Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

REVIEW รีวิวสอบเข้า CU MEDi ทุก steps ตั้งแต่หาข้อมูลจนถึงสอบติด + Foundation Course

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่


Q: Introduce myself!

A: Hello everyone! เราชื่อเชอร์รี่นะคะ เป็น M1 (Medical student year 1) หรือ CU MEDi รุ่นที่ 2 (Class of 2026) ที่พึ่งประกาศผลไปเมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมานะคะ 



สาเหตุที่เราตัดสินใจมาเขียนรีวิวนี้ เพราะรู้สึกว่าตอนเราหาข้อมูลการเตรียมตัวต่าง ๆ ก็คือน้อยมาก ๆ ๆ ๆ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครที่สนใจมาเป็น CU MEDi รุ่นต่อ ๆ ไปค่ะ 



Disclaimer: รีวิวนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว + ข้อมูลที่สอบถามมาจากเพื่อน ๆ รุ่นพี่ M2 นะคะ อาจจะไม่ได้ตรงตามนี้ทุกคน แต่หวังว่าจะช่วยในการเตรียมตัว หรือตัดสินใจสำหรับคนที่สนใจได้บ้างนะคะ



Q: Why CU MEDi?

A: ต้องเริ่มก่อนว่าทำไมถึงต้องเป็นที่นี่ ส่วนตัวเราสนใจตั้งแต่ได้ยินข่าวว่าจะมีการเปิดโปรแกรมนี้ (ประมาณ 2-3 ปีก่อนได้) เราจบสายศิลป์มา แบบศิลป์มาก ๆ คนละทิศละทางกับคณะแพทย์เลย ด้วยคณะที่เราจบมา พูดตรง ๆ ว่าจะสอบเข้าคณะแพทย์ ค่อนข้างยาก ด้วยข้อจำกัดของวุฒิมัธยมปลายสายศิลป์ และอื่น ๆ CU MEDi เลยตอบโจทย์เราในฐานะที่กำลังจะจบปริญญาตรี และให้โอกาสสำหรับคนที่จบจากคณะอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สายวิทย์แบบที่ที่อื่นในประเทศไม่ค่อยมี (ในเคสต่างประเทศ requirements ก็ค่อนข้างที่จะต่าง โดยเฉพาะที่ US การแข่งขันสูงมาก ๆ คะแนนทุกอย่าง เกรดต้องสูงพอ รวมถึงค่าใช้จ่ายในฐานะ foreign students และ pathway หลังเรียนจบ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจเลือก CU MEDi)



Q: ทำไมถึงอยากมาเป็นหมอ?

A: ส่วนตัวเราขออุบไว้แล้วกันเนอะ แต่เรามี goal ที่ค่อยข้างชัดว่าอยากไปต่อใน way ไหน มาเรียนเพราะอยากทำอะไรต่อในอนาคต ในขณะเดียวกันมันเป็นคำถามที่เราต้องตอบตัวเอง + คนอื่นให้ได้ เพราะเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่ถูกถามคำถามนี้ (สำคัญที่สุดคือตอบตัวเองให้ได้ค่ะ เป็นคำถามที่หนีไม่พ้น และเจอบ่อยมาก ๆ สำคัญจริง ๆ ว่าเรา“อยาก” เรียนและทำอาชีพนี้จริง ๆ มั้ย เพราะมันเหนื่อยมาก ๆ มีทางต้องไปต่ออีกยาวด้วย ต้องหาตัวเองให้เจอว่าจะทำได้ทำไหว และจะแฮปปี้กับมันจริง ๆ มั้ย) ถ้าให้แนะนำวิธีที่ดีที่สุดและได้ใช้ประโยชน์ด้วยคือ เข้าไปทำงานอาสาในโรงพยาบาลค่ะ เข้าไปสัมผัสบรรยากาศ สภาพแวดล้อม บุคลากร รูปแบบงานจริง ๆ ว่าชอบมั้ย เราสามารถทำงานกับคนไข้ กับเพื่อนร่วมงาน เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ได้มั้ย ซึ่งตรงนี้ก็เก็บมาใส่ CV หรือ SOP ได้เหมือนกัน



อารัมภบทมายาวมาก มาเข้าเรื่องการเตรียมตัวกันค่ะ ส่วนตัวเราโชคดีได้ contact พี่ M2 มา เลยถามพี่เค้าไปทุกอย่าง เช่น เตรียมตัวยังไง ควรสอบอะไรก่อน ต้องมีอะไรบ้าง เรียนพิเศษดีมั้ย เรียนกับใครดี ควรอ่านหนังสือเล่มไหนยังไง



Q: หาข้อมูล, requirements ต่าง ๆ จากไหน?

A: ฐานข้อมูลหลัก ๆ ที่เชื่อถือได้เลยคือตัวเว็บไซต์ของ CU MEDi เองนี่แหละค่ะ --> https://cu-medi.md.chula.ac.th ที่จะบอกตารางการรับสมัครคร่าว ๆ และข้อมูล requirements เอกสารทุกอย่างที่เราต้องมี และต้องใช้ สำหรับใครที่สนใจสำหรับปีต่อ ๆ ไป แนะนำให้ลง google form (https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScF8k32WUlwrJEvDAHMq-WLjMTCm_Rin6z_1iFrxvGm2JgcLg/viewform) ของโปรแกรมไว้ เวลามีการลง requirements หรือข้อมูล ตารางรับสมัครที่แน่นอนแล้ว ก็จะแจ้งมาทางอีเมลที่เราลงไว้ค่ะ ตอนปีเราก็ลงไว้เหมือนกัน อีกอย่างที่สำคัญและเป็นประโยชน์เลยคือ Open House ค่ะ นอกจากจะเป็นการทำความรู้จักกับตัวโปรแกรมว่า “ใช่” สำหรับเราจริง ๆ process การรับสมัครก็จะมีอัพเดต ชี้แจง รวมถึงมีช่องทางให้เราสอบถามได้ด้วย



เราขอข้ามรายละเอียด requirements ไปเนอะ แต่จะมาดูการเตรียมตัวสำหรับคะแนนหลัก ๆ ที่เราต้องมี (MCAT และ IELTS/ TOEFL) กับเอกสารที่สำคัญมาก ๆ อย่าง CV และ SOP/ Personal Statement 



Q: ควรเก็บคะแนนตัวไหนก่อน?

A: บางคนจะบอกให้เก็บคะแนนภาษาอังกฤษอย่าง IELTS/ TOEFL ก่อน เพราะเก็บง่าย ผ่านในครั้งเดียวได้ (ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานภาษาอังกฤษของแต่ละคนนะคะ) ไม่ได้ require ว่าต้องเกินเกณฑ์ที่กำหนดมาเยอะ ส่วนตัวเราแนะนำให้เล็งรอบสอบ MCAT ก่อนค่ะ จองยาก ที่นั่งน้อย มีแค่ที่ตึก BB ตรงอโศกที่เดียวประมาณ 5 ที่นั่ง ไม่ได้มีสอบทุกวัน ยิ่งช่วงที่พึ่งเปิดจอง เช่นรอบเดือนมกราก่อนยื่นคะแนน คือยิ่งกว่ากดบัตรคอน แต้มบุญต้องพอ มือต้องไวค่ะส่วนตัวรอบ MCAT เราค่อนข้างกระชั้น เพราะจองช้า เลยเลือกสอบ IELTS หลังจากสอบ MCAT ประมาณเดือนครึ่ง



Q: IELTS ควรสอบแบบไหน? คอมหรือเปเปอร์?

A: ส่วนตัวเรามองว่าแล้วแต่ความถนัด และความรีบใช้คะแนน ถ้ากระชั้นชิดมาก ๆ แบบคอม ผลจะออกเร็วกว่าค่ะส่วนตัวเราเลือกสอบแบบคอม เพราะเราถนัดพิมพ์มากกว่าเขียน มีสอบแทบทุกวัน ผลออกเร็วค่ะ 



Q: เตรียมตัวสอบ IELTS ยังไง?

A: ด้วยความที่เรายังเรียนอยู่ + อยากได้ความชัวร์ว่าไม่ต้องมาตามเก็บใหม่ อยากสอบรอบเดียวผ่าน เลยตัดสินใจเรียนพิเศษค่ะ เราเคยสอบมาก่อนประมาณ 2 ปีก่อน รอบนี้อยากอัพคะแนนให้เลยเกณฑ์ที่ตั้งไว้นิดนึง ลงเรียนคอร์สไพรเวท 1 คอร์ส แล้วสอบเลยค่ะ (ระยะที่ดีคือเรียนจบแล้วรีบไปสอบภายใน 2 วีคค่ะ) ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษก็ได้นะคะ รุ่นพี่กับเพื่อน ๆ ที่อ่านเองก็เยอะค่ะ



Q: MCAT ยากมั้ย? เตรียมตัวยังไง?  

A: ส่วนตัวบอกเลยว่ายากกกกกก ยากมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่ได้ยากแค่เนื้อหา เกณฑ์การให้คะแนน แต่ความทรหดของรูปแบบการสอบก็ทรมานมากเหมือนกันค่ะ (ความยาวการสอบประมาณ 7 ชั่วโมง) พื้นฐานเราคือสายศิลป์ (ถึงจะมีพาร์ท CARS หรือ Sociology แต่บอกตามตรงว่าก็ไม่ได้ช่วยขนาดนั้นค่ะ) ไม่ได้แตะวิทยาศาสตร์จริงจังตั้งแต่จบมัธยมต้น ต้องฟื้นความรู้ ปูพื้นฐานใหม่เร่งด่วนเลยค่ะ เราใช้เวลาอ่านหนังสือ เรียนพิเศษ ทำแบบฝึกหัด กับ mock test ที่เรียกว่า full-length ประมาณ 2 เดือนกว่า ๆ เกือบ 3 เดือน แล้วก็ไปสอบค่ะ ด้วยความที่ค่อนข้างกระชั้น คะแนนเลยยังไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับเรา เลยลงสอบใหม่อีกรอบก่อนยื่นคะแนนค่ะ รอบ 2 เรามีเวลาเตรียมตัวน้อยกว่ารอบแรกเรียนเสริม 2 วิชา อย่างละ 20 ชั่วโมง เน้นอ่านทวนเอง ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง คะแนนเลยเพิ่มไม่เยอะค่ะ



โดยรวม MCAT เป็นข้อสอบที่ทรมานมาก ๆ ๆ ข้อสอบนึงเลย เราต้อง manage ความอดทน สติ สมาธิให้รอดจนจบ ซึ่งโหดมากจริง ๆ



สิ่งสำคัญอย่างนึงของการทำข้อสอบ MCAT คือเราต้องรู้จักข้อสอบค่ะ MCAT มี 4 พาร์ท: Physics & Chemistry, CARS, Biology & Biochemistry, Behavioral science (Psychology & Sociology) เป็นการทำข้อสอบแบบ choice ในคอมล้วน แยกเป็น passages ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณวิชาละ 1.5 ชั่วโมง ยกเว้น CARS ที่ใช้ประมาณ 1 ชั่วโมง ความยากอาจจะต้อง rate ตามพื้นฐานที่แต่ละคนมี สำหรับเราที่ไม่มีพื้นฐานก็ค่อนข้างหนักค่ะ คะแนนแต่ละพาร์ทจะ range ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับ percentage ประมาณว่า rankings เราอยู่ประมาณไหนค่ะ (แนะนำให้ศึกษาจากกราฟคะแนน จะเห็นภาพชัดกว่าค่ะ ว่าทำได้กี่ % ถึงจะได้คะแนนที่ต้องการ) ปัญหาคือข้อสอบจะไม่ได้วัดแค่ความรู้ที่เรามี แต่เน้นการ “apply” ซึ่งจุดนี้แหละค่ะ ที่ยากมาก ๆ เพราะนอกจากจะต้องมีความรู้ในเนื้อหาที่จะสอบ แต่ต้องเข้าใจในขั้นที่จะใช้มันได้จริง ๆ 



สิ่งที่ส่งผลกับการสอบ เรามองว่าเป็นการเตรียมความพร้อม นอกจากเนื้อหา ก็ต้องจัดการความเครียด ความกดดันแล้วก็การ manage เวลาพักด้วย 



Q: เตรียมสอบ MCAT ใช้หนังสือเล่มไหนดี?

A: หนังสือที่เคยใช้ จะมี Kaplan ซึ่งภาพสวย เข้าใจง่ายสำหรับคนไม่มีพื้นฐาน หรือพื้นฐานไม่แน่นอย่างเรา แต่เนื้อหาอาจจะไม่แน่นพอ+แบบฝึกหัดไม่ใกล้เคียงข้อสอบจริง รุ่นพี่จะแนะนำ Princeton Reviews ซึ่งเรากับเพื่อนว่าแอบอ่านยากนิดนึง แต่เราได้ใช้ตอนเรียนพิเศษ ด้วยความที่มีคนสอน+ย่อยให้ เสริมด้วยเนื้อหาอื่นเพิ่มเติม เลยเป็น source ที่ดีของเราอันนึงเลยค่ะ แบบฝึกหัดของ Princeton ก็จะยากกว่า Kaplan แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเดียวกับข้อสอบจริงนะคะ ที่สำคัญมาก ๆ คือ mock test ของ AAMC ฟรี 1 ชุด ต้องซื้อเพิ่ม 4 ชุด อันนี้ต้องซื้อและต้องทำค่ะ ใกล้เคียงข้อสอบจริงที่สุดแล้ว คะแนนสอบจริงก็จะได้ประมาณเดียวกับคะแนน mock ตัวนี้นี่แหละค่ะ คลาดเคลื่อนไม่เยอะ นอกจากนี้ก็จะมีสรุปที่เราสามารถหาได้จาก Reddit ซึ่งก็มีประโยชน์พอสมควรค่ะ เราก็ใช้ตัวนี้สำหรับทวนเหมือนกัน แต่รวม ๆ แล้วเราจะใช้หนังสือเวลาเรียนหรือทวนเป็นหลักมากกว่าค่ะ โดยส่วนตัวเราเน้นเรียนพิเศษมากกว่าอ่านเองค่ะ (จริง ๆ อ่านเองได้นะคะ เพื่อนกับรุ่นพี่ก็อ่านเองหลายคนเลย เราว่าขึ้นอยู่กับพื้นฐาน กับวิธีเรียนของแต่ละคนเลย) นอกจากนี้ก็จะมี Khan’s academy ที่จะเป็นประมาณพาร์ทเนอร์ของ AAMC จะมีแบบฝึกหัดกับเนื้อหาประมาณนึง เป็น free resource แต่รวม ๆ ความยากก็ยังไม่พอสำหรับ MCAT นะคะ



Q: เรียนพิเศษดีมั้ย? ควรเรียนรึเปล่า?

A: อย่างที่บอกไป เราแนะนำให้ถามตัวเองก่อนว่าเราเหมาะกับการเรียนรูปแบบไหน ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการเรียนพิเศษ และไม่ใช่ว่าที่เรียนพิเศษที่เหมาะกับคนนึงจะเหมาะกับอีกคนนึง พูดตามตรงว่าถึงแม้จะเริ่มมีสถาบันที่ติวสอบ MCAT มากขึ้น แต่ด้วยความที่เนื้อหาค่อนข้างเยอะ และเฉพาะทาง บวกกับพื้นฐานของแต่ละคนที่ไม่เท่ากันด้วย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็จะไปตามจำนวนวิชา ชั่วโมงที่เรียน หรือรูปแบบคอร์ส เช่นเริ่มตั้งแต่คอร์ส foundation เลย คอร์สตะลุยโจทย์ หรือคอร์สไพรเวทเสริม อะไรแบบนี้ค่ะ โดยส่วนตัวเราไม่มีพื้นฐาน เวลาน้อย ต้องรีบเรียนอัด เลยเรียนเป็นคอร์สไพรเวท ราคาก็จะเพิ่มขึ้นอีกค่ะ



Q: ค่าหนังสือ ค่าแบบฝึกหัด ค่าเรียนพิเศษเท่าไหร่?

A: ไม่แน่ใจว่าจะมีคนอยากรู้มั้ย แต่ต้องเตรียมใจก่อน ถ้าเริ่มแล้วแอบถอนตัวยากเหมือนกันค่ะ เพราะเหมือนเป็นการลงทุน ถ้าไปไม่สุดทาง ก็จะเหมือนทิ้งส่วนนี้ไปเลย เริ่มจากค่าหนังสือ เราซื้อเซ็ต Kaplan ยกเซ็ต ประมาณ 8,xxx ค่ะ (ส่วนตัวมองว่าใช้ไม่ค่อยคุ้ม อาจจะต้องแล้วแต่คน) Princeton ไม่ได้ซื้อ แต่ได้มาจากการเรียนพิเศษ มีไม่กี่วิชา + หาโหลดฟรีเพิ่มจากในเน็ต ในเคสโหลดฟรี ปัญหาก็จะเป็นความเก่าของเวอร์ชันค่ะ ถามว่าใช้ได้มั้ย เราว่ายังใช้ได้นะ เนื้อหาหลัก ๆ ยังเหมือนเดิม แค่ไม่อัพเดตเท่า แบบฝึกหัด AAMC FL 4 ชุด ถ้าเราจำไม่ผิด เหมือนจะ 2,xxx บาท แต่ถ้ารวมแบบฝึกหัดอื่นเพิ่มเติม พวก question banks ก็จะเพิ่มขึ้นอีก (ส่วนนี้เราจำราคาไม่ได้แล้วแนะนำให้เช็คกับเว็บ AAMC โดยตรงเลย) ข้อสอบพวกนี้มีอายุอยู่ 1 ปีได้ มีทั้งแบบคอม และหนังสือซึ่งจะต้องส่งมาจาก US รายละเอียดจะหาได้จากเว็บ AAMC เหมือนกันค่ะ นอกจากที่ว่ามา จะมีเป็น mock/ practice ของ 3rd party ด้วย เช่น ของ Uworld เหมือนว่าจะคิดค่าใช้จ่ายแบบ subscription เป็นระยะเวลา เราไม่ได้ใช้ตัวนี้ แต่ถ้ามีเวลา ลองหารีวิวของ 3rd party ได้เลย ใน Youtube มีค่อนข้างเยอะเลยค่ะ ตัว 3rd party นี้รุ่นพี่ก็แนะนำมาบ้าง ความใกล้เคียงข้อสอบถือว่าใช้ได้เลยค่ะ (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับรีวิวและอื่น ๆ ด้วยนะคะ ต้องลองศึกษาดู) ในส่วนเรียนพิเศษเราเรียนทุกวิชาค่ะ อย่างต่ำคืออย่างน้อยวิชาละ 20 ชั่วโมงหมดเลย รวม ๆ ก็คิดว่าเกือบ ๆ  2xx,xxx ได้ (ส่วนนี้ ที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่ก็มีแตะ 1xx,xxx กัน) ใด ๆ คือต้องดูที่พื้นฐานเป็นหลักค่ะ เช่น ถ้าจบ Psychology มา พาร์ท Psychology อาจจะไม่ต้องเรียนเลย แถมคะแนนสูงด้วย ส่วนเราที่ไม่มีพื้นฐานเลย ตัดสินใจเรียนหมดค่ะ 



หมดเรื่องคะแนนที่ต้องเก็บ ก็จะเป็นเอกสารสำคัญ 2 อย่าง คือ CV กับ SOP/ Personal Statement ซึ่งส่วนนี้เราว่าสำคัญมาก ๆ ในรอบสอบสัมภาษณ์ ตาม requirements จะเขียนไว้ว่า CV ไม่เกิน 5 หน้า และ SOP ไม่เกิน 2 หน้าโดย CV จะเป็นเหมือนประวัติ ประสบการณ์ หรือ research ของเราทั้งหมดที่ทำมา ไม่เกิน 5 ปี ส่วน SOP คือสิ่งที่จะ present ตัวเราให้อาจารย์รู้จักและสนใจ เลยสำคัญมาก ๆ ที่จะเขียนให้ดีและ make sense จุดสำคัญเลยคือ ห้ามโกหกเด็ดขาดค่ะ เพราะถ้าโดนถาม แล้วตอบไม่ได้ คนเสียก็จะเป็นเราเอง 



ส่วนตัว เราโชคดีมาก ๆ ที่ที่เรียนพิเศษ offer การตรวจ CV กับ SOP ให้ คิดว่านอกจากเกลาภาษาแล้ว ทัศนคติกับเป้าหมายที่เราเขียนไปกับ SOP ก็สำคัญมาก ๆ เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ ก็เชียร์ให้หาคนเช็คภาษา+ไอเดียให้ค่ะ จะช่วยได้เยอะมาก ๆ (จุดของ SOP อีก point ที่สำคัญคือคำถามที่เราเคยบอกไปว่า ทำไมถึงมาเป็นหมอ เป็นจุดที่ไม่ใส่ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ เราถึงต้องหาให้เจอและตอบให้ได้ว่า “ทำไม”)



มาถึงตรงนี้แล้ว ไทม์ไลน์อาจจะงง ๆ หน่อย เดี๋ยวเราขอ recap ไทม์ไลน์ตรงนี้ก่อน โดย steps จะมีประมาณนี้ค่ะ 

- จองรอบสอบ MCAT/ IELTS/ TOEFL

- เตรียมตัวสอบ 

- สอบเก็บคะแนนต่าง ๆ

- คะแนนสอบออก (ต้องลองตัดสินใจดูค่ะ ว่าควรสอบอีกมั้ย หรือคิดว่าพอแล้ว ลองเทียบจากสถิติปีก่อนหน้าที่ติดไปก็ได้ค่ะ)

* ระหว่างนี้คือต้องรอติดตามตลอดว่าจะเปิดรับสมัครช่วงไหนค่ะ ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มจะรับสมัครช่วงปลายปี มา 2 ปีแล้ว แต่ติดปัญหาโควิด ทำให้ล่าช้ามาช่วงเดือนมกรา-กุมภา ซึ่งปีนี้ก็มีโอกาสอีกเช่นกันที่จะเปิดตั้งแต่ช่วงปลายปี แนะนำให้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะไม่ล่กค่ะ

- เตรียมเอกสารตาม requirements 

- ยื่นสมัครตามวันเวลาที่กำหนด

- ตรวจสอบรายชื่อว่าสมัครสำเร็จมั้ย

- ประกาศรายชื่อผู้สมัครทั้งหมด

- ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ + Psychological assessment (มีการคัดคนออกโดยการ rank คะแนน MCAT ค่ะ)

- สอบสัมภาษณ์ + Psychological assessment 

- ประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือก

- ยืนยันสิทธิ์ + การลงเรียน Foundation Course

คร่าว ๆ จะมีไทม์ไลน์ประมาณนี้ค่ะ จากที่เห็น คะแนน MCAT จะว่าสำคัญ ก็สำคัญค่ะ เพราะเป็นตัวตัดจำนวนผู้สมัครรอบแรกว่าจะได้ไปต่อกี่คน ปีเราตัดจากประมาณ 60 คน เหลือ 45 คนค่ะ (รับ 40)



หลังจากเรามีชื่อไปรอบสัมภาษณ์แล้ว อย่างแรกเลยคือ เราจะต้องเซ็นเหมือนสัญญาที่จะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการสัมภาษณ์, Psychological assessment, รวมถึงข้อมูลผู้สมัครคนอื่น ๆ เป็นความลับค่ะ ดังนั้น ข้อมูลเรื่องสัมภาษณ์จริง ๆ ของเราเลยจะมีน้อยมาก ๆ เพราะเรามี commitment ตรงนี้



ถ้าจะพูดในแง่การเตรียมตัว เราต้องรู้จักรูปแบบการสอบสัมภาษณ์ของคณะแพทย์ก่อนค่ะ จะเรียกว่า MMI (Multiple Mini Interview) ถือว่าเป็นรูปแบบที่คณะแพทย์หลาย ๆ ที่ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงรอบพอร์ตของภาคไทย ก็จะใช้ระบบนี้เหมือนกัน



Q: MMI เป็นยังไง? เตรียมตัวยากมั้ย?

A: การสอบสัมภาษณ์แบบ MMI จะเป็นเหมือนฐานต่าง ๆ ที่เราจะวนไป จะเจออาจารย์ในแต่ละฐานต่างกันไป และแต่ละฐานก็จะวัดจุดประสงค์ที่ต่างกันไปด้วย โดยรายละเอียดของ MEDi เราต้องขอข้ามไปนะคะ ใน Youtube ก็จะมีรายละเอียดของคำถามหรือ tasks ใน MMI ที่ต่างกันออกไปค่ะ แต่รูปแบบก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ 



ส่วนตัว เรามองว่า MMI เป็นการสอบสัมภาษณ์ที่ยาก และแอบปวดหัวนิดนึง เพราะเราต้องคิดหลาย ๆ ด้าน ต้องมีสติมาก ๆ คิดทุกมุม ต้องรู้ข้อมูลเบื้องต้นที่ก็ต้องศึกษาไว้บ้างเหมือนกัน ตามรูปแบบของ MMI ต่าง ๆ (เป็นแนว ethics ประมาณนี้) แต่ในขณะเดี๋ยว MMI ก็จะสอนให้เราคิดแบบหมอ ได้เข้าใจและเข้าถึงบทบาทของหมอมากขึ้น



หลังจากประกาศผลว่ามีชื่อเข้ารอบสอบสัมภาษณ์ เราจะมีเวลาประมาณ เกือบ ๆ 2 วีค ซึ่งจุดนี้แหละ ที่จะวัดใจว่าเราเตรียมตัวมาดีมั้ย พร้อมรึเปล่า ส่วนตัวเรามีติวตรงนี้ (อีกแล้ว) แล้วก็มีที่ได้ offer มาจากที่เรียนพิเศษเหมือนเดิมจุดสำคัญคือต้องพูดได้และพูดแบบมั่นใจด้วย ซึ่งแค่คิดคำตอบก็ยากแล้ว และต้องตอบให้ถึงเวลาที่ควรจะเป็นอีก เป็นอะไรที่ต้องฝึกเยอะมาก ๆ ๆ เพราะคำตอบเราจะโชว์ identity และทัศนคติเราออกมาด้วย ตรงนี้เราแนะนำว่าควรมีคนที่เก่งภาษาอังกฤษในเลเวลที่ดีมากพอ มาลองฟัง และคอมเมนท์ จะช่วยได้มาก ๆ



หลังจากสอบสัมภาษณ์จบก็คือรอค่ะ เวลาที่ลุ้นระทึกที่สุด เพราะความพยายามทั้งหมดจะตัดสินที่รอบนี้นี่แหละ ใคร ๆ ก็คงไม่อยากตกรอบนี้ถูกมั้ยคะ 



ตามประกาศ จะเห็นว่ารับ 40 คน แต่หลังจากประกาศผล ต้องบอกว่าแอบตกใจเหมือนกัน เพราะรับจริงไม่ถึง 40 คนค่ะ ไม่มีสำรองด้วย เป็นอะไรที่ลุ้นมาก ๆ แต่เป็นโมเมนต์ที่รู้สึกว่าความพยายามที่ทำมาทั้งหมดมันไม่เสียเปล่าจริง ๆ 



สำหรับการเตรียมตัวสำหรับสอบเข้า CU MEDi น่าจะจบเท่านี้ค่ะ แต่ในส่วนหลังสอบติดแล้ว ทางโปรแกรมก็จะมี Foundation Course มาให้ลงเรียน ไม่ได้บังคับ แต่แนะนำให้ลงสำหรับคนที่ได้คะแนน MCAT พาร์ทนี้ ๆ ๆ ไม่ถึง 130 คะแนน (จากเต็ม 132 นะคะ) 



ตอนนี้เราเรียน Foundation มาได้ประมาณ 2 วีค บอกเลยว่าหนักหน่วงมากกกก เนื้อหาจะลึกและเข้มข้นกว่า MCAT ไปมากอยู่ค่ะ แต่ความรู้ที่ใช้สอบ MCAT ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ใช้ได้เลยค่ะ 



สิ่งที่หนัก เรามองว่าเป็นเรื่องการปรับตัว เพราะเนื้อหาเยอะมากกกกกกกก ในขณะเดียวกัน ก็ต้องทำความรู้จักเพื่อนใหม่ รุ่นพี่ อาจารย์ต่าง ๆ เป็นอะไรที่เหนื่อยพอสมควร แต่เราว่าก็คุ้มกับที่เราพยายามมาตลอด



อาจจะมีคนสงสัยว่าบรรยากาศเป็นยังไง เพื่อนเป็นยังไง ต้องบอกว่าเพื่อนมาจากหลากหลายสาขา อายุก็ต่างกันไปด้วยแต่สิ่งที่ทุกคนมีคือความเป็นผู้ใหญ่ ให้เกียรติกัน แล้วก็คอยช่วยเหลือกัน ซึ่งสำหรับเราในตอนนี้คือเป็นอะไรที่ดีมาก ๆ เพื่อน ๆ คือกระตือรือร้น ขยันกันสุด ๆ จริง ๆ อาจารย์ก็พร้อมช่วยเหลือ แบบน่ารักมาก ๆ ถามเยอะแค่ไหน ท่านก็ไม่บ่นด้วย แบบ supportive และพร้อมให้ความรู้จริง ๆ รุ่นพี่ M2 ก็คือคอย reach out ตลอด สร้างรากฐาน เชื่อมความสัมพันธ์กับภาคไทยมาอย่างดีมาก ๆ ด้วย คือกิจกรรมไม่ขาดเลยจริง ๆ



Overall, ตอนนี้เรา happy และ enjoy กับ CU MEDi Program มาก ๆ (ถึงจะแอบเหนื่อยนิดนึง) ก็หวังว่ารีวิวของเราจะช่วยให้ข้อมูลกับคนที่สนใจได้ ไม่มากก็น้อยนะคะ อาจจะเวิ่นเว้อไปสักหน่อย but hope to see you as a part of our CU MEDi program na ka<3



P.S. ถ้ามีคำถาม ถามมาใน comment ได้เลยนะคะ จะพยายามมาตอบให้เร็วที่สุดค่าา‍️

แสดงความคิดเห็น

21 ความคิดเห็น

-ch3ry- 17 มิ.ย. 65 เวลา 23:29 น. 1-1

ถ้าทุนเต็มจำนวนอะไรแบบนี้ไม่มีค่าา แต่ว่าหลังติดเข้ามาแล้ว ก็อาจจะมีโอกาสได้ทุนซัพพอร์ตเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ค่ะ (แต่ส่วนนี้ทางโปรแกรมยังไม่ summarize ออกมาเนอะว่าจะ offer เท่าไหร่ หรือกี่ทุน) รวม ๆ เราไม่แนะนำให้รอพึ่งทุนค่ะ เพราะยังไม่มีอะไรแน่นอน และมีความเป็นไปได้อยู่ ที่ทุนจะไม่ cover ถึงค่าเทอมที่เราจะจ่ายค่ะ

0
-ch3ry- 17 มิ.ย. 65 เวลา 23:32 น. 2-1

จากตารางของพี่ M2 นะคะ step 1 เราจะได้สอบหลังเรียน pre clinic จบแล้ว (น่าจะเป็นช่วงเทอมที่ 4 หรือครึ่งหลังของปี 2 ค่ะ หลังเริ่มขึ้น clinic แล้ว) ส่วน step 2 กับ 3 ก็จะถัดจากนั้นไปอีกค่ะ

0
Pinky 23 มิ.ย. 65 เวลา 19:42 น. 3

ไม่ทราบว่าเรียนพิเศษ MCAT, IELTS และสถาบันที่ช่วยดู CV และการสอบสัมภาษณ์ ที่ไหนคะ

ต้องใช้เวลาเตรียมตัวในการสอบรวมทั้ง 2 อย่างจนถึงวันได้รับผลสอบนานเท่าไหร่คะ

2
-ch3ry- 24 มิ.ย. 65 เวลา 01:16 น. 3-1

ถ้าเป็น MCAT ที่ดู CV กับ MMI ให้ เราเรียนกับ Learning Hub ค่ะ ส่วน IELTS เรียนกับ Pegas Prep ค่ะ MCAT ระยะเวลาเรียนจะ vary มาก ๆ แล้วแต่เลยว่าเราต้องใช้เวลาเท่าไหน ต้องการเก็บวิชาไหนเป็นพิเศษอะไรมั้ยค่าา คะแนนจะออกประมาณ 1 เดือนหลังจากที่สอบไปค่ะ สามารถเช็คได้ก่อนลงสมัครเลยว่าถ้าสอบวันนี้ คะแนนจะดูได้วันไหน ส่วน IELTS เราเรียน 20 ชั่วโมง เฉลี่ยเป็น 10 วันค่ะ (แต่ส่วนนี้ก็กระจายได้เหมือนกันนะคะ รวม ๆ แล้วก็ประมาณ 1 เดือน แล้วไปสอบค่ะ) ส่วนคะแนนจะออกหลังสอบประมาณ 3-5 วัน (ถ้าสอบแบบคอมฯ) แต่ถ้าสอบแบบเปเปอร์ ก็จะนานกว่าหน่อยค่ะ

0
-ch3ry- 24 มิ.ย. 65 เวลา 01:18 น. 3-2

ถ้าสนใจเรียนพิเศษ ลองเข้าไปคุยกับสถาบันก่อนก็ได้ค่ะ ลองเปรียบเทียบราคา หรือรูปแบบดูว่าเราแฮปปี้แบบไหน (บางที่ก็ลองขอทดลองเรียนก่อนก็ได้ค่ะ)

0
Pinky 24 มิ.ย. 65 เวลา 23:23 น. 4

ขอบคุณมากค่ะ ขอรบกวนเพิ่มเติมหน่อยนะคะ ไม่ทราบว่าหลักสูตรนี้อาจารย์สอนเป็นภาษาอังกฤษตลอดเลยมั๊ยคะ นักศึกษาส่วนมากพูดภาษาอังกฤษด้วยกันหรือปล่าว แล้วนักศึกษาส่วนมากอายุประมาณเท่าไหร่กันเหรอคะ

ตอนสมัครต้องขอจดหมายรับรองจากที่ไหนคะ รบกวนแนะนำแนวทางด้วยค่ะ

2
-ch3ry- 2 ก.ค. 65 เวลา 21:32 น. 4-1

ขอโทษที่ตอบช้านะคะTT อาจารย์สอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดค่ะ เวลาถามอะไรอาจารย์ ส่วนมากก็เป็นภาษาอังกฤษค่ะ มีภาษาไทยเล็กน้อย ส่วนเพื่อน ๆ ก็แล้วแต่เลยค่ะ มีทั้งไทย ทั้งอังกฤษ เรื่องอายุคือมีทั้งจบ Bachelor แล้วต่อเลย จนถึงจบ Ph.D. มีอายุแล้วก็มีค่ะ (เราไม่สามารถ specify ได้ตามที่เราแจ้งไว้เรื่องสัญญาข้างต้น ขอโทษด้วยนะคะ) ส่วนจดหมายรับรอง ถ้าหมายถึง Recommendation Letter 2 ฉบับ ส่วนตัวเราขอจากอาจารย์ที่เรียน Bachelor ทั้ง 2 ฉบับเลยค่ะ (เป็นอาจารย์ 2 ท่าน) ส่วนถ้าใครทำงานแล้ว สามารถขอจาก Supervisor หรือว่า Co-worker ได้เหมือนกันค่ะ

0
Pinky 3 ก.ค. 65 เวลา 10:44 น. 4-2

ขอบคุณสำหรับข้อมูลอันเป็นประโยชน์มากๆ เลยนะคะ

0
Arinna 15 ก.ค. 65 เวลา 19:04 น. 5

มีเรื่องสงสัยค่ะ ขอสอบถามนะคะ ต้องรอประกาศผลคะแนน Mcat กี่วันหรอคะตามที่พี่เชอร์รี่สอบมาสองรอบค่ะ แล้วเขาแจ้งผลคะแนนทางไหนไหมคะ หรือเราต้องเข้าเช็คในเว็บไซต์เอง

2
normal guy 15 ก.ค. 65 เวลา 23:21 น. 5-1

ช่วยตอบนะครับ MCAT ปกติรอประมาณ 30 วันครับ แจ้งผลคะแนนใน account ของเว็บ AAMC ที่เราเข้าไปสมัครครับ เราต้องเข้าไปเช็คเองครับ

0
-ch3ry- 17 ก.ค. 65 เวลา 10:35 น. 5-2

หลัก ๆ คือที่คุณ normal guy ช่วยตอบเลยค่าา โดยปกติเราสามารถเช็ควันที่คะแนนออกได้ล่วงหน้า ซึ่งทาง AAMC จะแจ้งออกมาเป็นตารางคู่กับวันสอบเลยค่ะ เพราะฉะนั้นเวลาที่แน่นอนก็จะต่างกันไปค่ะ แต่คร่าว ๆ ก็จะประมาณ 30 วัน ส่วนเวลาที่คะแนนออก เราจะรู้จาก Twitter ของ AAMC ค่ะ ว่าตอนนี้คะแนนออกแล้วนะ อะไรประมาณนี้ค่าา (แต่ถ้าล่ก ๆ หน่อย ก็จะแอบเข้าไปรีเฟรชบ่อย ๆ ก็มีค่าา ;;)

0
normal guy 24 ก.ค. 65 เวลา 10:02 น. 6

ขอบคุณ -ch3ry- ที่เข้ามาตั้งกระทู้มากๆเลยนะครับ เป็นคนในรุ่นที่แอบมาเห็นโพสต์ อิอิ ขอบคุณแทนหลายคนเลยครับ เพราะตอนเราสอบเอง เราก็อยากได้ guideline จากคนอื่นเหมือนกัน เก่งมากๆๆๆครับ

1
-ch3ry- 28 ก.ค. 65 เวลา 03:40 น. 6-1

เจอหน้ากันแล้วช่วยแสดงตัวหน่อยนะคับบบ ._. ไม่คิดว่าจะมี M1 มาเห็นด้วยยย ;; btw ถ้ามีตรงไหนผิดพลาด หรืออยากเสริมตรงไหน เสริมได้เลยน้าา

0
Vin 25 ก.ค. 65 เวลา 15:45 น. 7

เราสามารถเช็คได้ไหมครับว่าแต่ละปีที่ผ่านมา มีคนสมัครกี่คน ติดสัมภาษณ์กี่คน ติดจริงกี่คน และคะแนนMcat น้อยสุดของคนที่ติดสัมภาษณ์คือเท่าไหร่ ขอบคุณครับ

4
Vin 25 ก.ค. 65 เวลา 15:49 น. 7-1

แล้วถ้าปีที่จะถึงนี้ วันรับสมัครCu-mediเปิดถึงกลางกุมภาพันธ์, ผมสามารถสอบmcat ต้นมกราคมได้ไหมครับ. อยากใช้เวลาอ่านให้นานที่สุดครับ


หรือว่า ช่วยแนะนำเวลาที่สายที่สุดที่ควรจะสอบMcatได้ไหมครับ?

0
-ch3ry- 28 ก.ค. 65 เวลา 03:22 น. 7-2

ถ้าเป็นสถิติอย่างเป็นทางการจะไม่มีออกมาค่ะ แต่สามารถเช็คได้โดยเทียบจากประกาศผู้มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือก ผู้ผ่านการสอบสัมภาษณ์อะไรแบบนี้ค่าา ส่วนคะแนน minimum-maximum MCAT ไม่สามารถบอกได้เลยค่ะ เราค่อนข้างจะเกรงใจกัน เลยไม่ค่อยถามเรื่องคะแนนกันค่ะ ปัจจุบันก็เลยไม่ทราบคะแนนของทุกคน + ไม่ได้มีคนทำสถิติออกมาค่ะ

0
-ch3ry- 28 ก.ค. 65 เวลา 03:38 น. 7-3

ถ้าเปิดรับถึงช่วงกุมภาเหมือนปี 2022 ก็จะสามารถสอบรอบเดือนมกราได้ค่ะ (ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องลงที่นั่งให้ได้ และเช็ควันที่คะแนนออกให้ดี ๆ ค่ะ ว่าออกทันเดดไลน์วันส่งเอกสารรึเปล่า อย่าลืมบวกเผื่อเวลาที่ตีกลับมาเป็นเวลาไทยด้วย) แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่แนะนำเลือกรอบที่กระชั้นชิดมากขนาดนั้น เพราะ 1. อาจจะเตรียมเอกสารอื่นไม่ทัน ล่ก หรือใด ๆ เช่น ถ้าคะแนนออกคืนนั้น แล้วปิดรับสมัครช่วงเที่ยงวันต่อมาเลย ก็มีโอกาสผิดพลาดสูงเหมือนกัน เผื่อเวลาเตรียมเอกสารดี ๆ ดีกว่าค่าา 2. รอบมกราเป็นรอบที่เปิดเป็นเดือนแรกหลังจากไม่มีสอบมาประมาณ 3 เดือน แปลว่าทุกคนก็น่าจะอ่านมาดีเหมือนกันค่ะ ส่วนตัวเรามองว่าคะแนนรอบมกรา up ค่อนข้างยาก (!ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ!) ความรู้เราแน่นขึ้น แต่คนอื่นก็แน่นขึ้นเหมือนกัน + ยิ่งใกล้ยื่นคะแนน เรายิ่งมีความกดดัน ถ้ายิ่งสอบรอบแรก ก็จะเครียดหนักกว่าเดิม เพราะเราจะคาดหวังให้ทำคะแนนได้ตามเป้าในครั้งเดียว ดังนั้น ส่วนตัวเราแนะนำให้ลงรอบกันยาจะดีที่สุดค่ะ แล้วค่อยมาลงรอบมกรา เป็น backup อีกที ถ้าเรายังไม่แฮปปี้กับคะแนนรอบแรกนะคะ อีกเหตุผลนึงคือโดยปกติอาจารย์จะมีแพลนเปิดรับสมัครช่วงตุลา-ปลายปี แต่ 2 ปีที่ผ่านมาเลื่อนมาช่วงมกรา-กุมภา เพราะโควิด ถ้าปีนี้จะคงตารางเดิม ไม่เลื่อนแล้ว ถ้าไม่ลงรอบสิงหา-กันยาไว้ เราก็จะไม่มีคะแนนไว้ยื่นเลยนะคะ (ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าคะแนนเท่าไหร่แนะนำให้ยื่นไปก่อนค่ะ requirement ไม่ได้กำหนด minimum ถ้าคิดว่าคะแนนไม่ดี แล้วไม่ยื่น จะพลาดโอกาสมากกว่านะคะ)

0
-ch3ry- 29 ก.ย. 65 เวลา 18:00 น. 7-4

เพิ่มเติม ในเรื่องการสอบ MCAT หลังจากอัพเดตข้อมูลกับเพื่อน ๆ 


ข้อสอบจะไม่เหมือนกันทุกคนนะคะ ถึงจะสอบรอบเดียวกัน ดังนั้นจะเป็นการวัดระดับของตัวเองล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น (หมายความว่าข้อสอบแต่ละชุด จะมีข้อง่าย กลาง ยากปนกันไป ซึ่งส่วนนั้นจะเป็นตัวบอกว่าเราทำได้เท่าไหร่ บางชุดที่ง่ายกว่า ก็จะผิดได้น้อยกว่า ในขณะที่บางชุดยากกว่า ก็จะมีโอกาสผิดมากกว่าค่ะ)

0
Charl 31 ส.ค. 65 เวลา 02:24 น. 8

ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากจริงๆ ครับ หวังว่าสักวันคงได้เป็นรุ่นน้องนะครับ

1
-ch3ry- 6 ก.ย. 65 เวลา 10:24 น. 8-1

ยินดีค่าา ถ้ามีคำถาม ยังไงถามเข้ามาในนี้ได้เลยนะคะ เป็นกำลังใจให้สำหรับการสอบและการเตรียมตัวนะคะ

0
Nat 5 ก.ย. 65 เวลา 17:01 น. 9

คนส่วนใหญ่ที่ติดไปอายุประมาณเท่าไหร่หรอครับ ที่อยากรู้ที่สุดคืออายุน้อยที่สุดที่ติดคือเท่าไหร่ ผมอยากรู้เพราะว่าคนที่อายุน้อย=ประสบการณ์ทำงานน้อยในด้านต่างๆ ซึ่งจะมีโอกาสติดไหมครับ? แล้วคนที่ติดส่วนใหญ่มีประสบการณ์ทำงานในโรงพยาบาลมาทุกคนเลยไหมครับ ผมกำลังจะสมัคร Cumedi ในปีที่จะถึงนี้(2023) แต่ไม่มีประสบการณ์ในโรงพยาบาลเลย พยายามหาแล้วครับแต่เวลาไม่ตรงที่ผมว่างเลย (ผมเรียนอยู่ปีสุดท้ายปตรี ที่ต่างประเทศ) แล้วจำเป็นต้องมีรางวัลอะไรมาโชว์ใน CV ไหมครับ ตอนนี้CVผมไม่ค่อยมีอะไรที่โดดเด่นจัดๆเลยครับ กังวล 


ปล. ขอคำแนะนำเพิ่มหลังไมค์ได้ไหมครับ!?? ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไรเลยครับผมเข้าใจ เป็นสิทธิส่วนบุคคล


ขอบคุณครับ

3
-ch3ry- 6 ก.ย. 65 เวลา 10:57 น. 9-1

เราไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขได้เลย เพราะจะติดเรื่องที่แจ้งไป แต่ที่จบมาก็มีจบใหม่แล้วต่อเลยเยอะเช่นกันค่ะ ไม่ได้แปลว่าต้องมีประสบการณ์ทำงาน แบบ physically เหมือนยื่นต่อ Master degree ของคณะอื่นขนาดนั้น แต่เรามองว่าต้องมีสิ่งที่เราจะใช้ support profile ของเรา ว่าเรา mature มีความ multitalented, leadership (from visions of program นะคะ --> https://cu-medi.md.chula.ac.th/about-cumedi/) อะไรแบบนี้ ซึ่ง extracurricular activities ที่เราทำในช่วงที่เรียนก็เอามาใช้ได้ค่ะ ส่วนเรื่องประสบการณ์ในโรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องมีเลยก็ได้ค่ะ virtual shadowing ก็เพียงพอเหมือนกัน ส่วนนี้เรามองว่าจะช่วย strengthen profile เราในเรื่องของความสนใจ ว่าเราอยากและสนใจทำอาชีพนี้จริง ๆ มั้ย เป็นการสำรวจตัวเองไปด้วย ใน CV เราว่าอีกส่วนที่สำคัญก็อาจจะเป็น research ค่ะ จริง ๆ ไม่ได้ถึงขั้นว่า "ต้องใส่" แต่ถ้ามีก็ช่วยได้เหมือนกันค่ะ เพราะเข้ามาเราจะต้องทำ research อย่างน้อย 1 เรื่อง เป็น mandatory


ส่วนตัว เรามองว่า CV สำคัญ แต่ยังไม่เท่า SOP ค่ะ CV ดี แต่ถ้า SOP ไม่ support หรือเราสัมภาษณ์ไม่ดีก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน ตัวที่เราสามารถใส่เพิ่มได้ในขณะที่เวลายังพอมีอยู่ เรามองว่าจะเป็น certificates จาก online courses หรือจากการเป็น volunteer ค่ะ พยายามหาเวลาทำก็ได้ เป็นงานสั้น ๆ ก็ได้ค่ะ (อาจจะเหนื่อยหน่อยที่ต้อง handle หลาย ๆ อย่าง แต่พอผ่านช่วงนั้นไปได้ เราจะภูมิใจกับมันมากขึ้น + โปรไฟล์สวยขึ้นด้วย)


ถ้าเป็นอะไรที่น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย เรารบกวนถามในนี้เลยนะคะ เผื่อว่าจะมีคนที่สงสัยเหมือนกัน แต่ถ้าต้องการถามหลังไมค์แบบ personally เรารบกวนทิ้ง contact ไว้ได้มั้ยคะ เดี๋ยวเราทักไปค่าา

0
Nat 19 ก.ย. 65 เวลา 17:57 น. 9-2

1.ข้อมูลทุกอย่างใน CV ต้องเเนบ evidence ไปด้วยไหมครับ หรือว่า ส่งให้เค้าเฉพาะเวลาที่เค้าขอเท่านั้น เช่น เคยทำงานที่นึง ต้องส่ง สลิปเงินเดือนโชว์ เคยเรียนคอร์สออนไลน์ ต้องส่ง certificate ให้เค้า?

2.ควรจะมีรางวัลการแข่งขันในทางวิทยาศาสตร์ไหมครับ พอดีไม่มีเลย

3.letter of recommendation นี่พี่คุยกับอาจารย์ว่ายังไงหรอครับ ต้องให้อาจารย์เขียนดีแบบสุดๆเลยไหมครับ พอดีผมสนิทกับอาจารย์1คน แต่อีกคนที่จะขอคือไม่ได้สนิทมากแล้วไม่รู้ว่าเค้าจะเขียนได้ดีแค่ไหน


ขอบคุณครับ


0
-ch3ry- 29 ก.ย. 65 เวลา 18:15 น. 9-3

ขอโทษที่ตอบช้านะคะ พอดีพึ่งสอบปิดบล็อกไปTT


1. ไม่จำเป็นค่าา ถ้าเค้าไม่ได้ขอดู ก็ไม่ต้องค่ะ ของเราก็ไม่ได้ขอดูค่ะ (แต่เราเตรียมเผื่อไว้นะคะ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกอย่างใน CV ต้องเป็นความจริงค่ะ เพราะถ้าโดนถามแล้วตอบไม่ได้ คนที่เสียก็จะเป็นเราเองค่าา

2. ไม่จำเป็นต้องมีเลยค่าา เรากับเพื่อน ๆ หลายคนไม่ได้จบสาย science มาเหมือนกัน แต่ถ้ามี แล้วเกี่ยวกับการนำไปต่อยอดทางการแพทย์ได้ ก็อาจจะมีประโยชน์นะคะ (แต่ย้ำอีกทีว่าไม่จำเป็นค่ะ องค์ประกอบอื่นก็สำคัญเหมือนกัน ส่วนนี้เป็นส่วนที่เล็กมาก ๆ ไม่มีก็ไม่เป็นไรเลยค่ะ)

3. เรื่อง LOR เราว่าขึ้นอยู่กับอาจารย์ค่ะ ตอบไม่ได้เหมือนกัน เราก็ไม่ได้อ่านของเราเอง ;; เพราะอาจารย์ส่ง directly ให้คณะเลย ส่วนตัวเราแนะนำให้ approach ก่อนว่าท่านสะดวกเขียนให้เรามั้ย ควรขอแต่เนิ่น ๆ เพราะต้องใช้เวลาในการเขียน ถ้าไม่รู้จักกันในระดับหนึ่ง ควรไปพบ หรือทำให้ท่านรู้จักเรามากขึ้นหน่อยก็จะดีกว่าค่ะ LOR มี details ในหลายด้าน ทั้งข้อดีและข้อบกพร่องของเรา ซึ่งในส่วนนี้ก็สำคัญต่อการพิจารณาเช่นกันค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่าคงไม่มีอาจารย์ท่านไหนอยากตัดโอกาสของนักเรียนตัวเองอยู่แล้ว น่าจะพยายามเขียนให้ดีที่สุดอยู่แล้วค่าา


0
NNN 24 พ.ย. 65 เวลา 08:03 น. 10

สวัสดีค่ะ อยากจะสอบถามเล็กน้อยเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ค่ะ พี่พอจะแนะนำได้ไหมคะว่ามีติวที่ไหนบ้าง กับมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ควรรีบเตรียมตั้งแต่เนิ่นๆเลยไหมคะ หรือว่าเตรียมตัวช่วงสองอาทิตย์ทัน

5
NNN 24 พ.ย. 65 เวลา 08:05 น. 10-1

กับเรื่อง letter of recommendation ไม่ทราบว่าถ้าให้หัวหน้าองกรณ์ที่ไปทำจิตอาสาเขียนให้ อันนี้จะได้ไหมคะ หรือจะต้องเป็นจากที่เรียนกับที่ทำงานเท่านั้น ขอบคุณมากค่ะะ

0
-ch3ry- 1 ธ.ค. 65 เวลา 13:41 น. 10-2

เรื่องสอบสัมภาษณ์ เราเริ่มเตรียมตัวช่วงที่สมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว รวม ๆ ประมาณ 1 เดือนก่อนสอบสัมภาษณ์ค่ะ ก่อนการสอบสัมภาษณ์มีหลายอย่างที่ต้องเตรียม ลองดูตารางรับสมัครก่อนก็ได้ค่ะ ว่าอันไหนต้องยื่นก่อน แนะนำว่าเก็บคะแนนทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน แล้วมาเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ จุดที่ใช้เวลาอีกอันคือ CV กับ Personal Statement ค่ะ จุดนี้ค่อนข้างมีผลต่อการสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้นเลยต้องเตรียม 2 อย่างนี้ให้ดีมาก ๆ แล้วค่อยมาเตรียมตัวสัมภาษณ์ ซึ่งถ้ามีเวลา อยากให้ใช้เวลาเยอะ ๆ กับการเตรียมตัวสัมภาษณ์เหมือนกัน MMI เป็นรูปแบบการสัมภาษณ์ที่ซับซ้อน ถ้าไม่เตรียมตัวหรือไม่เคยศึกษารูปแบบการสัมภาษณ์รูปแบบนี้มาก่อน อาจจะทำได้ไม่ดี ไม่ตรงตามจุดประสงค์ก็ได้ ถ้าอยากได้ overview คร่าว ๆ ของรูปแบบการสอบ youtube จะมีตัวอย่างไว้อยู่นะคะ แต่อาจจะไม่เหมือน 100% แต่จะได้ไอเดียคร่าว ๆ มาค่ะ ส่วนตัวเราติวกับสถาบันที่เราติว MCAT ด้วย เพราะทางนั้น offer ให้หมดเลย อาจจะไม่ต้องติวจริงจัง แต่เราว่าจำเป็นต้องหาคนที่มานั่งฟัง + comment เราได้ เพราะเราต้อง improve ตัวเองจากจุดนี้ จน reach จุดที่คิดว่าสัมภาษณ์จริงได้ดีพอค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาที่เราใช้ ไม่ได้แปลว่าเราใช้เต็มทั้ง 1 เดือน ส่วนตัวเราเรียนไปด้วย เตรียมตัวไปด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราให้เวลาและต้องใช้เวลากับการเตรียมตัวเท่าไหร่ค่ะ

0
-ch3ry- 1 ธ.ค. 65 เวลา 13:49 น. 10-3

ถ้าตอบตรง ๆ ก็คือได้ค่ะ แต่ถ้าถามว่าแนะนำมั้ย เราไม่ค่อยแนะนำ ส่วนตัวเรามองว่าหัวหน้าองค์กรจิตอาสาที่เราไปทำด้วย อาจจะไม่ได้รู้จักเรามากพอถ้าเทียบกับอาจารย์หรือหัวหน้าที่ทำงาน ที่เราใช้เวลาด้วย หรือรู้จักเรามานานกว่า หรือในแง่มุมที่หลากหลายกว่าค่ะ (ยกเว้นว่าเราไปทำงานจิตอาสานั้นบ่อยมาก ๆ อะไรแบบนี้)

0
NNN 1 ก.พ. 66 เวลา 05:00 น. 10-4

ขอบคุณสำหรับคำตอบมากค่ะ ;-; ตอนนี้กำลังจะเตรียมตัวยื่นต่อในรอบนี้แล้ว หวังว่าจะได้เข้าไปเป็นรุ่นน้องนะคะ

0
-ch3ry- 8 ก.พ. 66 เวลา 09:14 น. 10-5

ยินดีมาก ๆ เลยค่าา เป็นกำลังใจให้นะคะ <3

0
YojeongHSW 18 ม.ค. 66 เวลา 13:20 น. 11

อยากสอบถามนิดนึงค่ะ เคยสอบ MCAT ไปแล้วครั้งนึง แต่เมย์ไม่เข้าใจการแปลผลคะแนนเลยค่ะ ไม่เข้าใจว่าอ่านเปอร์เซนไทล์ยังไง เทียบออกมาเป็นคะแนนที่เป็นตัวเลขยังไง แล้วคะแนนสูงแค่ไหนถึงเรียกว่าดี ถ้าเราจะสมัครอย่างน้อยควรได้คะแนนประมาณไหน พอจะมีเว็บไหนที่อธิบายรายละเอียดพวกนี้ได้มั้ยคะ งงมากเลยค่ะ แล้วก็ ที่คุณเชอร์รี่เรียนพิเศษแบบไพรเวท คือเรียนตั้งแต่ปูพื้นฐานหมดทุกวิชา แล้วต่อมาก็มาฝึกทำข้อสอบ แล้วจบท้ายด้วย mock eltest แบบนั้นมั้ยคะ นี่รู้สึกว่าต้องเรียนพิเศษเพราะอ่านเองไม่ไหว แต่ไม่รู้จะเริ่ทต้นตรงไหนเลยค่ะ

3
YojeongHSW 18 ม.ค. 66 เวลา 13:59 น. 11-1

แล้วก็ MCAT ถ้าอายุ 30 แล้วยังสามารถสอบได้ไหมคะ? เมย์หาข้อมูลไม่เจอแล้ว แต่เหมือนเคยอ่านเจอว่าเกิน 30 จะสอบไม่ได้แล้วค่ะ

0
-ch3ry- 7 ก.พ. 66 เวลา 12:53 น. 11-2

ขอตอบเรื่องอายุก่อนนะคะ MCAT ไม่มีลิมิตอายุนะคะ 30 แล้วก็ยังสอบได้ค่าา แต่ว่าการยื่นคะแนน บางสถาบันที่รับอาจจะกำหนดอายุว่ารับไม่เกิน 30 หรือ 35 ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่แต่ละสถาบันกำหนดค่ะ

0
-ch3ry- 8 ก.พ. 66 เวลา 09:12 น. 11-3

หลัก ๆ คือช่องคะแนนที่เราจะดู จะเป็นช่องคะแนนรวมที่ range จาก 472-528 ค่ะ เป็นคะแนนรวมของทุกพาร์ท ซึ่งเราจะดูตรงคะแนนรวมเป็นหลักในการยื่น สำหรับ CU MEDi เท่าที่คุยกับเพื่อน ๆ จะแนะนำว่าให้ aim ที่ 500 ค่ะ ซึ่งจะน้อยกว่าคะแนนที่ใช้ยื่นใน US ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้แปลว่าต่ำกว่า 500 จะยื่นไม่ได้ เพราะตัวโปรแกรมจะดูเอกสารอื่น + การสัมภาษณ์เป็นส่วนประกอบด้วย รายละเอียดเรื่อง percentile หลัก ๆ จะมีของ AAMC เอง แล้วก็หลายเว็บไซต์เลยค่ะ ตัว percentile จะเป็นตัวบอกเฉย ๆ ว่าด้วยความยากของข้อสอบประมาณนี้ เราอยู่ประมาณไหน (Searching Key: MCAT Scores Interpretation/ Understanding MCAT scores)


ส่วนเรื่องการเรียนพิเศษ ส่วนตัวเราไม่มี background สายวิทย์มาเลย เลยต้องปูพื้นฐานใหม่หมดเลยค่ะ หลัก ๆ เลยจะเน้นเก็บเนื้อหาทั้งหมด คู่กับทำแบบฝึกหัดค่ะ mock จะได้ทำช่วงใกล้ ๆ สอบเลย ถ้ามีเบสิคมาบ้าง ก็ลองทำ mock ก่อนเลยสัก 1 ชุดก็ได้ค่ะ จะได้รู้แนวข้อสอบ + เห็นเนื้อหาที่จะออกว่ามีประมาณไหน


ถ้าถามว่าควรเริ่มจากตรงไหน แนะนำให้ประเมินเวลาก่อนค่ะ ว่าเราจะยื่นปีไหน จะจองสอบเมื่อไหร่ สำหรับการอ่านหนังสือ หรือเรียนพิเศษ ขอแบ่งเป็น 4 กรณี

1. ถ้ามีเวลา และอ่านเองได้ ก็เก็บเนื้อหาจาก textbook, khan academy แล้วก็ทำแบบฝึกหัดเยอะ ๆ ค่ะ ไม่มีพื้นฐานก็อ่านเองได้เหมือนกัน แต่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า ข้อดี: ช่วย save cost ไปได้ค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องมี self-discipline ที่ดีมาก ๆ

2. ถ้าไม่มีเวลา แต่มีพื้นฐาน จบตรงสายหรือใกล้เคียง ก็เน้นทำแบบฝึกหัดก่อนก็ได้ค่ะ mock ก่อน แล้วมาทำแบบฝึกหัด เช็คข้อที่พลาด แล้วไปอ่านเพิ่มส่วนนั้นน่าจะย่นเวลาได้อยู่ค่ะ

3. ถ้ามีเวลา แต่อ่านเองไม่ได้ แนะนำให้ลงคอร์สเรียนพิเศษ อาจจะเป็นไพรเวทหรือกลุ่มก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นกลุ่ม ข้อดีคืออาจจะได้ราคาที่ดีกว่า ได้รู้จักเพื่อนที่ิจะยื่นเหมือนกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ แต่อาจจะปรับอะไรยาก บางส่วนที่อยากถามหรืออยากให้เน้นเพิ่มให้ก็อาจจะยากนิดนึงค่ะ ส่วนไพรเวท ข้อดีคือสามารถปรับ pace ทุกอย่างตามเราได้หมด ไม่เข้าใจก็ถามได้เลย แต่ข้อเสียคือ cost จะสูงขึ้นมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงที่ใช้เรียนด้วยค่ะ ถ้าใช้เวลาน้อย ก็อาจจะไม่สูงมาก (แนะนำว่าถ้ามีเวลาพอสำหรับคอร์สกลุ่ม ก็เรียนเป็นกลุ่มไปก่อน แล้วเรียนแบบไพรเวทเฉพาะวิชาที่ไม่โอเคก็ได้ค่าา หรือบางตัว เช่น psy soc ถ้าอ่านเองไหว อ่านเองก็โอเคอยู่ค่ะ)

4. ไม่มีเวลา และอ่านเองไม่ได้ แนะนำเป็นคอร์สไพรเวทไปเลยค่ะ


ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนเรียนพิเศษ แนะนำให้ลองรีเสิร์ชข้อมูลก่อน ว่าสถาบันไหนสอนยังไง มีคอร์สแบบไหน ทดลองเรียนได้ก็ลองทดลองเรียนก่อนก็ได้ค่าา แต่ละที่จะมีสไตล์การสอนที่อาจจะต่างกัน หาที่ที่คลิกกับเราที่สุดก็จะช่วยได้มากค่าา

0
wwwww 14 ก.พ. 66 เวลา 14:54 น. 12

แล้วสามารถสมัครขอรับทุนค่าเล่าเรียนจากทางมหาลัยได้หรือไม่ครับ

2
wwwww 14 ก.พ. 66 เวลา 15:07 น. 12-1

ประมาณว่าทุนประเภท ก ทุนประเภท ข ของจุฬาน่ะครับ

0
-ch3ry- 14 ก.พ. 66 เวลา 18:20 น. 12-2

ส่วนตัวเราว่าไม่ได้ค่ะ ด้วยเงื่อนไขของการรับทุนคือ เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ด้วยตัวหลักสูตรที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ ซึ่งค่าเทอมจะสูงกว่าหลักสูตรปกติอยู่แล้ว เมื่อสมัครทุนจะไม่ใช่ first choice ที่มหาวิทยาลัยอยาก offer ให้ 


พิจารณาอีกเงื่อนไขที่ required คือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่กำหนด ด้วยตารางเรียนที่ intense มาก ๆ เรามองว่าแทบไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมให้คณะหรือมหาวิทยาลัยเลย ตัว pre-class assignments ก็เยอะมาก ๆ อยู่แล้วด้วยค่ะ

0
TLee 16 มี.ค. 66 เวลา 17:21 น. 13

เห็นว่าการสัมภาษณ์มีให้เลือกภาษาได้ อยากสอบถามว่าการเลือกสอบสัมภาษณ์ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษนี่มีผลต่อการคัดเลือกไหมคะะ

1
-ch3ry- 22 มี.ค. 66 เวลา 08:50 น. 13-1

ส่วนนี้เราไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกปี ในเรื่องการสัมภาษณ์ มีหลาย ๆ ข้อมูลที่ไม่สามารถพูดได้ตาม commitment ที่เซ็นไป

0
normal guy 19 มี.ค. 66 เวลา 21:38 น. 14-1

เสิร์ชดูเลยครับ เริ่มจากสมัครให้มี account ของ AAMC ก่อนแล้วลองหารอบสอบในไทยครับ

0
คิคุ 24 เม.ย. 66 เวลา 21:31 น. 15

สวัสดีค่า สอบถามเกี่ยววิชาที่เรียนได้มั้ยคะ ของปี1 จะได้เรียนเลคเชอร์อย่างเดียวเลยมั้ยคะ ยังคงมีพวกวิชาพื้นฐานที่เราต้องเรียนรึป่าวคะ เเล้วยังต้องมีการทำวิทยานิพนธ์หรือเล่มจบเหมือนกับการเรียนปริญญาตรีปกติไหมคะ

4
normal guy 30 เม.ย. 66 เวลา 13:09 น. 15-1

มีทั้งเลคเชอร์และปฏิบัติครับ วิชาพื้นฐานแบบแคลคูลัส เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ จะไม่มีแล้วครับ พวกวิชาเลือกก็ไม่มีแล้วครับ

0
-ch3ry- 4 พ.ค. 66 เวลา 10:49 น. 15-2

1.5 ปีแรก คือจะเรียนเป็นพรีคลินิกค่ะ จะคล้ายกับภาคไทย ปี 2 - 3 เราจะเรียนเป็นระบบอวัยวะ ทั้งปกติและไม่ปกติ วิชาพื้นฐาน เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ จะไม่ได้เรียนแยกเป็นตัว ๆ แต่จะ integrate ไปกับแต่ละบล็อกเลยค่ะ

0
-ch3ry- 4 พ.ค. 66 เวลา 10:55 น. 15-3

ระหว่างเรียนพรีคลินิก ก็จะไม่ได้เรียนเป็น lecture based ค่ะ จะเน้นเป็นการเรียนนอกเวลาด้วยตนเองตามที่อาจารย์กำหนดมา แล้วมา discuss กันในห้อง รวมถึงมีเข้า lab ดูอาจารย์ใหญ่ แล้วก็ขึ้นไปชมวอร์ด เจอคนไข้จริง ๆ ด้วยค่ะ

0
-ch3ry- 4 พ.ค. 66 เวลา 10:59 น. 15-4

สำหรับหลักสูตรเรา ไม่ได้บังคับในตอนจบ แต่เป็นวิชาบังคับตอน 1.5 ปีแรก ที่ต้องทำ research ค่ะ อาจจะไม่ได้ aim ว่าต้องเสร็จสมบูรณ์เลย แต่ทุกคนต้องทำให้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ค่ะ แต่จะทำถึงขั้นไหน คือแล้วแต่คนและอาจารย์ที่ปรึกษาค่ะ

0
Skyy_p 15 พ.ค. 66 เวลา 13:26 น. 16

เราอยากเรียน CUMedi มากๆเลยค่ะ

ตอนนี้เรากำลังจะสอบ MCAT เดือนกันยานี้ แต่เราไม่ค่อยมีเวลา เลยลงเรียนแบบครอสออนไลน์ของ www.mediprepacademy.com ซึ่งคาคาเป็นมิตรกับเรามาก แล้วเราก็คิดว่าเรื่องพื้นฐานเราน่าจะสามมารถเก็บจากในเวปได้ครบ

แต่อยากจะรบกวนคุณ -ch3ry- แนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการเวลาการอ่านหนังสือได้ไหมคะ

2
MuityzaAtisapan 16 พ.ค. 66 เวลา 13:47 น. 16-1

เเลกเปลี่ยนข้อมูลกันมั้ยคะ อยากจะเข้าcumediiปีหน้าเหมือนกันค่ะ สอบmcatสิงหานี้ค่ะ

0
-ch3ry- 12 มิ.ย. 66 เวลา 22:27 น. 16-2

ส่วนตัว โชคดีว่าช่วงที่เราเก็บ MCAT เป็นช่วงปิดเทอมพอดีค่ะ ตารางของเราคือจะเป็นตารางเรียนเก็บเนื้อหาเป็นหลัก มีอ่านเพิ่มเติมบ้าง แต่ก็ยืดหยุ่นตามเวลาที่เหลือจากตารางเรียนพิเศษค่ะ ถ้าช่วงที่ต้องอ่านเอง เราก็จะเน้นอ่านช่วงดึก - เช้ามืด เพราะจะค่อนข้างเงียบ concentrate ได้มากขึ้นค่ะ รวม ๆ คือเราอ่านตามเวลาที่มี เก็บเนื้อหาไปได้สักพักใหญ่แล้วเริ่มทำโจทย์ค่ะ ซึ่งก็เก็บไม่ทันทั้งหมด เลือกเน้นบางส่วนที่ถนัด หรือเลือกทิ้งส่วนที่ low yield ไปบ้างค่ะ


การจัดตารางอ่านเราว่าขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยจริง ๆ ค่ะ สไตล์การอ่านแต่ละคนน่าจะไม่เหมือนกันด้วย ทั้งนี้ คือต้องมีการจัดสรรเวลาพักผ่อนด้วยค่ะ เพื่อป้องกันการ burnout ระหว่างที่เราอ่าน

0
-ch3ry- 24 ก.พ. 67 เวลา 18:20 น. 18-1

ขอโทษที่มาตอบช้านะคะ ในช่วง pre-clerkship บางคนก็อาจจะพอจัดสรรเวลาได้อยู่บ้างค่าา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นช่วง clerkship เป็นต้นไปเป็นการขึ้นคลินิก ต้องเรียน full time ราวน์เช้า ราวน์เย็นจริง ๆ รวมถึงการอยู่เวร ซึ่งส่วนนี้เรามองว่าค่อนข้างยากค่ะ เรียนหนักมาก ๆ เวลาพักผ่อนน้อยลงไปเยอะ งานพาร์ทไทม์อาจจะพอรับได้เป็นครั้งคราว แต่ก็ต้องมั่นใจว่าส่วนนี้จะไม่มากระทบการเรียนค่ะ จากประสบการณ์จากเพื่อน ๆ รุ่นพี่รุ่นน้อง รวมทั้งคำแนะนำจากอาจารย์ก็คือไม่ค่อยแนะนำค่ะ

0
-ch3ry- 24 ก.พ. 67 เวลา 18:25 น. 19-1

บอกตามตรงว่าไม่ได้มีการเปิดเผยส่วนนี้ค่าา ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเกณฑ์หนึ่งในการตัดสินถือว่ามีผลอยู่แล้วค่ะ จากการพูดคุยกับเพื่อน ๆ ในรุ่น มองว่า 500 ขึ้นไปจะค่อนข้างเซฟมากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น คะแนน MCAT อาจจะไม่ใช่ปัจจัยเดียวค่ะ คะแนน MCAT ดี แต่โปรไฟล์ด้านอื่น การทดสอบสุขภาพจิต หรือการสัมภาษณ์ไม่ผ่านก็อาจจะไม่ได้รับเลือกเหมือนกันค่ะ

0
innnnko 10 เม.ย. 67 เวลา 13:00 น. 20

สวัสดีค่ะ เราอยากติดต่อสอบถามหลังไมค์ พอจะมีช่อฃทางติดต่อมั้ยคะ หรือคิดต่อมาทางไลน์ได้นะคะ xxingdrgn ka

1