Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

[แชร์] วิธีการสร้างเรื่องราวและบัญญัติศัพท์ใหม่ในนิยายแฟนตาซี

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนนะคะ วันนี้เราอยากมาพูดคุยรวมถึงแบ่งปันวิธีการสร้างเรื่องราวและการบัญญัติศัพท์ใหม่ในโลกแฟนตาซีแบบฉบับของเราให้เพื่อนๆ ฟังค่ะ เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังเขียนนิยายแฟนตาซีอยู่ แต่เพื่อนๆ ที่เขียนนิยายแนวอื่นก็สามารถนำไปปรับใช้ได้นะคะ   หวังว่ากระทู้ของเราจะเป็นประโยชน์ต่อนักเขียนและนักอยากเขียนไม่มากก็น้อย

ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพนะคะ แค่เป็นนักอ่านที่อ่านหนังสือเยอะและพอมีความรู้ทางด้านนี้บ้างเท่านั้น ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด แต่พอให้คำปรึกษาและแนะนำได้ค่ะ

เราขอพูดถึงเรื่อง 'การบัญญัติศัพท์' ก่อนแล้วกันนะ เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่เคยเสพสื่อแฟนตาซีคงจะผ่านตาสิ่งเหล่านี้มาบ้าง  ขอออกตัวก่อนว่าเราเป็นแฟน Harry Potter กับ A Song of Ice and Fire ตัวยงเลยค่ะ เพราะฉะนั้นงานเขียนของเราจะได้รับอิทธิพลจากหนังสือสองชุดนี้มากทีเดียว แต่ของเราจะมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่าหน่อยเพราะอ่านนิยายรักวัยรุ่นมาตั้งแต่เด็ก ทิ้งเรื่องรักๆ ไปไม่ได้เลย 555

'การบัญญัติศัพท์'
ด้วยความที่เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์ นอกจากจะชอบความสนุกของเรื่องนี้แล้ว เรายังใช้เวลาศึกษาการสร้างคำที่ใช้ในโลกเวทมนตร์นี้อยู่พักนึงเลย ภาษาที่ผู้เขียน (เจ. เค. โรลลิ่ง)  ใช้สร้างคำส่วนใหญ่คือ ภาษาละติน แต่ก็มีภาษาอื่นบ้างประปราย  หลายคนคงคุ้นชินกับภาษาละตินอยู่บ้าง  แต่อาจไม่รู้ว่ามันคือภาษาละติน ในภาษาอังกฤษมีการใช้คำละตินเยอะมากเลยค่ะ  ใช้เพื่อผสมคำ เป็น prefix บ้าง suffix บ้าง เพื่อสร้างคำใหม่  เช่นเดียวกับที่ภาษาไทยมีการยืมคำภาษาอื่นมาใช้ อย่างพวก สันสกฤต บาลี เขมร

อะ... กลับเข้าเรื่อง  การบัญญัติศัพท์แฟนตาซี  เราใช้อยู่ 2 วิธี

1. อิงจากภาษาอื่น  จริงๆ เราใช้หลายภาษาเลย ทั้งกรีก เปอร์เซีย รัสเซีย  แต่จะเน้นหนักที่ภาษาละติน เพราะชอบเป็นการส่วนตัว รู้สึกว่าออกเสียงง่ายกว่าภาษาอื่น นำมาดัดแปลงพลิกแพลงได้หลายรูปแบบ
ยกตัวอย่าง
- อาณาจักรเทมป์ส (Temps Realm) คำว่า temps เราได้มาจากคำละติน 'tempus' ที่แปลว่าเวลา  ก่อนจะได้ชื่อนี้มาก็งมอยู่นานเหมือนกัน อาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรแวมไพร์ เราอยากได้คำที่สื่อถึงแวมไพร์  ที่นึกได้ตอนนั้นก็มี เลือด, ความหนาวเย็น, ความเป็นอมตะ, ความแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็จบลงที่คำว่าเวลา เพราะอยากสื่อถึงอาณาจักรของผู้ที่มีชีวิตอยู่เหนือกาลเวลา
- ซาลู มอร์คูลัส (Zalu Morculus)  คำนี้ใช้เรียกแวมไพร์ที่เกิดมาผิดปกติ  ไม่มีความแข็งแกร่งหรือมีความเป็นอมตะเหมือนตนอื่นๆ  มาจากคำละติน 'macula' หมายถึง ตำหนิ, รอยเปื้อน, มลทิน ส่วน zalu นี่ไม่ได้มาจากภาษาไหน อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว เลยเอามาผสมกันซะเลย ยาวดี
 - ฟลอส (Flos) ชื่อนี้เป็นชื่อตระกูลหนึ่งใน '31 รายนามตระกูลชั้นสูงเก่าแก่' ที่เราสร้างขึ้นมาในโลกแฟนตาซีของตัวเอง สมาชิกตระกูลนี้มีความสามารถในการปลูกพืชผลและดอกไม้ได้งดงามที่สุดในอาณาจักร ซึ่งเป็นความสามารถที่สืบทอดทางสายเลือด คำนี้มาจากละตินอีกเหมือนกันค่ะ คือคำว่า 'flos' ตรงๆ เลย หมายถึง ดอกไม้

2. ใช้เว็บไซด์ช่วยตั้งชื่อ  เราชอบใช้  www.fantasynamegenerators.com  
เว็บไซด์นี้ดีนะ ช่วยในการตั้งชื่อต่างๆ ได้สะดวกขึ้น แต่ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเจอคำที่ถูกใจใช่เลยสักเท่าไหร่ มักเอาพยางค์หน้าของคำนึง ไปผสมกับพยางค์หลังของอีกคำนึงทำนองนี้มากกว่า  ให้ออกมาเป็นคำใหม่ที่ไม่มีในโลก เป็นคำของเราเอง
ยกตัวอย่าง
- คำว่า 'Kimore' เราเจอในเว็บและรู้สึกชอบ ออกเสียงเพราะดี แต่ไม่ชอบเวลาเขียนเป็นภาษาไทย 'คิมอร์' หรือ 'กิมอร์' เราเลยเขียนแยกใส่กระดาษแล้วแก้เป็นสิบๆ ครั้ง จนได้  'กิลมอเรส (Gilmores)' ซึ่งเราชอบวิธีการเขียนทั้งไทย อังกฤษ และการออกเสียง 
- ยังมีอีกหลายคำที่เราได้มาโดยวิธีนี้ เช่น โลรินธ์ (Lorinth), เซอร์ราเซีย (Sirrasia), อาร์คีลอส (Archelos) และอีกมากมาย

การสร้างเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และสิ่งต่างๆ ในโลกแฟนตาซี

จริงๆ การสร้างโลกของนักเขียนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างมีเทคนิคและเอกลักษณ์ของตัวเอง เราก็มีแบบฉบับของเรา ซึ่งไม่ได้เป็นหลักเกณฑ์หรือกฏเกณฑ์ข้อบังคับใดๆ ให้ใครต้องมายึดตามว่าต้องสร้างแบบนี้ๆ นะคะ แค่อยากแชร์ให้ฟังเผื่อนักเขียนคนไหนตันหรือไม่มีแรงบันดาลใจ อาจจะเกิดไอเดียดีๆ ก็ได้ (มั้ง)

สิ่งแรกที่ต้องกำหนดในโลกแฟนตาซีคือ setting ค่ะ ว่าฉากหลังของเรื่องที่เราจะเล่าคือที่ไหน สังคมแบบไหน ชีวิตความเป็นอยู่ยังไง ปกครองยังไง มีศาสนามั้ย  บลาๆ แล้วค่อยใส่รายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ลงไป อย่าง ต้นไม้ ดอกไม้ อาหารการกิน  ก่อนเริ่มเขียนเราแนะนำให้มีข้อมูลแน่นๆ ไว้ก่อน เวลาหยิบมาใช้จะได้ง่าย 

ยกตัวอย่าง สิ่งที่เราสร้างและใส่ในโลกแฟนตาซีของเรา 
1. ประชาชนแวมไพร์ >>   ถือกำเนิดได้อย่างไร มีความสามารถอะไร กินอะไร จะฆ่าให้ตายได้อย่างไร 
2. บลัดเบอร์รี่ (ฺBloodberry)   >> ฉากหลังของเราคืออาณาจักรแวมไพร์   แต่เราอยากให้แวมไพร์ของเราอยู่อย่างมีอารยธรรมขึ้นมาหน่อย  เลยสร้าง 'บลัดเบอร์รี่' ขึ้นมาเพื่อลดปัญหาการเข่นฆ่ามนุษย์  แวมไพร์ยังจำเป็นต้องดื่มเลือดแต่บลัดเบอร์รี่จะช่วยทดแทนและลดความหิวกระหายลงได้บ้าง
3. การปกครอง  >> เราวางให้อาณาจักรเทมป์สปกครองคล้ายๆ ระบบฟิวดัลแบบยุคกลาง   แต่จะไม่เหมือนเป๊ะซะทีเดียว เพราะยังไงก็คือโลกของเราอยู่แล้วเลยปรับนิดๆ หน่อยๆ  ให้มีกษัตริย์ มีราชินี  มีชนชั้นปกครอง ไม่เน้นพวกลอร์ดมากเท่าไหร่  แต่จะมีกลุ่มที่มีบทบาทคือ '31 ตระกูลชั้นสูงเก่าแก่' 

แผนผังราชวงศ์แอสเมอแรน ตระกูลผู้ปกครองอาณาจักรเทมป์ส
(ไม่ใช่ว่าตัวละครทุกตัวจะมีบทบาทนะ สร้าง family tree เพื่อความอลังการและความฮึกเหิมส่วนตัวเฉยๆ)

4. หน่วยงานต่างๆ  >>  ที่เราสร้างไว้คร่าวๆ จะมีโรงเรียนอาร์โคเดล  / สมาพันธ์แวมไพร์แห่งอาร์มอเรส ซึ่งก็มีหลายหน่วยย่อยที่ดูแลเรื่องต่างๆ กันไป เช่น กองควบคุมการเกิดและการเปลี่ยนสภาพแวมไพร์ / สุสานกาลนิทรา ซึ่งคือสถานที่ที่เก็บรักษาร่างของเหล่าแวมไพร์ผู้จำศีล
5.   ภาษา >> แวมไพร์ในเทมป์สใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง แต่ไม่ได้เรียกว่าภาษาอังกฤษ จะเรียกว่า 'ภาษาร่วม'  ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับที่นักเขียน A Song of Ice and Fire ใช้ ส่วนเหตุผลที่ทำไมแวมไพร์ในโลกนี้พูดอังกฤษ ก็เพราะว่าเขามีการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ในโลกปัจจุบันเป็นประจำเลยได้รับอิทธิพลเรื่องภาษามา แต่พวกเขาเองก็มีภาษาของอาณาจักรเหมือนกัน คือ 'ภาษาเทมป์สโบราณ' ซึ่งคนไม่ค่อยใช้กันแล้วแต่ก็ยังต้องศึกษาอยู่ เหตุผลที่เราเลือกภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง แทนที่จะให้ตัวละครพูดภาษาเทมป์สโบราณของตัวเองไปเลยก็เพราะ  ชื่อตัวละครและการตั้งชื่อสิ่งต่างๆ ของเราค่ะ หลายๆ ชื่อมีอยู่จริงและใช้กันในภาษาอังกฤษ  อย่างเช่น เอสเตลล์, เฟรย่า หรือทริสแทน   มันคือชื่อคนจริงๆ ที่โลกเราใช้ เราเลยเลือกตัดปัญหาไปเลยโดยการให้พูดอังกฤษไปซะ คนอ่านจะได้ไม่เอ๊ะ! ในใจว่าพูดภาษาเทมป์ส แต่ทำไมชื่อของคนในอาณาจักรถึงเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าถามว่าจำเป็นต้องบอกมั้ยว่าคนในโลกแฟนตาซีของตัวเองพูดภาษาอะไร อันนี้ไม่ค่อยจำเป็นนะในความคิดเรา เขียนๆ ไปเดี๋ยวคนอ่านก็เก็ทเอง  แค่อย่าเผลอปล่อยไก่เล่นมุกเรื่องภาษาแล้วกัน  เพราะเราเคยอ่านแฟนตาซีเรื่องนึงซึ่งมีความเป็นฝรั่งสูงมาก แต่ดันมีตัวละครที่ร้องเพลงไทยออกมา  อย่างเพลงลูกอมของวัชราวลีเงี้ยย แบบนี้มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่
6. ศาสนา >> ส่วนนี้เรายังไม่ได้สร้าง นิยายแฟนตาซีบางเรื่องไม่ใส่รายละเอียดเกี่ยวกับศาสนามาเพราะคนเขียนไม่ได้เน้นประเด็นนี้ แต่เราคิดว่าจำเป็นต้องใส่ไปในเรื่องของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีบทบาทมากก็เถอะ ใส่ให้โลกมันครบสมบูรณ์ จะได้สมจริงมากขึ้น
7. สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสร้างขึ้นมาให้เป็นสีสันของเรื่อง >> ต้นไม้, ดอกไม้, ผลไม้, ยาพิษ, สัตว์, ร้านค้าต่างๆ
ยกตัวอย่าง
- จิงซ์ >> สัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขจิ้งจอกขนาดเล็ก มี 2 สายพันธุ์ ใช้ส่งจดหมายหรือพัสดุได้
- ยาพิษและยาสารพัดประโยชน์ >>   กลิ่นอำพัน (Smell of Amber) เป็นยาเสน่ห์ฤทธิ์ร้ายกาจ, Long Nightmare เป็นยาพิษที่ทำให้ผู้ดื่มอยู่ในอาการหลับใหลและทุรนทุรายจากฝันร้าย, หลับใหลชั่วกาล (Last Sleep) ยาพิษที่ใช้ประหารนักโทษ,  ลืมเลือนนิรันดร์ (Forever Forget) ทำให้ผู้ดื่มลืมความทรงจำที่เลวร้าย
- ดอกไม้ >>  โรซ่า แอนนาลิส (Rosa Annalyze) ดอกกุหลาบสีฟ้าอ่อน กลิ่นหอมสดชื่นเหมือนน้ำฝน หายากและราคาแพง เป็นวัตุดิบในการปรุงยา 'ลืมเลือนนิรันดร์' ถูกตั้งชื่อตาม 'แอนนาลิส มอร์' แวมไพร์ผู้คิดค้นสายพันธุ์, หยดน้ำตาแห่งซาร์คาริส (Teardrops of Zarcaris) ดอกไม้ดอกเล็กๆ สีฟ้า ดอกไม้นี้เราเขียนตำนานสั้นๆ ให้มันด้วย  ตั้งใจจะให้ตัวละครสักตัวเล่าให้ตัวละครอื่นฟัง

                                                                                
                                                                ได้รับอนุญาตจากเจ้าของรูป Tanua Timnam อย่างถูกต้อง
                                                                          https://www.artstation.com/artwork/4bOadk

ตำนานหยดน้ำตาแห่งซาร์คาริส (Teardrops of Zarcaris)
...นานมาแล้ว ภูตพฤกษาตนหนึ่งนามว่า ‘เซียร์ร่า (Sierra)’ ธิดาของจ้าวแห่งพฤกษา ‘ไคเธียน (Kaithyen)’ จ้าวแห่งผืนป่าทั้งปวง เซียร์ร่าคือผู้มีความงามเป็นที่กล่าวขานไปทั่วแผ่นฟ้าและแผ่นดิน นางทำหน้าที่ปกปักษ์ดูแลป่าฤดูร้อนซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองซาร์คาริสในปัจจุบัน ภูตสาวตกหลุมรักแวมไพร์หนุ่มนาม ‘เซอเรน (Zeren)’ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วยกับความรักนี้ เพราะไม่อยากให้ธิดาของตนรักใคร่ผูกพันกับสิ่งมีชีวิตต้องคำสาปอย่างเผ่าพันธุ์แวมไพร์ ไคเธียนจึงซ่อนเร้นกายนางจากสายตาของเขาตลอดกาล
...เซอเรนตามหาคนรักของเขาทุกหนแห่ง ขณะที่เซียร์ร่าได้แต่เฝ้ามองอย่างทุกข์ใจเพราะไม่อาจต้านทานอำนาจของบิดาเพื่อออกไปปรากฏกายหรือทำให้เขาได้ยินเสียงของนางได้
...หยดน้ำตาของภูตพฤกษาผู้ทุกข์ระทมหลั่งรดผืนดินในทุกๆ ก้าวที่นางเหยียบย่างไป เกิดเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ สีเดียวกับท้องฟ้ายามไร้เมฆบดบัง เฉกเช่นเดียวกับดวงตาของนาง เซอเรนรู้ได้ทันที ทุกๆ วันเขาไปเยือนสถานที่ที่ดอกไม้งามเติบโตเพราะรู้ว่าเซียร์ร่ารอคอยเขาอยู่ที่นั่น
...แวมไพร์หนุ่มเล่าสิ่งต่างๆ ที่ผ่านไปแต่ละวันให้นางฟัง ทั้งเรื่องสุขและเรื่องทุกข์ และเมื่อเขากลับไปที่แห่งนั้นในวันต่อๆ มา ดอกไม้ดอกเล็กก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกครั้ง นางร่ำไห้เพราะเศร้าเสียใจที่ไม่สามารถปลอบโยนยามเขาทุกข์ใจหรือร่วมยินดียามเขาเป็นสุขได้
...เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จ้าวแห่งพฤกษาสงสารธิดาของตน เขาจึงอนุญาตให้นางได้พบคนรักในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เหตุเพราะนางต้องทำหน้าที่ดูแลผืนป่าให้งดงามในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่นั่นก็สร้างความปีติยินดีให้แก่ภูตพฤกษาเซียร์ร่าและแวมไพร์หนุ่มเซอเรนเพียงพอแล้ว
...ดอกไม้ดอกเล็กที่แรกเริ่มเคยถูกเรียกว่า ‘หยดน้ำตาแห่งเซียร์ร่า (Teardrops of Sierra)’ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘หยดน้ำตาแห่งซาร์คาริส (Teardrops of Zarcaris)’ แทน เพราะบัดนี้ภูตพฤกษาผู้มีความงามเป็นที่กล่าวขานทั่วทั้งแผ่นฟ้าและแผ่นดินไม่ได้ร่ำไห้อีกต่อไป


**น่าจะครบทุกประเด็นที่เราอยากแบ่งปันกับเพื่อนๆ แล้ว  หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับนักเขียนและนักอยากเขียนไม่มากก็น้อยนะคะ**

**คนไหนเขียนแฟนตาซีอยู่ ส่งเสียงหน่อยนะ อยากรู้ววว หรือถ้าใครอยากได้คำปรึกษาแนะนำก็เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้น้าา**

 

แสดงความคิดเห็น

>

7 ความคิดเห็น

Watarmelon 28 ต.ค. 63 เวลา 22:02 น. 1

สำหรับคนขี้เกียจอย่างเราก็จะทำตามโลกจริงไปเลย 555

อาณาจักรหลักในเรื่องเราคนพูด Middle English ค่ะ ส่วนภาษากลางคือละติน (ไม่ได้พูดถึงเลยแต่แอบเขียนไว้ตามรูปนิส ๆ)

ขอบคุณสำหรับกระทู้ดี ๆ ค่าาาา

7
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 22:14 น. 1-1

เท่าที่เห็นในนิยายก็ไม่ขี้เกียจน้าา

อะไรต่างๆ ก็เยอะเอาเรื่องอยู่ววว คนมีปีกทั้งหลาย

0
Watarmelon 28 ต.ค. 63 เวลา 22:37 น. 1-2

อ่อ ๆ อีกอย่างที่เราใช้คือชื่อเมืองเรามาจากชื่อดาวค่ะ เอามาเปลี่ยนนิด ๆ

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-06.png

0
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 22:42 น. 1-3

พี่ก็ชอบไปดูชื่อดาวเหมือนกันนน เพราะๆๆๆ

กะอีกอย่าง ชื่อสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลกับไดโนเสาร์ พวกเนี้ย

ปลิงทะเลเอย หอยทากเอย สิ่งมีชีวิตเมือกๆทั้งหลาย

0
Watarmelon 28 ต.ค. 63 เวลา 22:45 น. 1-4

จะเอามาตั้งชื่อทีก็ต้องระวังค่ะ ไม่ใช่เป็นชื่อที่แปลแล้วความหมายแปลก ๆ เช่น Rigel "เท้า" ไม่น่ามีใครอยากตั้งชื่ออาณาจักรตัวเองแบบนั้น 55555

0
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 22:48 น. 1-5

ส่วนใหญ่ถ้าเป็นชื่อคน พี่เลือกใช้ชื่อฝรั่งไปเลย เซฟสุด

จะว่าไป Rigel ก็ดูจะออกเสียงเพราะอยู่นะ 55

0
Watarmelon 28 ต.ค. 63 เวลา 22:51 น. 1-6

ค่ะ ชื่อคนเราก็เลือกชื่อ "ฝรั่ง" ไปเลย (สารภาพว่าเลือกชื่อคนนานมาก 555)

จริง ๆ อย่างนึงที่เราบอกคนอื่นตลอดคือเลือกชื่อ "ฝรั่ง" เนี่ย (อันนี้เฉพาะเซ็ตติ้งย้อนยุค) เลือกใช้มาจากแถบเดียวกันด้วย ไม่ใช่ในครอบครัวนึงมีทั้งคนชื่อภาษาตระกูลเจอร์มานิค มีทั้งคนชื่อภาษาตระกูลโรแมนซ์ แบบ มันไม่ใช่อ่ะค่ะ 55555

0
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 22:56 น. 1-7

ของพี่นี่แหละน่าจะปนกันหลายภาษา 555

แต่ไม่เป็นไร แวมไพร์พี่ไปทัวร์โลกมนุษย์บ่อย เลยรับภาษามาหลากหลาย

ยังหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้อยู่ววว บ้าบออ

0
Miran/Licht 28 ต.ค. 63 เวลา 22:07 น. 2

ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ
ด้วยความว่าเรียนสายวิทย์มาทางชีวะและเคมี มันก็เลยได้คำศัพท์ภาษากรีก ละติน ที่เป็นศัพท์วิทยาศาสตร์แถมมา บวกกับที่เรียนเยอรมันมาหน่อย แล้วก็อาศัยพจนานุกรมต่าง ๆ ก็จะได้ออกมาเป็นชื่อต่าง ๆ เยอะเลยค่ะ
แต่ส่วนใหญ่เราใช้ชื่อวิทยาศาสตร์มาแปลงเสียงให้อ่านง่ายขึ้นมาเป็นชื่อ-สกุลมากกว่าค่ะ บางทีก็เลยใช้ชื่อพืชตระกูลนั้นมาตั้งชื่อตัวละครทั้งตระกูลไปเลยไม่ต้องคิดมาก
บางทีก็จะนำคำศัพท์เกี่ยวกับหน่วยของการวัดทั้งตระกูล มาเป็นชื่อตัวละครทั้งหมด แค่อักษรกรีกก็ได้เยอะแล้วค่ะ อัลฟ่า, เบต้า, แกรมม่า, เดลต้า, เอปซีลอน, ..., โอเมก้า
ิัby ผู้เบื่อโลกวิชาการเลยเขียนแฟนตาซีไปซะเลย...

17
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 22:17 น. 2-1

ชื่อวิทยาศาสตร์เราเคยหยิบมาใช้บ้างเหมือนกันค่ะ

ชื่ออลังๆ ออกเสียงยากๆ เยอะดี แต่สมัยเรียนก็เล่นเอาท่องจนเอียนไปเลย 555

0
Miran/Licht 28 ต.ค. 63 เวลา 22:28 น. 2-2

เอาแค่กุ้งก้ามกรามก็ได้ค่ะ Macrobrachium rosenbergii ชื่อฟังแลดูไฮโซดีนะคะ หรือจะเป็น Senga malayana แต่อันนี้เป็นชื่อพยาธิค่ะ https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-02.png

0
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 22:34 น. 2-3

เหมือนชื่อเคานต์อะไรสักอย่างเลย แลดูสูงส่งจนคนไม่กล้าเอ่ยชื่อ

เอ... หรือออกเสียงชื่อไม่ถูกหว่า ชักเริ่มไม่แน่ใจ 555

0
Miran/Licht 28 ต.ค. 63 เวลา 22:47 น. 2-4

ที่จริงมันก็แปลความหมายได้อยู่ brachium = เกี่ยวกับ ระยางค์ macro = มีขนาดใหญ่ คือมีระยางค์ขนาดใหญ่ ถูกค้นพบโดยคุณโรเซนเบิร์ก ส่วน malayana คือ มารยัน (มาเลย์ แหล่งที่พบ)

0
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 22:51 น. 2-5

ชื่อที่สองทำให้นึกถึงลาซานญ่า 555

ไม่ก็หนังผีอะไรสักอย่าง

0
Miran/Licht 28 ต.ค. 63 เวลา 23:03 น. 2-6
0
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 23:08 น. 2-9

ริกเก็ตเซีย กับ เพอริเฟอร่า ฟังๆ ดูมันก็เพราะดีนะ 555 แต่ฮาไม่ไหว

เราเคยเจอชื่อนึง จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่เห็นมีคนบอกว่ามันหมายถึง หูดชนิดหนึ่งที่งอกบนส้นเท้า

0
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 23:12 น. 2-10

ส่วนแอนโชวี่ก็น่ารักดีนะคุณวาตะ

แบบว่าครอบครัวทำโรงงานปลาเค็มไง มันได้อยู่นะ


0
Miran/Licht 28 ต.ค. 63 เวลา 23:21 น. 2-11

@คุณWatarmelon อดนึกถึงแอนโชวี่อัดกระป๋องเหม็น ๆ ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ แถมชื่อนางเอกด้วยนะ อ่านชื่อนางเอกปุ๊ป กลิ่นก็ลอยมา...https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-11.png @Relita Callister แม้ชื่อวิทยาศาสตร์มันฟังดูไฮโซแต่ต้องระวังความหมายนี่แหละค่ะ บางทีคือนิยายซีเรียสแต่ขรรมเหนื่อย เคยเจอคือนักเขียนบางท่าน เขียนภาษาเยอรมันแทรกในเนื้อหา แต่ ๆๆๆ ภาษาเยอรมันนี่คำกิริยามันมีการผันด้านท้ายตามประธานค่ะ จากฉากซีเรียสเราขรรมก็มี


คือตามท้องเรื่องเขากำลังตะโกนด่ากันแบบหยาบคาย ซึ่งในที่นี้มันต้องใช้ประธานที่เป็นคำสรรนามรูปหนึ่งซึ่งใช้กับคนสนิทเท่านั้น ถ้าไม่ใช้กับคนสนิทคือจะเป็นการดูถูกเหยีดหยาม แต่เขาดันยกคำกริยามาในรูปเต็ม (แบบเปิดพจนานุกรมเจอก็เอามา) ซึ่งการใช้รูปเต็มส่วนใหญ่ใช้กับประธานในรูปสรรพนามแบบ สุภ๊าพ สุภาพ อันเป็นต้นเหตุแห่งความอ่านไปขรรมไปค่ะ // เอ้อ ครือ อิชุ้นผิดเองที่รู้มากไป สินะ สินะ

0
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 23:27 น. 2-12

นี่แหละ เราถึงไม่ค่อยอยากเขียนเรื่องที่ไม่รู้จริงเท่าไหร่ โดยเฉพาะการอ้างอิงภาษาอื่นที่เราไม่ถนัด

กลัวผิดแล้วโดนนักอ่านแหกหน้า 555

รู้ให้ดี รู้ให้แน่ ปลอดภัยไว้ก่อนนน


0
Watarmelon 28 ต.ค. 63 เวลา 23:28 น. 2-13

แต่อยู่บนพิซซ่าก็อร่อยดีนะคะ //ผิด ๆ 555

ยังดีแค่แอนโชวี่ ไม่เป็นเซอสตรอมมิ่ง Surströmming 555


โอ้โหพอพูดถึงภาษาเยอรมันแล้วเข้าใจความรู้สึกเลยค่ะ ของเราคือพอจะเขียน Old English ไม่ก็ละตินทีคือแบบ คิดแล้วคิดอีกว่าผันถูกมั้ย กลั๊วกลัว 555


แต่บางทีคือไม่ต้องถึงภาษาที่มี inflection ก็ได้แต่แบบ บางทีเห็นเขียนภาษาอังกฤษมาแล้วผิด เรานี่กุมขมับทันที

0
Miran/Licht 28 ต.ค. 63 เวลา 23:37 น. 2-14

@Relita Callister จริงค่ะเราเลยไม่ค่อยใช้สองภาษาควบเท่าไร
1. กลัวออกเสียงผิด เว้นแต่เช็กแล้ว
2. กลัวเป็นแบบที่เจอนี่แหละ ผันผิดรูป คนอ่านที่ทราบจะขรรมเอาได้
เลยเขียนแฟนตาซีมันเลย...
@คุณWatarmelon อันที่เปิดกระป๋องทีกลิ่นโชยไปไกลสามบ้านแปดบ้านสินะคะ

อย่างละตินนี่ต้องเช็กรูปผันแล้วผันอีกค่ะ เพราะดันมีว่า ผันแล้วใช้กับเพศชาย กับผันแล้วใช้กับเพศหญิง // เกาหัว แล้วอ.ดันบอกว่า เยอรมันเป็นภาษาเก่าที่มีรากศัพท์มาจากละติน (เริ่มมองบน)
เคยเมนต์เวลาคนถามว่า แปลเป็นอังกฤษถูกไหม คือ ตามหลักภาษา ไม่ผิดค่ะ แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้พูดกันแบบนั้น หรือเพราะฝรั่งที่เจอมักเป็นฝรั่งเยอรมัน อิตาลี สมัยเรียนมัธยมครูสอนอังกฤษก็เป็นฟิลิปปินส์กับศรีลังกาด้วย ไม่ใช่ native English

0
Watarmelon 28 ต.ค. 63 เวลา 23:41 น. 2-15

เอ๊ะ เอ๊ะ เยอรมันมาจากละตินคืออัลไลคะะะะ (มองบนเช่นกัน เคือง)

0
Miran/Licht 28 ต.ค. 63 เวลา 23:58 น. 2-16

หมายถึง เยอรมันใช้อักษรละตินในการเขียน คำศัพท์บางคำก็มีตรงหรือใกล้เคียงกับละติน

0
Watarmelon 29 ต.ค. 63 เวลา 00:02 น. 2-17

อ๋อค่ะ ตกใจ 555

พอดีเท่าที่รู้มาคือไม่ได้ใกล้ขนาดนั้นเพราะส่วนใหญ่จะมาจาก Germanic สมัยก่อน อ่านแล้วเลยงง ขอโทษด้วยค่าาาาา

0
PO-Wattana 28 ต.ค. 63 เวลา 22:28 น. 3

ของผมจะเป็นละตินผสม ละดัดคำอีกทีครับ อย่างเช่น อนีฮีโล (Anihilo) มาจากละติน คำว่า Anima ที่แปลว่าชีวิต กับ Nihilo ที่แปลว่าว่างเปล่ามารวมกัน ออกมาเป็นวิญญาณที่จะสูบชีวิตของคนจนเหลือเพียงความว่างเปล่า อะไรทำนองนั้นครับ

1
Relita Callister 28 ต.ค. 63 เวลา 22:36 น. 3-1

ฟังดูเหมือนคำญี่ปุ่นเหมือนกันแฮะ แบบ นิฮิโระ

แปลกหู แต่ก็เพราะดีนะ เดี๋ยวเราลองเอาไปผสมมั่ง

0
Relita Callister 29 ต.ค. 63 เวลา 01:53 น. 4-1

กอดๆๆ ขอบคุณล่วงหน้านะค้าา ไม่คิดว่าจะจำกันได้ ดีใจจจ


เรื่องเก็บข้อมูลเราใช้เวลานานมากเลยค่ะ อาจจะนานกว่าเวลาที่จะใช้เขียนตัวนิยายจริงๆ อีก ถ้าไม่มีข้อมูลแน่นๆ เอาไว้มันไม่อุ่นใจจ


เราก็เรียนสเปนกับจีนมาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้เอามาใช้ในนิยายตัวเองเลย ส่วนละตินกับภาษาอื่นๆ เราไม่ได้มีความรู้พื้นฐานเลยค่ะ อาศัยเปิด dictionary เอา กร๊ากก เพราะจะหาคำเอามาสร้างคำใหม่เฉยๆ

0
Watarmelon 29 ต.ค. 63 เวลา 06:58 น. 4-3

เบื่อละติน ลองเปลี่ยนเป็นกรีกดูไหมคะ 555

0
Relita Callister 29 ต.ค. 63 เวลา 16:54 น. 4-5

อย่างที่คุณวาตะว่าเลยฮ่ะ ถ้าละตินไม่เวิร์คก็ลองภาษาอื่นๆ ดู

ตอนเราค้นศัพท์ก็เปิด dictionary หลายๆ ภาษาเลยนะ ค้นคำที่มีความหมายเดียวกันไปพร้อมๆ กัน

แต่เราชอบละตินสุด ส่วนใหญ่ศัพท์ที่ได้มีแต่ละตินน่ะ

คุณ Marcelline ลองดู กรีก เปอร์เซีย รัสเซีย ลัตเวีย ฝรั่งเศส เยอรมัน ดูนะคะ เผื่อช่วยได้

0
winidira 28 ต.ค. 63 เวลา 23:57 น. 5

ก็ยังไม่เคยเขียนนิยายเเฟนตาซีทีีใหญ่โตอลังการ เเต่ก็มีเเนวคิดวิธีการสร้างโลกเเฟนตาซี โดยใช้

1.ทฤษฎีสถาบันทางสังคม มาช่วยในการจัดหมวดหมู่่ความสัมพันธ์ขององค์กรต่างๆในโลกเเฟนตาซี ก็เเบ่งไปเลย 7 สถาบัน เเล้วค่อยมาดูว่า ในนิยายเรื่ิองที่กำลังเเต่ง สถาบันไหนจะมีบทบาทในเนื้อเรื่องอย่างสำคัญ ก็ค่อยไปลงรายละเอียดที่สถาบันนั้น สถาบันอื่นๆก็เก็บไว้เป็นบรรยากาศ ไม่ก็เอามาใช้ที่หลังได้

2.ประวัติศาสตร์ ทุกๆอย่างมีอดีตของมัน โลกเเฟนตาซีก็เช่นกัน ต้องเขียนรายละเอียดเเละที่มาต่างๆของสิ่งที่มีสำคัญต่อเนื้อเรื่อง หรือถ้าใครชอบรายละเอียดตรงไหน ก็ไปใส่ประวัติได้

3.ปัญหาสังคม วัฒนธรรม เเละค่านิยมหลัก(คติธรรม วัตถุธรรม เนติธรรม สหธรรม) เช่น คนในสังคมถือเเนวคิดทางความเชื่อ/การเมืองเเบบใดเป็นสำคัญ กฎหมายเน้นไปที่เรื่องอะไร คนในสังคมกำลังต้องการอะไรมากที่สุด การจะเน้นในวัฒนธรรมด้านใดก็ต้องไปดูว่าเน้นสถาบันไหน

4.ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ในเขตสำคัญเเบบละเอียดเเละในเขตทั่วไปอย่างสังเขป สองอย่างนี้ส่งผลต่อวัฒนธรรมเเละความต้องการของคนในสังคมในโลกเเฟนตาซี(ยิ่งถ้าเป็นนิยายสงครามยิ่งต้องลงรายละเอียดให้ลึกเพราะส่งผลต่อเนื้อเรื่อง)

5.ชาติพันธ์ุเเละสิ่งมีชีวิตในเขตหนึ่งๆ อันนี้จะสอดคล้องกับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ส่วนไหนสำคัญต่อเนื้อเรื่องก็ลงรายละเอียด ไม่สำคัญก็ไม่ต้องลงหรือเอาเป็นบรรยากาศก็ดี

6.การเเบ่งกลุ่มจัดฝั่งฝ่ายขององค์กรที่ทรงอิทธิพล อันนี้มีีไว้เพื่อจัดคู่ Vs


เยอะจริงๆเลย ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของสเกลเรื่องเเละความเกี่ยวพันของปัญหาเเละตัวละคร

ปล.ถ้าวันไหนเริ่มเขียนในสักวัน ก็จะลองใช้ดู จะได้รู้ว่าได้ผลอย่างไร ส่วนเรื่องการตั้งชื่ออะไรเนี่ย รู้สึกว่ามันยุ่งยากกว่าอีก

2
Relita Callister 29 ต.ค. 63 เวลา 02:05 น. 5-1

ขอบคุณที่มาแบ่งปันนะคะ


โดยส่วนตัว เราเอนจอยกับการตั้งชื่อต่างๆ มากกว่าการโฟกัสเรื่องระบบสังคมหรือภูมิศาสตร์น่ะค่ะ เพราะไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับพวกนี้เท่าไหร่ รวมถึงเราไม่ได้จะเขียนนิยายสงคราม แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้ก็สำคัญเพราะเราจะสร้างโลกใหม่อะเน๊าะ ต้องมีองค์ประกอบพวกนี้อยู่แล้ว แค่จะไม่ได้เน้นอะไรมาก

0
winidira 30 ต.ค. 63 เวลา 01:05 น. 5-2

ส่วนตัวที่เน้นเรื่องนี้ ก็เพราะว่าเวลาสร้างอะไรใหญ่ๆ มันก็ย่อมจะต้องเสียดายเวลาที่ต้องทิ้งมันไป เรียกว่า "ลดโอกาสการดอง" เเถมยังน่าจะมีความน่าตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่เขียน เเบบว่า "จะเล่นเรื่องนี้ก็ได้งั้นเหรอเนี่ย เจ๋งไปเลย" เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของนักเขียน สร้างโลกให้โลกหมุนไปของมันเอง เเล้วรอดูเรื่องน่าสนุกที่จะเกิดขึ้น

0
BJP1107 29 ต.ค. 63 เวลา 12:00 น. 6

เข้าสถานะดองไปละคะ อาจเพราะนิยายที่เราเขียนมันนอกกระแส + หมวดรักแฟนตาซี คนติดตามน้อยและอาจจะไม่ใช่แนวhttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-03.png

3
Relita Callister 29 ต.ค. 63 เวลา 16:50 น. 6-1

ช่วงนี้แฟนตาซีไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าจีนโบราณจริงๆ แหละ

เผลอๆ เราแต่งไปแล้วอาจจะต้องดองเหมือนกัน 555

0