Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

How to หาตัวเองฉบับเข้าใจตัวเองก่อนสอบเข้ามหาลัย(เหมาะกับม.4-6)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

     กระทู้นี้พี่จะมาเเนะนำการค้นหาตัวเองก่อนสอบเข้า มหาลัยเข้าใจง่าย ใช้ภาษาเป็นกันเอง กระทู้นี้คงยาวมาก เนื้อหาในกระทู้นี้จะไม่มีรีวิวหนังสือที่ควรอ่านสำหรับเตรียมสอบ เเบบหนูอยากเข้าคณะนี้ ต้องอ่านเล่มไหนคะ พี่จะไม่ลงเนื้อหาในส่วนนี้เเต่พี่จะมีทริคการเตรียมตัวฉบับพี่เอง ซึ่งส่วนใหญ่90%พี่เอามาจากประสบการณ์ตัวเองล้วนๆเลย ก่อนอื่นพี่ขอเเนะนำตัวเองก่อนเลยนะ พี่เป็นเด็ก63 ซึ่งผ่านการสอบทั้งonet gat/pat 9สามัญ ผ่านtcasทั้ง5รอบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้มาเเทบตาย ตอนนี้พี่ได้เข้าคณะเศรษฐศาสตร์ มธ โอเคงั้นพี่ขออธิบายเลยเเล้วกันนะ ก่อนที่จะยาวไปกว่านี้     ใครอ่านจบถือว่าน้องเป็นคนที่อดทนมาก   เเบ่งอ่านตอนนั่งส้วมก็ได้นะ   มันยาวจริงๆ   เพราะพี่ตั้งใจพิมพ์มากๆค่ะ   ถือว่าพี่ได้บุญ น้องได้ความรู้



พี่มีคำถามจะถามน้อง เริ่ม!

1.ตอนนี้น้องอยู่ม.4 5 หรือ6 สายวิทย์ สายศิลป์ หรืออื่นๆ น้องคงตอบตัวเองได้

2.น้องอยากเรียนคณะอะไร/ทำอาชีพอะไร มี4คำตอบ คือ รู้ว่าอยากทำอาชีพอะไร /ไม่เเน่ใจ/ไม่รู้/ยังไม่ได้คิด


      โอเค น้องคงตอบคำถามสองข้อนี้เเล้วทีนี้ สิ่งสำคัญก่อนที่จะลงมืออ่านหนังสือสอบเข้ามหาลัย คือต้องตอบสองคำถามนี้ให้ได้ก่อนเเละต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น พี่จะเเบ่งออกเป็น


1.รู้ตัวเองเเล้ว

หาอาชีพจากสิ่งที่น้องอยากเป็น : ข้อเเรกนี้คือหนูอยากเป็นอะไร เรียนอะไรก็ได้เเล้วเเต่เลย โดยที่ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องสนอะไรทั้งสิ้น คนที่รู้เเล้วบอกกับตัวเองในใจ ใครที่ไม่รู้ ยังไม่ได้คิด ไม่เเน่ใจเชิญข้อ2เลยจ้า

*พี่ขอเเนะนำอีกนิด : น้องต้องหาอาชีพ/คณะสำรองไว้ คิดเผื่อไว้เลย


2.ไม่รู้ /ยังไม่ได้คิด / ไม่เเน่ใจ

ถ้าหนูอยู่ ม.4 : เหลือเวลาอีก2ปี รีบหาตอนนี้ทันเเน่นอน ดูเหมือนมีเวลาเยอะเเต่อย่าชะล่าใจ อย่าคิดว่าโหพี่ เพิ่งเข้าม.ปลายเป็นเฟรชชี่ กว่าจะอยู่ม.6 อีกนาน ขอเวลาไปโดดยางเเป๊บ มันเร็วนะขอบอก!

ม.5 : ต้องรีบหาตัวเองเเล้ว ก่อนที่มันจะสาย 1 ปีกับการเรียนในห้องเรียนเเละต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือเก็บเนื้อหาอีก

ม.6 : ตัวช่วยของน้อง คือ ครูเเนะเเนว มีเวลาคิดน้อยลงมาก เพราะต้องเรียนในห้อง อ่านหนังสือ เรียนพิเศษ กิน นอน เตรียมตัวสอบหมดเวลาไปเยอะมาก เทอม2ต้องติวรวดๆ อีก เเต่ใช่ว่าจะไม่มีเวลาเลย


       พี่เเนะนำเคล็ดลับการหาตัวตนของตัวเอง มันมีหลายวิธีต้องลองทำดู ที่พี่เขียนมาอาจจะไม่หมดนะ น้องต้องลองหาวิธีเพิ่มเอาเองถ้าน้องยังรู้สึกว่ามันยังหาไม่เจอซักทีเลย


2.1 หาจากวิชาที่น้องเรียน

น้องเตรียมกระดาษกับดินสอด่วนๆ เเล้วเเยกวิชาออกเป็น


Aวิชาที่ชอบ : อยากเรียน ถึงยากเเต่มันเหมือนมีอะไรสักอย่างที่คลิ๊กกับเราอะ เราอาจจะไม่เก่งเเต่มันชอบอะทำไงได้ (วิชานี้เหมือนคนที่อยากเเต่งงานด้วย)

Bวิชาที่เรียนได้ : บางเรื่องก็ชอบ บางเรื่องก็ไม่โอเค ไม่ได้เก่งมาก เอาตัวรอดได้ (วิชานี้เหมือนเเฟน อยู่ด้วยเเล้วมุ้งมิ้ง บางทีก็ทะเลาะกัน)

Cวิชาที่เฉยๆ : จะเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้เเล้วเเต่ (วิชานี้เหมือนเพื่อนที่ไม่สนิทมาก จะคุยหรือไม่คุยก็ได้ เเต่ถ้าพอคุยเเล้วเราอาจจะถูกคอกันก็ได้ = อาจเปลี่ยนเป็นวิชาที่ชอบก็ได้ )

Dวิชาที่ไม่ชอบ : เราไม่ชอบวิชานี้ เพราะเนื้อหามันยาก เข้าใจยาก เรียนเเล้วไม่สนุก ไม่รู้เรื่อง เพราะเราไม่เข้าใจในตัววิชานั้นๆหรือครูสอนไม่เข้าใจ ถ่ายทอดได้ไม่ดี (เหมือนกับคนที่เราไม่ชอบหน้า ไม่อยากเจอ)

Eวิชาที่เกลียด :   วิชาที่ไม่อยากเข้าใกล้เเม้เเต่นิดเดียว  ไม่อยากทำความเข้าใจ   ตั้งใจเเทบตาย   อ่านไปก็ไม่เข้าหัว   รู้สึกว่าทำไมต้องมาเรียนอะไรเเบบนี้ด้วย   (เหมือนกับโจร   ใครๆก็รังเกียจ)


     ข้อดีของการเเยกวิชาออกเป็นหลายๆประเภทเเบบนี้จะช่วยทำให้เราโฟกัสการหาคณะที่ใช่ได้ง่ายกว่า   ชัดเจนกว่าการเเยกเเบบชอบ/ไม่ชอบเเค่นี้   เช่น   พี่รู้เลยว่าวิชาเคมีอยู่ในหมวดE   คือวิชาที่เกลียดดังนั้นพี่ไม่เข้าคณะเภสัชเเน่นอน   


2.2   หาจากบุคลิกของตัวเอง/lifestyle

               บุคลิกภาพเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยตัดสินใจได้เเต่ไม่100%   เพราะต้องพิจารณาจากข้ออื่นๆด้วย   พี่จะเเบ่งออกเป็น   2   ประเภทคือ   

  introvert   :   เป็นบุคลิกภาพที่เป็นตัวของตัวเอง   โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง    ชอบที่จะอยู่กับตัวเองมากกว่า   ภายนอกเหมือนคนขี้อาย   ไม่ค่อยชอบที่ๆคนเยอะ   ใช้เวลากับตัวเองเป็นส่วนใหญ่ เพื่อชาร์จเเบตตัวเอง    มีเพื่อนน้อย  อาชีพที่เหมาะสมคือใช้ความคิดเเละไม่ต้องเจอคนเยอะ   เช่น   นักเขียน   นักวิจัย   ล่าม   นักบัญชี   ศิลปิน   ดีไซน์เนอร์   

extrovert   :     ตรงข้ามกับintrovert   พูดง่ายๆคือสายปาร์ตี้   เฮฮา   เข้าสังคม   เเสดงออกเก่ง   ช่างพูด   อาชีพที่เหมาะสมคืองานพบปะคนส่วนใหญ่   เช่น   PR   การตลาด   นักเเสดง    เเอร์ฯ   


        ตรงส่วนนี้พี่ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก  เว็บ ananda.co.th (ให้เครดิตกันบ้างเนอะ) พี่ขอยกตัวอย่างเป็นตัวพี่เองเหมือนเดิม   พี่เป็นพวกเเรก ดังนั้นพี่ขอตัดคณะนิเทศ   วารสาร    เเค่พูดหน้าชั้นเรียนมือสั่นเป็นเจ้าเข้าเเล้ว555


2.3   ไปงานopen house
    พี่ไปประมาณ3-4ที่   มันช่วยได้เยอะเลยนะ   ได้ไปถามรุ่นพี่ว่าคณะนี้เรียนยังไง   เตรียมตัวยังไง   ได้ไปดูหน้างานจริงเเละที่สำคัญคือ   กลับมาเสร็จปุ๊บไฟอ่านหนังสือมาเลยจ้าเเต่ก็ต้องรีบอ่านก่อนที่ไฟจะมอด ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ค่อนข้างโอเคเลย   พี่เเนะนำว่าวิธีนี้เหมาะสำหรับน้องม.4-5  มาก   ได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย   


*พี่ขอเเนะนำ  :   ตอนที่ไปงานคนจะเยอะมากๆ   ให้เตรียมเสบียงไปเผื่อไว้ได้เลย   โดยเฉพาะพวกงานopenhouseคณะเเพทย์คนเยอะมากๆๆๆๆๆๆ   เเละก่อนวันงาน1วันพี่เเนะนำให้น้องลิสต์คำถามที่อยากถามพี่เค้าไว้


2.4   ใช้เว็บค้นหาอาชีพ

                สำหรับน้องที่ไม่มีเวลาวิธีนี้ก็ใช้ได้   เเต่ๆมันก็ไม่ชัวร์อยู่ดี   พี่ลองทำมาหลายเว็บเเล้วก็ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง   ถ้าอยากหาอาชีพที่ใช่จริงๆพี่ไม่เเนะนำวิธีนี้สักเท่าไหร่   


2.5   หาจากงานอดิเรก   

                 ต้องบอกก่อนว่า สำหรับคนที่มีงานอดิเรกหลายอย่าง น้องต้องเอามาเเยกก่อนว่า  มีอันไหนที่ชอบเป็นพิเศษหรือคิดว่ามันคือสกิลตัวเอง  อันไหนที่คิดว่าไม่ใช่ก็ตัดทิ้ง  เช่น   ตอนว่างๆน้องชอบปลูกต้นไม้    วาดรูป   ก็ค่อยๆคิดว่าปลูกต้นไม้น้องเเค่ชอบปลูกมันเพราะเห็นว่าสวยดี   เเต่ถ้าต้องไปขุดดิน   ศึกษานิสัยของพืช   ต้องมีความรู้เรื่องการบำรุงดิน เเละอื่นๆที่ต้องรู้ลึกกว่านี้คงไม่เอาเเล้ว   ก็ตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนวาดรูปน้องชอบมาตั้งเเต่เด็กๆ   มีพื้นฐานระบายสี   การวาดรูปอยู่เเล้ว  ลองเขียนในกระดาษเอาไว้ก่อนว่าน้องสนใจนะ   เเต่ถ้าชอบจริงๆก็ต้องคิดต่อไปอีก(เดี๋ยวพี่จะเขียนหัวข้อต่อไปก่อนการเลือกคณะ/อาชีพ)


2.6   ถามครูเเนะเเนว/คนรู้จักที่สนิท/คนในครอบครัว/คนที่ประกอบอาชีพนั้นๆ
     ถามครูเเนะเเนว   :   อันนี้เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด   โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกรักของอ. เพราะถ้าเราสนิท อ.ก็จะชอบมาบอกโควต้าต่างๆกันไว้ให้เราก่อน  โดยเฉพาะเด็กห้องเก่ง(อันนี้คือความจริงที่โค-ตรดาร์ค)   อยากถามๆไปเลยว่าอาชีพนี้ดีไหม   มหาลัยไหนดี   ถ้าอ.รู้จักพี่รุ่นที่จบมาก่อนเขาก็จะมาบอกเเนวทางให้เอง   


*พี่ขอเเนะนำหน่อย   :   จะคุยกับครูเเนะเเนวต้องเลือกครูที่เราสนิทด้วยหรือใจดี   โดยเฉพาะครูที่หัวสมัยใหม่   ข่าวอัพเดทตลอดเวลา   อันนี้ให้รีบวิ่งไปหาเขาเลย   เพราะถ้าครูเเนะเเนวดีเราจะได้เปรียบเรื่องการหาคณะเเละข้อมูลพวกโควตา   รอบพอร์ตก่อนคนอื่นเขา   พี่ก็เคยพลาด   ณ   จุดๆนี้มาก่อนดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กเเต่จริงๆมันใหญ่


        คนรู้จักที่สนิท   : อันนี้ก็สามารถปรึกษาเขาได้ เเต่ๆ    ข้อมูลที่เราจะได้จากเขาขึ้นอยู่กับมุมมองเเละอาชีพที่ทำ   เช่น เขาทำงานเป็นเเม่ครัว  สังคมเขาก็จะเป็นอีกเเบบ ก็จะเเนะเเนวทางตามเเบบฉบับนั้นๆซึ่งเราก็ต้องเลือกคนที่ปรึกษาเกี่ยวกับการเรียน  การเลือกคณะ  อาชีพได้จะตรงสายสุด   เช่น   ครู ติวเตอร์  รุ่นพี่ที่เรียนคณะนั้นๆ   


        คนในครอบครัว   :   เราก็จะได้บอกว่าอันไหนคือสิ่งที่เราสนใจ   อยากเป็น   อันไหนคือเราไม่ชอบ   พร้อมกับได้คุยอีกด้วยว่าเราจะเลือกเรียนเเนวทางไหน    ครอบครัวมีความพร้อมไหม   ซึ่งเเต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน   บางครอบครัวหัวสมัยใหม่   บางครอบครัวก็เข้มงวดเเล้วเเต่สไตล์เลยว่าหนูจะไปเคลียร์กับเขายังไง


        คนที่ประกอบอาชีพนั้นๆ : ข้อนี้คือตรงประเด็นที่สุดเเล้ว  ได้ถามคนที่ประกอบอาชีพนั้นๆโดยตรง เราก็จะได้ประสบการณ์มาเต็มๆ เพราะบางอาชีพคนนอกหรืออินเทอร์เน็ตก็ไม่มีบอกหรอกว่าจริงๆเเล้วการทำงานของพวกเขาเป็นยังไง   มีตรงไหนพิเศษที่คนทั่วไปไม่รู้   พวกนี้คือรายละเอียดปลีกย่อยที่เเต่ละอาชีพมี   คือมันเป็นข้อมูลเชิงลึกอะ  ถ้าเราได้ตรงนี้มาคือน้องโชคดีมากจริงๆ   


2.7   หาอาชีพจากประสบการณ์โดยตรง/จากข่าวต่างๆ
    หาจากประสบการณ์/จากข่าวต่างๆ   :   ขึ้นอยู่กับเเต่ละคนจริงๆว่าจะเจออะไร   เช่น   สมมติว่าน้องเพิ่งเคยเลี้ยงหมาเป็นครั้งเเรก   หมาป่วยน้องต้องพาไปรักษาที่คลินิกเเล้วน้องเห็นการทำงานของสัตวเเพทย์   น้องประทับใจมากหลังจากนั้นก็อยากเป็นหมอหมาเลย   ประมาณนี้นะ   

 ***2.8   คะเเนนสอบ   onet/gatpat/9สามัญ/วิชาเฉพาะเเพทย์   หรืออื่นๆ


     การหาอาชีพจากวิธีนี้คือเสี่ยงเเละอันตรายที่สุดเเล้ว!!   ถ้าน้องหาอาชีพไม่เจอจริงๆละก็พี่เเนะนำอันนี้ท้ายของท้ายของท้ายของท้ายสุดเลย   พี่ก็เคยใช้วิธีนี้มาเเล้วถึงเเม้จะอันตรายเเต่ก็เเม่นยำที่สุด100%พี่การันตีได้   เเต่พี่ก็ไม่อยากให้ใครทำเเบบพี่นะ       เดี๋ยวพี่จะอธิบายง่ายๆเเล้วกัน   อย่างตัวพี่เอง(พี่ไม่รู้จะยกตัวอย่างใครดี555) ตอนเเรกพี่ชอบชีวะมากๆอยากเเต่งงานด้วยเลย   พี่อยากเรียนคณะจิตวิทยากับกายภาพบำบัด   ทีนี้พี่ก็ต้องใช้คะเเนนพวกฟิสิกส์   เคมี   ชีวะ   คณิต   อังกฤษ   บลาๆ พอคะเเนน ออกเเทบทรุด   คือ   คะเเนนมันต่ำต้อยมาก   เเบบวนอยู่เเถว30กว่าๆพี่เลยเปลี่ยนเเผนมาทางบัญชีกับพวกเศรษฐศาสตร์เเทน   พี่เลยต้องเลือกเเนวนี้เเละนี่คือที่มานี่เอง   นั่นเเหละเเล้วก็พวกคณะต่างๆที่น้องใฝ่ฝันหรือลังเล   ไม่รู้จะเอายังไงกับมันดี   พอรู้คะเเนนเเล้วน้องจะตอบตัวเองได้ชัดเลย


      หลังจากที่น้องหาวิธีการค้นหาตัวเองเเละน้องได้ลิสต์คณะ/อาชีพที่น้องอยากเรียนเเล้ว   ต่อมาพี่จะให้น้องพิจารณาการเลือกเรียน/ประกอบอาชีพ/ความเป็นไปได้  


 
#สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนที่น้องจะเลือกคณะนั้นๆ#


1.ความชอบ/ความถนัด/ไหวหรือเปล่า?   :   เป็นข้อที่เบสิคมากๆ   เช่น   น้องอยากเป็นวิศวะ   เเต่น้องไม่เก่งฟิสิกส์ถ้าใจไม่สู้   ไม่ชอบก็ต้องถอยออกมา   เเต่ถ้าน้องโอเค   ไปหาข้อมูลมาเเล้วว่าต้องใช้คะเเนนอะไรบ้าง   อ่อนฟิสิกส์เรื่องอะไรบ้างก็ต้องเตรียมตัวให้ดี   น้องอยากเป็นพยาบาลเเต่กลัวเลือด   เห็นเเล้วจะเป็นลม   พี่ก็ไม่เเนะนำให้ฝืนนะ


2.คนที่บ้านโอเคไหม   :   หลังจากที่เคลียร์กับตัวเองเรียบร้อย   ก็ต้องเคลียร์กับที่บ้านด้วยไม่อย่างนั้นปัญหาจะตามมาเเน่นอน   เพราะเเต่ละบ้านต่างกัน   บางครอบครัวก็เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วกับคณะที่เราอยากเรียน

          -ถ้าที่บ้านเห็นด้วย : พี่ดีใจด้วยนะ   ง่ายเลยกับการวางเเผนของเรา

          - ถ้าที่บ้านไม่เห็นด้วย: ตรงนี้คือต้องรีบจัดการด่วนๆ  มีความเเอบยาก


* พี่เเนะนำ   : ถ้าเราอยากเรียนคณะนี้จริงๆ   เราต้องไปหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะ/อาชีพนั้นๆให้ละเอียดว่ามันมีข้อดี-ข้อเสียยังไง   ทำไมถึงอยากเรียน/อยากทำอาชีพนี้   เเละต้องไปพูดตอนที่เขาอารมณ์ดีนะ อย่าพูดตอนเขาหัวร้อนเดี๋ยวเขาจะเกรี้ยวกราดเอา   เเผนเราจะล่มได้   ที่สำคัญผู้ใหญ่ชอบฟังเหตุผลมากกว่าที่เราจะพูดอะไรลอยๆ   พี่เเนะนำให้ไปดูพวกคลิปการพูด   จิตวิทยาโน้มน้าวก็ช่วยได้นะ


3.มหาวิทยาลัย   :   มหาลัยมีผลต่อการสมัครงาน  พี่พูดได้เลย เพราะถ้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงก็จะผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพออกมาเป็นที่ยอมรับ   ไม่ได้หมายความว่าม.ไม่ดังไม่เก่งนะเเต่นี่คือเรื่องจริง   มันคือความจริงที่ทุกคนรู้ การเเข่งขันมันจึงสูง   คะเเนนก็สูงตาม


4.ตลาดเเรงงาน   :   ข้อนี้น้องก็ต้องคิดด้วย   ถึงเเม้ว่ามันคือคณะในฝันที่ฉันต้องการเเต่ถ้าตลาดเเรงงานเเคบ   รับคนน้อย   เงินเดือนเริ่มต้นน้อยมันก็ยากที่ผู้ปกครองหลายๆคนจะให้เรียน   พี่ก็โดนมาเหมือนกัน  ที่พี่บอกว่าอยากเรียนจิตวิทยา   เเต่งานที่ทำมันมีน้อย   เงินเดือนเริ่มต้นก็น้อย  เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ   ที่ต่างประเทศคือบูมมากๆเเต่ไทยยังไม่ค่อยให้การยอมรับเท่าไหร่   คนที่ไปหาจิตเเพทย์คือคนบ้า   นี่คือมุมมองคนส่วนใหญ่ หรือคนที่ไปหาหมอก็ต้องหลบๆซ่อนๆปิดประวัติตัวเอง   กลัวโดนคนอื่นนินทา  เเละบ้านพี่ก็ไม่ได้รวยมาก  รักอุดมการณ์เเต่ไส้เเห้งต้องดูเเลตัวเองเเละที่บ้านในอนาคตด้วย ข้อนี้ทำให้พี่ตัดช้อยส์ไปได้หลายคณะเลย   


5.ฐานะทางบ้าน

*พี่เเนะนำ   :   

-ถ้าบ้านหนูรวย ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ใช้จ่ายได้สบายไม่ขัดสน   หนูอยากเรียนพ่อเเม่สนับสนุนได้ก็เรียนไปเถอะ  


-ถ้าบ้านฐานะปานกลาง    ต้องดูด้วยว่าอาชีพ/คณะนั้นคืออะไร   เงินเดือนโอเคไหม   โอกาสการได้งานทำ   ถ้าไปคุยกับครอบครัวเเล้ว  เเละคิดว่าโอเคมันต่อยอดได้   มีช่องทาง   ลุยเลยจ้ารออะไร!   เเต่ถ้าที่บ้านไม่โอเคพี่เเนะนำว่าเลือกคณะที่พ่อเเม่โอเคเเละเราก็โอเคด้วย   เราไหวไม่ฝืน   เช่น   พ่อเเม่มีกิจการร้านอาหารอยากให้ลูกมาดูเเลต่อ   พ่อเเม่อยากให้เรียนบัญชีหรือบริหารเเละตัวเราก็เออ   เรียนได้นะไม่ฝืนเกินไป   คณิตก็เรียนได้   เอาตัวรอดได้   ทั้งสองฝ่ายโอเค   วิธีนี้พี่บอเลยว่าบ้านไม่เเตกเเน่นอน   โอเคมากๆ


-ถ้าที่บ้านฐานะไม่โอเค     มันยากหน่อยนะ   เพราะ   เราต้องคิดเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่ม  นอกเหนือจากที่บอกมา   ถึงเเม้ว่าน้องจะได้ทุนมหาลัย  ค่าหอฟรีเเต่ก็ต้องมีค่าอื่นๆด้วย   เช่น   ค่ากิน   ค่าเดินทาง   ค่าโทรศัพท์ ค่าชีต บลาๆอีก หลายคนที่พี่รู้จักเลยเลือกเรียนมหาลัยเเถวบ้าน   เพราะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ   ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะขยันเเค่ไหนเเล้วละ


6.คะเเนนสอบ
      ถึงเเม้น้องจะคิดทุกข้อมาอย่างดีเเล้ว   เจ้านี่จะเป็นตัวสุดท้ายที่บอกว่าหนูจะได้ไปต่อหรือไม่  เช่น  น้องอยากเป็นหมอซึ่งเกณฑ์กำหนดว่าต้องได้onet  60%ขึ้นไป   ก็คือ   300คะเเนนจาก500 เเต่น้องได้เเค่ 299   ยังไงมันก็ไม่ได้   น้องสมัครกสพท.ไม่ได้   จบ   (ให้น้องย้อนไปอ่านข้อ2.8นะ จะได้เข้าใจมากขึ้น)   คราวนี้น้องก็จะเลือกคณะสำรองขึ้นมาเเทน   



***จบการรีวิวเพียงเท่านี้ขอให้น้องโชคดีกับการสอบเเละขอให้สมหวังตามที่ตั้งใจไว้นะ  กระทู้หน้าพี่จะมาบอกทริคการเตรียมตัว เพราะ ตัวอักษรมันเกิน ลงกระทู้เดียวไม่ได้ㅠㅠ***

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

cutiety 18 ก.ค. 63 เวลา 14:42 น. 1

เป็นประโยชน์มากๆเลยค่ะ ตอนนี้อยู่ม.4สายวิทย์-คณิต หนูเป็นคนขี้อายไม่กล้าพูดต่อหน้าคนเยอะๆแต่สนใจนิเทศจุฬาทำยังไงดีคะแงงงงhttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-10.png

1
my-lollipop 20 ก.ค. 63 เวลา 21:22 น. 1-1

ตามที่พี่บอกจ้า เมื่อหนูรู้ตัวเเล้วว่าอยากเป็นอะไรต้องถามตัวเองบ่อยๆว่านี่คือสิ่งที่อยากเป็นจริงๆไหม ถ้าใช่ต้องลองไปถามที่บ้านก่อนว่าเขาโอเคหรือเปล่า ถ้าที่บ้านโอเค ตัวหนูพร้อมก็ลุยเลยจ้า หานส.ที่ดีๆเตรียมตัวสอบ เริ่มก่อนได้เปรียบกว่า อยู่ม.4 อย่าทิ้งการเรียนในห้องนะ ใจสำคัญสุดเเล้ว สู้ๆจ้า

0
Afifin 14 พ.ย. 63 เวลา 08:30 น. 2

ผมอยู่ม.4 สายวิทย์-คณิต ผมเป็นคนกล้าพูดและก็พูดมาก ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าชอบวิชาไหนหรือไม่ชอบวิชาไหน ผมเรียนได้หมด ถือว่าไม่ได้เก่งมากและก็ไม่ได้อ่อนมาก อยู่ประมาณกลางๆ อยากเป็นครู แต่ยังไม่รู้ว่าถนัดด้านไหน เลยเลืิอกเอกไหนได้ และผมเป็นคนขี้เกียจด้วยครับ ขี้เกียจอ่านหนังสือ ควรทำไงดีครับ

1
my-lollipop 19 ม.ค. 64 เวลา 17:09 น. 2-1

พี่ไม่ค่อยได้เข้าเว็บเด็กดีมาตอบช้าเลย ช่วงม.4เป็นช่วงปรับตัวจากการเรียนม.ต้น เจอสังคมใหม่ การเรียนใหม่ๆ พี่เเนะนำว่าค่อยๆหา น้องสามารถหาตัวเองจนถึงช่วงม.5 เทอม1 เพราะว่าหลังจากนี้จะต้องวางเเผนการอ่านหนังสือสอบ+ติว เเถมยังต้องเรียนในห้องอีก หาตัวเองพี่แนะนำให้ลองทำตามข้างบน เเละที่สำคัญเลยคือต้องลองหาอะไรใหม่ๆทำ เช่น ลองทำงานอดิเรกใหม่ๆ ไปเข้าค่ายต่างๆไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการเรียนนะ หรือลองอ่านหนังสือเล่มที่ออกใหม่ประจำเดือน ดูรายการในทีวีก็ได้ พี่ดูยูทูปเเล้วมักจะมีช่องต่างๆที่น่าสนใจเยอะเลย ลองดูนะ เพื่อนพี่ก็มาหาตัวตนเจอตอนม.5ว่าชอบวาดรูปตแนนี้ได้เรียนสถาปัตย์ไปเรียบร้อยเเล้ว พี่เป็นกำลังใจให้นะ

0