[แชร์] วิธีการสร้างเรื่องราวและบัญญัติศัพท์ใหม่ในนิยายแฟนตาซี
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนนะคะ วันนี้เราอยากมาพูดคุยรวมถึงแบ่งปันวิธีการสร้างเรื่องราวและการบัญญัติศัพท์ใหม่ในโลกแฟนตาซีแบบฉบับของเราให้เพื่อนๆ ฟังค่ะ เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังเขียนนิยายแฟนตาซีอยู่ แต่เพื่อนๆ ที่เขียนนิยายแนวอื่นก็สามารถนำไปปรับใช้ได้นะคะ หวังว่ากระทู้ของเราจะเป็นประโยชน์ต่อนักเขียนและนักอยากเขียนไม่มากก็น้อย
ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพนะคะ แค่เป็นนักอ่านที่อ่านหนังสือเยอะและพอมีความรู้ทางด้านนี้บ้างเท่านั้น ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด แต่พอให้คำปรึกษาและแนะนำได้ค่ะ
เราขอพูดถึงเรื่อง 'การบัญญัติศัพท์' ก่อนแล้วกันนะ เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่เคยเสพสื่อแฟนตาซีคงจะผ่านตาสิ่งเหล่านี้มาบ้าง ขอออกตัวก่อนว่าเราเป็นแฟน Harry Potter กับ A Song of Ice and Fire ตัวยงเลยค่ะ เพราะฉะนั้นงานเขียนของเราจะได้รับอิทธิพลจากหนังสือสองชุดนี้มากทีเดียว แต่ของเราจะมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากกว่าหน่อยเพราะอ่านนิยายรักวัยรุ่นมาตั้งแต่เด็ก ทิ้งเรื่องรักๆ ไปไม่ได้เลย 555
'การบัญญัติศัพท์'
ด้วยความที่เราเป็นแฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์ นอกจากจะชอบความสนุกของเรื่องนี้แล้ว เรายังใช้เวลาศึกษาการสร้างคำที่ใช้ในโลกเวทมนตร์นี้อยู่พักนึงเลย ภาษาที่ผู้เขียน (เจ. เค. โรลลิ่ง) ใช้สร้างคำส่วนใหญ่คือ ภาษาละติน แต่ก็มีภาษาอื่นบ้างประปราย หลายคนคงคุ้นชินกับภาษาละตินอยู่บ้าง แต่อาจไม่รู้ว่ามันคือภาษาละติน ในภาษาอังกฤษมีการใช้คำละตินเยอะมากเลยค่ะ ใช้เพื่อผสมคำ เป็น prefix บ้าง suffix บ้าง เพื่อสร้างคำใหม่ เช่นเดียวกับที่ภาษาไทยมีการยืมคำภาษาอื่นมาใช้ อย่างพวก สันสกฤต บาลี เขมร
อะ... กลับเข้าเรื่อง การบัญญัติศัพท์แฟนตาซี เราใช้อยู่ 2 วิธี
1. อิงจากภาษาอื่น จริงๆ เราใช้หลายภาษาเลย ทั้งกรีก เปอร์เซีย รัสเซีย แต่จะเน้นหนักที่ภาษาละติน เพราะชอบเป็นการส่วนตัว รู้สึกว่าออกเสียงง่ายกว่าภาษาอื่น นำมาดัดแปลงพลิกแพลงได้หลายรูปแบบ
ยกตัวอย่าง
- อาณาจักรเทมป์ส (Temps Realm) คำว่า temps เราได้มาจากคำละติน 'tempus' ที่แปลว่าเวลา ก่อนจะได้ชื่อนี้มาก็งมอยู่นานเหมือนกัน อาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรแวมไพร์ เราอยากได้คำที่สื่อถึงแวมไพร์ ที่นึกได้ตอนนั้นก็มี เลือด, ความหนาวเย็น, ความเป็นอมตะ, ความแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็จบลงที่คำว่าเวลา เพราะอยากสื่อถึงอาณาจักรของผู้ที่มีชีวิตอยู่เหนือกาลเวลา
- ซาลู มอร์คูลัส (Zalu Morculus) คำนี้ใช้เรียกแวมไพร์ที่เกิดมาผิดปกติ ไม่มีความแข็งแกร่งหรือมีความเป็นอมตะเหมือนตนอื่นๆ มาจากคำละติน 'macula' หมายถึง ตำหนิ, รอยเปื้อน, มลทิน ส่วน zalu นี่ไม่ได้มาจากภาษาไหน อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว เลยเอามาผสมกันซะเลย ยาวดี
- ฟลอส (Flos) ชื่อนี้เป็นชื่อตระกูลหนึ่งใน '31 รายนามตระกูลชั้นสูงเก่าแก่' ที่เราสร้างขึ้นมาในโลกแฟนตาซีของตัวเอง สมาชิกตระกูลนี้มีความสามารถในการปลูกพืชผลและดอกไม้ได้งดงามที่สุดในอาณาจักร ซึ่งเป็นความสามารถที่สืบทอดทางสายเลือด คำนี้มาจากละตินอีกเหมือนกันค่ะ คือคำว่า 'flos' ตรงๆ เลย หมายถึง ดอกไม้
2. ใช้เว็บไซด์ช่วยตั้งชื่อ เราชอบใช้ www.fantasynamegenerators.com
เว็บไซด์นี้ดีนะ ช่วยในการตั้งชื่อต่างๆ ได้สะดวกขึ้น แต่ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเจอคำที่ถูกใจใช่เลยสักเท่าไหร่ มักเอาพยางค์หน้าของคำนึง ไปผสมกับพยางค์หลังของอีกคำนึงทำนองนี้มากกว่า ให้ออกมาเป็นคำใหม่ที่ไม่มีในโลก เป็นคำของเราเอง
ยกตัวอย่าง
- คำว่า 'Kimore' เราเจอในเว็บและรู้สึกชอบ ออกเสียงเพราะดี แต่ไม่ชอบเวลาเขียนเป็นภาษาไทย 'คิมอร์' หรือ 'กิมอร์' เราเลยเขียนแยกใส่กระดาษแล้วแก้เป็นสิบๆ ครั้ง จนได้ 'กิลมอเรส (Gilmores)' ซึ่งเราชอบวิธีการเขียนทั้งไทย อังกฤษ และการออกเสียง
- ยังมีอีกหลายคำที่เราได้มาโดยวิธีนี้ เช่น โลรินธ์ (Lorinth), เซอร์ราเซีย (Sirrasia), อาร์คีลอส (Archelos) และอีกมากมาย
การสร้างเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และสิ่งต่างๆ ในโลกแฟนตาซี
จริงๆ การสร้างโลกของนักเขียนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างมีเทคนิคและเอกลักษณ์ของตัวเอง เราก็มีแบบฉบับของเรา ซึ่งไม่ได้เป็นหลักเกณฑ์หรือกฏเกณฑ์ข้อบังคับใดๆ ให้ใครต้องมายึดตามว่าต้องสร้างแบบนี้ๆ นะคะ แค่อยากแชร์ให้ฟังเผื่อนักเขียนคนไหนตันหรือไม่มีแรงบันดาลใจ อาจจะเกิดไอเดียดีๆ ก็ได้ (มั้ง)
สิ่งแรกที่ต้องกำหนดในโลกแฟนตาซีคือ setting ค่ะ ว่าฉากหลังของเรื่องที่เราจะเล่าคือที่ไหน สังคมแบบไหน ชีวิตความเป็นอยู่ยังไง ปกครองยังไง มีศาสนามั้ย บลาๆ แล้วค่อยใส่รายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ลงไป อย่าง ต้นไม้ ดอกไม้ อาหารการกิน ก่อนเริ่มเขียนเราแนะนำให้มีข้อมูลแน่นๆ ไว้ก่อน เวลาหยิบมาใช้จะได้ง่าย
ยกตัวอย่าง สิ่งที่เราสร้างและใส่ในโลกแฟนตาซีของเรา
1. ประชาชนแวมไพร์ >> ถือกำเนิดได้อย่างไร มีความสามารถอะไร กินอะไร จะฆ่าให้ตายได้อย่างไร
2. บลัดเบอร์รี่ (ฺBloodberry) >> ฉากหลังของเราคืออาณาจักรแวมไพร์ แต่เราอยากให้แวมไพร์ของเราอยู่อย่างมีอารยธรรมขึ้นมาหน่อย เลยสร้าง 'บลัดเบอร์รี่' ขึ้นมาเพื่อลดปัญหาการเข่นฆ่ามนุษย์ แวมไพร์ยังจำเป็นต้องดื่มเลือดแต่บลัดเบอร์รี่จะช่วยทดแทนและลดความหิวกระหายลงได้บ้าง
3. การปกครอง >> เราวางให้อาณาจักรเทมป์สปกครองคล้ายๆ ระบบฟิวดัลแบบยุคกลาง แต่จะไม่เหมือนเป๊ะซะทีเดียว เพราะยังไงก็คือโลกของเราอยู่แล้วเลยปรับนิดๆ หน่อยๆ ให้มีกษัตริย์ มีราชินี มีชนชั้นปกครอง ไม่เน้นพวกลอร์ดมากเท่าไหร่ แต่จะมีกลุ่มที่มีบทบาทคือ '31 ตระกูลชั้นสูงเก่าแก่'
แผนผังราชวงศ์แอสเมอแรน ตระกูลผู้ปกครองอาณาจักรเทมป์ส
(ไม่ใช่ว่าตัวละครทุกตัวจะมีบทบาทนะ สร้าง family tree เพื่อความอลังการและความฮึกเหิมส่วนตัวเฉยๆ)
(ไม่ใช่ว่าตัวละครทุกตัวจะมีบทบาทนะ สร้าง family tree เพื่อความอลังการและความฮึกเหิมส่วนตัวเฉยๆ)
4. หน่วยงานต่างๆ >> ที่เราสร้างไว้คร่าวๆ จะมีโรงเรียนอาร์โคเดล / สมาพันธ์แวมไพร์แห่งอาร์มอเรส ซึ่งก็มีหลายหน่วยย่อยที่ดูแลเรื่องต่างๆ กันไป เช่น กองควบคุมการเกิดและการเปลี่ยนสภาพแวมไพร์ / สุสานกาลนิทรา ซึ่งคือสถานที่ที่เก็บรักษาร่างของเหล่าแวมไพร์ผู้จำศีล
5. ภาษา >> แวมไพร์ในเทมป์สใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง แต่ไม่ได้เรียกว่าภาษาอังกฤษ จะเรียกว่า 'ภาษาร่วม' ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับที่นักเขียน A Song of Ice and Fire ใช้ ส่วนเหตุผลที่ทำไมแวมไพร์ในโลกนี้พูดอังกฤษ ก็เพราะว่าเขามีการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ในโลกปัจจุบันเป็นประจำเลยได้รับอิทธิพลเรื่องภาษามา แต่พวกเขาเองก็มีภาษาของอาณาจักรเหมือนกัน คือ 'ภาษาเทมป์สโบราณ' ซึ่งคนไม่ค่อยใช้กันแล้วแต่ก็ยังต้องศึกษาอยู่ เหตุผลที่เราเลือกภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง แทนที่จะให้ตัวละครพูดภาษาเทมป์สโบราณของตัวเองไปเลยก็เพราะ ชื่อตัวละครและการตั้งชื่อสิ่งต่างๆ ของเราค่ะ หลายๆ ชื่อมีอยู่จริงและใช้กันในภาษาอังกฤษ อย่างเช่น เอสเตลล์, เฟรย่า หรือทริสแทน มันคือชื่อคนจริงๆ ที่โลกเราใช้ เราเลยเลือกตัดปัญหาไปเลยโดยการให้พูดอังกฤษไปซะ คนอ่านจะได้ไม่เอ๊ะ! ในใจว่าพูดภาษาเทมป์ส แต่ทำไมชื่อของคนในอาณาจักรถึงเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าถามว่าจำเป็นต้องบอกมั้ยว่าคนในโลกแฟนตาซีของตัวเองพูดภาษาอะไร อันนี้ไม่ค่อยจำเป็นนะในความคิดเรา เขียนๆ ไปเดี๋ยวคนอ่านก็เก็ทเอง แค่อย่าเผลอปล่อยไก่เล่นมุกเรื่องภาษาแล้วกัน เพราะเราเคยอ่านแฟนตาซีเรื่องนึงซึ่งมีความเป็นฝรั่งสูงมาก แต่ดันมีตัวละครที่ร้องเพลงไทยออกมา อย่างเพลงลูกอมของวัชราวลีเงี้ยย แบบนี้มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่
6. ศาสนา >> ส่วนนี้เรายังไม่ได้สร้าง นิยายแฟนตาซีบางเรื่องไม่ใส่รายละเอียดเกี่ยวกับศาสนามาเพราะคนเขียนไม่ได้เน้นประเด็นนี้ แต่เราคิดว่าจำเป็นต้องใส่ไปในเรื่องของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีบทบาทมากก็เถอะ ใส่ให้โลกมันครบสมบูรณ์ จะได้สมจริงมากขึ้น
7. สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสร้างขึ้นมาให้เป็นสีสันของเรื่อง >> ต้นไม้, ดอกไม้, ผลไม้, ยาพิษ, สัตว์, ร้านค้าต่างๆ
ยกตัวอย่าง
- จิงซ์ >> สัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนสุนัขจิ้งจอกขนาดเล็ก มี 2 สายพันธุ์ ใช้ส่งจดหมายหรือพัสดุได้
- ยาพิษและยาสารพัดประโยชน์ >> กลิ่นอำพัน (Smell of Amber) เป็นยาเสน่ห์ฤทธิ์ร้ายกาจ, Long Nightmare เป็นยาพิษที่ทำให้ผู้ดื่มอยู่ในอาการหลับใหลและทุรนทุรายจากฝันร้าย, หลับใหลชั่วกาล (Last Sleep) ยาพิษที่ใช้ประหารนักโทษ, ลืมเลือนนิรันดร์ (Forever Forget) ทำให้ผู้ดื่มลืมความทรงจำที่เลวร้าย
- ดอกไม้ >> โรซ่า แอนนาลิส (Rosa Annalyze) ดอกกุหลาบสีฟ้าอ่อน กลิ่นหอมสดชื่นเหมือนน้ำฝน หายากและราคาแพง เป็นวัตุดิบในการปรุงยา 'ลืมเลือนนิรันดร์' ถูกตั้งชื่อตาม 'แอนนาลิส มอร์' แวมไพร์ผู้คิดค้นสายพันธุ์, หยดน้ำตาแห่งซาร์คาริส (Teardrops of Zarcaris) ดอกไม้ดอกเล็กๆ สีฟ้า ดอกไม้นี้เราเขียนตำนานสั้นๆ ให้มันด้วย ตั้งใจจะให้ตัวละครสักตัวเล่าให้ตัวละครอื่นฟัง
ได้รับอนุญาตจากเจ้าของรูป Tanua Timnam อย่างถูกต้อง
https://www.artstation.com/artwork/4bOadk
ตำนานหยดน้ำตาแห่งซาร์คาริส (Teardrops of Zarcaris)
...นานมาแล้ว ภูตพฤกษาตนหนึ่งนามว่า ‘เซียร์ร่า (Sierra)’ ธิดาของจ้าวแห่งพฤกษา ‘ไคเธียน (Kaithyen)’ จ้าวแห่งผืนป่าทั้งปวง เซียร์ร่าคือผู้มีความงามเป็นที่กล่าวขานไปทั่วแผ่นฟ้าและแผ่นดิน นางทำหน้าที่ปกปักษ์ดูแลป่าฤดูร้อนซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองซาร์คาริสในปัจจุบัน ภูตสาวตกหลุมรักแวมไพร์หนุ่มนาม ‘เซอเรน (Zeren)’ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วยกับความรักนี้ เพราะไม่อยากให้ธิดาของตนรักใคร่ผูกพันกับสิ่งมีชีวิตต้องคำสาปอย่างเผ่าพันธุ์แวมไพร์ ไคเธียนจึงซ่อนเร้นกายนางจากสายตาของเขาตลอดกาล
...เซอเรนตามหาคนรักของเขาทุกหนแห่ง ขณะที่เซียร์ร่าได้แต่เฝ้ามองอย่างทุกข์ใจเพราะไม่อาจต้านทานอำนาจของบิดาเพื่อออกไปปรากฏกายหรือทำให้เขาได้ยินเสียงของนางได้
...หยดน้ำตาของภูตพฤกษาผู้ทุกข์ระทมหลั่งรดผืนดินในทุกๆ ก้าวที่นางเหยียบย่างไป เกิดเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ สีเดียวกับท้องฟ้ายามไร้เมฆบดบัง เฉกเช่นเดียวกับดวงตาของนาง เซอเรนรู้ได้ทันที ทุกๆ วันเขาไปเยือนสถานที่ที่ดอกไม้งามเติบโตเพราะรู้ว่าเซียร์ร่ารอคอยเขาอยู่ที่นั่น
...แวมไพร์หนุ่มเล่าสิ่งต่างๆ ที่ผ่านไปแต่ละวันให้นางฟัง ทั้งเรื่องสุขและเรื่องทุกข์ และเมื่อเขากลับไปที่แห่งนั้นในวันต่อๆ มา ดอกไม้ดอกเล็กก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกครั้ง นางร่ำไห้เพราะเศร้าเสียใจที่ไม่สามารถปลอบโยนยามเขาทุกข์ใจหรือร่วมยินดียามเขาเป็นสุขได้
...เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จ้าวแห่งพฤกษาสงสารธิดาของตน เขาจึงอนุญาตให้นางได้พบคนรักในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เหตุเพราะนางต้องทำหน้าที่ดูแลผืนป่าให้งดงามในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่นั่นก็สร้างความปีติยินดีให้แก่ภูตพฤกษาเซียร์ร่าและแวมไพร์หนุ่มเซอเรนเพียงพอแล้ว
...ดอกไม้ดอกเล็กที่แรกเริ่มเคยถูกเรียกว่า ‘หยดน้ำตาแห่งเซียร์ร่า (Teardrops of Sierra)’ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘หยดน้ำตาแห่งซาร์คาริส (Teardrops of Zarcaris)’ แทน เพราะบัดนี้ภูตพฤกษาผู้มีความงามเป็นที่กล่าวขานทั่วทั้งแผ่นฟ้าและแผ่นดินไม่ได้ร่ำไห้อีกต่อไป
**น่าจะครบทุกประเด็นที่เราอยากแบ่งปันกับเพื่อนๆ แล้ว หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์กับนักเขียนและนักอยากเขียนไม่มากก็น้อยนะคะ**
**คนไหนเขียนแฟนตาซีอยู่ ส่งเสียงหน่อยนะ อยากรู้ววว หรือถ้าใครอยากได้คำปรึกษาแนะนำก็เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้น้าา**
7 ความคิดเห็น
สำหรับคนขี้เกียจอย่างเราก็จะทำตามโลกจริงไปเลย 555
อาณาจักรหลักในเรื่องเราคนพูด Middle English ค่ะ ส่วนภาษากลางคือละติน (ไม่ได้พูดถึงเลยแต่แอบเขียนไว้ตามรูปนิส ๆ)
ขอบคุณสำหรับกระทู้ดี ๆ ค่าาาา
เท่าที่เห็นในนิยายก็ไม่ขี้เกียจน้าา
อะไรต่างๆ ก็เยอะเอาเรื่องอยู่ววว คนมีปีกทั้งหลาย
อ่อ ๆ อีกอย่างที่เราใช้คือชื่อเมืองเรามาจากชื่อดาวค่ะ เอามาเปลี่ยนนิด ๆ
พี่ก็ชอบไปดูชื่อดาวเหมือนกันนน เพราะๆๆๆ
กะอีกอย่าง ชื่อสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลกับไดโนเสาร์ พวกเนี้ย
ปลิงทะเลเอย หอยทากเอย สิ่งมีชีวิตเมือกๆทั้งหลาย
จะเอามาตั้งชื่อทีก็ต้องระวังค่ะ ไม่ใช่เป็นชื่อที่แปลแล้วความหมายแปลก ๆ เช่น Rigel "เท้า" ไม่น่ามีใครอยากตั้งชื่ออาณาจักรตัวเองแบบนั้น 55555
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นชื่อคน พี่เลือกใช้ชื่อฝรั่งไปเลย เซฟสุด
จะว่าไป Rigel ก็ดูจะออกเสียงเพราะอยู่นะ 55
ค่ะ ชื่อคนเราก็เลือกชื่อ "ฝรั่ง" ไปเลย (สารภาพว่าเลือกชื่อคนนานมาก 555)
จริง ๆ อย่างนึงที่เราบอกคนอื่นตลอดคือเลือกชื่อ "ฝรั่ง" เนี่ย (อันนี้เฉพาะเซ็ตติ้งย้อนยุค) เลือกใช้มาจากแถบเดียวกันด้วย ไม่ใช่ในครอบครัวนึงมีทั้งคนชื่อภาษาตระกูลเจอร์มานิค มีทั้งคนชื่อภาษาตระกูลโรแมนซ์ แบบ มันไม่ใช่อ่ะค่ะ 55555
ของพี่นี่แหละน่าจะปนกันหลายภาษา 555
แต่ไม่เป็นไร แวมไพร์พี่ไปทัวร์โลกมนุษย์บ่อย เลยรับภาษามาหลากหลาย
ยังหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้อยู่ววว บ้าบออ
ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ
ด้วยความว่าเรียนสายวิทย์มาทางชีวะและเคมี มันก็เลยได้คำศัพท์ภาษากรีก ละติน ที่เป็นศัพท์วิทยาศาสตร์แถมมา บวกกับที่เรียนเยอรมันมาหน่อย แล้วก็อาศัยพจนานุกรมต่าง ๆ ก็จะได้ออกมาเป็นชื่อต่าง ๆ เยอะเลยค่ะ
แต่ส่วนใหญ่เราใช้ชื่อวิทยาศาสตร์มาแปลงเสียงให้อ่านง่ายขึ้นมาเป็นชื่อ-สกุลมากกว่าค่ะ บางทีก็เลยใช้ชื่อพืชตระกูลนั้นมาตั้งชื่อตัวละครทั้งตระกูลไปเลยไม่ต้องคิดมาก
บางทีก็จะนำคำศัพท์เกี่ยวกับหน่วยของการวัดทั้งตระกูล มาเป็นชื่อตัวละครทั้งหมด แค่อักษรกรีกก็ได้เยอะแล้วค่ะ อัลฟ่า, เบต้า, แกรมม่า, เดลต้า, เอปซีลอน, ..., โอเมก้า
ิัby ผู้เบื่อโลกวิชาการเลยเขียนแฟนตาซีไปซะเลย...
ชื่อวิทยาศาสตร์เราเคยหยิบมาใช้บ้างเหมือนกันค่ะ
ชื่ออลังๆ ออกเสียงยากๆ เยอะดี แต่สมัยเรียนก็เล่นเอาท่องจนเอียนไปเลย 555
เอาแค่กุ้งก้ามกรามก็ได้ค่ะ Macrobrachium rosenbergii ชื่อฟังแลดูไฮโซดีนะคะ หรือจะเป็น Senga malayana แต่อันนี้เป็นชื่อพยาธิค่ะ
เหมือนชื่อเคานต์อะไรสักอย่างเลย แลดูสูงส่งจนคนไม่กล้าเอ่ยชื่อ
เอ... หรือออกเสียงชื่อไม่ถูกหว่า ชักเริ่มไม่แน่ใจ 555
ที่จริงมันก็แปลความหมายได้อยู่ brachium = เกี่ยวกับ ระยางค์ macro = มีขนาดใหญ่ คือมีระยางค์ขนาดใหญ่ ถูกค้นพบโดยคุณโรเซนเบิร์ก ส่วน malayana คือ มารยัน (มาเลย์ แหล่งที่พบ)
ชื่อที่สองทำให้นึกถึงลาซานญ่า 555
ไม่ก็หนังผีอะไรสักอย่าง
กลายเป็นของกินไปเสียอย่างนั้น แต่ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ก็ต้องระวัง เคยไปเจอน่าจะเด็กแหละค่ะ เขียนนิยายแฟนตาซี มีตั้งชื่อตัวละครว่า เจ้าหญิงริกเก็ตเซีย (จุลินทรีย์ชนิดหนึ่งกึ่งพืชกึ่งสัตว์ทำให้เกิดโรคไข้รากสาด) คือ ถ้าคนรู้ความหมายมาอ่านนี่ ไม่รู้จะทำหน้าไงดีค่ะ รวมถึงบางคนคือน่าจะเพิ่งเรียนชีวะมาตั้งชื่อตัวละครว่า เพอริเฟอร่า (ตามศัพท์ มันแปลว่า ผู้มีรูพรุน ถถถ)
นี่ค่ะ เคยคุยกันไปในกระทู้นี้
ชื่อนางเอกและพระเอกที่ขัดใจเวลาอ่าน
https://www.dek-d.com/board/view/3821627/
หลัง ๆ ทำไมทำลิงก์ติดยากจัง
ชื่อนางเอกและพระเอกที่ขัดใจเวลาอ่าน
https://www.dek-d.com/board/view/3821627/
หยุดขำกับแอน โชวี่ ไม่ได้ค่ะ
ริกเก็ตเซีย กับ เพอริเฟอร่า ฟังๆ ดูมันก็เพราะดีนะ 555 แต่ฮาไม่ไหว
เราเคยเจอชื่อนึง จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่เห็นมีคนบอกว่ามันหมายถึง หูดชนิดหนึ่งที่งอกบนส้นเท้า
ส่วนแอนโชวี่ก็น่ารักดีนะคุณวาตะ
แบบว่าครอบครัวทำโรงงานปลาเค็มไง มันได้อยู่นะ
@คุณWatarmelon อดนึกถึงแอนโชวี่อัดกระป๋องเหม็น ๆ ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ แถมชื่อนางเอกด้วยนะ อ่านชื่อนางเอกปุ๊ป กลิ่นก็ลอยมา... @Relita Callister แม้ชื่อวิทยาศาสตร์มันฟังดูไฮโซแต่ต้องระวังความหมายนี่แหละค่ะ บางทีคือนิยายซีเรียสแต่ขรรมเหนื่อย เคยเจอคือนักเขียนบางท่าน เขียนภาษาเยอรมันแทรกในเนื้อหา แต่ ๆๆๆ ภาษาเยอรมันนี่คำกิริยามันมีการผันด้านท้ายตามประธานค่ะ จากฉากซีเรียสเราขรรมก็มี
คือตามท้องเรื่องเขากำลังตะโกนด่ากันแบบหยาบคาย ซึ่งในที่นี้มันต้องใช้ประธานที่เป็นคำสรรนามรูปหนึ่งซึ่งใช้กับคนสนิทเท่านั้น ถ้าไม่ใช้กับคนสนิทคือจะเป็นการดูถูกเหยีดหยาม แต่เขาดันยกคำกริยามาในรูปเต็ม (แบบเปิดพจนานุกรมเจอก็เอามา) ซึ่งการใช้รูปเต็มส่วนใหญ่ใช้กับประธานในรูปสรรพนามแบบ สุภ๊าพ สุภาพ อันเป็นต้นเหตุแห่งความอ่านไปขรรมไปค่ะ // เอ้อ ครือ อิชุ้นผิดเองที่รู้มากไป สินะ สินะ
นี่แหละ เราถึงไม่ค่อยอยากเขียนเรื่องที่ไม่รู้จริงเท่าไหร่ โดยเฉพาะการอ้างอิงภาษาอื่นที่เราไม่ถนัด
กลัวผิดแล้วโดนนักอ่านแหกหน้า 555
รู้ให้ดี รู้ให้แน่ ปลอดภัยไว้ก่อนนน
แต่อยู่บนพิซซ่าก็อร่อยดีนะคะ //ผิด ๆ 555
ยังดีแค่แอนโชวี่ ไม่เป็นเซอสตรอมมิ่ง Surströmming 555
โอ้โหพอพูดถึงภาษาเยอรมันแล้วเข้าใจความรู้สึกเลยค่ะ ของเราคือพอจะเขียน Old English ไม่ก็ละตินทีคือแบบ คิดแล้วคิดอีกว่าผันถูกมั้ย กลั๊วกลัว 555
แต่บางทีคือไม่ต้องถึงภาษาที่มี inflection ก็ได้แต่แบบ บางทีเห็นเขียนภาษาอังกฤษมาแล้วผิด เรานี่กุมขมับทันที
@Relita Callister จริงค่ะเราเลยไม่ค่อยใช้สองภาษาควบเท่าไร
1. กลัวออกเสียงผิด เว้นแต่เช็กแล้ว
2. กลัวเป็นแบบที่เจอนี่แหละ ผันผิดรูป คนอ่านที่ทราบจะขรรมเอาได้
เลยเขียนแฟนตาซีมันเลย...
@คุณWatarmelon อันที่เปิดกระป๋องทีกลิ่นโชยไปไกลสามบ้านแปดบ้านสินะคะ
อย่างละตินนี่ต้องเช็กรูปผันแล้วผันอีกค่ะ เพราะดันมีว่า ผันแล้วใช้กับเพศชาย กับผันแล้วใช้กับเพศหญิง // เกาหัว แล้วอ.ดันบอกว่า เยอรมันเป็นภาษาเก่าที่มีรากศัพท์มาจากละติน (เริ่มมองบน)
เคยเมนต์เวลาคนถามว่า แปลเป็นอังกฤษถูกไหม คือ ตามหลักภาษา ไม่ผิดค่ะ แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้พูดกันแบบนั้น หรือเพราะฝรั่งที่เจอมักเป็นฝรั่งเยอรมัน อิตาลี สมัยเรียนมัธยมครูสอนอังกฤษก็เป็นฟิลิปปินส์กับศรีลังกาด้วย ไม่ใช่ native English
เอ๊ะ เอ๊ะ เยอรมันมาจากละตินคืออัลไลคะะะะ (มองบนเช่นกัน เคือง)
หมายถึง เยอรมันใช้อักษรละตินในการเขียน คำศัพท์บางคำก็มีตรงหรือใกล้เคียงกับละติน
อ๋อค่ะ ตกใจ 555
พอดีเท่าที่รู้มาคือไม่ได้ใกล้ขนาดนั้นเพราะส่วนใหญ่จะมาจาก Germanic สมัยก่อน อ่านแล้วเลยงง ขอโทษด้วยค่าาาาา
ของผมจะเป็นละตินผสม ละดัดคำอีกทีครับ อย่างเช่น อนีฮีโล (Anihilo) มาจากละติน คำว่า Anima ที่แปลว่าชีวิต กับ Nihilo ที่แปลว่าว่างเปล่ามารวมกัน ออกมาเป็นวิญญาณที่จะสูบชีวิตของคนจนเหลือเพียงความว่างเปล่า อะไรทำนองนั้นครับ
ฟังดูเหมือนคำญี่ปุ่นเหมือนกันแฮะ แบบ นิฮิโระ
แปลกหู แต่ก็เพราะดีนะ เดี๋ยวเราลองเอาไปผสมมั่ง
กอดๆๆ ขอบคุณล่วงหน้านะค้าา ไม่คิดว่าจะจำกันได้ ดีใจจจ
เรื่องเก็บข้อมูลเราใช้เวลานานมากเลยค่ะ อาจจะนานกว่าเวลาที่จะใช้เขียนตัวนิยายจริงๆ อีก ถ้าไม่มีข้อมูลแน่นๆ เอาไว้มันไม่อุ่นใจจ
เราก็เรียนสเปนกับจีนมาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้เอามาใช้ในนิยายตัวเองเลย ส่วนละตินกับภาษาอื่นๆ เราไม่ได้มีความรู้พื้นฐานเลยค่ะ อาศัยเปิด dictionary เอา กร๊ากก เพราะจะหาคำเอามาสร้างคำใหม่เฉยๆ
เบื่อละติน ลองเปลี่ยนเป็นกรีกดูไหมคะ 555
อย่างที่คุณวาตะว่าเลยฮ่ะ ถ้าละตินไม่เวิร์คก็ลองภาษาอื่นๆ ดู
ตอนเราค้นศัพท์ก็เปิด dictionary หลายๆ ภาษาเลยนะ ค้นคำที่มีความหมายเดียวกันไปพร้อมๆ กัน
แต่เราชอบละตินสุด ส่วนใหญ่ศัพท์ที่ได้มีแต่ละตินน่ะ
คุณ Marcelline ลองดู กรีก เปอร์เซีย รัสเซีย ลัตเวีย ฝรั่งเศส เยอรมัน ดูนะคะ เผื่อช่วยได้
ก็ยังไม่เคยเขียนนิยายเเฟนตาซีทีีใหญ่โตอลังการ เเต่ก็มีเเนวคิดวิธีการสร้างโลกเเฟนตาซี โดยใช้
1.ทฤษฎีสถาบันทางสังคม มาช่วยในการจัดหมวดหมู่่ความสัมพันธ์ขององค์กรต่างๆในโลกเเฟนตาซี ก็เเบ่งไปเลย 7 สถาบัน เเล้วค่อยมาดูว่า ในนิยายเรื่ิองที่กำลังเเต่ง สถาบันไหนจะมีบทบาทในเนื้อเรื่องอย่างสำคัญ ก็ค่อยไปลงรายละเอียดที่สถาบันนั้น สถาบันอื่นๆก็เก็บไว้เป็นบรรยากาศ ไม่ก็เอามาใช้ที่หลังได้
2.ประวัติศาสตร์ ทุกๆอย่างมีอดีตของมัน โลกเเฟนตาซีก็เช่นกัน ต้องเขียนรายละเอียดเเละที่มาต่างๆของสิ่งที่มีสำคัญต่อเนื้อเรื่อง หรือถ้าใครชอบรายละเอียดตรงไหน ก็ไปใส่ประวัติได้
3.ปัญหาสังคม วัฒนธรรม เเละค่านิยมหลัก(คติธรรม วัตถุธรรม เนติธรรม สหธรรม) เช่น คนในสังคมถือเเนวคิดทางความเชื่อ/การเมืองเเบบใดเป็นสำคัญ กฎหมายเน้นไปที่เรื่องอะไร คนในสังคมกำลังต้องการอะไรมากที่สุด การจะเน้นในวัฒนธรรมด้านใดก็ต้องไปดูว่าเน้นสถาบันไหน
4.ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ในเขตสำคัญเเบบละเอียดเเละในเขตทั่วไปอย่างสังเขป สองอย่างนี้ส่งผลต่อวัฒนธรรมเเละความต้องการของคนในสังคมในโลกเเฟนตาซี(ยิ่งถ้าเป็นนิยายสงครามยิ่งต้องลงรายละเอียดให้ลึกเพราะส่งผลต่อเนื้อเรื่อง)
5.ชาติพันธ์ุเเละสิ่งมีชีวิตในเขตหนึ่งๆ อันนี้จะสอดคล้องกับภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ส่วนไหนสำคัญต่อเนื้อเรื่องก็ลงรายละเอียด ไม่สำคัญก็ไม่ต้องลงหรือเอาเป็นบรรยากาศก็ดี
6.การเเบ่งกลุ่มจัดฝั่งฝ่ายขององค์กรที่ทรงอิทธิพล อันนี้มีีไว้เพื่อจัดคู่ Vs
เยอะจริงๆเลย ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของสเกลเรื่องเเละความเกี่ยวพันของปัญหาเเละตัวละคร
ปล.ถ้าวันไหนเริ่มเขียนในสักวัน ก็จะลองใช้ดู จะได้รู้ว่าได้ผลอย่างไร ส่วนเรื่องการตั้งชื่ออะไรเนี่ย รู้สึกว่ามันยุ่งยากกว่าอีก
ขอบคุณที่มาแบ่งปันนะคะ
โดยส่วนตัว เราเอนจอยกับการตั้งชื่อต่างๆ มากกว่าการโฟกัสเรื่องระบบสังคมหรือภูมิศาสตร์น่ะค่ะ เพราะไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับพวกนี้เท่าไหร่ รวมถึงเราไม่ได้จะเขียนนิยายสงคราม แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้ก็สำคัญเพราะเราจะสร้างโลกใหม่อะเน๊าะ ต้องมีองค์ประกอบพวกนี้อยู่แล้ว แค่จะไม่ได้เน้นอะไรมาก
ส่วนตัวที่เน้นเรื่องนี้ ก็เพราะว่าเวลาสร้างอะไรใหญ่ๆ มันก็ย่อมจะต้องเสียดายเวลาที่ต้องทิ้งมันไป เรียกว่า "ลดโอกาสการดอง" เเถมยังน่าจะมีความน่าตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่เขียน เเบบว่า "จะเล่นเรื่องนี้ก็ได้งั้นเหรอเนี่ย เจ๋งไปเลย" เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของนักเขียน สร้างโลกให้โลกหมุนไปของมันเอง เเล้วรอดูเรื่องน่าสนุกที่จะเกิดขึ้น
เข้าสถานะดองไปละคะ อาจเพราะนิยายที่เราเขียนมันนอกกระแส + หมวดรักแฟนตาซี คนติดตามน้อยและอาจจะไม่ใช่แนว
ช่วงนี้แฟนตาซีไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าจีนโบราณจริงๆ แหละ
เผลอๆ เราแต่งไปแล้วอาจจะต้องดองเหมือนกัน 555
ต้องเขียนให้จบสิตัวเอง
งื้อออ จิพยายามน้าา
หืม?? ยังไงอะคะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?
บทความที่คนนิยมอ่านต่อ