Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวติดทุนฮ่องกง + เตรียมตัวสอบ IELTS Academic ยังไง

ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีทุกคนน ชื่อโตนนะครับ ตอนนี้เราได้รับจดหมายยืนยันแล้ว! ว่ามีสิทธิศึกษาคณะ Data Science, City University of Hong Kong และได้รับทุนการศึกษาเต็มจำนวน ตอนแรกมีน้อง ๆ ทักมาถามรายละเอียดทุนฮ่องกงกันหลายคน แต่หลังจากทำโพลแล้ว ก็ตัดสินใจเลยว่าทำรีวิวดีกว่า มีคนสนใจเยอะม้าก ทั้งน้อง เพื่อนและพี่ วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังว่า ทุนนี้คืออะไร สมัครยังไง ยากไหม ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง และจะเน้นโดยเฉพาะเรื่องการสอบ IELTS นะะ
*Note* เนื้อหานี้มีความยาวมากก ค่อย ๆ อ่าน อย่าเพิ่งท้อนะ55555 เราว่ามันเป็นประโยชน์กับทุกคนมาก ๆ เลย

ก่อนอื่นเนี่ย เราอยากจะบอกว่าจริง ๆ แล้ว ทุนของมหาวิทยาลัยต่างประเทศในแต่ละประเทศ ส่วนใหญ่แต่ละมหาวิทยาลัยจะมีการพิจารณาทุนอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ฮ่องกง แต่ประเทศอื่น ๆ เช่น นิวซีแลนด์ อังกฤษ อเมริกา มหาวิทยาลัย Top ๆ ของโลกก็มีการพิจารณาการให้ทุนกันหมดเลยตั้งแต่ระดับปริญญาตรี แต่ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละมหาวิทยาลัยว่า ต้องจบอะไรมาเป็นพิเศษ หรือมีผลการทดสอบอะไรตรงตามเงื่อนไขเค้ามั้ย ซึ่งมหาวิทยาลัยที่เราสามารถให้ข้อมูลได้ค่อนข้างละเอียด ณ ตอนนี้ก็คือ City University of Hong Kong (อันดับ 52 ของโลก อ้างอิงตาม QS) และ The University of Hong Kong (อันดับ 25 ของโลก อ้างอิงตาม QS) ซึ่งเรามีประสบการณ์ในการยื่นทุนทั้งสองสถาบัน และได้ทุน full ทั้งสองที่เลย (ทุนครอบคลุมค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน แต่ไม่ครอบคลุมค่าครองชีพ) แต่ เราเลือก CityU ไปเพราะว่าได้ทุนของคณะที่ชอบมากกว่า(BSc DataScience)
ลืมแนะนำตัวไปเลยว่า เรามาจาก กลุ่ม รร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณ นะฮะ โดยทุนของ CityU เนี่ยเนื่องจากนักเรียนจุฬาภรณฯ มีสิทธิได้รับการพิจารณาแยกส่วนอีกทีนึง เพราะกลุ่มรร.จุฬาภรณฯ ได้ทำ MOU (Memorial of Understanding) กับ CityU ไว้ว่าในแต่ละปี กลุ่มจุฬาภรณฯจะเสนอชื่อผู้ที่จะเข้ารับทุนไปให้ทาง CityU พิจารณา โดยทุนจะมี 3 ประเภท

  1. Top Scholarship ทุนครอบคลุมค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน และค่าครองชีพบางส่วน (HK$180,000)
  2. Full Scholarship ทุนครอบคลุมค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน (HK$140,000)
  3. Half Scholarship ทุนครอบคลุมค่าเล่าเรียนครึ่งหนึ่ง (HK$9,000)

โดยพิจารณาอันดับ Percentile คะแนน O-net ระดับประเทศ เฉลี่ยรวมกัน 4 วิชา ไม่นับภาษาไทย สำหรับ Top จะต้องได้ Percentile เฉลี่ยอยู่ที่ 99-100% Full ต้อง 97-98.99% และ Half ต้อง 96-97.99% นอกจากนี้ไม่มีสิทธิได้รับการพิจารณาทุน   ทุนนี้เราจะได้ตลอด 4 ปีที่อยู่ที่นี่เลยจ้า ถึงจะดูเกณฑ์สูงแต่ถ้าเทียบกันจริง ๆ แล้วมันไม่ได้สูงขนาดนั้นนะ อย่าเพิ่งตกใจ เปอร์เว็นไทล์ 99 คะแนนอาจจะแค่ 50 เต็มร้อยก็ได้ต้องดูตามสถิติในประเทศ เช่นของเรา O-net เลขได้ 67.5 ก็ได้เปอร์เซนไทล์ 99.03, วิทย์ได้ 58.5 แต่เปอร์เซนไทล์ 99.47, สังคม 54 แต่เปอร์เซนไทล์ 98.14 เป็นต้นนน
นอกจากนี้ยังมีทุนอื่น ๆ ในมหาลัยเช่น ทุน Diversity grant จะให้กับนักศึกษาต่างประเทศโดยมีเงื่อนไขต้องเข้าร่วมกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยกำหนด (คนที่ได้ทุน Top Scholarship ไปแล้วไม่มีสิทธิได้รับ)  แต่สำหรับ HKU เราไม่ค่อยรู้เกณฑ์การพิจารณาทุนเท่าไหร่ แต่ว่าที่นี่ก็ต้องให้ผลการทดสอบ O-net กับเค้าด้วยเหมือนกัน

 การสอบ O-net
สำหรับการสอบ O-net ส่วนตัวเราว่าการทำคะแนนเฉลี่ยให้ได้ตามเป้าไม่ได้ยากขนาดนั้น นี่ใช้เวลาในการอ่าน O-net รวมวันหยุด วันขี้เกียจ แล้วประมาณ 2 เดือน ตั้งแต่ประมาณต้นเดือนมกราคม โชคดีที่เราไม่จำเป็นต้องใช้คะแนน Gat Pat 9 วิชาสามัญ นี่เลยโฟกัสไปที่ O-net อย่างเดียวเลยตลอด 2 เดือน (เพราะติดรอบ Portfolio สำรองเอาไว้แล้วเลยไม่ต้องสอบอย่างอื่น) Plan อ่านของเราคือ เอาจริง ๆ 2 เดือนก่อนสอบ ถือว่าช้ามากแล้วนะสำหรับการเก็บคะแนนสูงจริง ๆ ดังนั้นเราเลยต้องคิด plan สำหรับเราเองขึ้นมาที่มีประสิทธิภาพที่สุด นั่นคือการแก้ไขจุดที่อ่อนของตัวเองที่สุดก่อน สำหรับเราก็คือ สังคม เราใช้เวลาไปกับการทบทวนสังคมมากที่สุดในบรรดา 4 วิชา ส่วนวิชาที่เหลือทบทวนวนไปสักรอบสองรอบ โดยส่วนตัว คณิต วิทย์ อังกฤษของ O-net คิดว่าเนื้อหาไม่ได้ลึก เลยอ่านคร่าว ๆ หลังจากนั้น ลองทำโจทย์ปีก่อน ๆ แล้วตรวจดูว่าเราผิดเรื่องไหน แล้วแก้ไขทบทวนเฉพาะเรื่องนั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด แนะนำว่า ให้ลองสังเกตว่าเราถนัดอะไรที่สุด ไม่ถนัดอะไรที่สุด แล้วจัดสรรการทบทวนให้ดี สุดท้ายเราก็ได้ผลออกมาเกือบหลุดทุน Full ไปเหมือนกัน5555 ทางที่ดีควรเริ่มทบทวนตั้งแต่ ขึ้นครึ่งเทอมหลังช่วงพฤศจิกายนเลยด้วยซ้ำ จะทำให้เรามีเวลาถึง 4 เดือนก่อนสอบ

การทดสอบภาษาอังกฤษ
นอกจากนี้ หนึ่งในเกณฑ์การพิจารณาทุน และการเข้ารับการศึกษานั่นก็คือ การทดสอบภาษาอังกฤษ ซึ่งมีการทดสอบที่สามารถยื่นได้เยอะมากแต่เว็ปไซต์นี้ https://www.admo.cityu.edu.hk/intl/international/entreq/ เป็นเกณฑ์ของ CityU เท่านั้นนะ สำหรับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่จะต้องการผลอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกัน เช่น IELTS Overall above 6.5 (each skills above 6) เป็นต้น ซึ่งสำหรับเราเป็นอะไรที่โหดพอสมควร เพราะเราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน แต่ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ โดยทั้ง CityU และ HKU จะให้ยื่นผลการทดสอบประมาณก่อนช่วงมกราคม ถ้าคะแนนยังไม่ถึง ยังสามารถยื่นได้ถึงจนกว่าจะถึง 31 กรกฎาคมเลย ***แต่การประกาศผลทุนก็จะล้าช้าไปตามความล้าช้าของเราด้วย

การสอบ IELTS
                เอาหละมาถึงหัวข้อที่หลาย ๆ ท่านรอคอย5555 นั่นก็คือการสอบ IELTS นั่นเอง ก่อนอื่นขอเล่าประสบการณ์ก่อน ใครที่อยากอ่านเทคนิคการเตรียมตัวสอบเลย ข้ามไปอ่านหัวข้อถัดไปได้เลยจ้า สำหรับเราเรียกได้ว่ากินเวลายืดเยื้อยาวนานถึงหนึ่งปีเต็ม เพราะว่าสอบครั้งแรกไปแล้วแต่ไม่ถึงเกณฑ์555555 โดยการสอบครั้งแรกเราใช้เวลาเตรียมตัวไปประมาณ 4 เดือน (จริง ๆ แค่เดือนสุดท้ายที่เรียกได้ว่าอ่านจริงจัง) เราเริ่มทำความรู้จักเริ่มฝึกตัวเอง ช่วงเดือนกรกฎาคม ของปีก่อนเข้าเรียน ช่วงนั้นที่ รร. มีติว IELTS ให้ตลอดทั้งเดือนทุกวัน จันทร์-พุธ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้จริงจังกับมันมาก เรียนจบก็คือเลิกกันไป นี่เลิกกับมันถึง 2 เดือน55555555 (สิงหา+กันยา) เพราะว่ามีอีเว้นท์เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งงานรุ่น งานโครงงาน สอวน. สอบปลายภาค ส่งพอร์ท เรียกได้ว่าวุ่นวายขั้นสุด จนได้มีเวลาจริง ๆ คือก่อนสอบ 1 เดือน ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมเล็กด้วย เลยใช้เวลานั้นไปลงเรียนที่ Angkriz ของพี่ลูกกอล์ฟ ซึ่งก็สามารถทำให้นี่มีความรู้ในหัวสมองเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก เรียนยังไม่ทันจบ ถึงเวลาที่เราต้องสอบละ ไม่มีการทบทวนอะไรทั้งนั้น หลังจากนั้นสองสัปดาห์ผลที่ออกมา ได้ 6 ทุก skills ยกเว้น writing ได้ 5.5 ตอนนั้นแทบทำให้นี่ตัดสินใจว่าจะเรียนที่ไทย แทนมั้ย ตอนนั้นเรารู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่าเราทำได้ดีกว่านี้ เรายังไม่ได้ทบทวนเต็มที่ขนาดนั้นเลย พอมาถึงธันวาคม ฤดูแห่งการติดรอบพอร์ท ทุกคนล้วนรังสรรค์พอร์ทตัวเองส่งไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เราถึงนี่ด้วย5555(ใครอยากได้เทคนิคการทำพอร์ตเพิ่มเติมดูได้ที่ลิงค์นี้เลยฮะ https://www.dek-d.com/board/view/3983409/ ) ซึ่งที่ CityU และ HKU ก็เช่นกัน(ตอนนี้เราใส่คะแนน IELTS เก่าไปก่อน) หลังจากเราติดรอบพอร์ทได้มหาวิทยาลัยในไทยสำรองไว้แล้ว มรสุมการสอบ O-net Gat Pat ก็กำลังใกล้เข้ามา ตอนนั้นคุยกับตัวเองว่า ลองฮึบสอบอีกสักรอบดูมั้ย ให้ผล O-net เป็นตัวตัดสินว่าจะไปเรียนไทยหรือฮ่องกง หลังจากนั้นเราก็วาง plan อ่าน O-net เหมือนที่เขียนไว้ด้านบนเลยจ้า

หลังจากที่ผล O-net ออกมาเหมือนตอกย้ำกับเราว่าเราทำได้และยังพอมีหวัง ความคิดที่ว่า เราจะทำมั้ย พอแค่นี้มั้ย เรียนในไทยก็ได้ เริ่มวนกลับเข้ามาในหัว แต่เราก็สลัดมันทิ้งไป พร้อมกับท้าทายศึกตัดสินสุดท้ายสำหรับ IELTS อีกครั้ง หลังจากปัจฉิมรับใบจบที่ รร.ไป เวลา 4 เดือนหลังจากนี้ให้สำหรับ IELTS เท่านั้น สารภาพว่าเดือนแรกอ้อยอิ่งมากกก แบบมันเหนื่อยจากการรบกับระบบการศึกษาไปหมด เราอยากพักเหมือนคนอื่น ๆ แล้ว ตอนนั้นกว่าจะกู้ตัวเองกลับมาได้ก็ยากพอสมควร ท้อไปหลายรอบ แล้วช่วงปลายเดือนเมษายน ก็มีอะไรไม่รู้มาจุดฉนวนให้ อยากลุกมาทบทวนทุก ๆ วันได้ ช่วงนั้นเราอ่านทุกวันแบบทั้งวันเลย เช้าบ่ายก่อนนอน เท่าที่เป็นไปได้ ตอนนั้นนี่บอกกับตัวเองว่า เราไม่อยากผิดหวังแบบนั้นอีกแล้ว แล้วครั้งนี้ก็ต้องทำให้ได้ ครั้งนี้เราฝึก ทำข้อสอบเก่าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าน่าจะได้ถึง 7 แน่ ๆ เพื่อความชัวร์ และเวลาก็ได้ล่วงเลยว่าจนถึง ปลายเดือนมิถุนายนของปีที่จะเข้าเรียน เราก็ตัดสินใจไปสอบ พกความมั่นใจไป แต่! ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว ความมั่นใจที่เราพกไปมันมาพร้อมกับความกดดัน ความกลัว ความคาดหวังจากตัวเอง เหมือนเราแบกโลกไว้ทั้งใบในขณะที่สอบอยู่ ทั้งอยากไปเข้าห้องน้ำ อยากกินน้ำ มีสิ่งรบกวนเต็มไปหมดระหว่างการสอบ หลังสอบเรารู้สึกว่าเราทำได้ดีกว่านี้ ตอนนั้นเครียดอยู่สองสัปดาห์กว่าผลจะออก และในที่สุดผมก็ทำได้ครับ 6.5 แล้วจ้าาา ขอบคุณที่ตัวเองฝึกจนคิดว่าต้องได้เกินเท่านั้นก่อนจะไปสอบ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความกดดันหมดทุกคนนะครับ อาจจะเป็นเฉพาะเราก็ได้ เราเลือกที่จะ play safe ดีกว่าไปเสี่ยงดวง

ขอต่อในคอมเมนต์นะครับสำหรับการเตรียมตัวอ่าน IELTS  ยาวม้ากก

(สามารถติดตามเข้ามาเป็นกันได้ใน Linkedin นี้เลยย : https://www.linkedin.com/in/t-touch-tone-pattaravarodom-2a47791b0/ 
หรือติดตาม Blog ใหม่ๆ ได้ที่ Medium เลยย:   https://medium.com/@toneychopp)

แสดงความคิดเห็น

>

10 ความคิดเห็น

toneychopp 16 ก.ค. 63 เวลา 15:01 น. 1

เทคนิคการเตรียมตัวสอบ IELTS

เอาหละสำหรับเทคนิคการเตรียมตัวสอบ IELTS ต้องบอกว่ามันไม่มีเทคนิคที่ work กับทุกคนแน่นอน พื้นฐานของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นก่อนการเตรียมตัวสอบเลยคือ

1.ประเมินความสามารถ จุดแข็งจุดอ่อนของเราให้ชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าเราควรใช้เวลาไปกับอะไรมากกว่า หรือน้อยกว่า ถ้าใครอยากรู้ระดับความสามารถของเราจริง ๆ แนะนำให้ไป mock test IELTS ก่อนก็ดีครับ จะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเราอยู่ระดับไหน

2.ทำความรู้จักข้อสอบว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่ละพาร์ทมีเทคนิคอะไร ศึกษา criteria ศึกษา pattern ของข้อสอบ ซึ่งมีจำกัดครับ ก่อนฝึกเราควรรู้ข้อสอบทั้งหมดว่าเราจะเจอกับอะไรบ้าง เพื่อความเคยชิน ลดความตื่นตระหนกและเพิ่มความสามารถในการบริหารเวลา

3.วางแผนการฝึกให้ชัดเจนว่าเราจะใช้เวลาเท่าไหร่ จะสอบช่วงไหน ต้องทำยังไงเพื่อให้ได้ตามคะแนนตามเป้าหมาย เทคนิคการตั้งเป้าหมายของเราคือตั้งให้สูงกว่าที่จำเป็น(ในกรณีที่มีเวลาฝึกนะครับ) เป็นการ play safe ที่สุดนะสำหรับเรา

4.ก่อนฝึกฝนทั้งหมดเราควรทบทวน basic ภาษาอังกฤษที่จำเป็น ตึกที่มั่นคงจำเป็นต้องมีฐานที่แข็งแรง ดังนั้นก็ปูพื้นฐานให้แม่นจะทำให้เราไม่พลาดกับเทคนิคที่ advance ขึ้นในแต่ละ skill เราจะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาแก้ไขข้อผิดพลาดง่าย ๆ ที่อาจทำให้เสียคะแนนได้ เช่นที่เรามักจะผิดบ่อย ๆ เลยก็คือ tense, article, vocab, โครงสร้างประโยค compound complex ตั่งต่าง, รูปแบบของประโยคต่างตั่งต่าง, คำเชื่อม fillers, transition words, punctuation, grammar, pronunciation, etc. (เดี๋ยวจะแนะนำในราย skills อีกครั้ง)

ในส่วนของการเตรียมตัวสอบขอแยกเป็น 5 หัวข้อ: Listening, Reading, Writing, Reading, และ Overall นะครับ pattern ของข้อสอบสามารถหาอ่านได้ทั่วไปเลยนะไม่ข้อขยายในนี้เพราะมันจะยาวมากกก แต่ที่จะมาบอกในวันนี้ก็คือ Tricks ในการเตรียมตัวแต่ละ part เทคนิคของเราที่มีทั้งแบบ passive ซึ่งหมายถึงการฝึกแบบไม่ต้องทำข้อสอบจริง ๆ ก็สามารถเพิ่มทักษะได้ และ active คือการฝึกกับข้อสอบจริง ๆ หาข้อผิดพลาดของตัวเอง


-Listening:

passive ของ skill นี้คือการฟังภาษาอังกฤษบ่อยทุกวัน ๆ โดยการ set environment ให้เราได้ฟังภาษาอังกฤษมากที่สุด ที่แนะนำคือการฟัง podcast (เช่น แอพ BBC learning English) หรือการดูคลิปใน youtube เป็นภาษาอังกฤษ หรือฟังบทสนทนา ฟังหนังภาษาอังกฤษ ในระดับเริ่มต้นก็เช่น Peppa Pig ส่วนในระดับปานกลางถึงสูงก็เช่น Sherlock holmes เป็นต้น ค่อย ๆ ฝึกไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เปิดซับไปจนถึงเร่งความเร็วของคลิป แต่ต้องมั่นใจด้วยนะว่าเรารู้เรื่องจริง ๆ ถ้ามันเร็วเกินไป หรือแปลไม่ออกให้เปลี่ยนเป็นเปิดซับหรือลดความเร็วลงก่อน ไม่อย่างงั้นเราจะไม่ได้ฝึกอะไรเลย, การฝึกวิธีนี้ทำให้เราไม่เครียดเพราะสิ่งที่เราฟังมันเป็นสิ่งที่เราสนใจและใกล้ตัวเรา ควรฝึกในเวลาพักผ่อน เวลาว่าง ๆ เราจะได้เรียนรู้แบบ passive ไปในตัว ถัดมาการฝึกแบบ active คือการทำข้อสอบจริง เทคนิคในการทำข้อสอบพาร์ทนี้ คือการอ่านโจทย์ให้แตกว่าส่วนที่ blank หรือสิ่งที่โจทย์ต้องการให้หาคำตอบคืออะไร ขั้นตอนนี้เราต้องเข้าใจโจทย์อย่างถ่องแท้ในเวลาที่คลิปให้เราอ่านโจทย์ประมาณ 30 วินาทีหรือน้อยกว่านั้น

1.เราต้องหา keyword ว่าโจทย์ให้หาอะไรเช่น อาจจะมีคำว่า year, then, first, what, where, when, why หรือ who เป็น keyword บอกว่าเราต้องฟังเพื่อหาอะไรเป็นต้น

2. การคาดคะเนคำตอบ คำตอบมีหลากหลายรูปแบบทั้ง noun, verb, adj., adv., Gerund, etc. ซึ่งเราสามารถดูโครงสร้างประโยคและ mark ไว้เป็นตัวใบ้ให้เราได้ว่าเราจะต้องฟังเพื่อหาอะไร *ข้อควรระวังคือคำตอบนั้นอาจจะไม่ใช่ part of speech ที่เราตามหา อย่าปักใจเชื่อสิ่งที่ตัวเองกำลังตามหาเท่านั้น เพราะนั่นจะทำให้เราหลุดจากคำตอบจริง ๆ ได้ บางครั้งคำตอบมาในรูปแบบของ synonym ในโจทย์ให้ฟังดี ๆ (โดยเฉพาะในโจทย์ประเภท multiple choices)

3. เทคนิคที่สำคัญที่สุดก็คือ “สติ” listening จำเป็นต้องใช้สติตลอด 30 นาทีของการสอบ ห้ามหลุดเด็ดขาด คำตอบสามารถอยู่ได้ในทุกส่วนของเทป ดังนั้นการจดจ่ออยู่เพียงแค่การฟัง และการหาคำตอบเป็นสิ่งที่สำคัญมากของ part นี้

4.สุดท้ายแล้วหลังจากตรวจคะแนน เราต้องหาข้อผิดพลาดของเราเพื่อจดจำและแก้ไข หาสาเหตุว่าอะไรทำให้เราพลาดจากการฟังเช่น ความเข้าใจผิด, s/es, ฟังไม่ทัน, ไม่เข้าใจ, ไม่มีสติ, อ่านโจทย์ไม่แตก, โดนหลอก เป็นต้น เพื่อให้เราหลีกเลี่ยงการทำพลาดซ้ำในการฝึกครั้งหน้า


-Reading:

passive ของ part นี้คล้าย ๆ กับ listening คือการ set environment การอ่านของตัวเองให้อ่านแต่เฉพาะ article ภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นการอ่านข่าวจาก National Geographic; https://www.nationalgeographic.com/ , BBC News; https://www.bbc.com/news , Science News; https://www.scientificamerican.com/ เป็นต้น ผลลัพธ์ที่ได้คือการคุ้นชินกับสำนวนของการเขียนของภาษาอังกฤษมากขึ้น รู้ว่าส่วนไหนคือใจความสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลดีไปถึง Writing ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เราจะได้คำศัพท์ใหม่ ๆ ทุกวัน ถึงแม้จะลืมๆไปบ้าง แต่เราจะได้รู้ว่าคำศัพท์นี้ใช้ในสถานการณ์ไหนจริง ๆ และแน่นอนว่า active ก็ต้องเป็นการหมั่นทำโจทย์นั่นแหละครับ ทริคของเราคือ

1.การแบ่งเวลาระหว่าง passages ในเวลา 60 นาที เราต้องอ่านทั้งหมด 3 passages แนะนำว่าควรแบ่งเวลาในการทำเป็น 15:20:25 นาทีเพราะโดยส่วนใหญ่โจทย์ละไล่ลำดับความยากจากน้อยไปมาก (ไม่เสมอไป)

2.เมื่อเริ่มอ่านให้ใช้เวลาปรายตา scan ไปทำความเข้าใจ passage ทั้งหมดว่าเกี่ยวกับอะไรไม่เกินประมาณ 10 วินาที ก่อนจะมูฟออนไปอ่านโจทย์ของ passage นั้น *อ่านทั้งหมดนะครับเพราะบางครั้งโจทย์ไม่ได้เรียงลำดับคำตอบใน passage คำตอบอาจจะกระโดดไปกระโดดมาใน passage ได้ ดังนั้นการรู้โจทย์ทั้งหมดก่อนหาคำตอบจะช่วยได้มากในกรณีที่คำตอบไม่ได้เรียงกัน (แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเรียงลำดับนะ) หลังจากอ่านโจทย์แล้วให้ list keyword ว่าโจทย์ต้องการให้หาอะไร มีข้อความอะไรสำคัญ ๆ ในโจทย์มั้ยเช่น names, places, dates, number, ชื่อเฉพาะที่เป็นตัวพิมพ์ใหญ่ ที่สามารถหาได้ง่าย ๆ ใน passage

3. เริ่มทำโจทย์ประเภทเติมคำตอบ, multiple choices, จับคู่ข้อมูลหรือชื่อ ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะโจทย์ประเภทนี้มี keyword ให้เรานำไป scan หาใน passage เทคนิคที่สำคัญคือเมื่ออ่าน passage และ match บริเวณที่ keyword อยู่กับโจทย์ได้แล้ว จึงค่อย ๆ ลด speed การอ่านของเราลง แล้วเพิ่มการรับรู้ให้มากขึ้น หาว่าคำตอบของเราอยู่ตรงไหน มีความเป็นไปได้ว่าคำตอบอาจจะอยู่ได้ทุกที่ในย่อหน้านั้น แต่การอ่านทุกตัวอักษรคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ดังนั้นในการหาคำตอบเราต้อง ignore ข้อมูลที่ไม่จำเป็น หรือข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับโจทย์ออกไป และข้ามไปอ่านส่วนที่โจทย์ต้องการแทน จะช่วยให้เราประหยัดเวลาได้มาก

4. เทคนิคในโจทย์ประเภท multiple choices คือการตัด choices, โดยส่วนมาก ตัวเลือกไหนที่กล่าวแบบสุดโต่งมักจะผิดเช่น always หรือ never เพราะในความเป็นจริงเราจะพบเจอสถาณการณ์พวกนี้ได้น้อยมาก นอกจากนี้ข้อควรระวังคือ ในแต่ละตัวเลือกมักจะมี keyword อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ปรากฏอยู่ใน passage ที่เราอ่านด้วย ดังนั้นอ่านให้เคลียร์ก่อนว่าโจทย์ถามถึงอะไร และคำตอบคืออะไร

5. นอกจากนี้ ในโจทย์ประเภท writer’s view, True/False/Not Given, และ Yes/No/Not Given ให้สังเกต transition words ให้ดีว่าประโยคเขียนขัดแย้งกัน หรือคล้องจองกันมั้ย คำเชื่อมจะช่วยได้มาก โจทย์ประเภทนี้ต้องอ่าน passage ให้แตก, True/Yes คำตอบจะต้องตรงตามที่โจทย์บอกเท่านั้น, False/No คำตอบจะพูดตรงข้ามกับโจทย์ ถึงแม้คำตอบจะมี keyword ที่เราตามหา, ในกรณีที่มี keyword ที่เราตามหา แต่ใจความไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นจะถือว่าเป็น Not Given ทันที สิ่งที่ต้องระวังอีกคือ Synonym เพราะคำตอบอาจจะปรากฏออกมาในโครงสร้างประโยคอื่น ๆ ได้

6.โจทย์ประเภทหา Main ideas, จับคู่ข้อมูลกับย่อหน้า ควรจะทำเป็นอย่างสุดท้าย เพราะจะช่วย safe เวลาได้มากจากการทำโจทย์ประเภทอื่นมาก่อนแล้ว ทำให้เรารู้คร่าว ๆ ว่าแต่ละย่อหน้าพูดถึงเรื่องอะไร หรือ main idea ควรจะเป็นอะไรโดยที่ไม่ต้องเริ่มอ่านใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้ใจความสำคัญมักจะอยู่บริเวณที่เป็นคำที่กล่าวซ้ำ ๆ ในประโยค, ประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของย่อหน้านั้น ๆ มักจะเป็นใจความสำคัญทั้งหมดของย่อหน้า การอ่านแค่ประโยคแรกและประโยคสุดท้ายจะช่วยให้หา Main idea ได้ง่ายขึ้น

7.เมื่อทำโจทย์เสร็จแล้ว ตรวจและให้คะแนนเช่นเดียวกับ listening เราต้องหาข้อผิดพลาดของเราเพื่อจดจำและแก้ไข หาสาเหตุว่าอะไรทำให้เราพลาดจากการอ่านเช่น ความเข้าใจผิด, อ่านโจทย์ไม่แตก, ไม่เข้าใจ, ไม่มีสติ, โดนหลอก, หา keyword ไม่เจอ เป็นต้น เพื่อให้เราหลีกเลี่ยงการทำพลาดซ้ำในการฝึกครั้งหน้า


-Writing:

passive ของการเขียนอย่างที่บอกไปใน reading ว่าการอ่านสามารถช่วยได้ในการเขียนเช่นกัน แต่การพัฒนาส่วนใหญ่ของการ writing สำหรับเราคือแบบ active หรือการฝึกเขียนจริง ขอแนะนำว่าก่อนจะฝึกเขียนจริง ควรศึกษา form การเขียน, vocabที่จำเป็น, และพื้นฐานภาษาอังกฤษอื่น ๆ มาให้แม่นที่สุดก่อน แล้วจึงค่อยมาฝึกเขียน

ประเภทของโจทย์ writing task 1 มีจำกัดอยู่ 7 ประเภท และ Task 2 มีอยู่เพียงแค่ 5 ประเภทเท่านั้น ดังนั้นการทำความเข้าใจและจดจำรูปแบบของโจทย์สำหรับเราเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง ส่วนการแบ่งเวลาใน 60 นาทีเนี่ย 20 นาทีควรใช้ไปกับ Task 1 ก่อนและ 40 นาทีต่อมาควรจะใช้ไปกับ Task 2 เวลาอาจจะบวกลบเล็กน้อยได้ตามความเหมาะสมและความถนัดส่วนตัว

เทคนิคในการพิชิต writing แต่ละ Task เราควรจะแบ่งการเขียนออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ การวางแผน,การเขียน,และการตรวจ ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดสำหรับเราอยู่ที่เราวางแผนจ้า เพราะมันเป็นตัวกำหนดการเขียนของเราทั้งหมด ยิ่งวางแผนได้เท่าเคลียร์ไหร่ ยิ่งทำให้การเขียนเร็วขึ้นเท่านั้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การท่องจำ คงจะเป็นทริคที่ดีที่ วิธีนี้ได้ผลดีกับคนที่ไม่ต้องการใช้เวลานานในการฝึก เก็งข้อสอบเข้าไปเลย จำ pattern ในการเขียนแล้วเข้าไปเขียนเลย แต่จะส่งผลเสียในระยะยาวเพราะไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์แนวอื่น ๆ ได้ดีเท่าที่ควร ทั้งสอง task สามารถฝึกฝนได้ทั่วไปจาก Internet หรือ Youtube(แนะนำ) เช่นข่อง E2 IELTS; https://www.youtube.com/channel/UCglDIsg_Z9mE2oT9hsrbzFA , Fastrack IELTS; https://www.youtube.com/channel/UCRA4UOCBRgv2w9b59pDMyvQ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่เค้าจะแนะนำ Vocab ที่น่าสนใจ, Form การเขียน, โครงสร้างการเขียนพื้นฐานต่าง ๆ ไว้เยอะมาก ๆ

form ที่เราเห็นบ่อยมาก ๆ สำหรับ Task 1 คือ Intro>Overall>Topic1>Topic2 สำหรับ Task 2 คือ Intro> Topic1>Topic2>Conclude ซึ่งใน MainIdea ก็นิยมเรียงลำดับการเขียนด้วยการเริ่มด้วย Topic แล้วค่อยเขียน MainIdea แล้วก็ขยายความ (Expanding) หลังจากนั้นให้ยกตัวอย่าง (Example) อาจจะปิดท้ายด้วยการเขียน MainIdea อีกหัวข้อหนึ่ง ดูซับซ้อนใช่มั้ย5555 เราคิดว่าถ้าไปดูคลิปใน Youtube จากแหล่งด้านบนที่ให้ไว้น่าจะเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมมาก

สิ่งที่พิเศษและท้าทายอีกอย่างหนึ่งของ writing ก็คือเราไม่มีทางรู้คะแนนเองได้ ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นช่วยเรา comment ตรงนี้แนะนำสองวิธีคือ 1.จ้างครูมาตรวจและ comment งานเขียนตัวเอง คิดว่าค่อนข้างคุ้มค่านะฮะ แต่ถ้าไม่อยากเสียเงินแนะนำอีกวิธีคือ 2.ให้เว็ปไซต์ตรวจ grammar ฟรีเช่น grammaly เป็นต้นบวกกับการหาข้อผิดพลาดเองไปด้วย จะทำให้เราเข้าใจอย่างมีประสิทธิภาพเพราะเราได้เจอกับข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง นั่นจะทำให้เราจำฝังใจและไม่วนกลับไปทำข้อผิดพลาดนั้นอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วิธีนี้จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และพื้นฐานที่แน่นพอสมควรถึงจะมองข้อผิดพลาดออก ดังนั้นจ้างเถอะครับเพื่อความสะดวกสบายของชีวิตคุณ5555555


-Speaking:

จริง ๆ ใน part นี้นี่ก็แนะนำว่าวิธีการฝึก speaking แบบ passive ก็ควรทำนะ เช่นการพูดเป็นภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน แต่นี่ก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน5555 คือมันไม่มีใครให้พูดด้วยแบบสัพเพเหระอะ และมันไม่สามารถทำได้ตลอดเวลาในสังคมประเทศไทยที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาหลักในการสื่อสาร ดังนั้นวิธี active จึงเป็นวิธีการฝึกที่ดีที่สุด ทั้งการพูดคนเดียวแล้วอัดเสียงตัวเองประเมินเอา และหาเพื่อนหรือหาคนที่ต้องการซ้อมฝึกพูดเหมือนกัน มานั่งคุยกัน นั่งซ้อมสปีคกันเองจะดีที่สุด เราเคยคอลกันเองกับเพื่อน ก็ค่อนข้างได้ผลอยู่นะ อย่างน้อยก็ได้พูดทุกวัน ให้เพื่อนลองคอมเมนต์ด้วยก็ดี แต่สำหรับบางคนการพูดคนเดียวแล้วอัดเสียงตัวเองฟัง จะรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย (ทนฟังเสียงตัวเองไม่ได้) จึงต้องฝึกกับคนอื่น ซึ่งนอกจากจะเราจะได้คอมเมนต์จากเพื่อนแล้ว เรายังได้ community ที่ตั้งใจจะสอบ IELTS เหมือนกันด้วยนะฮะ ลองหาดูช่วยได้แน่นอน

จริง ๆ แล้วการตอบ speaking ก็มี form ในการตอบอยู่หลายแบบเช่น Ans>Reason>Example>Alternative>Conclude หรือการเล่าจาก Past>Present>Future สำหรับ part 1 และ 2 แนะนำว่าให้ดูจาก channel ด้านบนเช่นกัน ดีมากก หรือถ้าใครมีช่องหรือแหล่งอื่น ๆ แนะนำสามารถคอมเมนต์ได้เลยน้า


-Overall:

เอาหละสำหรับการฝึกโดยภาพรวมมีหลายวิธีมาก ๆ

1. การหา sources ไว้ฝึกฝน ซึ่งก็มีเยอะมากๆๆๆ เช่นกัน เช่น หนังสือ Cambridge English IELTS ตั้งแต่เล่ม 1-15 (ดีมากกก) สามารถหาซื้อได้ตามศูนย์หนังสือจุฬาเลยจ้าาา หรือข้อสอบเสมือนจริงใน website ต่าง ๆ เช่น https://ieltsliz.com/ , https://ielts-up.com/ , https://ieltsonlinetests.com/ , https://www.ielts-exam.net/ เป็นต้น

2.เคยมีคนบอกว่าวิธีพัฒนาภาษาที่ดีที่สุดคือเข้าไปอยู่ในสังคมนั้น ๆ แต่ในเมื่อเราออกนอกประเทศไม่ได้ เราก็ต้องสร้างมันขึ้นมาแทนด้วยการอยู่ใน environment ของภาษาอังกฤษ อย่างที่บอกไปในแต่ละ skills พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราให้มีแต่การใช้ภาษาอังกฤษมากที่สุด จะทำให้เราชินไปกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ

3.นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อเสียของตัวเองก็เป็นสิ่งที่ต้องทำมากๆๆๆ nothing changes, if nothing changes ถ้าเรายังทำอะไรเดิม ๆ ทำข้อสอบเดิม ๆ ฝึกโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเสียของตัวเองก้เหมือนกับการย่ำอยู่กับที่

4. เทคนิคการแตกศัพท์ (My favourite) คือการเรียน vocab ที่ดีที่สุดสำหรับเราเลย นี่หลังจากทำ reading เสร็จจะ list vocab ที่ไม่รู้ความหมาย แล้วเอาไปหาความหมาย พร้อมทั้ง synonym, antonym ด้วยตลอด วิธีนี้จะทำให้เรามีคลังคำศัพท์อยู่ในหัวพร้อมเอาออกมาใช้ทั้ง 4 skills เพื่อนเราบอกว่าตกใจคัลง vocab ของเรามากหลังจากที่เราเริ่มแตกศัพท์5555 แต่*** ข้อควรระวังคือการรเยนรู้คำศัพท์ควรจะเรียนรู้ไปถึงรากควาหมายของมันว่า ใช้ในสถานการณ์ไหน ทางที่ดีควรจด definition และตัวอย่างการใช้งานจริงของศัพท์นั้น ๆ ลงไปด้วยจะดีที่สุด

5. สำหรับคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับภาษาอังกฤษยังไม่แนะนำให้จับเวลาทำข้อสอบ แนะนำให้ทำให้เต็มที่เท่าที่เราจะทำได้ก่อน ไม่ต้องสนใจว่าเวลาจะเกิน หลังจากนั้นเราจะเรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง และบริหารเวลาได้ดีขึ้นเองครับ

6.หลังจากเตรียมตัวสอบเสร็จแล้วในแต่ละครั้ง แนะนำว่าให้ review ตัวเองว่าทบทวนสั้น ๆ ว่าได้ฝึกอะไรไปเหมือนการสรุปสั้น ๆ ในหัวแต่ฝังลงไปในความทรงจำครับ หมายเหตุ* วิธีนี้อาจจะไม่ได้ work กับทุกคน 100 เปอร์เซ็นนะครับ ลองพยายามหาวิธีที่ effective กับตัวเองที่สุดดู

7. สุดท้ายอยากจะแนะนำว่าทำสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงครับ555555 เราพูดจริง ๆ นะ เวลาเราเหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอ มันก็จะทำให้การฝึกมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ เหมือนเราไม่ได้อะไรจากมันเลย (ประสบการณ์ตรง) ดังนั้น set routine ของตัวเองครับตื่นกี่โมง นอนกี่โมง อย่าหักโหมฝึกจนดึกดื่นเกินไป รู้ลิมิตตัวเอง เหนื่อยก็พัก ทำให้ตัวเองมีความสุข อย่ากดดันตัวเองเกินไป มี quote นึงเราชอบมากเลย เค้าบอกว่า “เดินช้าไม่เป็นไร ขอแค่อย่าหยุดเดิน” เราว่าความต่อเนื่องเป็นสิ่งที่สำคัญมากกก เราอาจจะฝึกแค่วันละชั่วโมงสองชั่วโมง แต่ถ้าเราฝึกทุกวันสมองเราจะจำไปเองว่าภาษาอังกฤษคือเรื่องที่ต้องเจอทุกวัน มันจะทำให้เราฝึกฝนในวันต่อ ๆ ไปได้ดีขึ้น


จริง ๆ แล้วเราก็ได้แค่ 6.5 ที่แหละคับ เราอาจจะไม่ได้เก่งขนาดที่สามารถสอนใครได้ แต่อยากจะบอกว่า ณ เวลาที่เรารู้ว่าคะแนนเราได้เพิ่มขึ้นจาก 6.0 เราดีใจมาก ๆ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ 0.5 ก็ตาม ก่อนที่ผลจะออก เราบอกกับตัวเองเลยครับ ว่าถ้าไม่ได้ตามเป้าเราก็จะลองใหม่ ถึงแม้จะล้มอีกกี่ครั้งเราก็จะลองจนกว่าจะได้ ดังนั้นเทคนิคสุดท้ายแล้วจริง ๆ สำหรับเราคงจะเป็น ความพยายามครับ ฟังดูจับต้องยากนะครับ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่พลาดเราลองถามถามตัวเองครับ ว่าเราทำได้ดีกว่านี้มั้ย ถ้าเราตอบว่าได้ นั่นแหละครับความพยายาม ไม่ว่าคุณที่กำลังอ่านจะเป็นน้องเพื่อนหรือพี่ของเรา และตั้งใจจะเรียนต่อต่างประเทศหรือในประเทศก็ตาม ซึ่งต้องฟันฝ่าอุปสรรคการสอบต่าง ๆ ขอให้ทุกคนสู้ ๆ นะ ถ้าผลมันไม่เป็นไปตามที่หวัง กอดนะ เรามาพยายามอีกครั้ง แล้วจะรอแสดงความยินดีนะครับ โชคดี

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-08.png

(สามารถติดตามเข้ามาเป็นกันได้ใน Linkedin นี้เลยย : https://www.linkedin.com/in/t-touch-tone-pattaravarodom-2a47791b0/ 

หรือติดตาม Blog ใหม่ๆ ได้ที่ Medium เลยย:   https://medium.com/@toneychopp

0
Airbuzz 23 ก.ค. 63 เวลา 11:45 น. 2

พี่ได้ทุนของ HKU เป็นทุนไหนครับ ใช่ entrane scholarship หรือเป็นของรัฐบาลฮ่องกง แล้วพี่ยื่นไปตอนไหนครับของฮ่องกง ใช่ตอนรอบ early แถวๆกันยาตุลา หรือรอบธรรมดาครับ


(ส่วนตัวอยากได้ทุนเต็ม HKU มากกกก อยากเรียนต่อทาง fintech ครับแต่ถ้าไม่ได้ก็มี Chinese University of Hong Kong (CUHK) เผื่อครับ fintech เหมือนกัน)

1
toneychopp 31 ก.ค. 63 เวลา 20:42 น. 2-1

แหะขอโทษที่ตอบช้าไปหน่อยน้า ของ HKU เป็นทุน Entrance Scholarship เลยครับ นักเรียนทุกคนมีสมัครมีสิทธิได้รับการพิจารณาทุนการศึกษาโดยอัตโนมัติถ้าสมัคร Admission เข้าไปแล้ว แต่เราก็สมัครทุนรัฐบาลฮ่องกงไปด้วยเหมือนกัน(Belt and Road Scholarship) แต่ทางรัฐบาลจะประกาศผลอีกทีช่วงสิงหาคมเลยครับ และใช่ครับของเรายื่นไปตอนช่วงรอบ early ที่น้องบอก แต่คงจะเรียกว่า early ไม่ได้เต็มปาก เพราะเรายื่นไป late มากเลยครับแหะๆ ส่วนใหญ่ระบบการรับสมัครที่ฮ่องกงจะเปิดช่วงปลายๆ กันยายน และปิดรับสมัครช่วงธันวาคมหรือมกราคมครับ ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัย ลองขอโปรชัวร์กับทางมหาวิทยาลัยที่ต้องการจะดีกว่าครับได้ข้อมูลคณะด้วย ตอนนี้เรามีของ CityU กับ HKU ปี 2020 เท่านั้นสนใจทักมาติดต่อก่อนได้ครับ :) สู้ๆกับทั้ง HKU และ CUHK เลยนะครับ ทั้งสองที่อันดับดีไม่แพ้กันเลยย เรามีเพื่อนปีนี้ที่ตัดสินใจเอา CUHK เหมือนกัน น้องทำได้แน่นอนครับ เป็นกำลังใจให้นะครับhttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-08.png

0
MaPr2020 5 ส.ค. 64 เวลา 10:01 น. 3

ขอบคุณมากๆค่ะ เราสอบ IELTS มาสองรอบล่ะ ตอนแรกอ่านเอง ถึงพื้นฐานอ่อนก็ไม่ยอมเรียนพิเศษ ได้มา 5.0 คะแนนต่ำเตี้ยมาก 5555 พอได้อ่านที่จขกท.เขียนก็นึกถึงตัวเองตอนเตรียมตัวช่วงแรก ๆ โครตทรมาน เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ ท้อไปหลายรอบเหมือนกัน แต่ก็ท่องไว้ว่าเพื่ออนาคตๆ 5555 พอหลังจากรู้ผลคะแนนอันน้อยนิดแล้ว ทำให้เราต้องเปลี่ยนการเตรียมตัวใหม่ทันที การอ่านหนังสือเองอาจไม่เหมาะกับเรา แต่ถ้ามีเวลาซักปีอาจจะพอได้ แต่เราดันมีเวลาน้อย เราเลยตัดสินใจไปเรียนพิเศษ (ตอนนั้นเรียนคอร์ส IELTS จุฬาติวเตอร์ ครูเอมิ) เอาจริงๆก็ไม่อยากเชียร์ออกนอกหน้ามาก แต่คะแนนมันก็ขึ้นจริงนะ ได้มา 6.5 (ถือว่าเยอะมากสำหรับคนไม่เก่งภาษาอังกฤษอย่างเรา) เผื่อว่าใครเตรียมเองแล้วไม่ไหวเหมือนเรา ตอนนี้เรามีแพลนอยากได้ 7.0 ขอบคุณเทคนิคจาก จขกท.อีกครั้งนะคะะ เพราะต่อให้เรียนพิเศษ ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนของตัวเราเองด้วย ขอบคุณที่มาแชร์ข้อมูลดีๆน้าาาาา

1
toneychopp 19 ส.ค. 64 เวลา 21:03 น. 3-1

ฮืยยย ดีใจด้วยค้าบบบ เก่งมากๆๆๆๆๆ เข้าใจความรู้สึกเลย เชื่อว่าทำถึง 7.0 แน่ๆๆๆๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ทำได้ แน่ๆๆๆๆ เป็นกำลังใจให้ตรงนี้เลยยย เป็นยังไงมาบอกเล่ากันได้น้าา 

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-08.png

0
Born this Way!! 7 ส.ค. 64 เวลา 21:15 น. 4

ตอนนี้ทุนเปิดรับสมัครรึยังคะ พอดีว่าสนใจ แต่เข้าไปในเว็บทั้ง HKU ทั้ง Cityu ก็ยังว่างๆ อยู่หรือเข้าไปผิดรึเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าา

1
toneychopp 30 ก.ย. 64 เวลา 18:58 น. 4-1

ขอตอบในส่วนของ CityU น้า ตอนนี้ (Semester A 2022/23 Entry) เปิดรับสมัครแล้วค้าบ deadline ในการส่งใบสมัครมี 2 รอบคือ - Early Application Deadline: 15 November 2021

- Normal Application Deadline: 13 January 2022 สามารถเข้าไปดู key dates ในลิงค์นี้ได้เลยน้า: https://www.admo.cityu.edu.hk/intl/international/key_date/

0
chk200 16 ก.ย. 64 เวลา 22:08 น. 5

สอบถามค่า สนใจมากๆเลยคืออยากยื่นมหาลัยที่ฮ่องกงเหมือนกันค่ะแต่งงตรงrequireตัว o net ค่ะ คือลองไปดูมา admission จะเปิดตั้งแต่ปลายปี จนถึงประมาณช่วงต้นๆmarch แต่ตัว o net คะแนนออกช่วง กลางapril อย่างงี้เราต้องยื่น english test ไปก่อนแล้วค่อยยื่นตัว o net ตามใช่มั้ยคะ แล้วก็พอดีอยู่ในช่วงหาข้อมูลอาจจะผิดบ้างพี่ช่วยแนะนำหน่อยนะคะะะ ขอบคุณค่า

1
toneychopp 30 ก.ย. 64 เวลา 19:03 น. 5-1

ใช่แล้วค้าบ มหาลัยจะพิจารณาผล English test ก่อน พอผล Onet ออกค่อยยื่นส่งไปอีกรอบนึงค้าบ เมื่อคุณสมบัติทุกอย่างผ่านเกณ์ ก็จะถือว่าติดโดยสมบูรณ์รอ Email จากมหาลัยส่ง Pre-enrolment ได้เลยค้าบ

0
toneychopp 17 พ.ย. 64 เวลา 09:37 น. 6-1

กรณีที่เราจบมัธยมปลายแล้วซิ่วหรือ gap year ไว้ เราสามารถสมัคร admission เข้ามหาลัยได้เสมอค้าบตราบเท่าที่เรามีคะแนน Onet กับคะแนนการสอบภาษาอังกฤษอยู่ในมือ (อย่าลืมว่า Onet สอยได้รอบเดียว ซิ่วสอบไม่ได้น้า)

0
Asd 19 ธ.ค. 64 เวลา 02:22 น. 7

เรายื่นของhkuไปค่ะ เราพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกณฑ์ทุนจากคะแนน o-net ในเว็บมหาลัย แต่ไม่เจอเลยค่ะ แล้วกว่าจะได้คะแนนโอเน็ตตั้งช่วงมีนา แต่ผลประกาศประมาณอาทิตย์หน้า คือต้องรอช่วงมีนาแล้วค่อยยื่นคะแนน แล้วถึงรู้ว่าได้ทุนทีหลังหรอคะ

7
toneychopp 7 ก.พ. 65 เวลา 02:00 น. 7-1

ส่วนของ HKU ไม่แม่นข้อมูลจริงๆคับ แต่เท่าที่รู้คือในช่วงการรับ admission หรือ รับ entrance scholarship เราใส่แค่ผลงานกับผลการทดสอบภาษาอังกฤษหรือผลสอบอื่นๆคับ แต่ไม่มั่นใจเรื่องคิดคะแนนโอเนตมั้ย

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-03.png

0
แม่พิม 8 ก.พ. 65 เวลา 12:51 น. 7-2

ลูกชาย แม่สมัคร Hku จากที่ทาง โรงเรียน ได้เสนอชื่อไป เราต้องสมัคร มหาลัยก่อนแล้วจึงจะไปยื่นทุน ตอนนี้สัมภาษณ์ขั้นแรกแล้ว แล้วเมื่อเดือนที่แล้วทางมหาลัยขอเอกสารเพิ่มเติม คิดว่า % การคัดเลือกเป็นไงคะพอทราบรึเปล่า รบกวนตอบแม่หน่อยแม่ก็ลุ้นแบบไม่มีกำหนดเวลา คือคาดหวังแต่ก็ไม่รู้กฎเกณ์ฑการพิจารณา พอมีอะไรแนะนำปะคะ ขอบคุณล่วงหน้าจร้า

0
toneychopp 25 ก.พ. 65 เวลา 23:31 น. 7-3

จากที่คุณแม่ให้รายละเอียดคิดว่าน่าจะติดแล้ว แต่กำลังรอผลการพิจารณาทุนอยู่ใช่มั้ยครับ เกณฑ์การพิจารณาทุนจริงๆไม่มีเขียนรายละเอียดไว้ชัดเจนเลยครับ แต่ขอตอบจากประสบการณ์+เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่เคยยื่น HKU กันมาด้วยกัน บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า HKU พิจารณาทุนน้อยกว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆ เช่น CityU หรือ CUHK ครับ และยังให้ทุนจำนวนค่อนข้างน้อยกว่า CityU(ที่ให้ค่ากินอยู่ด้วย) ดังนั้นอยากให้ข้อมูลว่ามีโอกาสได้ทุน Full(ค่าเทอมเต็มจำนวน) อยู่สำหรับเด็ก international แต่สำหรับ ทุนที่สูงกว่านี้ค่อนข้างยากเลยครับ

ใจเย็นๆนะครับ ระบบการพิจารณาทุนของมหาวิทยาลัยในฮ่องกงค่อนข้างล่าช้ากว่า การพิจารณาสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ตรงนี้เห็นใจ และไม่สามารถช่วยเหลือได้จริงๆ

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-big-04.png

แต่สู้ๆครับ! เป็นกำลังใจให้เสมอ ผลเป็นยังไงส่งข้อความส่วนตัว หรือแจ้งข่าวสารกันได้นะครับไม่ว่าผลจะเป็นยังไง :)

0
แม่พิม 18 มี.ค. 65 เวลา 22:50 น. 7-5

แม่ขอถามอีกข้อ เหมือนเพื่อนๆพี่ๆน้องที่ได้ทุน hku เค้าประกาศกันช่วงไหนคะ

0
toneychopp 29 มี.ค. 65 เวลา 22:44 น. 7-6

ของปี 2020 ได้รับประกาศวันที่ 3 เมษายนครับ มีเพื่อนที่ได้ offer ก้ได้พร้อมๆกันเลย แต่ไม่สามารถคอนเฟิร์มได้แน่ชักครับว่าคนอื่นจะได้ช้า/เร็วกว่าอย่างไร และอาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละปีด้วยครับ

0

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

เว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบ

เว็บไซต์ Dek-D.com ขอสงวนสิทธิ์ในการงด โพสต์ข้อความซื้อ/ขาย/แลกเปลี่ยน/โฆษณา สินค้าทุกชนิดในเว็บบอร์ด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ใช้งานท่านอื่น

toneychopp 17 ส.ค. 66 เวลา 10:35 น. 10

สำหรับใครที่อยากศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีวิตการเป็นนักศึกษาในฮ่องกง ตอนนี้สมาคมนักเรียนไทยในฮ่องกง (ATSHM) ได้ก่อตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้วนะครับบ สามารถเข้าไปสอบถามได้เลยย,

Instagram: https://www.instagram.com/ats_hm/?utm_source=ig_web_button_share_sheet&igshid=OGQ5ZDc2ODk2ZA==

Facebook: https://www.facebook.com/p/Association-of-Thai-Students-in-Hong-Kong-and-Macau-ATSHM-100082044351448/

0