้งแต่พฤศจิกายนถึงมีนาคมค่ะ เรียกได้ว่าครึ่งหนึ่งของปึการศึกษาเลยทีเดียว


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130801284

รูปนี้ขอยืมมาจากเฟซบุ๊คของโรงเรียนนะคะเพราะเราคงไม่มีความสามารถจะถ่ายออกมาได้ขนาดนี้แน่ ๆ 5555 รูปนี้ถ่ายโดย Sofia Delgado รุ่นพี่รุ่นก่อนเราค่ะ อยากเอามาให้ทุกคนชมความสวยงามของหิมะที่ล้อมรอบปราสาทกลางภูเขาหลังนี้ เห็นแล้วพอนึกเลยมั้ยคะ ว่าทำไมทุกคนถึงเชื่อมโยงปราสาทโรงเรียนเรากับปราสาทฮอกวอตส์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์กัน 5555


สำหรับเราแล้ว แม้ตอนแรกจะเห่อหิมะเพราะเคยเจอมาก่อนนับครั้งได้ แต่ไม่นานความหนาวก็เริ่มเข้ามาแทนที่ความตื่นเต้นค่ะ ร่างกายมนุษย์ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราน่าจะยังไม่คุ้นชินกับอุณหภูมิที่ต่ำขนาดนี้ซักเท่าไหร่ เราเลยพยายามเลี่ยงการออกไปยืนกลางอากาศหนาวนาน ๆ และผันตัวเป็นประเภทที่นั่งข้างฮีทเตอร์ในห้องตัวเองและดูหิมะที่โปรยปรายสวย ๆ ทางหน้าต่างแทนค่ะ ยังดีที่อย่างน้อยห้องเรียนอยู่ห่างจากห้องนอนไม่มาก ประมาณ 4-5 นาทีก็เดินถึงแล้ว เราเลยไม่ต้องลุยหิมะนานนัก แต่ก็มีคนบางประเภทที่รักความหนาวนี้เอาเสียมาก ๆ นะคะ เค้าก็จะรวมตัวออกไปเล่นสงครามปาหิมะกันที่สนามฟุตบอลกัน หรือถ้าวันไหนหิมะหนามาก ๆ ก็ลงไป ปั้นตุ๊กตาหิมะกันหลายตัว หรือ “ว่าย” เล่นในทะเลหิมะกันเลยทีเดียวค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130801288

ลานฟุตบอลหน้าโรงเรียนตอนที่ทุกคนออกไปเล่นปาหิมะกันค่ะ ขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาจริง ๆ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130801289

พูดถึงหิมะแล้ว เราเลยขอเอารูปทะเลสาบน้ำแข็งมาฝากด้วยค่ะ มันคือทะเลสาบที่อยู่นอกบริเวณโรงเรียนเราไปนิดนึง สามารถเดินไปถึงได้แต่ก็ยังนับว่าไกล คนเลยค่อนข้างบางตา แต่ทุกหน้าหนาวมันจะกลายเป็นน้ำแข็งค่ะ ใช่ค่ะ น้ำแข็งเหมือนลานไอซ์สเก็ตอย่างนั้นเลย มองลงไปจะเห็นฟองอากาศหรือใบไม้ใบหญ้าที่แข็งตัวอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็ง น่าตื่นเต้นมาก ๆ และเราก็สามารถลงไปเดินเล่นบนน้ำแข็งกันได้ เพื่อนเราลงไปเต้นรำเล่นกันหลายคนเหมือนกันค่ะ


อีกเรื่องหนึ่งคือเป็นเรื่องความสูงค่ะ เพราะเราอยู่บนภูเขากันอากาศจะแห้งและก็เบาบางกว่ามาก ทำให้เราหายใจไม่ทันในบางที ไม่ใช่หายใจไม่ออกนะคะ แต่แค่อาจจะหอบมากหน่อยโดยเฉพาะเมื่อออกกำลังกายค่ะ ซึ่งนี่เองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การขึ้นบันได 160 ขั้นเป็นปัญหาสำหรับหลาย ๆ คน นักเรียนที่มาจากที่ราบ หรือที่ที่ความสูงต่ำ (เช่นประเทศไทย) ก็อาจจะรู้สึกถึงความแตกต่างนี้ได้ง่ายหน่อย เรื่องนี้ต้องอาศัยการปรับตัวเท่านั้นเลย ค่ะ ซึ่งพอปรับตัวได้เคยชินแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป อาจทำให้เราแข็งแรงขึ้นด้วยซ้ำ นอกจากนี้ด้วยความแห้งของอากาศ ผิวเราจะแตกและร่างกายจะขาดน้ำง่ายมาก ๆ ค่ะ ดังนั้นทุก ๆ คนจะเตือนกันเองอยู่ตลอดเวลาให้ Stay hydrated คือให้กินน้ำจิบน้ำบ่อย ๆ อย่างตอนที่เราไปปีนเขาตอนทริปปฐมนิเทศรุ่นพี่ก็บังคับให้กินน้ำเรื่อย ๆ ขนาดเราบอกเขาว่ายังไม่เหนื่อยเลยเขาก็บอกต้องกินนะ เพราะถ้ายังไม่ชินกับความบางของอากาศก็มีเป็นลมไปโดยไม่รู้ตัวหลายคนเหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนในโรงเรียนเราจะถือกระติกน้ำขนาดใหญ่เบิ้มเดินไปไหนมาไหนกันค่ะ ใหญ่สุดที่เราเคยเห็นคือขนาดแกลลอนเลยค่ะ เราเห็นทีก็ช็อคไปเลย5555


New Mexico เป็นรัฐที่เก็บอารยธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองไว้เยอะมาก ๆ บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ จะสร้างด้วยอิฐดิน สีส้ม ๆ เป็นลักษณะเฉพาะของรัฐนี้ อาคารแต่ละหลังจะตั้งห่าง ๆ กัน เว้นด้วยพื้นที่ว่างซึ่งมีเยอะมาก ๆ การตกแต่งภายในจะเป็นในแนวพื้นเมือง มีผสมผสานวัฒนธรรมของเม็กซิโกด้วย เนื่องจากมีชายแดนที่ติดกัน และก็มีคนพูดภาษาสเปนเยอะมาก ๆ สเปนเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสหรัฐอยู่แล้ว แต่ที่รัฐนี้เรียกได้ว่าเยอะกว่าที่อื่นเป็นเท่าตัวเลยค่ะ


เมืองหลวงของ New Mexico คือ Albuquerque (อัลบูเคอร์คี) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินนั่นเองค่ะ ส่วนโรงเรียนของเรานั้นอยู่ Montezuma เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างออกมา และก็ไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองด้วยนะคะ เรียกว่าปลีกวิเวกของแท้ แต่ในเมื่อใกล้ ๆ โรงเรียนมันไม่มีร้านค้าหรือแหล่งช็อปปิ้งอะไรให้พวกเราเหล่านักเรียนได้ออกไปเที่ยวเล่นกันเลย โรงเรียนก็เลยจะจัดบัสรับส่งเข้าสู่ใจกลางเมือง 3 ครั้งต่ออาทิตย์ค่ะ คือวันอังคาร ศุกร์ และเสาร์ และก็มีหลายรอบต่อวันด้วย นั่งไปประมาณ 20 นาที บัสนี้จะไปจอดที่จัตุรัสกลางเมือง และคนขับจะนัดเวลาให้เรากลับมาขึ้นรถให้ทัน หลังจากนั้นเราก็จะสามารถแยกย้ายออกไปเดินในเมืองกันได้ตามสบายเลยค่ะ ในบริเวณตัวเมืองนี้เป็นแหล่งรวมร้านค้าร้านอาหารหลาย ๆ อย่างตั้งแต่พวกร้านดัง ๆ ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกัน เช่น McDonald’s, Dairy Queen, Little Caesars และอีกหลายที่มาก ๆ ที่เป็นร้านในท้องถิ่น นอกจากนี้บัสก็จะมีไปจอดที่ห้างที่เด่น ๆ ของอเมริกา เช่น Walmart, Walgreens, Dollar Tree ด้วยเหมือนกัน ตอนเรามาถึงปี 1 พวกของใช้จำเป็นหลาย ๆ อย่างที่เราไม่ได้ขนมาจากบ้าน เช่น ผ้าห่ม แฟ้ม อุปกรณ์การเรียน เราก็มาซื้อเอาจากที่นี่นี่แหละค่ะ สะดวกมาก ๆ เพราะขายทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบกันไปเลยค่ะ


ใครที่เกิดอยากไปเดินเล่นในเมืองในวันที่ไม่มีรถบัส เช่น วันอาทิตย์ หรือวันหยุดยาวเทศกาล thanksgiving ก็มีทางเลือกอื่น ๆ ให้เราเข้าไปในเมืองกันได้นะคะ แต่อาจจะต้องเปลืองแรงกันนิดหน่อย เพราะทางเลือกเหล่านั้นก็คือการปั่นจักรยาน หรือเดินไป แต่จะบอกว่าทั้ง 2 อย่างนี้เราก็ทำมาหมดแล้วค่ะ5555 ตอนปี 1 เราปั่นจักรยานออกไปกับเพื่อน ๆ โดยใช้จักรยานของโรงเรียนค่ะ ตอนออกไปเขาจะมีให้ลงชื่อ ลงเวลาออก และสถานที่ที่เราจะไปเผื่อเกิดเหตุอะไรจะได้ตามหากันได้ ปั่นไปประมาณ 40 นาทีก็ถึงตัวเมืองพอดี ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นนะคะ ยกเว้นบางทีขึ้นเนินก็ต้องน่องปูดกันหน่อย ตอนเรากลับกลับสายไปนิดนึง พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำแล้วอากาศเลยเริ่มเย็น ปั่น ๆ แล้วมือชาแข็งไปเลยค่ะ กลับมาวันต่อไปก็ปวดตัวเดี้ยงไปเลย แต่ถามว่าเราเข็ดมั้ย ก็ไม่ค่ะ5555 ปี 2 เราเอาใหม่ ตั้งใจจะปั่นจักรยานเหมือนกันแต่พอไปดูแล้วหลายคันถูกส่งซ่อมเลยมีจำนวนไม่พอกับเพื่อน ๆ เรา ด้วยความอยากกินพิซซ่าเจ้าประจำในเมืองมาก เรากับเพื่อนเลยตัดสินใจเดินไปค่ะ บ้าดีเดือดมาก ตอนเดินไปแรก ๆ ก็สบายดี เดินเล่นเปิดเพลงจากลำโพงฟังกับเพื่อน ๆ พอได้ซักครึ่งทางก็เริ่มเหนื่อย เริ่มร้อน ปวดขาไปหมด หยุดพักก็หลายทีก็ยังไม่ถึง แต่ตอนนั้นจะหันหลังกลับก็ไม่ได้แล้วสิคะ เลยต้องกลั้นใจเดินต่อ ยังดีที่สุดท้ายก็ไปถึง ได้กินพิซซ่า 4 ถาดใหญ่ ๆ สมกับที่อยาก และขากลับโชคดีมากที่ได้เจอกับคุณครูที่รู้จักกัน เขาเลยขับรถพามาส่ง หลังจากวันนั้นถึงค่อยเข็ด ไม่เอาอีกแล้วค่ะ เหนื่อยมาก และผิวก็เป็นรอยเกรียมแดดตามคอเสื้อแขนเสื้อด้วยค่ะ5555 สรุปสั้น ๆ ว่าจริง ๆ แล้วโรงเรียนเราก็ไม่ได้ไกลย่านความเจริญมากขนาดนั้นนะคะ นั่งรถไปได้ แต่อย่าหาทำเดินไปเหมือนเราก็พอ5555 แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นประสบการณ์อย่างนึงนะคะ เราก็สนิทกับเพื่อนกลุ่มนั้นไปเลยเหมือนได้ไปผจญภัยอะไรมาด้วยกันเลยค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130801286

รูปจากทริปที่ขี่จักรยานเข้าตัวเมืองค่ะ ตอนเลือกจักรยานมีพี่ security guard มาช่วยตรวจเช็คสภาพจักรยานด้วย น่ารักมาก ๆ ค่ะ และที่เห็นใส่หมวกกันน็อคกันนั้นคือเป็นกฎของโรงเรียนเราเพื่อความปลอดภัยค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130801287

0
gaemsiris 28 ก.ค. 63 เวลา 11:45 น. 13

ตอนที่ 8 – ปิดเทอมย่อย (fall/spring break) ไปไหน?

ที่สหรัฐอเมริกานี้จะมีการแบ่งภาคเรียนด้วยปิดเทอมย่อย ๆ ที่เรียกชื่อกันตามฤดูกาลค่ะ อย่างที่เราอาจจะพอคุ้นกันบ้างก็จะมี Summer break คือปิดเทอมใหญ่เลื่อนชั้นเรียน กับ Winter break คือปิดเทอมช่วงปีใหม่ แต่นอกเหนือจาก 2 ตัวนี้ก็มีสิ่งที่เรียกว่า Fall break ปิดเทอมภาคฤดูใบไม้ร่วง กับ Spring break ปิดเทอมภาคฤดูใบไม้ผลิค่ะ ซึ่งจะหยุดเพียงแค่ประมาณ 1 อาทิตย์ สั้นกว่า 2 อันแรก และด้วยความที่โรงเรียนเราเป็นโรงเรียน international มีนักเรียนมาจากทั่วทั้งโลก จะให้ส่งนักเรียนกลับประเทศตัวเองแค่ 1 อาทิตย์มันก็ยังไงอยู่ แต่จะให้นักเรียนนั่งอยู่โรงเรียนกันเฉย ๆ ก็ไม่ดี จะยกเลิกวันหยุดก็ไม่ได้ โรงเรียนเราเลยจัดทริปขึ้นมาเองซะเลยค่ะ เรียกกันว่า Southwest Studies และ Project Week โดยทั้ง 2 อย่างนี้จะเป็นทริปเล็ก ๆ ที่จัดให้นักเรียนได้ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ในบริเวณใกล้ ๆ นิวเม็กซิโกกัน


Southwest Studies

จัดในช่วง Fall break ประมาณปลายเดือนตุลาคม ดูจากชื่อก็อาจจะพอเดาได้แล้วว่าทริปนี้โฟกัสไปที่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ (แถว ๆ แคลิฟอร์เนีย แอริโซนา ประมาณนี้ค่ะ) โดยก่อนหน้านั้นประมาณต้นเดือนกันยายน โรงเรียนจะส่งลิสต์รายชื่อทริปทั้งหมดที่เปิดให้ไปได้ของปีนั้น พร้อมเรียกประชุมนักเรียนทุกคนเพื่อพรีเซนต์รายละเอียดของแต่ละทริปว่าไปที่ไหน มีกิจกรรมอะไร ครูคนไหนดูแลทริปไหนบ้าง เป็นข้อมูลช่วยให้เราตัดสินใจเลือก หลังจากนั้นจะมีฟอร์มมาให้กรอก ให้เรา rank เรียงลำดับทริปที่อยากไป และจะมีประกาศทริปที่เราได้ไปอีกรอบหนึ่ง โดยโรงเรียนจะพยายามจัดให้นักเรียนทุกคนได้ทริปท็อป 3 ที่ตัวเองเลือกค่ะ


และในบรรดาทริปทั้งหมดของ Southwest Studies จะมีทริปหนึ่งที่ป๊อปมาก ๆ และมีคนแย่งกันลงชื่อไปทุกปี นั่นก็คือ... ทริป Grand Canyon นั่นเองค่ะ! และนั่นก็เพราะทริปนี้พานักเรียนไปยังอุทยานแห่งชาติภูผาหินที่สวยติดท็อปสถานที่เที่ยวของสหรัฐอเมริกา และไม่ใช่แค่พาไปชมนะคะ แต่พาแบ็คแพ็คปีนลงไปในหุบเหวนี้กันทีเดียว และทุกท่านคะ จะบอกว่าเราเองก็แย่งชิงลงชื่อทริปนี้จนได้ไปกับเขาด้วยเหมือนกันค่ะ


Grand Canyon คือ สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกที่มีอายุหลายล้านปีแล้ว ลักษณะเป็นหุบเหวกว้างลึก มีหน้าผาหินสีแดงที่สูงชันซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และตัดผ่านด้วยแม่น้ำโคโลราโดซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญสำหรับภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาค่ะ ด้วยความกว้างใหญ่และน่าตื่นตาตื่นใจของสถานที่แห่งนี้ ทริปปีนเขาของโรงเรียนเราเลยจัดแบ่งออกเป็นประมาณ 5 ทริป ทริปละ 8-9 คน เรียกได้ว่าเป็นนักเรียนเกือบครึ่งชั้นเลยทีเดียว และแต่ละทริปก็มีระดับความยากง่ายและจำนวนวันปีนเขาแตกต่างกัน ทำให้นักเรียนหลายคนที่แม้อาจจะไม่ได้แข็งเรื่องการออกกำลังปีนเขามากแต่อยากไปชมความยิ่งใหญ่ของสถานที่อย่างเราได้มีโอกาสไปกับเขาด้วยเหมือนกันค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973603

รูปนี้ถ่ายจากริมหน้าผา และใช่ค่ะ ที่เห็นเป็นชั้น ๆ ด้านล่างไกลสุดลูกหูลูกตาคือที่ที่เราจะปีนลงไปค่ะ


ทริปปีนเขา Grand Canyon นี้คล้าย ๆ กับทริป wilderness ที่เราเคยได้เล่าไปก่อนหน้านี้ค่ะ แต่ว่าจะเพิ่มเลเวลความยากขึ้นมามาก ๆ ดังนั้นใครที่ลงชื่อและได้ไปทริปนี้ จะต้องมีการประชุมกับ wilderness instructor ถึงรายละเอียดของแต่ละทริปค่ะ ครูจะการกางแผนที่ให้ดูและอธิบายเลยว่าวันไหนเราจะไปปีนเขากันกี่ชั่วโมง ลงไปถึงตรงไหนบ้าง นอกจากนี้ยังจะต้องมีไปฝึกเดินเขาในวันหยุดก่อนออกเดินทางอีกหลายครั้งด้วย เพื่อเตรียมความพร้อมให้ร่างกายและให้นักเรียนได้รู้ลิมิตของตัวเอง


ข้ามไปถึงวันที่ออกเดินทางกันเลยนะคะ วันนั้นเราและเพื่อน ๆ จากทุกทริปที่จะลงไปในแกรนแคนยอนกว่า 40 คน เดินทางโดยรถบัสโรงเรียนกันถึง 9 ชั่วโมง เพื่อนั่งข้ามจากรัฐนิวเม็กซิโกไปแอริโซนา ในคืนแรกโรงเรียนจัดให้พวกเรากางเต็นท์นอนกันบริเวณใกล้ ๆ ทางปีนลงไปในแกรนแคนยอน เพราะทุกคนก็ยังเหนื่อย ๆ จากการเดินทางอันยาวนานกันอยู่จะให้ปีนเขาลงไปเลยก็คงไม่ดีนัก เป็นการตั้งแคมป์แบบง่าย ๆ เตรียมพร้อมออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น


ในวันที่เราต้องเริ่มปีนเขา กลุ่มเราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นที่บริเวณริมหน้าผา พอมีแสงพอสว่างแล้วก็เริ่มปีนลงไปเลย ช่วงแรก ๆ ชันมาก ๆ เพราะเป็นหน้าผาสูงที่ลาดตัวลงจนแทบจะเป็นแนวตั้ง ต้องใช้มือคอยยันไปตามหินตามทาง และถึงตาจะมองพื้นตลอดเวลาแต่ร่างกายก็ต้องคอยทรงตัวไม่ให้ตัวเองหน้าคะมำไปอีกเพราะน้ำหนักกระเป๋าบนหลังมันเยอะมาก ๆ เรียกว่าต้องใช้กล้ามเนื้อต้นขาล้วน ๆ เลยค่ะกว่าจะพาตัวเองลงไปถึงจุดล่างสุดได้


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973649

รูปนี้จากตอนฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่างเองค่ะ ตอนเช้าอากาศหนาวมาก ๆ ทุกคนเลยใส่เสื้อผ้ากันหลายชั้น สวมหมวกสวมถุงมือกันด้วย แต่พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้น บวกกับต้องออกแรงมากขึ้นระหว่างปีนเขาลงไป ทำให้ทั้งกลุ่มหยุดเดินกันเป็นระยะ ๆ เพื่อที่จะ “de-layer” หรือถอดเสื้อและอุปกรณ์กันหนาวออกค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็หยุดพักนานไม่ได้ เพราะหุบเขาสูงอย่างนี้มีลมแรงมาก จะให้ใส่ ๆ ถอด ๆ เสื้อกันหนาวก็ใช่ที่ ทางเดียวที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่นได้ก็คือต้องออกกำลังปีนเขาอย่างต่อเนื่องค่ะ กลุ่มเราเลยไปถึงที่หมายก่อนเวลาเป็นชั่วโมง ทุกคนเลยได้มีเวลาว่างเป็นของตัวเองให้ออกไปวิ่งเล่นสำรวจบริเวณโดยรอบด้วยค่ะ


ทริปของพวกเราทริปเดียวเท่านั้นที่จะได้ตั้งแคมป์ริมแม่น้ำโคโลราโด เพราะ trail ปีนเขาของพวกเราเลียบไปกับสายแม่น้ำพอดี พื้นดินริมแม่น้ำเป็นทรายละเอียดทำให้การตั้งเต็นท์มีความยากลำบากนิดหน่อย และอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวพวกเราก็จะเลอะทรายไปตาม ๆ กัน (ไฟฉายที่เราพกไปตอนนั้นยังมีทรายติดอยู่ข้างในอยู่เลยค่ะ5555) แต่บรรยากาศดีมาก เหมือนอยู่ริมทะเล ตอนนอนก็ได้ยินเสียงแม่น้ำไหลซ่า และก็ยังสามารถทำอาหารแบบใช้น้ำเยอะ ๆ ที่บางกลุ่มไม่มีโอกาสได้ทำเพราะต้องประหยัดน้ำได้ด้วย


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973604

ที่ตั้งเต็นท์ของพวกเราค่ะ ฝั่งขวาจะเป็นแม่น้ำโคโลราโด อยู่ใกล้มาก ๆ แบบชะโงกหน้าจากเต็นท์ก็เห็นได้เลยค่ะ


อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าการปีนเขาลงที่ต่ำอย่างวันแรกนั้นจะใช้กล้ามเนื้อขาซะส่วนมาก เพราะเราต้องเกร็งขาขณะหย่อนตัวลงแต่ละก้าว ร่างกายจะไม่ได้เหนื่อยมากแค่อาจมีอาการปวดขาวันถัดไปได้ ดังนั้นในขาลงวันแรกเราเลยเดินทางด้วยระยะทางที่ไกลที่สุด เดินลงรวดเดียวถึงที่ตั้งเต็นท์ได้เลย แต่การปีนเขาขึ้นนี่สิคะ ที่จะเป็นการออกกำลังกายแบบ cardio ที่ก็ต้องใช้กล้ามเนื้อขา (ที่มันล้าไปตั้งแต่วันแรกแล้ว) ในการหอบตัวเองขึ้นเขาด้วย ทำให้เราเหนื่อยแบบเหนื่อยจริง ๆ แบบหยุดพักแต่ละทีก็ทรุดไปตาม ๆ กัน ดังนั้นขาขึ้นเราเลยแบ่งออกเป็น 2 วันค่ะ เดินกันวันละครึ่งทาง ระหว่างนั้นก็ตั้งเต็นท์พักกลางทางเอา


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973605

จุดตั้งแคมป์อีกที่นึง ระหว่างทางปีนขึ้นค่ะ


ทริปแกรนแคนยอนทริปนี้ทำให้เราได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างแท้จริง ความรู้สึกตอนกำลังเดินอยู่กลางหุบเหวคือเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในภาพถ่ายเลยค่ะ ตอนกลางคืนเราได้ออกมานอนดูฟ้ากับเพื่อน ๆ ด้วย เห็นดาวสว่างและเยอะมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในตัวเมือง เพราะในที่นี้ไม่มีแสงไหนจะมารบกวนได้ มีวันหนึ่งเกิดฝนตกขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ในภูเขาหินแห่งนี้แทบจะไม่เคยมีฝนตกเลย วันนั้นพวกเราปีนเขาขึ้นไปจนถึงริมหน้าผาสูง มองลงไปเห็นภาพภูเขาที่มืดมัวไปด้วยหมอก สีโทนหม่น ๆ เหมือนภาพจากหนังเรื่อง the Lord of the Rings

กลายเป็นภาพความอลังการอีกมุมหนึ่งของแกรนแคนยอนที่คนทั่วไปคงไม่เคยได้เห็น ทุกอย่างสวยมาก ๆ สวยจนดูเหมือนไม่มีอยู่จริง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้รับรู้ด้วยว่าตัวเองเล็กมาก ๆ เมื่อเทียบกับทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราตอนนั้น การเข้ามาในแกรนแคนยอนเหมือนได้เวลามาอยู่กับตัวเอง ตัดขาดจากโลกภายนอกทุกอย่างและได้มาคิด มา reflect กับตัวเองแค่คนเดียว ซึ่งเราคิดว่านี่เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่เราได้กลับมาจากการไปปีนเขาครั้งนี้ ที่มีคุณค่ากับเรามาก และทำให้เราอยากกลับเข้าไปอยู่กลางธรรมชาติอีกหลาย ๆ ครั้งเลยค่ะถ้ามีโอกาส


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973606

รูปนี้ถ่ายในวันแรกที่เริ่มปีนเขาขึ้นค่ะ เป็นจุดที่อยู่เหนือจากบริเวณที่เราไปตั้งแคมป์ขึ้นมานิดนึง และที่เห็นข้างหลังนั่นก็คือแม่น้ำโคโลราโด ตัวเอกของเรื่องที่เราพูดถึงอยู่บ่อย ๆ นั่นเองค่ะ5555


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973607


–––––


Project Week

จัดในช่วง Spring break ประมาณปลายเดือนมีนาคม และเช่นเดียวกับ Southwest Studies, Project Week ก็มีทริปเปิดให้นักเรียนได้เลือกไปได้อย่างหลากหลายเหมือนกันค่ะ แม้บางทริป เช่น แกรนแคนยอน จะล็อคไว้ว่าไปได้แค่ช่วง Southwest Studies เท่านั้น แต่หลาย ๆ ทริปก็พลิกแพลง จับสลับไปมากันได้ บางปีทริปนี้อาจจะอยู่ Southwest Studies แต่อีกปีมาอยู่ Project Week แทนก็มีค่ะ


และเช่นเดียวกับทริป Southwest Studies ทริป Project Week ก็มีทริปไฮไลต์อันดับหนึ่งที่ทุกคนต่างก็แย่งกันไปอีกเช่นกันค่ะ นั่นก็คือ.. ทริปไป US-Mexico border หรือชายแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับเม็กซิโกนั่นเองงง มารูปแบบคล้าย ๆ กันเลย คือจะทริปไปบริเวณชายแดนประมาณ 4-5 ทริปเหมือนกัน แต่ไปคนละจุดกันค่ะ และแน่นอนว่าในเมื่อเราได้มีโอกาสมาเรียนที่รัฐซึ่งมีชายแดนติดกับเม็กซิโกขนาดนี้ทั้งที เราจะพลาดไปได้ยังไงกันล่ะคะ เราก็ลงชื่อและชิงได้ไปกับเขาด้วยอีกครั้งค่ะ โชคดีจริง ๆ 5555


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973612


Naco, Sonora, Mexico

ทริปของเราจะเดินทางข้ามไปฝั่งเม็กซิโกผ่านชายแดนของรัฐแอริโซนาค่ะ ดังนั้นตอนแรกเราเลยต้องข้ามจากนิวเม็กซิโกไปพักที่เมืองหนึ่งแอริโซนาก่อน คือเมือง Douglas ซึ่งเป็นเมืองติดชายแดน และจากตรงนั้นเราถึงจะข้ามไปเมืองติดชายแดนฝั่งเม็กซิโก คือเมือง Naco ค่ะ ในช่วงแรก ๆ ของทริปเราจะทำกิจกรรมที่ Naco นี้ซะส่วนมาก และจะเป็นแบบ daytrip คือไม่ค้างคืน ข้ามชายแดนไปตอนเช้าและข้ามกลับมาพักที่โฮสเทลในแอริโซนาตอนเย็น กิจกรรมที่มีก็มีไปเดินดูกำแพงกั้นชายแดน เยี่ยมบ้านคนที่ทำฟาร์มม้าในเม็กซิโก และก็มีไปทำกิจกรรมที่ Studio Mariposa คือเป็นศูนย์ศิลปะสำหรับเด็ก ๆ ค่ะ เข้าไปช่วยสอนและเล่นกับเด็ก ๆ ชาวเม็กซิกัน และในวันเดียวกันนั้นก็ได้เดินลึกเข้าไปในตัวเมืองไปร้านอาหารท้องถิ่นเพื่อชิมรสอาหารเม็กซิกันแท้ ๆ ด้วย ประสบการณ์ที่นี่เหมือนจะให้เราได้ลองชิมเป็นน้ำจิ้ม ให้เข้าใจวัฒนธรรมก่อนจะได้เข้าไปในเม็กซิโกแบบเต็มตัวค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973611

เพื่อน ๆ และครูอีก 2 คนที่ร่วมทริปไปด้วยกันค่ะ


Cananea, Sonora, Mexico

วันที่ 5 ของทริปพวกเราทุกคนก็ได้เก็บของออกจากที่พักใน Douglas รัฐแอริโซนา และเดินทางเข้าเม็กซิโกอย่างเต็มตัว เมือง Cananea อยู่ลึกเข้าไปจากชายแดนกว่าเมือง Naco และเป็นย่านที่เริ่มมีผู้คนอาศัยอยู่คึกคักกว่า Naco มาก ๆ ภารกิจของเราในวันนี้คือเดินทางไปโรงเรียนต่าง ๆ ในเมือง ไปจนรอบเลยค่ะ เยอะมาก ๆ และในแต่ละโรงเรียนก็มีทำกิจกรรมกับนักเรียนที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นเล่นเกมฐาน ปลูกต้นไม้ ชมการเต้นระบำพื้นเมืองเม็กซิกันและก็ยังได้เรียนเต้นแบบที่เขาเรียกว่าเต้นกระทืบเท้า เต้นเปิดหมวกแบบง่าย ๆ ด้วยค่ะ และยังมีตีตัวพินาต้า ตุ๊กตากระดาษแข็งที่ห่อเอาขนมไว้ข้างในเยอะมาก ๆ เป็นการละเล่นของเม็กซิโก คือปิดตาและไล่ตีตุ๊กตากระดาษที่จะแขวนเอาไว้ในระดับสายตา ถ้าแตกก็จะได้ขนมในตุ๊กตาไปกันทั้งหมด สนุกและวุ่นวายมาก ๆ ค่ะตอนไล่เก็บขนม5555 เราก็ได้รู้จักกับเพื่อนหลาย ๆ คนจากกิจกรรมพวกนี้แหละค่ะ ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน เขาก็สนใจว่าโรงเรียนเราที่นิวเม็กซิโกเป็นยังไงบ้าง ประเทศไทยล่ะเป็นยังไง เราเองก็ได้รู้เรื่องเม็กซิโกมาเพิ่มเยอะเหมือนกัน เอาอย่างขั้นต้นเลยก็คือได้พอรู้ภาษาสเปนได้งู ๆ ปลา ๆ บ้าง5555 จนทำให้เกิดเป็นแรงผลักดันให้เราตั้งใจว่ากลับโรงเรียนไปจากทริปนี้จะต้องเรียนภาษาสเปนบ้างให้ได้เพราะทุกคนที่นั่นพูดภาษาอังกฤษกันคล่องมากเลย นอกจากนั้นเพื่อน ๆ ก็เล่าเรื่องปัญหาชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก ว่ามีคนพยายามเข้าไปในสหรัฐเยอะมาก จนทุกวันแถวตม.เข้าออกจะรถติดหนัก กระทบชีวิตหลาย ๆ คนที่ต้องผ่านไปในบริเวณนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีคนข้ามประเทศกันอย่างผิดกฎหมายเยอะมาก ๆ จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังระหว่าง 2 ประเทศ เรียกว่าถึงแม้เราจะพอมีความรู้เรื่องนี้มาบ้างจาก workshop ที่โรงเรียน แต่ประสบการณ์ตรงจากเพื่อน ๆ ที่นี่ก็เปิดโลกเรามาก ๆ เลยค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973769

รูปกับเพื่อน ๆ เม็กซิกันจากหนึ่งในโรงเรียนที่เราได้ไปทำกิจกรรมมาด้วยกันค่ะ


ในคืนนั้นเราก็ได้มีโอกาสค้างที่บ้านเพื่อนเม็กซิกันคนนึงที่เจอกันที่โรงเรียนค่ะ เพื่อน ๆ เราในทริปนี้แต่ละคนก็จับคู่กับเพื่อนเม็กซิกันและก็แยกย้ายกันไปค้างที่บ้านพวกเขาด้วยเหมือนกัน ด้วยความที่กิจกรรมเราเยอะมาก ๆ เราทั้ง 2 คนเลยกลับบ้านดึก และวันต่อมาก็ต้องตื่นเช้าไปทำกิจกรรมต่อ แต่ถึงจะเป็นเวลาแค่สั้น ๆ แต่ก็เรียกว่าเราได้รับการต้อนรับที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ แม่เพื่อนให้ของกับเราเยอะมาก ๆ ตั้งแต่ขนมเม็กซิกัน ผ้า serape หลากสี เสื้อกันหนาว Baja hoodie ซึ่งเป็นเสื้อถักเนื้อหนา ซึ่งอย่างหลังนี่เราดีใจมาก ๆ ตอนที่ได้มา เพราะถึงแม้เม็กซิโกจะไม่หนาวเท่าโรงเรียนบนเขาของเรา แต่อุณหภูมิตอนกลางคืนก็ตกไปอยู่ที่ประมาณ 10 กว่าองศาเหมือนกัน และเราผู้ซึ่งประมาทว่าลงมาใต้ขนาดนี้ อากาศไม่น่าหนาวแล้วแหละ และก็ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาเลย ก็ได้อาศัยเสื้อถักบาจานี่แหละค่ะ ช่วยชีวิตไว้5555


ในวันสุดท้ายก่อนพวกเราจะออกเดินทางกลับเข้าสหรัฐ เพื่อน ๆ ชาวเม็กซิกันพาเราไปยังกำแพงที่แบ่งกั้นระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโกค่ะ ถึงจะเรียกว่ากำแพงก็จริง แต่สิ่งก่อสร้างนี้ไม่ใช่ผนังทึบ แต่เป็นเหล็กสูงแบบเป็นซี่ ๆ หนา ๆ ตั้งเว้นระยะห่างจากกันให้พอสามารถมองเห็นอีกฝั่งหนึ่งได้ แต่เดินหรือส่งของข้ามไม่ได้ ในบางบริเวณจะมีลวดหนามพันไว้ตรงยอดด้วยป้องกันคนปีนข้าม จากการเดินข้ามฝั่งหลายต่อหลายครั้ง เราได้เห็นกำแพงนี้นับไม่ถ้วนแล้ว แต่เห็นทีไรก็รู้สึกว่ามันมีความน่ากลัวอยู่ ยิ่งได้เห็นตำรวจชายแดนเดินตรวจตรารอบ ๆ ด้วยบางครั้งยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่ามองเอาเสียจริง ๆ ดังนั้นตอนที่เพื่อนบอกว่าจะเดินไปที่กำแพงกันในหัวเราก็มีแต่ความงงว่าจะไปกันทำไม จนเดินไปถึงแล้วนี่แหละค่ะถึงได้กระจ่าง


แม้จะเป็นกำแพงเดียวกันกับที่เราเห็นก่อนหน้านี้ แต่กำแพงฝั่งของเม็กซิโกกลับแต่งแต้มไปด้วยสีสันของภาพวาดฝาผนัง (murals) รูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ซ้ำกัน เรียงกันไปเป็นระยะค่อนข้างยาว เพื่อนเม็กซิโกเราอธิบายว่ามีจิตรกรหลายคนที่มาสร้างสรรค์ผลงานบนกำแพงนี้ไม่ว่าจะเป็นชาวสหรัฐอเมริกันหรือเม็กซิกัน โดยส่วนหนึ่งเพื่อเป็นการประท้วงการสร้างกำแพงแบ่งอาณาเขตนี่แหละค่ะ และวันนี้เราก็จะมาเพนท์กำแพงกับเขาด้วยเหมือนกัน โดยครูของโรงเรียนที่นี่ได้ร่างแบบไว้ให้แล้วค่ะ เป็นคำว่า UWC ซึ่งก็คือชื่อโรงเรียนเรานี่เอง


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973609

https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130973608

ด้วยความที่ตัวเหล็กของกำแพงมีรูปร่างฐานเป็นสามเหลี่ยม เมื่อมองจากด้านหนึ่งจะเห็นด้านหนึ่งของสามเหลี่ยม เมื่อมองจากอีกด้านก็จะเห็นอีกด้าน ทำให้เราสามารถทาสีกำแพงได้ทั้ง 2 ด้านเลยค่ะ ในตอนกลับเรานั่งรถผ่านกำแพงนี้อีกครั้งนึง ออกมาดูดีเลยทีเดียว ในฐานะศิลปินคนหนึ่งและนักเรียนจาก UWC เราภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาสร้างผลงานบนกำแพงแห่งนี้ค่ะ


เราดีใจมาก ๆ ที่ได้ไปร่วมทั้ง 2 ทริปนี้ซึ่งอาจเรียกได้ว่าทั้งคู่เป็นทริป signature ของโรงเรียนเราเลยก็ว่าได้ รู้สึกว่าเราได้ท้าทายตัวเอง พาตัวเองออกไปเจอคนใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับบริเวณทางใต้ของสหรัฐอเมริกาที่เราแทบจะไม่เคยได้รู้มาก่อน และก็ยังได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่น่าประทับใจมาก ๆ มาอย่างเต็มที่ด้วยค่ะ นอกจาก 2 ทริปนี้ในช่วงปิดเทอมย่อย โรงเรียนเราก็ยังเปิดโอกาสให้ได้ไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ รอบ ๆ นิวเม็กซิโก ไม่ว่าจะเป็น Santa Fe, White Sands ซึ่งเป็นทะเลทรายสีขาว และอื่น ๆ อีกมาก อยากให้ได้มาเจอด้วยตัวเองกันทุกคนเลยนะคะ เรารับรองได้ว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ดังนั้นนนน อย่าลืมสมัครทุน UWC และเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันนะค้า55555 (แอบแนบลิงก์ด้วย! https://www.th.uwc.org/)

0
gaemsiris 1 ส.ค. 63 เวลา 10:37 น. 14

ตอนที่ 9 – ทัศนคติ การมองโลกที่แตกต่างออกไป

UWC makes education a force to unite people, nations and cultures for peace and a sustainable future.


นี่คือพันธกิจขององค์กร UWC ซึ่งทั้ง 17 โรงเรียนในเครือยึดมั่นค่ะ UWC เชื่อว่าการศึกษาต่อเด็ก ๆ คนรุ่นใหม่เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่เปลี่ยนแปลงสังคมให้ไปในทางที่ดีกว่าเดิม ดังนั้น การเรียนนอกห้องเรียนของ UWC จะเป็นการสอนถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่อสังคม และนำเสนอความคิดว่าเราทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคมได้ และแน่นอนว่าที่โรงเรียนเรา UWC-USA ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกันค่ะ


* ขอออกตัวก่อนเลยนะคะว่าตอนนี้อาจจะใช้คำภาษาอังกฤษแฝงเยอะหน่อย เพราะหลายคำแปลภาษาไทยแล้วฟังเข้าใจยาก หรือแทบจะไม่มีคำแปลที่ตรงตัวเลยค่ะ น่าเศร้าจริง ๆ T^T *


ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ การสนับสนุนจากโรงเรียนเราให้จัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมและผลักดันให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาในสังคมและอภิสิทธิ์ (privilege) ที่เรามีเหนือทุกคนค่ะ กิจกรรมที่ว่านี้ก็เช่น Wxmen’s Week ซึ่งจะเป็นอาทิตย์แห่งการเฉลิมฉลองและให้อำนาจ (celebration and empowerment) แก่ผู้หญิงซึ่งเพศซึ่งถูกกดขี่มาโดยตลอด โดยจะมีการจัด workshops ทุกเย็นวันธรรมดาและทั้งวันวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิง ว่า feminism คืออะไร และในฐานะผู้ชายหรือคนที่ไม่ได้เป็นผู้หญิง จะต้องเข้าใจอะไรบ้างและช่วยผู้หญิงได้อย่างไร นอกจากนี้ก็จะมีจัดกิจกรรมเดินประท้วง march อย่างสงบเรียกร้องให้ทุกคนหันมาเข้าใจปัญหาการกดขี่ในสังคมปิตาธิปไตย (patriarchal system) นี้ด้วยค่ะ เราได้ไปร่วมด้วยเหมือนกัน สนุกมาก ๆ และที่เห็นว่าเราสะกดคำว่า women เป็น womxn นี้ไม่ใช่ typo หรือการพิมพ์ผิดแต่อย่างใดนะคะ แต่คำว่า womxn เป็นคำที่มีความหมายกว้างกว่า คือไม่ใช่แค่คนที่เกิดมามีเพศหญิงอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมไปถึง trans women หรือผู้หญิงที่แปลงเพศแล้ว หรือคนอื่น ๆ ที่ identify ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงด้วยค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130991471

หนึ่งในหลาย ๆ art installations ที่รุ่นพี่เราทำแล้วตกแต่งไว้ทั่วโรงเรียนในงาน Womxn’s Week ค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130991472

ตารางกิจกรรมของ Womxn’s Week ค่ะ


และแน่นอนว่าพอพูดถึงเรื่อง โรงเรียนเราก็มีจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม LGBTQ+ ด้วยเหมือนกันค่ะ นั่นก็คือ Pride Week ลักษณะจะคล้าย ๆ กัน คือมีจัด workshops กิจกรรม และเดินประท้วง แต่เพิ่มเติมที่ Pride Week นี้จะเต็มไปด้วยสีสันของสายรุ้ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQ+ นั่นเองค่ะ จะมีแจกธงรุ้งเล็ก ๆ สติกเกอร์สายรุ้ง แจกชอล์คสีให้ทุกคนไปวาดรูปเล่นกันตรงบันไดทางขึ้นปราสาทได้ ทั้งโรงเรียนจะเต็มไปด้วยสีสด ๆ ของม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดง กับนักเรียนที่มีตื่นตัวมีชีวิตชีวากันมาก ๆ นอกจากนี้ก็มีจัด Drag Show ด้วยค่ะ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมตัวฟินาเล่ของทั้งอาทิตย์นี้เลยก็ว่าได้ จัดโดยนักเรียนและแสดงโดยนักเรียน และก็มีครูกับสตาฟมาเข้าร่วมด้วย เรากับเพื่อน ๆ ก็คอยกรี๊ดคอยเชียร์เพื่อนกันจนคอแตกไปตาม ๆ กันค่ะ5555


(รูปของ Pride Week จะไม่มีมาให้ทุกคนดูนะคะ เพราะเพื่อนเราหลาย ๆ คนพ่อแม่ผู้ปกครองยังไม่ให้การยอมรับเรื่องนี้ และการเอารูปมาลงอาจทำให้เกิดปัญหากับที่บ้านได้ ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนในโรงเรียนเราเข้าใจและก็ให้ความสำคัญค่ะ)


นอกจากนี้ก็จะมี Climate Strike ประท้วงเรียกร้องให้ตระหนักถึงปัญหาภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงหรือโลกร้อน (climate change), TEDx ที่หลาย ๆ คนอาจจะรู้จัก คือเป็นเวทีทอล์คจัดโดยนักเรียน และมีนักเรียนเป็น speakers หลายคนมาก ๆ ประเด็นที่กล่าวถึงก็ตั้งแต่อาการทางจิต (mental illness) ไปจนถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศของตน, UWC Day กับ Martin Luther King Jr. (MLK) Day ซึ่งเป็นวันที่ให้นักเรียนได้ออกไปทำงานจิตอาสาช่วยเหลือสังคมข้างนอก, Annual Conference ซึ่งเป็นการรวม workshops จากผู้พูดหลาย ๆ คน มีทั้งศิษย์เก่าหรือนักกิจกรรมในหลาย ๆ สาขามาให้ข้อมูลเพิ่มกับนักเรียนในโรงเรียน และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายที่เราเองก็คงลิสต์ไม่ไหว แต่ทั้งหมดนี้จัดขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายคือเพื่อสร้างให้นักเรียนทุกคนเป็นคนของสังคม เพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักถึงปัญหาสังคมและคิดหาทางแก้ไข เรายืนยันด้วยประสบการณ์ตัวเองเลยค่ะ ว่าใครก็ตามถ้าได้เข้าไปเรียนที่ UWC แล้ว จะได้เติบโต เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ และกลายเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมแน่นอนค่ะ


https://image.dek-d.com/27/0865/1474/130991473

รูปจาก TEDx ค่ะ ซึ่งในกิจกรรมนี้เราเองก็ได้เป็นหนึ่งในผู้จัดกิจกรรมนี้ด้วยเหมือนกัน


ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแค่กิจกรรมใหญ่ ๆ ที่จัดขึ้นในโรงเรียนเราเท่านั้น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะพูดถึง ซึ่งสำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ วัฒนธรรมในโรงเรียนเราค่ะ ซึ่งเปิดกว้างมาก ๆ และเรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดเลยที่ช่วย shape ทัศนคติของเราให้รู้จักเข้าใจ เคารพ และอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ ยกตัวอย่างบางเรื่องก็เช่น การถามความยินยอม หรือ consent ในทุกอย่าง ตั้งแต่ลงรูปเพื่อนในโซเชียลมีเดีย หรือการทักทายแบบกอดกัน; การแนะนำตัวในการเจอกันครั้งแรก โดยทุกคนจะแนะนำทั้งชื่อ, ชื่อที่เรา prefer (อย่างในกรณีเราคือชื่อเล่น หรือบางคนมีชื่อภาษาอังกฤษ หรือชื่อที่ตัวเองชอบ), pronouns ว่าเราใช้ she/he/they, และภาษาที่พูดได้; และการเลือกใช้ภาษาที่ไม่แบ่งแยกเพศ (gendered) เช่น หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นกับการใช้คำว่า “Hey guys” ในการเรียกรวมหมู่คนเยอะ ๆ แต่เนื่องด้วยคำว่า guys มันแสดงให้เห็นถึงความเป็นใหญ่ของชาย ทุกคนในโรงเรียนเราก็จะพยายามเลี่ยงค่ะ และจะใช้ folks, everyone, you all แทน อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับเรา แต่มันก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนอื่น เพราะมันคือตัวตน identity ของเขา หรือการเรียกประเทศสหรัฐอเมริกา อาจเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนเรียกกันแค่ว่า America และเรียกชาวอเมริกันว่า Americans แต่เนื่องด้วยคำว่า America นั้นแท้จริงแล้วหมายถึงทั้งทวีปอเมริกา ซึ่งมีทั้งอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ มีประเทศมากมายที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การใช้ชื่อของทั้งทวีปมาเรียกประเทศแต่ประเทศเดียวก็คงไม่เหมาะ เหมือนเรา ignore การมีอยู่ของประเทศอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นทุกคนในโรงเรียนเราจะเรียกสหรัฐว่า the U.S., the States, USA และเรียกคนอเมริกันว่า U.S. Americans ค่ะ ซึ่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้แหละค่ะ ที่จะเป็นสะพานเปิดทางให้เราได้เริ่มมองเห็นและเข้าใจปัญหาในสังคมที่ใหญ่ขึ้น อย่างในกรณีที่ยกมานี้ก็จะเป็นเรื่อง LGBTQ+ rights, white privilege, racial discrimination และอื่น ๆ อีกมากมายค่ะ


อีกหนึ่งลักษณะที่ทำให้โรงเรียนในเครือ UWC แตกต่างจากโรงเรียนอื่น ๆ คือการที่โรงเรียนเราเป็นแบบ student-centered ค่ะ หมายความว่ากิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียนจะถูกดำเนินการโดยนักเรียนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชมรม ExEds ที่นักเรียนเป็นผู้รับผิดชอบกันเอง และยังสามารถก่อตั้งชมรมเองได้อีกด้วย หรือการเลือกตั้งผู้ดูแลหอ (Resident Assistant) หรือการเลือกสภานักเรียน (Student Council) และนอกจากนี้คือกฎต่าง ๆ ของโรงเรียน นักเรียนก็มีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ตอนปี 1 โรงเรียนเรามีกฎว่าห้ามเข้าห้องคนอื่นหลัง 3 ทุ่ม คือถ้าจะไปหออื่นจะอยู่ได้แค่ตรงห้องนั่งเล่นรวมเท่านั้น เข้าห้องเพื่อนไม่ได้ เพื่อเป็นการป้องกันเสียงดังรบกวนหลายคนที่อาจจะต้องการเวลาส่วนตัว แต่กฎข้อนี้เป็นที่คร่ำครวญของเหล่านักเรียน หลาย ๆ คนบ่นว่าการมาที่ UWC นี้ จุดประสงค์สำคัญก็คือเพื่อให้ได้อยู่กับเพื่อน ๆ ต่างชาติหรือเปล่า ถ้าไม่ให้เข้าไปเล่นในห้องเพื่อนหลัง 3 ทุ่ม ก็แทบจะไม่มีเวลาที่จะได้เจอกันนอกห้องเรียนเลยนะ เพราะหลังเลิกเรียนหลายคนก็มีกิจกรรม ExEds ยาว ๆ ไป แถมตารางไม่ตรงกันอีก กิจกรรมบางคนก่อนอาหารเย็น บางคนหลังอาหารเย็น ซึ่งจะเลยไปจนเกิน 3 ทุ่ม สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกันอยู่ดี พอการร้องเรียนพวกนี้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายสภานักเรียนเลยออกมาเปิดโหวตค่ะ โหวตตั้งแต่ว่าเรานอนกันกี่โมง คิดว่ากฎห้ามเข้าห้องเพื่อนหลัง 3 ทุ่มนี้โอเคมั้ย ถ้าเปลี่ยนกฎแล้วมีเสียงรบกวนเราจะทำยังไง จะกล้าบอกเพื่อนให้เงียบมั้ย จนสุดท้ายผลโหวตออกมาเป็นเอกฉันท์ค่ะ ว่ากฎนี้ควรได้รับการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว สภานักเรียนเลยยื่นผลให้ผู้อำนวยการและครูผู้รับผิดชอบ ตีกลับแก้กันอยู่หลายหน ฝ่ายสภานักเรียนก็ส่งแบบสอบถามออกมาถามความเห็นของทุกคนทุกครั้งที่มีการแก้ไข จนสุดท้ายกฎนี้ก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงตอนเราอยู่ปี 2 ค่ะ กลายเป็นว่านักเรียนสามารถเข้าห้องเพื่อนได้หลัง 3 ทุ่ม แต่เคอร์ฟิวยังอยู่เวลาเดิมคือเที่ยงคืน และเรื่องเสียงดังรบกวนก็จะมีมาตรการอื่นออกมาช่วยเรื่องนี้ด้วย จะเห็นได้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนซึ่งเป็นผู้เรียนผู้อาศัยอยู่ที่นี่เองทั้งหมด ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่เราได้เห็นและเรียนรู้จากการที่เราได้เข้ามาอยู่ในสังคมนี้ คือทุกคนกล้าที่แสดงออก กล้าที่จะออกความคิดเห็น และทุกคนสามารถขึ้นเป็นผู้นำได้ในทุกสถานการณ์ค่ะ

0
gaemsiris 1 ส.ค. 63 เวลา 18:14 น. 15

ตอนที่ 10 – มาเรียนที่สหรัฐอเมริกาเป็นยังไงบ้าง?

ตอนที่ 10 นี้เป็นตอนที่เพิ่มเข้ามาค่ะ เนื่องจากเราได้รับคำถามเกี่ยวกับการใช้ชีิวิตเป็นนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกาบ่อยมาก ๆ ตั้งแต่เรื่องการใช้ภาษา homesickness การเดินทางคนเดียว ไปจนถึงว่าเคยโดนเหยียดเพศหรือเปล่า ดังนั้นเราเลยจะมาเขียนเป็นตอนสั้น ๆ เล่าประสบการณ์ของตัวเองที่เคยได้เจอนะคะ จะเรียกว่าเป็นตอนสำหรับ FAQ (Frequently Asked Questions) ก็ได้ค่ะ5555


Q: คิดถึงบ้านบ้างหรือเปล่า? เคยคิดอยากกลับไทยมั้ย?

Homesickness หรืออาการคิดถึงบ้าน เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ สำหรับใครก็ตามที่ต้องอยู่ห่างจากบ้านหรือประเทศของตัวเอง ซึ่งก็รวมถึงเราด้วยเหมือนกันค่ะ ตอนบินไปแรก ๆ เรายังไม่ค่อยคิดถึงบ้านขนาดนั้น อาจจะเพราะมีกิจกรรมเยอะไปหมด ต้องทำความรู้จักเพื่อน ๆ พี่ ๆ ครู ห้องเรียน วิชาเรียน ทุกอย่างมันเยอะและวุ่นวายมาก ๆ จนไม่ค่อยได้มีเวลาคิด แต่พอผ่านไปซักประมาณ 2-3 เดือนพอมันเริ่มเข้าที่เราถึงได้เริ่มคิดถึงขึ้นมาค่ะ อาการหนักสุดเลยคือตอนช่วงฤดูหนาว winter break ปีแรก ที่เราได้เดินทางกลับไทยไปประมาณ 3 อาทิตย์แล้วก็ต้องกลับมาเรียนใหม่ ตอนช่วงกลับมาแรก ๆ นี่ก็เหงา ซึมไปเลยค่ะ เหมือนมันคิดถึงบรรยากาศที่เราคุ้นเคย ที่เราอยู่แล้วสบายใจ แล้วเหมือนพอได้กลับไปอยู่ที่นั่นแค่ไม่ถึงเดือนก็ต้องบินกลับมาเรียนใหม่แล้ว เราดาวน์ไปพักนึงเลยค่ะ จนเหมือนจุดนึงพอเริ่มคุ้นชินกับที่โรงเรียน เริ่มสนิทกับเพื่อน ๆ มันก็เหมือนเริ่ม pick up ตัวเองได้ เริ่มรู้สึกว่าโรงเรียนก็เป็นบ้านอีกหลังนึงเหมือนกันที่ทำให้เราอยู่แล้วสบายใจ มีความสุขได้ สิ่งหนึ่งที่ช่วยเรามาก ๆ เลยคือหาโอกาสโทรหรือวิดีโอคอลหาที่บ้านบ่อย ๆ ค่ะ เรื่องอาการคิดถึงบ้านนี่ก็เป็นสิ่งที่ธรรมดามาก ๆ ที่โรงเรียนเรา รุ่นพี่พูดกันตั้งแต่วันแรก ๆ เลยว่าทุกคนก็เป็นกันหมด แถมยังบอกอีกด้วยว่าถ้าใครเกิดคิดถึงบ้านและต้องการคนคุยด้วยให้มาหาพวกเขาได้เสมอ นอกจากนี้ที่โรงเรียนก็มีกลุ่มนักเรียนที่ดูแลเรื่องสุขภาพจิต (mental health) ที่ได้รับการเทรนมาและสามารถช่วยให้คำแนะนำเรื่องนี้ได้ด้วย ทุกคนในโรงเรียนเราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติของทุกคนที่จะมีอาการนี้ และเข้าใจด้วยว่ามันจะแตกต่างกันไปเฉพาะคน บางคนอาจจะเป็นน้อย บางคนอาจจะเป็นมาก บางคนอาจจะแสดงออกหรือไม่แสดงออก บางคนอาจจะต้องการคอลกับที่บ้านทุกวันหรือบางคนก็ไม่ติดต่อเลย บางคนอาจจะเป็นในช่วงแรก ๆ เท่านั้นหรือบางคน (เช่นเรา) อาจจะเป็นหลังจากได้เข้ามาเรียนไปแล้วเป็นเดือน ๆ หรือบางคนอาจจะเป็นทุกระยะ ๆ ก็มี บางคนอาจจะต้องการให้มีคนคอยกอดคอยปลอบหรือบางคนแค่ต้องการเวลาอยู่คนเดียว มันหลากหลายมาก ๆ ซึ่งจากการที่ทุกคนรอบตัวเราเข้าใจตรงนี้ว่ามันเป็นเรื่องปกติ มันทำให้เราสบายใจว่าเรา ไม่ต้องคอยไปแอบร้องไห้อยู่คนเดียวอีกแล้ว แต่ทุกคนพร้อมที่จะยื่นมือช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นเสมอ ประโยค “Do you need a hug?” จะได้ยินบ่อยมาก ๆ เลยค่ะในรั้วโรงเรียนเรา ดังนั้นอย่าไปกดดันตัวเองว่าทำไมไม่รู้จักปรับตัว แต่ให้ลองให้เวลากับมันและเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเองค่ะ :)


Q: ไปเรียนต่อต่างประเทศทำให้ขาดการติดต่อกับเพื่อนที่ไทยหรือเปล่า?

จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ไม่เลยค่ะ แต่เราคิดว่ามันขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแบ่งเวลาให้ตัวเองติดต่อกับเพื่อน ๆ และคนที่บ้านเป็นระยะ ๆ อย่าห่างหายไป ของเรา ถึงจะไม่ได้คุยกันทุกวันทุกอาทิตย์แต่ก็มีติดต่อบ้างให้ทุกคนยังจำหน้าได้อยู่5555 และพอกลับไทยไปเจอ บรรยากาศก็ยังเหมือนเดิมเลยนะคะ ดังนั้นถ้าได้ยินใครบอกว่าถ้าไปเรียนต่างประเทศแล้วจะทำให้เสียเพื่อนที่ไทย หรือถ้าจะเก็บเพื่อนไทยไว้ก็จะไม่มีเพื่อนต่างชาติ ขอค้านตรงนี้เลยค่ะว่าไม่จริง เรายังสนิทกับเพื่อนที่ไทยและก็สนิทกับเพื่อนที่โรงเรียนด้วย สนิทกันถึงขั้นที่ว่าฤดูหนาว winter break ของปี 2 เรากับเพื่อนอีก 2 คนขนกันไปพักอยู่บ้านเพื่อนอีกคนที่ Detroit, Michigan ทั้งปิดเทอมนั้นเลยค่ะ5555


Q: ต้นทุนภาษาเราเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาเรื่องการใช้ภาษาหรือเปล่า?

ต้องออกตัวก่อนเลยว่าเราเรียน EP คือภาคภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก (ไม่ใช่อินเตอร์นะคะ) ดังนั้นพอเราไปถึงเราเลยไม่ค่อยมีปัญหาในการสื่อสารภาษาอังกฤษ แต่จะไม่ได้บ้างในบางจุด เช่น speaking ที่ยังไม่กล้าพูดและติดอ่างเอามาก ๆ พูดไม่ทันเพื่อน ๆ ที่เป็น native speakers บ้าง จนหลายครั้งก็เป็นคนปล่อยบทสนทนาตายเพราะคิดไม่ออกว่าจะต้องตอบว่าอะไรค่ะ5555 พอเป็นหนัก ๆ เข้าเราก็กลับมาคิดกับตัวเองแล้วว่า ไม่ได้แล้ว เราทำอย่างงี้เพื่อนก็เจื่อนกันหมด บทสนทนาก็ไม่สนุกเลยสิ ดังนั้นตั้งแต่ตอนนั้นเราเลยพยายามดันตัวเองค่ะ เช่นเราที่ติดนิสัยชอบเรียบเรียงประโยคในหัวให้ถูกต้องก่อนพูด ก็ฝืนตัวเองให้พูดไปก่อนเลย จะคิดไม่ทันยังไงก็ช่าง พูดต่อบทสนทนาไปก่อนแล้วค่อยไปตายเอาด่านหน้า ก็เกิดอาการติดอ่างเลือกคำไม่ถูกจนขายหน้าไปอยู่พักนึงนะคะ5555 แต่สุดท้ายแล้วมันก็เหมือนเราได้เริ่มพูด เราได้เคยชินกับการพูด มันก็คล่องขึ้นเองค่ะ ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นเราเริ่มคิดเป็นภาษาอังกฤษแล้วด้วย นอกจากนี้เราก็อาศัยเลียนแบบคำพูดเพื่อน ๆ ที่เป็น native speakers ค่ะ ใช่ค่ะ เลียนเป็นนกแก้วนกขุนทองเลย5555 เค้าใช้รูปประโยคแบบไหน ประโยคไหนที่นิยมพูดกันเราก็ลองเอามาใช้บ้าง เลียนสำเนียงบ้าง สุดท้ายพอได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องโดนบังคับใช้ทุกวันมันก็พัฒนาดีขึ้นเองค่ะ


Q: ในฐานะคนเอเชียที่ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา เคยโดนเหยียดสีผิวมั้ย?

ตลอด 2 ปีที่เราได้ไปอยู่ที่สหรัฐมาเรายืนยันได้เลยค่ะว่าไม่เคยโดนเหยียดสีผิวเลย ไม่เคยโดนเหยียดเลยว่าเป็นคนเอเชีย แต่ทั้งนี้เราก็ต้องออกตัว (อีกแล้ว) ว่าส่วนใหญ่เลยอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของโรงเรียนเราด้วยค่ะ ด้วยความที่เป็น UWC ทำให้ที่โรงเรียนเราค่อนข้างเปิดกว้างและยอมรับความแตกต่าง บวกกับว่าเพื่อน ๆ เราก็มาจากหลากหลายทวีป ทุกคนรู้จักและเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นปัญหาเรื่องการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ ไม่มีอยู่แน่นอนค่ะ และด้วยความที่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้เวลาส่วนมากของเราก็อยู่แต่ในรั้วโรงเรียน ดังนั้นเราอาจจะพูดถึงภาพรวมของสหรัฐอเมริกาทั้งหมดไม่ได้มากนะคะ แต่ช่วงอื่น ๆ ที่เราได้ไปอยู่นอกนิวเม็กซิโก (เที่ยว 1 อาทิตย์ที่แคลิฟอร์เนีย ซัมเมอร์ 1 เดือนที่นิวยอร์ก ค้างบ้านเพื่อน 1 เดือนที่มิชิแกน) เราก็ไม่เคยโดนเหยียดเลยเหมือนกันนะคะ แน่นอนว่าปัญหานี้ยังคงอยู่ แต่เป็นเรื่องซีเรียสมาก ๆ แต่สำหรับใครที่กังวลว่าถ้าไปจะต้องโดนบูลลี่แน่ ๆ 100% เราอยากบอกว่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะคะ :) คนที่เหยียดอาจจะมีเยอะจริง แต่คนที่เปิดกว้างก็เยอะกว่าค่ะ ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปเลย


Q: เรียนจบมา 2 ปีแล้วรู้สึกว่าได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปบ้างมั้ย? ยังไงบ้าง?

สิ่งที่เราได้กลับมาจาก UWC ที่เรา value ที่สุดคือทัศนคติที่เปิดกว้างขึ้นและความคิดที่ทำเพื่อสังคมค่ะ พื้นที่ของ UWC คือเป็นเวทีสำหรับเยาวชนที่แท้จริง ดังนั้นโรงเรียนเราจะสอนให้รู้จักใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ให้เราได้เรียนรู้ที่จะกล้าแสดงออก กล้ายืนเพื่อตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ที่มาจากข้ามฟากทวีปโลก ที่อาจจะมีวัฒนธรรมการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง ซึ่งตรงความแตกต่างนั้นแหละค่ะ ที่เราจะต้องรู้จักเรียนรู้และยอมรับวัฒนธรรมของเขา และในขณะเดียวกันก็เปิดให้เขาเองเรียนรู้วัฒนธรรมของเราด้วยเหมือนกัน อย่างเราตอนไปแรก ๆ ได้ยินใครหลาย ๆ คนชื่นชมประเทศไทย เราถึงได้รู้สึกว่าจริง ๆ แล้วประเทศไทยนี่ก็เป็นที่รู้จักของหลาย ๆ คนเลยนะ แต่หลาย ๆ อย่างที่เขาชื่นชมเราดันมองข้ามไปซะงั้น เลยกลายเป็นจุดที่ผลักดันให้เรากล้าแสดงออกถึงความเป็นไทยมากขึ้น ใครมาถามอะไรเกี่ยวกับประเทศเราเราก็ตื่นเต้นและยินดีที่จะเล่าเกี่ยวกับวัฒนธรรมของเราให้เขาฟัง โรงเรียนเรามีความแตกต่าง หลากเพศ หลากภาษา หลากความคิดจริง แต่ทุกคนก็เรียนรู้ที่จะเคารพกัน ใครจะทำอะไรก็มีคนคอยซัพพอร์ต เพื่อน ๆ เราคอยให้กำลังใจเต็มที่ไม่ว่าเราจะทำงานศิลปะชิ้นใหม่หรือแค่เปลี่ยนทรงผมใหม่ นอกจากนี้ทุกคนก็เข้าใจว่าเราเท่าเทียมกัน นักเรียนทุกคนให้ความเคารพถึงพี่ ๆ พนักงานมาก พูดคุยกันตลอดเหมือนเป็นเพื่อนกัน เขาทำอะไรให้ก็รู้จักขอบคุณ เอาขนมไปฝากกันบ้าง ซึ่งความเคารพนี้เป็นสิ่งที่เราซึมซับและได้กลับมาใช้เยอะมาก ๆ ค่ะ ทั้งหมดที่ได้จาก UWC ทำให้เราเข้าใจว่าแม้เราจะเป็นคนแค่คนเดียว แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมให้ไปในทางที่ดีได้ สุดท้ายก็ได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปแบบก้าวกระโดดเลยค่ะ อาจจะฟังดูเหมือนอยู่ในโลกอุดมคติเกินกว่าที่จะเป็นจริง (เพื่อน ๆ ก็เคยเอามาเล่นเป็นมุกตลกกันอยู่เหมือนกันค่ะ ว่าโลก UWC ของเรานี่แฟนตาซีเหลือเกินนะ เหมือนเราหลุดมาในมิติคู่ขนานที่ไม่มีการเหยียด ไม่มีการดูถูกกันและกัน และแทบจะไม่มีปัญหาสังคมเลย5555) แต่มันมีขึ้นจริง ๆ ค่ะ และเราก็อยากให้ทุกคนได้ไปเจอกับประสบการณ์ดี ๆ เจอเพื่อนดี ๆ อย่างนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นรีบเข้ามาเป็นครอบครัว UWC ด้วยกันนะคะ <3


ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ คำถามที่เราใส่มาในตอนที่ 10 นี้เป็นคำถามที่เราเจอบ่อย ๆ แต่ถ้าใครมีเรื่องอยากถามอย่างอื่นอีกก็ทักมาได้ที่ไอจี @gaemsiris เลยนะคะ เราพร้อมตอบมาก ๆ เลยยย ^^

0