ใครจะอ่าน
ตั้งกระทู้ใหม่
ฮั่นแน่สวัสดีค้าบบบบ ไม่ได้พบกันนานเลย วันนี้นิลมีเรื่องจะเล่า มาให้ทุกคนฟังนะครับ มารับฟังกันอย่างจุใจเลยครับผม เครดิตสัมผัสสยอง @นิล
________________________________________________
แสงแดดส่งไอร้อนสาดลงมาจากดวงอาทิตย์ ในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ บนถนนลูกรังตลบด้วยฝุ่นแดงลอยฟุ้งเต็มตู้รถเก๋งสีขาวที่ผมกำลังขับรถบนทางนั้นเพื่อมุ่งไปยังหมู่บ้านอื่นซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน เพิ่มไอร้อนในเดือนเมษายน... สวัสดีครับทุกท่านผมชื่อA (นามสมมุติ) ผมมีแฟนของผมอยู่หนึ่งคนแฟนของผมชื่อนางครับ ผมกับนางคบกันมาได้หลายเดือนแล้ว ผมเลยอยากจะพบพ่อแม่ของนาง แต่ดูเหมือนนางจะพยายามบอกปฏิเสธเหมือนไม่อยากไห้ไป ผมก็พยายามรบเร้าให้เธอพาไปหาพ่อแม่ของเธอหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ยอมพาผมไปเสียทีเธอมักจะอ้างว่าที่หมู่บ้านของเธอมันบ้านนอกชนบทเกินไป ไม่มีอะไรที่ผมสนใจหรอก ในหมู่บ้านก็มีแต่คนเฒ่าคนแก่ที่ลูกทิ้งเอาไว้ให้เลี้ยงหลานแล้วเข้าไปทำงานในกรุงเทพ ที่นั่นไม่มีร้านสะดวกซื้อไม่มีไฟฟ้าหรือแม้กระทั่งน้ำประปายังต้องไปตักน้ำมาจากบ่อบาดาลหรือน้ำฝนที่รองไว้มาต้มกิน เธอไม่อยากให้ผมต้องมาเห็นความแร้นแค้นแบบนี้ นางกลัวว่าผมจะรับไม่ได้
ผมก็คะยั้นคะยอเธอหลายต่อหลายครั้ง
เธอก็ไม่ยอม จนกระทั่งผมเลิกที่จะพูดถึงพ่อแม่ของเธอแต่แล้วจู่ๆวันหนึ่งเธอกลับบอกผมว่าแม่ของเธออยากพบผมมาก พอผมได้ยินแบบนั่ผมจึงลางานสามวันตั้งแต่วันพุธเพื่อให้ชนกับวันเสาร์-อาทิตย์จะได้ว่างห้าวันพอดี ผมรีบบึ่งรถออกจากคอนโดในย่านทองหล่อออกมาพร้อมกับเธอตั้งแต่ช่วงตีสี่จะได้ไปถึงบ้านแม่ของเธอก่อนมืด แต่ระยะทางมันไกลกว่าที่ผมคิดไว้มาก ผมขับรถออกมาทั้งวันจนตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่ก็ยังไม่มีท่าว่าจะถึงหมู่บ้านอึ่งหลุ่มเสียที " ถ้าไม่อยากมาจะกลับกันก็ได้นะ " จู่ๆนางก็พูดขึ้นทั้งๆที่เราก็ขับรถกันมาไกลแล้ว " เป็นอะไรอีกล่ะไม่อยากให้เจอคนที่บ้านขนาดนั้นเลยหรอ " ผมถามกลับแต่เธอก็ไม่ตอบสีหน้าของนางดูเป็นกังวลอย่างมาก เธอคงกลัวผมจะรู้ว่าที่บ้านของเธอลำบากแล้วผมจะทิ้งเธอไปละมั้ง แต่คนเราถ้าคบกันจะช้าจะเร็วยังไงก็ต้องรู้อยู่ดีและผมก็อยากพบพ่อแม่ของเธอให้ถูกต้องด้วย ผมขับรถไปบนถนนลูกรังผ่านหัวโค้งหัวคันนาโค้งแล้วโค้งเล่าเข้าไปในป่าบ้างโพล่ทะลุออกมาอีกนาหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววหมู่บ้านของเธอ เสียงวิทยุที่ดังมาตลอดทางเริ่มกลายเป็นเสียงสัญญาณซ่า มันไกลจากตัวเมืองไกลเสียจนแม้แต่สัญญาณวิทยุก็มาไม่ถึง
ผมจึงกดปิดวิทยุทันที ไฟบนหน้าปัดวิทยุดับลงบรรยากาศโดยรอบก็เงียบกริบ " อีกไกลไหมกว่าจะถึงน่ะ " ผมกล่าวถามเพื่อไล่ความวังเวง " ซักพักก็น่าจะถึงแล้วหมู่บ้านไม่มีในแผนที่แยกออกมาจากกิ่งอำเภออีกทีนึง " เธอก็ตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวล
แต่ผมไม่อยากถามอะไรเซ้าซี้เธอมากนัก เลยได้แต่ขับต่อไป ไม่นานตรงสุดปลายทางผมก็เห็นป้ายทางเข้าหมู่บ้าน มันเป็นป้ายที่ทำขึ้นมาจากไม้ทั้งต้นเลื่อยเป็นแผ่นแกะสลักเป็นชื่อ" หมู่บ้านอึ่งหลุ่ม " ผมค่อยๆชะลอรถขับเข้าไปตามเส้นทางนั้นทางเข้าหมู่บ้าน ที่แคบเล็กและลึกเข้าไปในป่าไผ่ มันเป็นทางเกวียนพื้นที่ไม่เรียบทำให้รถหยวบยาบไปมา ผมขับรถผ่านบ้านไปสองสามบ้านหลังที่อยู่ริมทางบ้านเป็นเหมือนเพิงสังกะสีตีแปะติดดูเหมือนกระท่อมพักคนงานมากกว่าจะเรียกบ้าน
นางบอกให้ผมขับลึกเข้าไปอีกก็จะถึงบ้านของเธอ " ต.ต.ตรงนั้นแหละถึงแล้ว " นางพูดพลางบีบที่แขนของผม ผมจึงค่อยๆหยุดรถมองเห็นแสงจากตะเกียงแดงวาบจากในหมู่บ้านที่ทำขึ้นจากแผ่นสังกะสีแปะฝาเหมือนกับบ้านหลังอื่นๆ หญิงชราร่างกายผอมซูบถือโคมไฟเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น ร่างกายของเธอดูผอมแห้งเกินกว่าจะเดินไหว น้ำสีแดงไหลย้อยออกมาจากมุมปากแสงตะเกียงที่สะท้อนบนใบหน้าหญิงชราหยาบกร้าน ทำเอาผมนึกถึงหนังผีที่ผมเคยดูตอนเด็กๆพวกหนังแนวบ้านผีปอบอะไรประมาณนั้น " แม่จ๋าแม่หนูมาแล้ว " นางเปิดประตูออกจากรถรีบวิ่งไปหาหญิงชราที่กำลังบ้วนน้ำสีแดงออกจากปาก " มาถึงก็ดีแล้วกูนั่งแต่งตัวเคี้ยวหมากรอ-กับผัว-มาทั้งวัน "
แม่ของนางพูดต่อ " มาลูกขึ้นมากินข้าวกินปลาก่อนเดินทางมาไกลท่าทางจะหิว " สำรับอาหารถูกจัดเตรียมเอาไว้รอท่า เป็นน้ำพริกปลาป่นผักที่เริ่มเหี่ยวต้มอึ่งไชโย ถึงแม้จะหิวมากแต่ผมก็กินน้ำพริกกับผักต้มแค่ไม่กี่คำด้วยความที่ไม่เคยกิน ส่วนต้มอึ่งผมเบือนหน้าหนี ด้วยท่าทางของอึ่งในหม้อแต่ล่ะตัวบวมกลมเหยียดแข้งเยียดขาลอยอยู่เต็มหม้อทำเอาผมนึกถึงสมัยมัธยมตอนที่เรียนผ่ากบในชั่วโมงเรียนที่เพื่อนผมรมยากบน้อยเกินไป มันจึงตื่นขึ้นมาทั้งๆที่ที่ท้องถูกผ่าออกมามองเห็นเครื่องในลำไส้และหัวใจของมัน ที่กำลังเต้นในขณะที่มันเหยียดขาไปมาปากอ้าพะงาบๆเสียงร้อง แอ๊บ แอ๊บ นั่นเป็นภาพที่เด็กนักเรียนทั้งห้องเก็บเอาไปฝันร้าย ซึ่งอึ่งในหม้อนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา " กับข้าวไม่อร่อยหรือ ลูกคนเมืองกินต้มอึ่งกันไม่เป็นล่ะซิของดีเลยนะลูก" แม่นางร้องถาม " อร่อยครับแต่ผมขับรถเหนื่อยเลยกินได้น้อย " ผมได้แค่ตอบกลับไปแล้วยิ้มเจื่อนๆ " ท่าทางจะไม่ค่อยชินกับอาหารถิ่นไม่เป็นไรลูกอยู่ๆไปเดี๋ยวก็ชินเอง" เธอตอบผมแล้วยิ้มให้เห็นฟันดำในปากที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ซี่ มันดูเหมือนเมล็ดแตงโมสีดำติดอยู่กับเหงือกของฟันปลอม ผมหลบตาก้มลงมองไปทางอื่น
" คุณแม่ไม่ทานหรอครับ " ผมกล่าวถามกลับไป " แม่กินแล้วกินให้อิ่มเถอะลูกตามสบาย " แม่ของนางพูดพลางก็ยิ้มให้ผมอีกครั้ง ใบหน้าตอนยิ้มของเธอเหมือนกระดาษยับยู่ยี่ดูน่ากลัว ในคืนนั้นผมนอนไม่หลับ
อาจเป็นเพราะแปลกถิ่นแปลกที่กับกลิ่นยากันยุง ผมกับนางนอนในมุ้งหลังเดียวกัน แต่แม่ของนางนอนในมุ้งอีกหลังหนึ่ง ด้วยบ้านที่เป็นเหมือนเพิงพักคนงานแสงจากพระจันทร์เลยส่องสว่างเข้ามาทำให้พอมองเห็นบรรยากาศรอบๆได้ แม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ผมนอนลืมตามองมุ้งถูกเปิดออก แม่ของนางลุกเดินออกจากมุ้งอย่างคล่องแคล่วราวกับไม่ใช่คนแก่ ผมพยายามมองตามเธอด้วยหางตา พยายามไม่ขยับหัวหรือใบหน้าเพราะกลัวแม่ของนางจะรู้ตัวว่าผมตื่นอยู่
เธอเดินตรงไปยังสำรับกับข้าวที่กินเหลือ ท่าทางเหมือนกำลังหิวมาก แต่กลับไม่ได้หยุดที่สำรับกับข้าวเธอเดินเลยไปที่กะละมังสีดำที่อยู่ถัดไป เป็นกะละมังสีดำที่ปิดคลุมเอาไว้ด้วยกะละมังสีดำอีกใบ และแล้วภาพที่ไม่คาดฝันตรงหน้าก็เกิดขึ้น....... แม่ของนางเปิดกัละมังออกแล้วเธอล้วงมือเข้าไป แล้วหยิบบางอย่างออกมา ถึงแม้ผมจะมองไม่เห็นได้ชัดนักแต่เสียงที่ได้ยินนั้นผมจำได้แม่น " แอ๊บ แอ๊บ " มันเป็นเสียงแบบเดียวกันกับกบตัวนั้นที่เคยได้ยินตอนมัธยมแต่นี่เป็นเสียงของอึ่งที่กำลังร้องอยู่ในมือแม่ของนาง " จะร้องทำไมเล่าเดี๋ยวลูกฉันก็ตื่นมาเห็นพอดี " แม่ของนางพูดพลางฉีกอึ่งในมือสดๆ ขาของมันขาดหลุดออกจากร่างเธอหย่อนขาอึ่งเป็นๆที่กำลังดิ้นเข้าปากเคี้ยว ผมมองภาพตรงหน้าผ่านมุ้งไม่วางตา แกหย่อนอึ่งที่ไม่มีขาเข้า-งดัง ปรี๊ด.! แล้วหันควับกลับมามองที่ผมภาพตรงหน้าคือปากที่เปรอะไปด้วยน้ำจากอึ่งเยิ้มย้อยไหลจากปากกับนัยน์ตาที่เบิกโพลง ผมหลับตาทันทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นอีก
ผมได้ยินเสียงร้องของอึ่งอีกสองสามครั้งก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเดินกลับมาที่มุ้งและมุดเข้าไปนอน " พรุ่งนี้.. พรุ่งนี้แล้วเราจะได้กินหนุ่มกรุงเทพ " แม่นางพูดขึ้นเสียงนั้นแหบพร่า ผมหน้าซีดเผือดตัวแข็งค้างอยู่อย่างนั้นจนเผลอหลับไป ในตอนเช้าผมลืมตาตื่นขึ้นเพราะแสงแดดที่สาดเข้ามา มุ้งถูกเก็บไปแล้ว ผมลืมตามองไปรอบๆบนชานบ้านมีพานใส่ดอกไม้ หมากพลู ธูป เทียน วางอยู่บนถาดไม้สานขนาดใหญ่แม่ของนางใส่ชุดขาวกับผ้าถุงมัดผมเกล้ามวย เหมือนกำลังจะทำพิธีอะไรบางอย่าง โดยมีนางนั่งอยู่ข้างๆ
" ตื่นแล้วหรอลูก มาๆ มารับขันธ์แม่ก่อนนะ ขันธ์เทพ ขันธ์เทวดา ขันธ์เทวรักษ์ " แม่นางพูดพร้อมกับยิ้มให้ทำเอาผมนึกถึงเรื่องของยายที่เคยเล่าให้ฟังสมัยยังเป็นเด็ก ยายเล่าให้ฟังว่าการรับขันธ์คือการอนุญาติให้ผู้ที่ยังไม่มีกายหยาบยืมร่าง สามารถแจ้งบอกทำนายหรือดลบันดาลสิ่งต่างๆให้ผู้ที่รับขันธ์ได้ โดยผู้ที่มีเทพคุ้มครองอยู่จะสามารถรับขันธ์เทพได้ ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีเทพคุ้มครอง ขันธ์ที่รับจะเป็นผีต่างๆคนรับขันธ์เทพนั้นมีน้อยส่วนใหญ่จะถูกหลอกให้รับขันธ์ผี ผีจะค่อยๆกินในตัวของคนที่รับ คนที่ถูกกินจะมีกลิ่นเหม็นออกจากรูขุมขนและจะเริ่มเน่าจากในตัว " ตอนแรกแม่ว่าจะให้นางรับขันธ์เทพแต่พ่อหนุ่มเนี่ยแม่ว่าเหมาะกว่านาง มาใกล้ๆแม่ " สีหน้าของนางตอนนี้เหมือนกับตอนที่อยู่บนรถสีหน้าดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดผมจึงรีบตอบไปว่า " มะ มะ แม่ เดี๋ยวผมขอไปเอาไฟแช็คในรถก่อนนะครับ ว่าจะสูบบุหรี่หน่อยเดี๋ยวมา "
" ได้เลยลูก แล้วรีบมานะจ๊ะ " ผมรีบออกจากบ้านหลังนั้นตรงไปที่รถ เดินขึ้นรถอย่างเป็นปกติพยายามทำให้มีพิรุธน้อยที่สุด มือผมสั่นเต็มที่ทำให้เสียบกุญแจรถยากลำบาก ทันทีที่เสียบกุญแจได้ผมรีบสตาร์เครื่องยนต์ทันทีเสียงเครื่องดังกระหึ่ม แล้วผมก็เห็นนางวิ่งกระโจนลงมาจากบ้าน พุ่งตามมาที่รถท่าทางของเธอร้อนรนใบหน้าซีดเผือด ผมรีบเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งอย่างเร็วเหยียบมิดเต็มฝ่าเท้ารถทะยานพุ่งออกไปทันทีไม่ " อย่าไป! มารับขันธ์ก่อนฉันไม่อยากรับขันธ์ปอบ!!! " นางร้องตะโกนไล่หลังเธอวิ่งเท้าเปล่าตามมา ซึ่งผมก็ขับรถห่างออกไปทุกทีตอนนั้นผมเห็นแม่ของนางวิ่งตามลงมาจากบ้านหญิงชราที่ไม่น่าจะวิ่งได้ ตอนนี้วิ่งตามรถผมมาติดๆในมือ ถือมีดหั่นหมากพร้อมกับเสียงตะโกนด่าทอ ทำให้ผมหัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าผมเหยียบคันเร่งจนสุดฝุ่นม้วนตลบท่วมหัวและไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย....... ก็จบไปแล้วนะครับกับเรื่องนี้........
1 ความคิดเห็น
ไม่น่าทิ้งนางเลยครับ :)
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?