Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เราเกิดมาทำไม

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
คือว่า ผมนั่งคิดเล่นๆนะครับว่าทำไมเราถึงเกิดมา ผมก็เลยคิดออกมาได้อยู่ 2 ทาง ถ้าทางวิทยาศาสตร์หมายถึงเราเกิดเมื่อสืบพันธุ์เพื่อให้เผ่าพันธ์อยู่รอดแล้วทำไมธรรมชาติทำให้บางคนถึงมีลูกไม่ได้ มีลูกไม่ได้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเกิดจากอุบัติเหตุนะครับหมายถึงร่างกายมันไม่เหมาะมาตั้งแต่เกิดมันเป็นความผิดพลาดของธรรมชาติเหรอ?


แล้วอีกทางคือศาสนา คือเราเกิดมาเพื่อทำความดีเพื่อที่ในชาติหน้าเราจะได้ดิบได้ดี แล้วมันก็เกิดความคิดในหัวของผมอีกว่า แล้วอะไรที่ทำให้พระพุทธเจ้ารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี   แล้ว ชาติหน้ามันจริงมั้ยอะไรแบบนี้ แล้วอะไรเป็นตัวตัดสินสินว่าเราจะเกิดเป็นอะไรครับ หรือว่าโลกที่เราอยู่อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว 555 แล้วการที่เราเกิดมาเพื่อให้มนุษย์ต่างดาวพวกนั้นดูเล่น  แล้วพวกคุณคิดว่ายังไงครับ 
ปล  อันนี้คือความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ถ้าจะว่าอะไรผมก็ตามใจเลยนะครับ

แสดงความคิดเห็น

>

17 ความคิดเห็น

KUsakul 4 ก.ค. 63 เวลา 20:17 น. 1

อืม ผมเองก็กำลังหาคำตอบในเรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วผมจะหาเจอนิดเดียว และผมขออณุณาตไม่แชร์ เพราะมันอาจจะไปย้อนแย้งกับความเชื่อของคนบางคน

2
...1 4 ก.ค. 63 เวลา 20:26 น. 1-1

ไม่เป็นไรครับ ผมก็แค่อยากรู้ว่าคนอื่นๆจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ครับ

0
Menomy 4 ก.ค. 63 เวลา 20:36 น. 2

เราน่าจะตั้งกลุ่มสำหรับผู้ที่สนใจอะไรแบบนี้กัน


สำหรับเรา การเกิด มันก็แค่...เกิด ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีว่า ทำไม? ไม่มีว่า เพื่ออะไร


พระพุทธเจ้า ใช้ความ สงบ เป็นตัวตัดสินว่าอะไรดี อะไรไม่ดี

ความสงบ ใช้ ใจเรา ในการวัด หากทำแล้วใจ ไม่สงบ ก็คือ ไม่ดี

แต่ว่ามันก็ไม่ง่ายที่จะวัด ความสงบ ด้วยใจ เพราะหากใจเรา วุ่นวาย ก็จะวัดความสงบได้ยาก

จึงต้องใช้ สติ เข้ามาระงับความ วุ่นวายในใจ แล้วถึงจะไปวัด ความสงบ อีกที


ความสงบ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ความเงียบ นะ มันหมายถึง ความสงบสุขภายในใจ อ่ะ


เราก็รู้ไม่มาก พอเข้าใจก็เท่านี้แหละ

0
แอลลิเกเตอร์ผึ่งพุง & หงส์จีน 4 ก.ค. 63 เวลา 20:43 น. 3

น่าสนุก ขอลองคิดตามบ้าง ในแง่มุมที่ว่าชาติหน้ามีจริงมั้ย และอะไรเป็นตัวตัดสินสินว่าชาติหน้าเราจะเกิดเป็นอะไร


เคยได้ยินมาว่าจิตนั้น เกิดดับ เกิดดับ อยู่ทุกเสี้ยววินาที (จริง ๆ สั้นกว่านี้มาก ) เรียกได้ว่าเกิดขึ้นเร็วมากจนเราจับไม่ทัน ดังนั้นถ้าจะอนุมานว่าทุกการเกิดดับคือการเปลี่ยนภพชาติ ก็แสดงว่าจิตเราเกิดใหม่หลายภพชาติ ในกายหยาบเดิม ก็แสดงว่าชาติหน้ามีจริง


และถ้าเชื่อว่าการเปลี่ยนภพใหม่ของเราขึ้นอยู่กับกรรม หรือการกระทำ

ก็ลองคิดตามว่า ถ้าสมมติตอนนี้ (ภพปัจจุบัน) เรากำลังกินอาหารที่ใกล้จะบูดด้วยความเสียดาย ส่งผลให้ตอนค่ำ (ภพต่อไป) เราเกิดท้องเสียอย่างรุนแรง --- นี่เรียกว่ารับผลกรรมจากอดีตใช่หรือไม่


แล้วถ้าคิดรวบยอดเป็นช่วงเวลาใหญ่ ๆ หลักร้อยปี ที่เราเปลี่ยนกายหยาบ ไปอยู่กายหยาบใหม่ ความทรงจำใหม่ ดังนั้นชีวิตเราที่ถูกสอนกันมาว่าเราเกิดมารับกรรมจากอดีตชาติ จริงหรือไม่ --- เราว่าก็น่าจะจริง แต่ช่วงเวลามันกว้างเกินไป กรรมจึงหลากหลายและซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะจดจำและแยกแยะได้


แล้วชีวิตเกิดมารับกรรมจากอดีตอย่างเดียวมั๊ย อันนี้เราไม่เห็นด้วย เพราะเราสามารถลงมือทำ สร้างกรรมใหม่จากเจตจำนงใหม่ได้


สุดท้ายเราก็คงต้องค้นหาความหมายของชีวิตกันต่อไป


คิดเห็นยังไงมาแลกเปลี่ยนกันได้ค้า

3
KUsakul 4 ก.ค. 63 เวลา 20:46 น. 3-1

หวา ผมคิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมอ่านมาจากงานเขียนของทันตแพทย์สมสุจีราน่ะ(ไปอ่านกันได้ เป็นหนังสือที่ดีมาก สามารถนำวิทย์กับพุทธมารวมกันแล้วอธิบายด้วยเหตุผล)

0
KUsakul 4 ก.ค. 63 เวลา 20:54 น. 3-3

เอ่อ มีหลายเล่มครับ ยกตัวอย่างเช่นไอสไตต์พบ พระพุทธเจ้าเห็น เป็นเรื่องที่ไอสไตร์มาศึกษาพระพุทธศาสนา และยกย่องให้เป็นศาสนาแห่งจักรวาล ลองไปหาอ่านดู

0
patchiys 4 ก.ค. 63 เวลา 21:28 น. 4

สิ่งมีชีวิตหลัก ๆ ก็จะเกิดมาเพื่อสืบพันธ์เพื่อดำรงชีวิตนั่นแหละค่ะ หากไม่สามารถสืบพันธ์ได้นั้นก็ถือเป็นข้อบกพร่องของรหัสพันธุกรรมที่เกิดขึ้น อารมณ์เหมือนล่อที่เกิดจากลาผสมลอนั่นแหล่ะค่ะ ส่วนเรื่องทางศาสนานี่เป็นเรื่องพูดยากเพื่อมันแล้วแต่ความเชื่อจริง ๆ แต่เรายึดหลักตามวิทยาศาสตร์นะคะ ว่าไม่มีสววรค์ นรก เมื่อตายไปเราก็แต่เปลี่ยนสสารจากอีกอย่างหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง เรียกได้ว่า back to basic เลยค่ะ เพราะเมื่อรเาตายเราก็จะสลายกลายเป็นแก๊ส ส่วนที่ย่อยสลายก็กลายเป็นดินร่วน ๆ เหมือนเดิม

0
4 ก.ค. 63 เวลา 21:32 น. 5

ผมเคยสงสัยเรื่องการเกิดนะ ถ้าให้เป็นหลักวิทย์ก็ตามที่คุณพูดมาน่ะแหละว่าเกิดมาจากการที่พ่อ xx แม่ แล้วได้เราออกมา จากนั้นก็มีชีวิตเพื่อสืบพันธุ์เพื่อให้เผ่าพันธุ์ดำรงอยู่ ไม่สามารถไล่กลับไปถึงจุดเริ่มต้นของจุดประสงค์ของการกำเนิดเกิดขึ้นของมนุษย์ได้

.

ทีนี้พอมาหลักพุทธนะ ผมว่าศาสนาอาจให้คำตอบเราได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องพิสูจน์ให้ถึงแก่นจริงๆ นะ ไม่ใช่แค่ว่าคุณศึกษาหลักธรรมคำสอนมาซะดิบดี บริจาคทาน ช่วยเหลืองานกุศลโน่นนี่ แต่ไม่ได้ปฏิบัติเรื่องอย่างการเจริญจิตภาวนาที่ว่าเดินจงกรม - นั่งสมาธิ สวดมนต์ แผ่เมตตา ผมว่าก็ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการหาคำตอบที่แท้จริง

.

ผมเห็นหลายคนพูดโน่นพูดนี่ สงสัยนี่นั่นโน่นเกี่ยวกับพุทธศาสนา พูดว่าตัวเองเข้าใจแก่นแต่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติสักกะติ๊ด แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน แน่จริงก็ปฏิบัติให้รู้จริงซะสิ พิสูจน์มันเข้าไปสิ เอาให้หายคาใจเลย แล้วมาเล่าสู่กันฟังให้รู้โดยทั่วกันด้วย อย่ามาอ้างโน่นอ้างนี่ เอางี้นะ คุณลองเดินจงกรม-นั่งสมาธิวันละ 30 นาทีสักเดือนนึง (รายละเอียดของการอธิษฐานจิต การแผ่เมตตาจิต การบริกรรมนั้นมีหลักให้คุณนำมาปฏิบัติแบบเป็นกิจจะอยู่ ว่าง่ายก็หลักสูตรครูสมาธิของสถาบันพลังจิตตานุภาพน่ะแหละ ผมว่าหลักการเขาน่าสนใจดี ถ้าอยากศึกษาต่อก็รีเสิร์ชเอาได้ครับ)

.

ชักแม่น้ำมาตั้งมากมายสรุปแล้วท่านศาสดาของเราก็ไม่ได้อยากให้เราไปพิจารณาหาต้นตอของการมีอยู่ของการกำเนิดแต่ให้พิจารณาถึงการเวียน-ว่าย-ตาย-เกิดที่เราข้ามภพมาหลายชาติแล้วปลงมันซะ ดับมันซะหรือก็คือนิพพานนั่นเอง

.

ผมเคยลองไปฝึกปฏิบัติด้วยตัวเองแบบตัดขาดโลกภายนอกไปเลยที่วัดป่าแห่งหนึ่งในแม่ฮ่องสอนอยู่ 2 สัปดาห์ ผมทำครบเลยทั้ง ทำบุญ ถือศีล ภาวนา หลังจากที่ปฏิบัติไปสักระยะนึงในตอนนั้นผมก็เกิดปีติ ตอนนี้หมดความสงสัยในของศาสนาพุทธเราแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ฝึกต่อเนื่อง ลงท้ายก็กลับมาเละตุ๊มเป๊ะอย่างเดิม




3
KUsakul 4 ก.ค. 63 เวลา 22:03 น. 5-1

ว้าว ทำไมชีวิตช่างเหมือนผมนัก...

ผมเองก็เคยปฎิบัติอยู่ช่วงหนึ่ง และก็เหมือนคุณทุกประการ(ผมแค่เข้าญาญ4ได้เอง)ผมเลิกไปในที่สุด แต่มันยังส่งผลดีมายันปัจจุบัน

0
กินช้อน 4 ก.ค. 63 เวลา 22:47 น. 5-2
0
KUsakul 4 ก.ค. 63 เวลา 23:50 น. 5-3

ตอนนี้ผมตกลงมาอยู่จุดเดิมแล้วล่ะ......

0
peiNing Zheng 4 ก.ค. 63 เวลา 21:54 น. 6

น่าจะเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจของแต่ละคนนะคะ


คำตอบของใครของคนนั้นแหละค่ะ เป็นเรื่องเฉพาะตน มันคล้ายบทกวี "ฉันจึงมาหาความหมาย" น่ะนะ ถ้าคุณจขกท พบคำตอบแล้ว ย้อนกลับมาอ่านกระทู้นี้ อาจจะเหมือนตอนนี้ที่เรารู้สึกก็ได้ ^^

0
G.Tenju 4 ก.ค. 63 เวลา 23:46 น. 7

ขอตอบในแง่ศาสนาตามที่ศึกษาจากอาจารย์ทางธรรมมาแล้วกัน อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่าพุทธะไม่ได้สอนให้ทำดีเพื่อไปสวรรค์ แต่เป็น 'นิพพาน' ประมาณว่าหลุดพ้นจากทุกสิ่ง ไม่ลงนรก ไม่ขึ้นสวรรค์ ไม่เกิดเป็นอะไรทั้งสิ้น (ความอยากขึ้นสวรรค์นี่อีกแง่หนึ่งมันก็เจือกิเลสนะ)


ถามว่าหลุดพ้นไปเพื่ออะไร? อันนี้ให้ลองคิดเปรียบเทียบเหมือนเล่นเกมออนไลน์ เราเริ่มต้นจากเลเวล 1 สะสมประสบการณ์ไปเรื่อย...ใช้ชีวิตไปเรื่อย จนกระทั้งเวลตัน/เบื่อ/หมดเวลา(ตาย) แล้วย้ายไปเล่นเกมอื่น ลองจินตนาการเล่นๆว่าถ้าเราเสียความทรงจำทุกครั้งที่เปลี่ยนเกมมันจะเกิดอะไรขึ้น? เราก็จะติดอยู่ในลูป ติดอยู่ในวัฏสงสาร ทำสิ่งเดิมซ้ำๆทั้งที่มันควรจะหยุดได้แล้ว


แล้วกติกาที่คนเขียนเกมกำหนดไว้ เขาจะมีคะแนนบางอย่าง ถ้าเราทำให้คะแนนมันเป็น '+1' เยอะๆเราก็อาจได้เลื่อนขั้นจาก Player ไปเป็น NPC แต่ถ้ามันเป็น '-1' บ่อยๆก็อาจได้ไปสวมบท Monster แทน แต่ไม่ว่าจะสถานะไหน เราก็ยังเป็นตัวหมากที่อยู่บนกระดานเกมของคนอื่น สิ่งที่พุทธะค้นพบคือวิธีที่จะทำให้คะแนนของเรากลายเป็น 'Null' (โมฆะ ไม่มีค่า หรือจะตีความว่าเป็น 0 ก็ได้) ซึ่งมันเป็น Error ของระบบ ทำให้เราไม่ติดอยู่ในสถานะไหนเลย จึงไม่ต้องเกิดเป็นอะไรอีก


เลิกเป็น Player เลิกเป็น NPC เลิกเป็น Monster แล้วออกไปจิบน้ำชากับคนเขียนเกม

0
AppleGamer 5 ก.ค. 63 เวลา 00:08 น. 8

เกิดมาก็เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป

ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวอย่างไวรัส ไปจนถึงสัตว์ซับซ้อนอย่างมนุษย์

แตกต่างกันด้านวิธีการ

บ้างก็ตายเร็ว

บ้างก็ตายช้า

แต่ไม่ว่าทางไหน ก็ล้วนดิ้นรนอยากอยู่รอดกันทั้งนั้น

0
ผมเอง 5 ก.ค. 63 เวลา 02:51 น. 9

แมงโม้มากันเต็ม

ชีวิตมันคือการสืบพันธุ์ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอก เกิด ตาย วนเวียน ส่วนจะไปไหน ไม่รู้ เพราะที่ตายๆไป ไม่กลับมาบอกเลยว่า ดีหรือไม่ดี

0
NightNine 5 ก.ค. 63 เวลา 04:15 น. 10

อาจารย์เคยให้ทำหัวข้อนี้เขียนเป็นรายงานไปส่ง เราก็คิดแล้วเขียนตามที่คิด พอไปส่งปุ๊บ อ.บอกให้เขียนแนวคิดนี้โดยอ้างอิงกับบุคคลมีชื่อเสียง สุดท้ายก็ต้องเสิร์จเน็ต ซึ่งแนวคิดผู้มีชื่อเสียงแต่ละคนก็ใกล้เคียงกันแต่ก็แตกต่างกัน ปล.สุดท้ายนี้คอมเมนต์นี้ก็ไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า เกิดมาทำไม อยู่ดี

0
Crimson CRØW 5 ก.ค. 63 เวลา 11:17 น. 11

การเกิดมามันไม่มีอะไรพิเศษเลยครับ ไม่มีอะไรพิเศษนี่คือตรงตัวของมันเลย

"เกิดมาทำไม"

"ทำไมต้องเกิดมา"

สองคำนี้ไม่ใช่คำถามสำคัญที่ต้องไปสนใจ เพราะการเกิดของเราเป็นจุดประสงค์ของผู้ให้กำเนิด แถมสักวันหนึ่งเราก็ต้องกลายเป็นผู้ให้กำเนิดรุ่นต่อๆไป

แต่ที่คำถามที่สำคัญกว่าคือ "เกิดมาแล้วจะทำอะไร"


จะสร้างสิ่งดีๆ หรือทำสิ่งที่ผิด เป็นตัวเลือกแค่ 2 อย่างเท่านั้นเองครับ


ในทางศาสนา มันอาจเป็นกุศโลบาย ให้คนเกรงกลัวต่อการทำบาป(ทำผิด) เพื่อให้คนอยากทำความดีก็ได้ครับ

0
Fenixia 5 ก.ค. 63 เวลา 15:01 น. 12

ขอไม่ (พยายาม) ตอบคำถามว่าเราเกิดมาทำไม หรือใช้หลักของศาสนาใด ๆ มาตอบ เพราะแต่ละศาสนาเองก็ได้วางรากฐานมารองรับจุดกำเนิดและธรรมชาติของแต่ละสิ่งแตกต่างกัน และไม่มีอันใดที่พิสูจน์ได้ เราไม่สามารถจะบอกว่าภาวนากับพระเจ้าและเมื่อเราพบพระเจ้าในการภาวนานั้น พระเจ้ามีจริง เราไม่สามารถบอกว่าเรานั่งวิปัสนาแบบพุทธแล้วได้รับประสบการณ์บางอย่าง เป็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าในนิพพานได้รับ เพราะเราไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าจิตของเราไม่ได้หลอกลวงตัวเอง


เราเองก็เคยคิดว่าเกิดมาทำไม ทำไมเราจึงช่างแตกต่างจากสิ่งอื่นที่ปรากฏในโลกนี้ แล้วถ้าหากมันมีเพียงแค่เกิดมาตามธรรมชาติของการสืบพันธุ์แล้วสุดท้ายต้องตายไป และมีคนใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาอีก ความแตกต่างที่ทำให้คนเป็นคนจะมีมาทำไม ดังนั้น มันต้องมีจุดประสงค์บางอย่าง ในที่นี้ขอไม่กล่าวอ้างว่าเป็นจุดประสงค์ของพระเจ้าผู้สร้าง เพื่อให้เราได้กลับไปอยู่กับพระองค์ คนเราอาจจะมีหรือไม่มีผู้สร้าง (เจ้าของจุดประสงค์) ก็ได้


คิดเท่านี้ก็ถึงทางตันแล้วล่ะสำหรับเรา หากไม่ยกปรัชญากรีกมา ซึ่งก็เป็นความคิดอีกชุดหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือไม่ รากฐานของมันมาจากเปลโตและมาถึงเรื่องสิ่งสมบูรณ์แบบในอุดมคติ ได้แก่ ความจริง ความงาม และความดี สิ่งเหล่านี้คือลักษณะที่อยู่ในโลกหนึ่งที่แสดงตัวออกมาในโลกของเรา และมันต้องการที่อยู่ กล่าวคือ ความงาม แสดงตัวเองออกมาในศิลปะทั้งหลาย ความจริง แสดงตัวออกมาในความรู้และปัญญา ส่วนความดี ไม่มีที่ไหนที่มันจะแสดงตัวออกมาได้นอกจากในมนุษย์ ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อแสดงคุณค่าแห่งความดี (จริยธรรม) ตามแบบสัมบูรณ์ที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง (โลกแห่งแบบ) ออกมา ตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง มันก็แค่การเผยโฉมของคุณค่าแห่งจักรวาล


อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรบอกได้ว่าทั้งวิทยาศาสตร์ ศาสนา และปรัชญาจะถูกต้อง โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เรากล่าวมาเกี่ยวกับปรัชญานั่นเป็นแค่รากฐานปรัชญาตะวันตก ยังมีปรัชญาอื่น ๆ อีกมากมายที่มีแนวคิดเรื่องภววิทยาต่างกัน ดังนั้น คำตอบนี้ก็สุดแล้วแต่แต่ละบุคคลจะเลือกเชื่อด้วยตัวเอง


อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าจักรวาลคือมนุษย์ และมนุษย์คือจักรวาล และไม่ว่าจะตายและเปลี่ยนสภาพไปแบบไหนมันก็ย่อมจะเป็นเช่นนี้ และไม่ต้องมีอะไรให้ต้องห่วงกังวลกับที่ที่จะอยู่และความรู้สึกที่จะตามมา หากจะตอบคำถามว่า "เราเกิดมาทำไม" ก็ต้องตอบว่าเราไม่มีจุดหมายอะไรนอกจากใช้ชีวิตอย่างมีเสรีภาพไปจนกว่าจะตายละมั้ง

0
ผู้พิทักแผลงฦทธิ์ 5 ก.ค. 63 เวลา 19:21 น. 13

มุมมองของผมนะครับ คือไม่มีความหมายอะไรเลยครับ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาพร้อมกับจิตใจจึงทำให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำอะไรนอกเหนือสัญชาตญาณได้ จึงทำให้มนุษย์เปล่าเปลี่ยวและตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆไม่เหมือนกับสัตว์ที่ทำสิ่งต่างๆตามสัญชาตญาณ มนุษย์ชอบกะเกณฑ์สิ่งต่างๆและให้ความหมายกับสิ่งต่างๆไปเรื่อยๆ หรือถ้าพูดง่ายๆเหมือนกฎธรรมชาติที่หินตกลงมาจากที่สูงโดยแรงโน้มถ่วง มนุษย์เป็นคนค่อยๆเริ่มค้นหาความหมายของมันจึงเกิดเป็นกฎฟิสิกส์และเกิดศัพท์เฉพาะที่เราใช้กันมากมาย ทั้งที่ในมุมมองของสัตว์มันไม่ใช่สิ่งที่พิเศษไปมากกว่าหินตกลงมา พอมาถึงเรื่องของชีวิตที่มนุษย์ต้องตายในซักวันพอมนุษย์ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆถึงจุดนึงพอเริ่มคิดถึงความตายมนุษย์จะเริ่มมองหาความหมายของชีวิตเพื่อหาความหมายในการใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงวันสุดท้ายของชีวิต เพราะเริ่มรู้สึกว่าการใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆแบบเดิมไม่สร้างความพึงพอใจให้แล้ว ทั้งๆที่สัตว์ไม่เคยคิดถึงเรื่องความพึงพอใจเลยแค่ใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณและตายลงเท่านั้น มุมมองของผมจึงคิดว่าเป็นเพราะมนุษย์มีจิตใจและต้องเลือกทางเดินและความหมายเป็นของตัวเองเพราะชีวิตไม่ได้มีความหมายในตัวมันเองเลยแค่กฎธรรมชาติธรรมดา (ปล. ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้นไม่มีเจตนาชี้ผิดถูกแต่อย่างใด)

4
Fenixia 5 ก.ค. 63 เวลา 22:29 น. 13-1

เราเคยอ่านเรื่องสั้นชื่อ เท็ดดี้ เขียนโดย เจ. ดี. ซาลินเจอร์ เกี่ยวกับเด็กชายเท็ดดี้ อายุสิบขวบ เป็นเด็กที่รู้ตัวว่ากลับชาติมาเกิด แล้วชาติที่แล้วเขาเป็นคนที่ฝึกจิตจนได้ขั้นสูงแต่เพราะมีความรักจึงเลิกฝึกฝน ในชาตินี้เขาถูกจับตาโดยพวกศาสตราจารย์และถูกสัมภาษณ์ต่าง ๆ มากมาย


มีจุดหนึ่งที่เขาเสนอหลังจากผู้ชายถามว่า ถ้าเธอมีอำนาจเธออยากเปลี่ยนการศึกษาอย่างไร เท็ดดี้ตอบจุดหนึ่งที่น่าสนใจและสอดคล้องกับแนวคิดของคุณ คือ ล้างทุกอย่างออกไปจากสมองเด็ก ทุกชื่อเรียกของทุกสิ่งที่เคยได้รู้ ทุกเหตุผลและทุกความรู้สึก แล้วเมื่อนั้นความจริงที่เป็นอยู่จะปรากฏแก่เด็ก ๆ เอง


ใช่แล้วล่ะคนเราสวมแว่นตาที่มีฟิลเตอร์ชื่อว่าเหตุผล เราไม่มีวันตอบคำถามเหล่านี้ได้ และอภิปรัชญาทั้งหลาย (เช่นวัฏสงสารของพุทธะ พระเจ้าของเทวนิยม ฯลฯ) ก็เกิดมาเพื่อรองรับทฤษฎีของคนคิดนั้น ๆ ส่วนฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ที่มาจากการทดลอง ก็อีกยาวไกลกว่าจะตอบคำถามที่ละเอียดอ่อนและเป็นนามธรรมเช่นเรื่องของจิตได้

0
Menomy 5 ก.ค. 63 เวลา 23:52 น. 13-2

คำสอนของพุทธะ มาจากการทดลองนะ

และมันพิสูจน์ได้ด้วยจิตใจของผู้ปฏิบัติเอง


จิตใจมันยังมีความรู้สึก ที่เรายังไม่เคยได้รู้สึกอีกนะ แล้วหากเอาไปบอกใครอย่างเช่น รู้สึกปิติ แบบนี้คนที่ไม่เคยรู้สึกปิติมาก่อนจะเข้าใจได้อย่างไร? จะให้เขียนกราฟ สมการ เรียงความมาอย่างไร ก็ไม่มีใครเข้าใจ


นั่นเป็นเหตุให้การพิสูจน์นั้น มีแค่ทางเดียว คือ ปฏิบัติเอง


เรามั่นใจว่า พระพุทธเจ้าให้หนทางที่จะตอบคำถามเรื่องของจิต ได้ทั้งหมดแล้ว แต่มันยากที่จะไปถึง ซึ่งเราเองก็ยังไปไม่ถึง


ตอบในฐานะ คนที่เคยไม่เชื่อในเรื่องศาสนา เชื่อแต่วิทยาศาสตร์ เคยพูดว่าการปล่อยวางทุกอย่างของพระแล้วเอาแต่นั่งยุบหนอพองหนอก็เท่ากับ ชีวิตที่ไร้ค่า จะเกิดมาทำไม?

0
Fenixia 6 ก.ค. 63 เวลา 00:01 น. 13-3

ประเด็นคือถ้าว่ากันตามเรื่องศาสนา แต่ละศาสนาต่างก็อ้างว่าตัวเองผ่านการทดลองและมีประสบการณ์ทางศาสนาของตัวเองมาแล้วทั้งนั้น ทั้งนี้เราไม่อาจพูดได้ว่าใครถูกใครผิด อีกอย่างคือเราเองก็นับถือศาสนาเหมือนกัน จึงไม่ได้จะไปหักล้างคำสอนของใคร

0
ผู้พิทักแผลงฦทธิ์ 6 ก.ค. 63 เวลา 00:47 น. 13-4

ในมุมมองของผมไม่ได้สนใจว่าศาสนาไหนจริงหรือเท็จ แค่อยากเสนอมุมมองที่ผมแยก "ภาษา" ออกจาก "ธรรมชาติ" ผมเห็นด้วยเลยครับเรื่องที่ความคำว่า "ปิติ" ยังไม่สามารถถูกวัดค่าได้ในปัจจุบัน มนุษย์จะแปลความหมายของคำแต่ละคำตามแต่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ภาษาคืออักษรหรือเสียง แต่ธรรมชาติคือธรรมชาติ เราพยายามเอาคำหรือประโยคมาอธิบายสิ่งๆนึงให้เข้าใจตรงกันแต่อย่างไรก็ตามความเข้าใจแต่ละคนไม่ได้ตรงกันอยู่ดี ภาษาจึงใช้อธิบายบางอย่างให้เข้าใจตรงกันไม่ได้ต้องปฏิบัติและตีความเองผมเห็นด้วยครับ ส่วนประเด็นชีวิตไร้ค่าผมไม่ได้มองแบบนั้นซะทีเดียว คำถามแรกคืออะไรกำหนดความหมายของ "คุณค่า" ในปัจจุบันเงินตราถูกนับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าถูกกำหนดขึ้นโดยกลุ่มคนและสังคมเองก็ยอมรับมัน ชีวิตเองเคยถูกตีเป็นมูลค่าเมื่อหลายปีก่อนในฐานะคำว่า "ทาส" ถูกกำหนดคุณค่าจากความสามารถและรูปลักษณ์โดยเกณฑ์ของพ่อค้าทาสและลูกค้า ทีนี้ในปัจจุบันคุณค่าของชีวิตคนถูกกะเกณฑ์อย่างไร อันนี้พูดยากเพราะแต่ละคนเองมีการเลือกเกณฑ์เหล่านั้นอย่างอิสระทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม บางคนใช้เกณฑ์รายได้ ความนิยม ความสามารถ จำนวนคนที่รักคุณ หรือบางคนก็อาจใช้เกณฑ์ของศาสนา หรืออื่นๆ ดังนั้นต้องถามว่าคุณใช้เกณฑ์ไหนในการกำหนดคุณค่าและความหมายของชีวิต คุณค่าของชีวิตที่คุณมองผู้คนจะมาจากมาตรฐานของเกณฑ์เหล่านั้น ผมมองว่านี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนมองคุณค่าชีวิตของคนๆหนึ่งแตกต่างกัน บางคนคิดว่าคนๆนึงสมควรมีชีวิตอยู่แต่อีกฝั่งที่ใช้คนละเกณฑ์จะบอกว่าคนๆนี้สมควรตาย และเมื่อใช้กันคนละเกณฑ์จึงทำให้ 2 ฝั่งมักเถียงกันรุนแรงแต่จบด้วยการไม่ได้อะไรมากนัก (คหสต.)

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

ถูกลบโดยเจ้าของความเห็น

Loghutra 6 ก.ค. 63 เวลา 01:58 น. 15

คุณเกิดมาเพราะคุณไม่รู้เหมือนตอนคุณเกิดมานั่นแหละคุณยังไม่รู้เลยว่าเกิดมาได้ยังไง ซึ่งพุทธศาสนามีคำตอบอยู่แล้วคือ อวิชชา และตรงอาการอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นเกิดจากกรรมเป็นเผ่าพันธ์ เช่นคุณเป็นมนุษย์คุณคงไม่หลงรักเช่นผู้ชายชอบผู้หญิง แต่คุณคงไม่หลงรักสัตว์หรือสัตว์ก็คงไม่รักมนุษยื(ในแง่ของการสืบพันธ์)อย่างแน่นอน ซึ่งการเกิดมาของมนุษย์ทางวิทย์ก็อธิบายว่าเกิดจากไข่ ซึ่งถูกสรรพสิ่งเกิดจากไข่ เพราะจิตมันก็เป็นไข่(หากศึกษาเอาจะรู้) สัตว์ต่างๆจึงเกิดจากรูปร่างไข่ก่อนเป็นอันดับแรกแต่จะฝักในท้องนอกท้องนั้นอีกเรื่องดังนั้น ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนคงได้คำตอบแล้ว


ส่วนหากทางวิทย์ที่กำลังศึกษาธาตุที่เล็กกว่าโปรตรอน นิวตรอน อิเล็กตรอน ซึ่งทางวิทย์บอกว่ามันรวมมาจากความว่างซึ่งยึดเกาะด้วยสนามพลัง(อัตตา) เช่นคุณรู้สึกหรืออะไรก็ตามมันก็เป็นสนามพลังหมดแหละ เวลาจิตทุกข์กายก็ทุกข์เพราะมันทำงานคู่กัน จนกว่าคุณจะก้าวข้ามอัตตาและอวิชชาไปได้นั่นแหละจึงจะพบความจริงทั้งหมดเอง


ส่วนเอเลี่ยนจะสร้างหรือไม่นั้นคุณต้องถามเขาก่อนว่าพวกเขามีการตายหรือไม่ซึ่งหากมีแสดงว่ายังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดแต่แค่คนละโลก และคนละภูมิ เช่นสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์อยู่โลกเดียวกันแต่คนละภูมิ เช่นภูมิสัตว์น้ำสัตว์ที่เกิดจะหายใจและอาศัยใต้น้ำได้เป็นส่วนใหญ่ซึ่งมาจากหลักสัมปยุตาธรรม(จากบทสวดศพนั่นแหละ มันแปลว่า สภาวะธรรม(ชาติ)ที่เข้ากันได้)แต่หลายๆคนแปลภาษาไม่ออกหารู้ไม่ว่าพระสายปฏิบัตินี่แหละนักวิทยาศาสตร์ตัวจริง แต่ทางวิทย์ใช้อุปกรณ์ทางพุทธใช้จิตและสติเพราะรู้สึกกับรู้มันรับรู้ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว. และที่คนไม่เข้าใจเพราะภาษาสมัยก่อนกับภาษาสมัยนี้ไม่ตรงกัน ทำให้คนอ่านไม่รุ้เรื่องแล้วไปตีกันเอาเองว่าไม่จริง และในกรณีของคนที่พอมีสติหน่อยจะรู้ว่าเป็นอะไรมาเกิดเช่นการระลึกชาติแต่เขายังมีอัตตาจึงมาเกิดอีกนั่นแหละ


ด้วยเหตุว่าพุทธศาสนา(พุทธหมายถึงผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน) คือศาสนาที่ศึกษาสภาวะธรรม(กฏธรรมชาติ)มันจึงไม่ใ่ช่ปรัชญา(แนวคิด)แต่มันเป็นความจริงที่ใช้จิตและสติพิสูจน์(เพราะสมัยก่อนไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์แม้ปัจจุบันจะมีก็ยังถูกต้องทั้งหมดในหมวดสภาวะธรรม(กฏ/สภาวะธรรมชาติ)ทั้งมวล


ดังนั้นคุณท่านทั้งหลายคงเข้าใจแล้วว่าจริงๆแล้วพุทธศาสนาต่างกับศาสนาที่ใช้ความเชื่อยังไงนะครับ

1
FreudMs 7 ก.ค. 63 เวลา 19:26 น. 16

เกิดมาเพื่อเห็นแก่ตัว มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นแก่ตัวและดำรงเผ่าพันธ์เพื่อเห็นแก่ตัวครับ

0
Nyx 7 ก.ค. 63 เวลา 21:03 น. 17

บางทีโลกนี้อาจเป็นแค่ simulation ก็ได้ ถ้าวันหนึ่ง simulator ปิดทุกอย่างก็หายวับ


0