How to หาตัวเองฉบับเข้าใจตัวเองก่อนสอบเข้ามหาลัย(เหมาะกับม.4-6)
กระทู้นี้พี่จะมาเเนะนำการค้นหาตัวเองก่อนสอบเข้า มหาลัยเข้าใจง่าย ใช้ภาษาเป็นกันเอง กระทู้นี้คงยาวมาก เนื้อหาในกระทู้นี้จะไม่มีรีวิวหนังสือที่ควรอ่านสำหรับเตรียมสอบ เเบบหนูอยากเข้าคณะนี้ ต้องอ่านเล่มไหนคะ พี่จะไม่ลงเนื้อหาในส่วนนี้เเต่พี่จะมีทริคการเตรียมตัวฉบับพี่เอง ซึ่งส่วนใหญ่90%พี่เอามาจากประสบการณ์ตัวเองล้วนๆเลย ก่อนอื่นพี่ขอเเนะนำตัวเองก่อนเลยนะ พี่เป็นเด็ก63 ซึ่งผ่านการสอบทั้งonet gat/pat 9สามัญ ผ่านtcasทั้ง5รอบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้มาเเทบตาย ตอนนี้พี่ได้เข้าคณะเศรษฐศาสตร์ มธ โอเคงั้นพี่ขออธิบายเลยเเล้วกันนะ ก่อนที่จะยาวไปกว่านี้ ใครอ่านจบถือว่าน้องเป็นคนที่อดทนมาก เเบ่งอ่านตอนนั่งส้วมก็ได้นะ มันยาวจริงๆ เพราะพี่ตั้งใจพิมพ์มากๆค่ะ ถือว่าพี่ได้บุญ น้องได้ความรู้
พี่มีคำถามจะถามน้อง เริ่ม!
1.ตอนนี้น้องอยู่ม.4 5 หรือ6 สายวิทย์ สายศิลป์ หรืออื่นๆ น้องคงตอบตัวเองได้
2.น้องอยากเรียนคณะอะไร/ทำอาชีพอะไร มี4คำตอบ คือ รู้ว่าอยากทำอาชีพอะไร /ไม่เเน่ใจ/ไม่รู้/ยังไม่ได้คิด
โอเค น้องคงตอบคำถามสองข้อนี้เเล้วทีนี้ สิ่งสำคัญก่อนที่จะลงมืออ่านหนังสือสอบเข้ามหาลัย คือต้องตอบสองคำถามนี้ให้ได้ก่อนเเละต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น พี่จะเเบ่งออกเป็น
1.รู้ตัวเองเเล้ว
หาอาชีพจากสิ่งที่น้องอยากเป็น : ข้อเเรกนี้คือหนูอยากเป็นอะไร เรียนอะไรก็ได้เเล้วเเต่เลย โดยที่ไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องสนอะไรทั้งสิ้น คนที่รู้เเล้วบอกกับตัวเองในใจ ใครที่ไม่รู้ ยังไม่ได้คิด ไม่เเน่ใจเชิญข้อ2เลยจ้า
*พี่ขอเเนะนำอีกนิด : น้องต้องหาอาชีพ/คณะสำรองไว้ คิดเผื่อไว้เลย
2.ไม่รู้ /ยังไม่ได้คิด / ไม่เเน่ใจ
ถ้าหนูอยู่ ม.4 : เหลือเวลาอีก2ปี รีบหาตอนนี้ทันเเน่นอน ดูเหมือนมีเวลาเยอะเเต่อย่าชะล่าใจ อย่าคิดว่าโหพี่ เพิ่งเข้าม.ปลายเป็นเฟรชชี่ กว่าจะอยู่ม.6 อีกนาน ขอเวลาไปโดดยางเเป๊บ มันเร็วนะขอบอก!
ม.5 : ต้องรีบหาตัวเองเเล้ว ก่อนที่มันจะสาย 1 ปีกับการเรียนในห้องเรียนเเละต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือเก็บเนื้อหาอีก
ม.6 : ตัวช่วยของน้อง คือ ครูเเนะเเนว มีเวลาคิดน้อยลงมาก เพราะต้องเรียนในห้อง อ่านหนังสือ เรียนพิเศษ กิน นอน เตรียมตัวสอบหมดเวลาไปเยอะมาก เทอม2ต้องติวรวดๆ อีก เเต่ใช่ว่าจะไม่มีเวลาเลย
พี่เเนะนำเคล็ดลับการหาตัวตนของตัวเอง มันมีหลายวิธีต้องลองทำดู ที่พี่เขียนมาอาจจะไม่หมดนะ น้องต้องลองหาวิธีเพิ่มเอาเองถ้าน้องยังรู้สึกว่ามันยังหาไม่เจอซักทีเลย
2.1 หาจากวิชาที่น้องเรียน
น้องเตรียมกระดาษกับดินสอด่วนๆ เเล้วเเยกวิชาออกเป็น
Aวิชาที่ชอบ : อยากเรียน ถึงยากเเต่มันเหมือนมีอะไรสักอย่างที่คลิ๊กกับเราอะ เราอาจจะไม่เก่งเเต่มันชอบอะทำไงได้ (วิชานี้เหมือนคนที่อยากเเต่งงานด้วย)
Bวิชาที่เรียนได้ : บางเรื่องก็ชอบ บางเรื่องก็ไม่โอเค ไม่ได้เก่งมาก เอาตัวรอดได้ (วิชานี้เหมือนเเฟน อยู่ด้วยเเล้วมุ้งมิ้ง บางทีก็ทะเลาะกัน)
Cวิชาที่เฉยๆ : จะเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้เเล้วเเต่ (วิชานี้เหมือนเพื่อนที่ไม่สนิทมาก จะคุยหรือไม่คุยก็ได้ เเต่ถ้าพอคุยเเล้วเราอาจจะถูกคอกันก็ได้ = อาจเปลี่ยนเป็นวิชาที่ชอบก็ได้ )
Dวิชาที่ไม่ชอบ : เราไม่ชอบวิชานี้ เพราะเนื้อหามันยาก เข้าใจยาก เรียนเเล้วไม่สนุก ไม่รู้เรื่อง เพราะเราไม่เข้าใจในตัววิชานั้นๆหรือครูสอนไม่เข้าใจ ถ่ายทอดได้ไม่ดี (เหมือนกับคนที่เราไม่ชอบหน้า ไม่อยากเจอ)
Eวิชาที่เกลียด : วิชาที่ไม่อยากเข้าใกล้เเม้เเต่นิดเดียว ไม่อยากทำความเข้าใจ ตั้งใจเเทบตาย อ่านไปก็ไม่เข้าหัว รู้สึกว่าทำไมต้องมาเรียนอะไรเเบบนี้ด้วย (เหมือนกับโจร ใครๆก็รังเกียจ)
ข้อดีของการเเยกวิชาออกเป็นหลายๆประเภทเเบบนี้จะช่วยทำให้เราโฟกัสการหาคณะที่ใช่ได้ง่ายกว่า ชัดเจนกว่าการเเยกเเบบชอบ/ไม่ชอบเเค่นี้ เช่น พี่รู้เลยว่าวิชาเคมีอยู่ในหมวดE คือวิชาที่เกลียดดังนั้นพี่ไม่เข้าคณะเภสัชเเน่นอน
2.2 หาจากบุคลิกของตัวเอง/lifestyle
บุคลิกภาพเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยตัดสินใจได้เเต่ไม่100% เพราะต้องพิจารณาจากข้ออื่นๆด้วย พี่จะเเบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
introvert : เป็นบุคลิกภาพที่เป็นตัวของตัวเอง โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง ชอบที่จะอยู่กับตัวเองมากกว่า ภายนอกเหมือนคนขี้อาย ไม่ค่อยชอบที่ๆคนเยอะ ใช้เวลากับตัวเองเป็นส่วนใหญ่ เพื่อชาร์จเเบตตัวเอง มีเพื่อนน้อย อาชีพที่เหมาะสมคือใช้ความคิดเเละไม่ต้องเจอคนเยอะ เช่น นักเขียน นักวิจัย ล่าม นักบัญชี ศิลปิน ดีไซน์เนอร์
extrovert : ตรงข้ามกับintrovert พูดง่ายๆคือสายปาร์ตี้ เฮฮา เข้าสังคม เเสดงออกเก่ง ช่างพูด อาชีพที่เหมาะสมคืองานพบปะคนส่วนใหญ่ เช่น PR การตลาด นักเเสดง เเอร์ฯ
ตรงส่วนนี้พี่ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก เว็บ ananda.co.th (ให้เครดิตกันบ้างเนอะ) พี่ขอยกตัวอย่างเป็นตัวพี่เองเหมือนเดิม พี่เป็นพวกเเรก ดังนั้นพี่ขอตัดคณะนิเทศ วารสาร เเค่พูดหน้าชั้นเรียนมือสั่นเป็นเจ้าเข้าเเล้ว555
2.3 ไปงานopen house
พี่ไปประมาณ3-4ที่ มันช่วยได้เยอะเลยนะ ได้ไปถามรุ่นพี่ว่าคณะนี้เรียนยังไง เตรียมตัวยังไง ได้ไปดูหน้างานจริงเเละที่สำคัญคือ กลับมาเสร็จปุ๊บไฟอ่านหนังสือมาเลยจ้าเเต่ก็ต้องรีบอ่านก่อนที่ไฟจะมอด ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ค่อนข้างโอเคเลย พี่เเนะนำว่าวิธีนี้เหมาะสำหรับน้องม.4-5 มาก ได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย
*พี่ขอเเนะนำ : ตอนที่ไปงานคนจะเยอะมากๆ ให้เตรียมเสบียงไปเผื่อไว้ได้เลย โดยเฉพาะพวกงานopenhouseคณะเเพทย์คนเยอะมากๆๆๆๆๆๆ เเละก่อนวันงาน1วันพี่เเนะนำให้น้องลิสต์คำถามที่อยากถามพี่เค้าไว้
2.4 ใช้เว็บค้นหาอาชีพ
สำหรับน้องที่ไม่มีเวลาวิธีนี้ก็ใช้ได้ เเต่ๆมันก็ไม่ชัวร์อยู่ดี พี่ลองทำมาหลายเว็บเเล้วก็ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง ถ้าอยากหาอาชีพที่ใช่จริงๆพี่ไม่เเนะนำวิธีนี้สักเท่าไหร่
2.5 หาจากงานอดิเรก
ต้องบอกก่อนว่า สำหรับคนที่มีงานอดิเรกหลายอย่าง น้องต้องเอามาเเยกก่อนว่า มีอันไหนที่ชอบเป็นพิเศษหรือคิดว่ามันคือสกิลตัวเอง อันไหนที่คิดว่าไม่ใช่ก็ตัดทิ้ง เช่น ตอนว่างๆน้องชอบปลูกต้นไม้ วาดรูป ก็ค่อยๆคิดว่าปลูกต้นไม้น้องเเค่ชอบปลูกมันเพราะเห็นว่าสวยดี เเต่ถ้าต้องไปขุดดิน ศึกษานิสัยของพืช ต้องมีความรู้เรื่องการบำรุงดิน เเละอื่นๆที่ต้องรู้ลึกกว่านี้คงไม่เอาเเล้ว ก็ตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนวาดรูปน้องชอบมาตั้งเเต่เด็กๆ มีพื้นฐานระบายสี การวาดรูปอยู่เเล้ว ลองเขียนในกระดาษเอาไว้ก่อนว่าน้องสนใจนะ เเต่ถ้าชอบจริงๆก็ต้องคิดต่อไปอีก(เดี๋ยวพี่จะเขียนหัวข้อต่อไปก่อนการเลือกคณะ/อาชีพ)
2.6 ถามครูเเนะเเนว/คนรู้จักที่สนิท/คนในครอบครัว/คนที่ประกอบอาชีพนั้นๆ
ถามครูเเนะเเนว : อันนี้เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด โดยเฉพาะคนที่เป็นลูกรักของอ. เพราะถ้าเราสนิท อ.ก็จะชอบมาบอกโควต้าต่างๆกันไว้ให้เราก่อน โดยเฉพาะเด็กห้องเก่ง(อันนี้คือความจริงที่โค-ตรดาร์ค) อยากถามๆไปเลยว่าอาชีพนี้ดีไหม มหาลัยไหนดี ถ้าอ.รู้จักพี่รุ่นที่จบมาก่อนเขาก็จะมาบอกเเนวทางให้เอง
*พี่ขอเเนะนำหน่อย : จะคุยกับครูเเนะเเนวต้องเลือกครูที่เราสนิทด้วยหรือใจดี โดยเฉพาะครูที่หัวสมัยใหม่ ข่าวอัพเดทตลอดเวลา อันนี้ให้รีบวิ่งไปหาเขาเลย เพราะถ้าครูเเนะเเนวดีเราจะได้เปรียบเรื่องการหาคณะเเละข้อมูลพวกโควตา รอบพอร์ตก่อนคนอื่นเขา พี่ก็เคยพลาด ณ จุดๆนี้มาก่อนดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กเเต่จริงๆมันใหญ่
คนรู้จักที่สนิท : อันนี้ก็สามารถปรึกษาเขาได้ เเต่ๆ ข้อมูลที่เราจะได้จากเขาขึ้นอยู่กับมุมมองเเละอาชีพที่ทำ เช่น เขาทำงานเป็นเเม่ครัว สังคมเขาก็จะเป็นอีกเเบบ ก็จะเเนะเเนวทางตามเเบบฉบับนั้นๆซึ่งเราก็ต้องเลือกคนที่ปรึกษาเกี่ยวกับการเรียน การเลือกคณะ อาชีพได้จะตรงสายสุด เช่น ครู ติวเตอร์ รุ่นพี่ที่เรียนคณะนั้นๆ
คนในครอบครัว : เราก็จะได้บอกว่าอันไหนคือสิ่งที่เราสนใจ อยากเป็น อันไหนคือเราไม่ชอบ พร้อมกับได้คุยอีกด้วยว่าเราจะเลือกเรียนเเนวทางไหน ครอบครัวมีความพร้อมไหม ซึ่งเเต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน บางครอบครัวหัวสมัยใหม่ บางครอบครัวก็เข้มงวดเเล้วเเต่สไตล์เลยว่าหนูจะไปเคลียร์กับเขายังไง
คนที่ประกอบอาชีพนั้นๆ : ข้อนี้คือตรงประเด็นที่สุดเเล้ว ได้ถามคนที่ประกอบอาชีพนั้นๆโดยตรง เราก็จะได้ประสบการณ์มาเต็มๆ เพราะบางอาชีพคนนอกหรืออินเทอร์เน็ตก็ไม่มีบอกหรอกว่าจริงๆเเล้วการทำงานของพวกเขาเป็นยังไง มีตรงไหนพิเศษที่คนทั่วไปไม่รู้ พวกนี้คือรายละเอียดปลีกย่อยที่เเต่ละอาชีพมี คือมันเป็นข้อมูลเชิงลึกอะ ถ้าเราได้ตรงนี้มาคือน้องโชคดีมากจริงๆ
2.7 หาอาชีพจากประสบการณ์โดยตรง/จากข่าวต่างๆ
หาจากประสบการณ์/จากข่าวต่างๆ : ขึ้นอยู่กับเเต่ละคนจริงๆว่าจะเจออะไร เช่น สมมติว่าน้องเพิ่งเคยเลี้ยงหมาเป็นครั้งเเรก หมาป่วยน้องต้องพาไปรักษาที่คลินิกเเล้วน้องเห็นการทำงานของสัตวเเพทย์ น้องประทับใจมากหลังจากนั้นก็อยากเป็นหมอหมาเลย ประมาณนี้นะ
***2.8 คะเเนนสอบ onet/gatpat/9สามัญ/วิชาเฉพาะเเพทย์ หรืออื่นๆ
การหาอาชีพจากวิธีนี้คือเสี่ยงเเละอันตรายที่สุดเเล้ว!! ถ้าน้องหาอาชีพไม่เจอจริงๆละก็พี่เเนะนำอันนี้ท้ายของท้ายของท้ายของท้ายสุดเลย พี่ก็เคยใช้วิธีนี้มาเเล้วถึงเเม้จะอันตรายเเต่ก็เเม่นยำที่สุด100%พี่การันตีได้ เเต่พี่ก็ไม่อยากให้ใครทำเเบบพี่นะ เดี๋ยวพี่จะอธิบายง่ายๆเเล้วกัน อย่างตัวพี่เอง(พี่ไม่รู้จะยกตัวอย่างใครดี555) ตอนเเรกพี่ชอบชีวะมากๆอยากเเต่งงานด้วยเลย พี่อยากเรียนคณะจิตวิทยากับกายภาพบำบัด ทีนี้พี่ก็ต้องใช้คะเเนนพวกฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต อังกฤษ บลาๆ พอคะเเนน ออกเเทบทรุด คือ คะเเนนมันต่ำต้อยมาก เเบบวนอยู่เเถว30กว่าๆพี่เลยเปลี่ยนเเผนมาทางบัญชีกับพวกเศรษฐศาสตร์เเทน พี่เลยต้องเลือกเเนวนี้เเละนี่คือที่มานี่เอง นั่นเเหละเเล้วก็พวกคณะต่างๆที่น้องใฝ่ฝันหรือลังเล ไม่รู้จะเอายังไงกับมันดี พอรู้คะเเนนเเล้วน้องจะตอบตัวเองได้ชัดเลย
หลังจากที่น้องหาวิธีการค้นหาตัวเองเเละน้องได้ลิสต์คณะ/อาชีพที่น้องอยากเรียนเเล้ว ต่อมาพี่จะให้น้องพิจารณาการเลือกเรียน/ประกอบอาชีพ/ความเป็นไปได้
#สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนที่น้องจะเลือกคณะนั้นๆ#
1.ความชอบ/ความถนัด/ไหวหรือเปล่า? : เป็นข้อที่เบสิคมากๆ เช่น น้องอยากเป็นวิศวะ เเต่น้องไม่เก่งฟิสิกส์ถ้าใจไม่สู้ ไม่ชอบก็ต้องถอยออกมา เเต่ถ้าน้องโอเค ไปหาข้อมูลมาเเล้วว่าต้องใช้คะเเนนอะไรบ้าง อ่อนฟิสิกส์เรื่องอะไรบ้างก็ต้องเตรียมตัวให้ดี น้องอยากเป็นพยาบาลเเต่กลัวเลือด เห็นเเล้วจะเป็นลม พี่ก็ไม่เเนะนำให้ฝืนนะ
2.คนที่บ้านโอเคไหม : หลังจากที่เคลียร์กับตัวเองเรียบร้อย ก็ต้องเคลียร์กับที่บ้านด้วยไม่อย่างนั้นปัญหาจะตามมาเเน่นอน เพราะเเต่ละบ้านต่างกัน บางครอบครัวก็เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วกับคณะที่เราอยากเรียน
-ถ้าที่บ้านเห็นด้วย : พี่ดีใจด้วยนะ ง่ายเลยกับการวางเเผนของเรา
- ถ้าที่บ้านไม่เห็นด้วย: ตรงนี้คือต้องรีบจัดการด่วนๆ มีความเเอบยาก
* พี่เเนะนำ : ถ้าเราอยากเรียนคณะนี้จริงๆ เราต้องไปหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะ/อาชีพนั้นๆให้ละเอียดว่ามันมีข้อดี-ข้อเสียยังไง ทำไมถึงอยากเรียน/อยากทำอาชีพนี้ เเละต้องไปพูดตอนที่เขาอารมณ์ดีนะ อย่าพูดตอนเขาหัวร้อนเดี๋ยวเขาจะเกรี้ยวกราดเอา เเผนเราจะล่มได้ ที่สำคัญผู้ใหญ่ชอบฟังเหตุผลมากกว่าที่เราจะพูดอะไรลอยๆ พี่เเนะนำให้ไปดูพวกคลิปการพูด จิตวิทยาโน้มน้าวก็ช่วยได้นะ
3.มหาวิทยาลัย : มหาลัยมีผลต่อการสมัครงาน พี่พูดได้เลย เพราะถ้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงก็จะผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพออกมาเป็นที่ยอมรับ ไม่ได้หมายความว่าม.ไม่ดังไม่เก่งนะเเต่นี่คือเรื่องจริง มันคือความจริงที่ทุกคนรู้ การเเข่งขันมันจึงสูง คะเเนนก็สูงตาม
4.ตลาดเเรงงาน : ข้อนี้น้องก็ต้องคิดด้วย ถึงเเม้ว่ามันคือคณะในฝันที่ฉันต้องการเเต่ถ้าตลาดเเรงงานเเคบ รับคนน้อย เงินเดือนเริ่มต้นน้อยมันก็ยากที่ผู้ปกครองหลายๆคนจะให้เรียน พี่ก็โดนมาเหมือนกัน ที่พี่บอกว่าอยากเรียนจิตวิทยา เเต่งานที่ทำมันมีน้อย เงินเดือนเริ่มต้นก็น้อย เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ ที่ต่างประเทศคือบูมมากๆเเต่ไทยยังไม่ค่อยให้การยอมรับเท่าไหร่ คนที่ไปหาจิตเเพทย์คือคนบ้า นี่คือมุมมองคนส่วนใหญ่ หรือคนที่ไปหาหมอก็ต้องหลบๆซ่อนๆปิดประวัติตัวเอง กลัวโดนคนอื่นนินทา เเละบ้านพี่ก็ไม่ได้รวยมาก รักอุดมการณ์เเต่ไส้เเห้งต้องดูเเลตัวเองเเละที่บ้านในอนาคตด้วย ข้อนี้ทำให้พี่ตัดช้อยส์ไปได้หลายคณะเลย
5.ฐานะทางบ้าน
*พี่เเนะนำ :
-ถ้าบ้านหนูรวย ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน ใช้จ่ายได้สบายไม่ขัดสน หนูอยากเรียนพ่อเเม่สนับสนุนได้ก็เรียนไปเถอะ
-ถ้าบ้านฐานะปานกลาง ต้องดูด้วยว่าอาชีพ/คณะนั้นคืออะไร เงินเดือนโอเคไหม โอกาสการได้งานทำ ถ้าไปคุยกับครอบครัวเเล้ว เเละคิดว่าโอเคมันต่อยอดได้ มีช่องทาง ลุยเลยจ้ารออะไร! เเต่ถ้าที่บ้านไม่โอเคพี่เเนะนำว่าเลือกคณะที่พ่อเเม่โอเคเเละเราก็โอเคด้วย เราไหวไม่ฝืน เช่น พ่อเเม่มีกิจการร้านอาหารอยากให้ลูกมาดูเเลต่อ พ่อเเม่อยากให้เรียนบัญชีหรือบริหารเเละตัวเราก็เออ เรียนได้นะไม่ฝืนเกินไป คณิตก็เรียนได้ เอาตัวรอดได้ ทั้งสองฝ่ายโอเค วิธีนี้พี่บอเลยว่าบ้านไม่เเตกเเน่นอน โอเคมากๆ
-ถ้าที่บ้านฐานะไม่โอเค มันยากหน่อยนะ เพราะ เราต้องคิดเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่ม นอกเหนือจากที่บอกมา ถึงเเม้ว่าน้องจะได้ทุนมหาลัย ค่าหอฟรีเเต่ก็ต้องมีค่าอื่นๆด้วย เช่น ค่ากิน ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าชีต บลาๆอีก หลายคนที่พี่รู้จักเลยเลือกเรียนมหาลัยเเถวบ้าน เพราะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะขยันเเค่ไหนเเล้วละ
6.คะเเนนสอบ
ถึงเเม้น้องจะคิดทุกข้อมาอย่างดีเเล้ว เจ้านี่จะเป็นตัวสุดท้ายที่บอกว่าหนูจะได้ไปต่อหรือไม่ เช่น น้องอยากเป็นหมอซึ่งเกณฑ์กำหนดว่าต้องได้onet 60%ขึ้นไป ก็คือ 300คะเเนนจาก500 เเต่น้องได้เเค่ 299 ยังไงมันก็ไม่ได้ น้องสมัครกสพท.ไม่ได้ จบ (ให้น้องย้อนไปอ่านข้อ2.8นะ จะได้เข้าใจมากขึ้น) คราวนี้น้องก็จะเลือกคณะสำรองขึ้นมาเเทน
***จบการรีวิวเพียงเท่านี้ขอให้น้องโชคดีกับการสอบเเละขอให้สมหวังตามที่ตั้งใจไว้นะ กระทู้หน้าพี่จะมาบอกทริคการเตรียมตัว เพราะ ตัวอักษรมันเกิน ลงกระทู้เดียวไม่ได้ㅠㅠ***
2 ความคิดเห็น
เป็นประโยชน์มากๆเลยค่ะ ตอนนี้อยู่ม.4สายวิทย์-คณิต หนูเป็นคนขี้อายไม่กล้าพูดต่อหน้าคนเยอะๆแต่สนใจนิเทศจุฬาทำยังไงดีคะแงงงง
ตามที่พี่บอกจ้า เมื่อหนูรู้ตัวเเล้วว่าอยากเป็นอะไรต้องถามตัวเองบ่อยๆว่านี่คือสิ่งที่อยากเป็นจริงๆไหม ถ้าใช่ต้องลองไปถามที่บ้านก่อนว่าเขาโอเคหรือเปล่า ถ้าที่บ้านโอเค ตัวหนูพร้อมก็ลุยเลยจ้า หานส.ที่ดีๆเตรียมตัวสอบ เริ่มก่อนได้เปรียบกว่า อยู่ม.4 อย่าทิ้งการเรียนในห้องนะ ใจสำคัญสุดเเล้ว สู้ๆจ้า
ผมอยู่ม.4 สายวิทย์-คณิต ผมเป็นคนกล้าพูดและก็พูดมาก ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าชอบวิชาไหนหรือไม่ชอบวิชาไหน ผมเรียนได้หมด ถือว่าไม่ได้เก่งมากและก็ไม่ได้อ่อนมาก อยู่ประมาณกลางๆ อยากเป็นครู แต่ยังไม่รู้ว่าถนัดด้านไหน เลยเลืิอกเอกไหนได้ และผมเป็นคนขี้เกียจด้วยครับ ขี้เกียจอ่านหนังสือ ควรทำไงดีครับ
พี่ไม่ค่อยได้เข้าเว็บเด็กดีมาตอบช้าเลย ช่วงม.4เป็นช่วงปรับตัวจากการเรียนม.ต้น เจอสังคมใหม่ การเรียนใหม่ๆ พี่เเนะนำว่าค่อยๆหา น้องสามารถหาตัวเองจนถึงช่วงม.5 เทอม1 เพราะว่าหลังจากนี้จะต้องวางเเผนการอ่านหนังสือสอบ+ติว เเถมยังต้องเรียนในห้องอีก หาตัวเองพี่แนะนำให้ลองทำตามข้างบน เเละที่สำคัญเลยคือต้องลองหาอะไรใหม่ๆทำ เช่น ลองทำงานอดิเรกใหม่ๆ ไปเข้าค่ายต่างๆไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการเรียนนะ หรือลองอ่านหนังสือเล่มที่ออกใหม่ประจำเดือน ดูรายการในทีวีก็ได้ พี่ดูยูทูปเเล้วมักจะมีช่องต่างๆที่น่าสนใจเยอะเลย ลองดูนะ เพื่อนพี่ก็มาหาตัวตนเจอตอนม.5ว่าชอบวาดรูปตแนนี้ได้เรียนสถาปัตย์ไปเรียบร้อยเเล้ว พี่เป็นกำลังใจให้นะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?