Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ตามหาคนอ่านนิยายไฮแฟนตาซีแบบเข้มข้นครับ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

นิยาย  High Fantasy หมายถึงนิยายที่ผู้แต่งสร้างโลกขึ้นมาทั้งใบในระดับสมจริงราวกับว่าเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ อาจหมายรวมถึง Sci-fi fantasy ด้วยก็ได้ ตัวอย่างของนิยายประเภทนี้ก็มี The Lord of The Rings, Game of Thrones, Dune, Mistborn, Shadow and  Bone เป็นต้นครับ อันนี้ยกตัวอย่างเฉพาะที่ได้แปลเป็นภาษาไทย

ซึ่งปัจจุบันอาจเป็นแนวที่ไม่ได้รับความนิยมของนักอ่านไทยสักเท่าไหร่ เพราะขนาดนิยายแนวนี้ระดับขายดีนับสิบล้านเล่มที่ได้รับการแปลไปทั่วโลก ก็แทบจะไม่ได้แปลเป็นภาษาไทยเลย ผมสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะสนพ.เห็นว่าขายได้ไม่คุ้มทุนเพราะคนซื้อน้อย อย่างนิยายเรื่อง
Red Risings ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นไซไฟแฟนตาซีที่ดีที่สุดในยุคนี้  และโด่งดังพอ ๆ กับ Hunger games 

The First Law ที่ดังระดับ Game of Thrones ของยุคนี้ หรือ
The Stormlight Archive ที่ถูกยกเป็นนิยาย High Fantasy รุ่นใหม่ที่ดีงามที่สุด

สามนิยายระดับโลก แต่ไม่มีแปลเป็นภาษาไทยเลย

ผมชื่นชอบนิยายแนวนี้ ยกให้เป็นแบบครู และสร้างผลงานในแนวนี้ออกมาได้จบเล่ม
แน่นอนว่าคงไม่อาจเทียบความสมบูรณ์กับงานชั้นครูได้แน่ครับ แค่เป็นความสุขที่นักเขียนตัวน้อย ๆ ได้สร้างผลงานที่ตนเองอยากอ่านออกมา และรู้ดีว่าคงได้รับความนิยมน้อยมากในวงการนักอ่านบ้านเรา (เพราะขนาดระดับท็อปโลกยังตีตลาดบ้านเราไม่ได้เลย)

แต่อย่างน้อยก็คิดว่าน่าจะมีนักอ่านชาวไทยบางส่วนที่ชื่นชอบนิยายไฮแฟนตาซีแบบเข้มข้นอยู่ครับ เลยอยากขอพื้นที่มาแนะนำผลงานของตัวเองดู

นิยายเรื่อง Soulpolis นครเวหาสมุทร
นิยายไฮแฟนตาซี ผจญภัย
เซ็ตติ้งผสมผสานระหว่าง sci-fi และเวทมนตร์

คำโปรย...
ดินแดนแห่งแผ่นสมุทรลอยฟ้าทั้ง ๗
กับการแสวงหาดวงพลังเออกอน
ที่มีอำนาจดุจเทพเจ้า
ในยุคสมัยที่โลกสร้างนิรันดร์นครในอุดมคติ
ด้วยวิทยาการผนึกจิตวิญญาณมนุษย์
และสังเคราะห์ร่างอมตะ
ทว่าทุกสรรพสิ่งล้วนต้องมีสิ่งชดเชย
แล้วสิ่งใดเล่าคือ
ค่าตอบแทนของโลกที่มนุษย์ไม่มีวันตาย ?!

อ่าน "Soulpolis นครเวหาสมุทร" ในนิยาย Dek-D หรือยัง
http://writer.dek-d.com/Ratindh/writer/view.php?id=2530750

ขอบคุณสำหรับพื้นที่ในการโปรโมทผลงานครับ
ใครแต่งนิยายแนวนี้ หรือมีผลงานนักเขียนไทยที่ชื่นชอบ ก็แนะนำมาได้เลยนะครับ
ส่วนตัว ถ้าเป็นนักแต่งแฟนตาซีไทย ผมชื่นชอบ Las Alquimista ของคุณท้องฟ้า
กับ ไมรอน โดย คุณลวิตร์ เป็นพิเศษครับ ยกให้เป็นงานครูตอนเริ่มแต่งเลย

แสดงความคิดเห็น

>

21 ความคิดเห็น

Nobody 1 ธ.ค. 66 เวลา 19:43 น. 1

ส่วนหนึ่งที่ทำให้คิดว่านิยายแนว​ สูงแฟนตาซีไม่นิยมในสมัยนี้เพราะแทนที่จะได้อ่านนิยายเนื้อเรื่องดี​ ๆ​​ กลับได้อ่านหนังสือประวัติ​ศาสตร์​แทน

1
รตินธร์ 1 ธ.ค. 66 เวลา 20:33 น. 1-1

นิยายแนวนี้แต่งยากครับ ผู้แต่งไม่ชำนาญจะกลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ได้จริง ๆ จนคนอ่านหลับไปตั้งแต่หน้าแรก


แต่งานระดับท็อป ๆ ก็มีเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยมและเป็นที่ตราตรึงใจไปทั้งโลก

หนังฟอร์มใหญ่ที่ทำเงินหลักพันล้านเหรียญ วัตถุดิบก็มาจากไฮแฟนตาซีเยอะครับ

อย่างเช่นเรื่อง Game of Thrones, Dune, The Witcher, Best Served Cold (ได้ผู้กำกับเดดพูล กำหนดฉายปีหน้า), Star Wars (ได้แรงบันดาลใจมาจาก Dune) ฯลฯ

หรือซีรีย์เกมดัง ๆ มากมายก็ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายแนวนี้ อย่างเช่น Elden Ring หรือ Final Fantasy

หรืออย่างจีน ญี่ปุ่น ก็เอานิยายแนว High Fantasy ของบ้านเขามาทำเป็นหนัง เกม มีเดียต่าง ๆ ตั้งเท่าไหร่


จะบอกว่าเรื่องราวที่ดีที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างขึ้นมาหลาย ๆ เรื่องอยู่ในนิยายหมวด High Fantasy ก็ไม่น่าเกินจริงครับ


และถ้าไม่นิยมในสมัยนี้จริง นิยาย High Fantasy ยุคใหม่ ๆ อย่าง The Stormlight Archive (และอีกหลาย ๆ เรื่อง) ก็คงขายไม่ได้เป็นหลักสิบล้านเล่มทั่วโลกหรอกครับ

ผมว่าเป็นรสนิยมของนักอ่านไทยในยุคนี้มากกว่า จะนิยมแนวอ่านง่าย ดำเนินเรื่องเร็ว ไม่เน้นรายละเอียดในโลกของนิยายมาก (ส่วนตัวผมก็ชอบอ่านนิยายไลท์โนเวล และไม่ได้คิดว่ามีคุณค่าน้อยไปกว่าไฮแฟนตาซีเลย)


นิยายไฮแฟนตาซียุคใหม่ ๆ ก็พัฒนาทักษะการเล่าเรื่องจนสนุก ชวนติดตาม เข้าถึงมิติจิตใจ ได้ดีขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ มากทีเดียว อย่างยุคนี้ แต่งแนว The Lord of The Rings ก็คงขายไม่ได้แล้วครับ แต่งมาผมก็คงไม่อ่านเหมือนกัน


สรุป คือ ทั่วโลกยังนิยมมากอยู่ครับ แต่ในไทยไม่ค่อยนิยมแนวนี้แล้ว

0
รตินธร์ 1 ธ.ค. 66 เวลา 20:34 น. 2-1

ครับ จัดในหมวดนี้เลยครับ

เสียดายที่หนังทำออกมาได้ไม่ดี เลยเจ๊งไปตั้งแต่ภาคแรก

0
wizzard potion 1 ธ.ค. 66 เวลา 22:25 น. 2-2

แล้วอย่าง hunger game ก็ยังอิงค์โลกปัจจุบันอยู่บ้าง แต่ world settings มันสร้างใหม่หมดนี่ถือเป็น high มั้ยครับ

0
รตินธร์ 1 ธ.ค. 66 เวลา 22:43 น. 2-3

ถ้าเอาแบบเจาะจงก็ young adult dystopian novels ครับ แบบ บอกแล้ว คนอ่านนึกออกเลยว่าเป็นไง เกี่ยวกับการก้าวพ้นวัย ในยุคอนาคตที่เลวร้าย ซึ่งคนแต่งก็ต้องออกแบบยุคนั้นขึ้นมาอย่างละเอียด จนรู้สึกว่าเป็นไปได้จริงๆ ซึ่งเก่งมากๆ เลยครับ


ถ้าจะเอาคำจำกัดความเป๊ะๆ ก็เรียกไฮแฟนตาซีไม่ได้ แต่ก็อยู่ในแนวที่ผมชอบ และใช้ทั้งศึกษาและเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานตัวเองเหมือนกันครับ

0
Furinkazan 7 ธ.ค. 66 เวลา 07:51 น. 2-4

นิยายสุดยอดจริงครับ

"สมรภูมิล่าเมือง" ชื่อนี้ชอบมาก

เป็นเรื่องแรกที่นางเอกไม่ได้สะสวยอะไร เรียกได้ว่าเน้นเนื้อหาเป็นหลัก ไม่เปิดโอกาสให้สิงเป็นตัวละครเลย


แนะนำ

0
book2006 1 ธ.ค. 66 เวลา 21:11 น. 3

ไม่รู้ว่าเกี่ยวรึเปล่านะ ของผมเป็นนิยายแฟนตาซีที่มีต้นแบบจากเล่นเกมมายคราฟครับ เล่นไปสร้างบ้านเมืองไปจนรู้สึกผูกพันเลยเขียนเรื่องราวขึ้นมากลายเป็นนิยายแฟนตาซีซะงั้น


ทะลุมิติสู่ดินแดนโบกขรณี

เมื่อพายุปริศนาพัดชนเผ่าต่างๆจากทวีปเอเชียมาสู่โลกปริศนาที่พวกเขาไม่รู้จักมาก่อน แต่ละเผ่าต่างปักหลักในแต่ละส่วนของแผ่นดิน และเพื่อความเป็นใหญ่พวกเขาจึงทำสงครามกันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งในแผ่นดินนี้

https://writer.dek-d.com/book2006/writer/view.php?id=2496731

ป.ล.นี่เป็นนิยายแฟนตาซีเรื่องแรกของผมครับ แบบไปต่างโลกเลย มีหลายแนวทั้งผจญภัย อิงประวัติศาสตร์บ้าง สงครามบ้าง ดราม่าบ้าง ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ

https://image.dek-d.com/27/0932/9517/133978004

1
รตินธร์ 1 ธ.ค. 66 เวลา 21:21 น. 3-1

แจ๋วเลยครับ


ไฮแฟนตาซีก็เหมือนเราเล่นมายด์คราฟแหละครับ คือสร้างโลกทั้งใบขึ้นมาจากจินตนาการของตัวเอง

จริง ๆ ถ้าแยกแบบละเอียดก็มี ไฮ คือสร้างเองทั้งหมด กับ โลว์ คือสร้้างจากฐานของโลกจริง อย่างเช่นแฮรี่ พอตเตอร์ แต่ก็กล่าวรวมว่าแนวเดียวกันได้ครับ

0
หนูจามัย 1 ธ.ค. 66 เวลา 21:31 น. 4

Fantasy กับ Hi-Fantasy ใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดว่า นิยายเรื่องนี้เป็น Hi-Fantasy เหรอครับ หรือแค่เขียนให้มันดูเท่ และดูยิ่งใหญ่เฉยๆ

1
รตินธร์ 1 ธ.ค. 66 เวลา 21:38 น. 4-1

มันเป็นหมวดหมู่นิยายเพื่อให้คนที่สนใจแนวนี้เลือกอ่านได้ง่ายครับ

ไม่ได้มีความหมายว่าหมวดใดดีกว่าหมวดใดเลย

ไฮ จะใช้กับนิยายที่สร้างโลกสมมุติขึ้นมาทั้งใบ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง ภาษา เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ค่านิยม ความเชื่อ ต้นกำเนิดโลก วิทยาการ กฎธรรมชาติ ดวงดาวในระบบสุริยะ เป็นต้น จะมีรายละเอียดมากน้อย โฟกัสไปที่ประเด็นไหน ก็แล้วแต่การสร้างสรรค์ของนักแต่งแต่ละคนเลยครับ

0
LesserPANDA 1 ธ.ค. 66 เวลา 21:48 น. 5

สู้ ๆ ค่ะ มาให้กำลังใจ เราชอบดูหนังนะ และก็มักจะดูไม่รู้เรื่องเท่าไรเพราะเซ็ตติ้งเยอะเกินขี้เกียจคิดตาม 5555555 แต่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษนี่สิ ชนิดที่อ่านแล้วไม่มีอารมณ์ร่วม ไม่ก็อารมณ์ร่วมผิดเพี้ยนตลอดเลยอะ 555555 สรุปเลยไม่ได้อ่านเรื่องใด ๆ ที่ไม่มีภาษาไทยเลย ฮา


แต่ไรต์ใช้ศัพท์ยากจัง บางที่ศัพท์โมเดิร์น บางที่ศัพท์ยาก บางที่ศัพท์เก่า อ่านแล้วฟีลลิ่งสับสนหน่อย ๆ

6
รตินธร์ 1 ธ.ค. 66 เวลา 22:09 น. 5-1

ขอบคุณครับ

นิยายเรื่องใหม่ๆ มีแปลน้อยครับ ถ้าผมแนะนำ เรื่อง Mistborn ก็สนุกดีนะ มีแปลไทยครบไตรภาคเลย


ขอบคุณคอมเม้นเรื่องภาษาครับ เวอร์ชั่นแรกๆที่ผมลองให้คนอ่าน โดนถามว่าผมจบเอกภาษาไทยมาเหรอ >.< ... ก็เลยปรับโทนภาษาให้เข้ากับคนอ่านยุคนี้ขึ้นครับ และตัวเรื่องมันยุคผสมผสาน มีตัวละครอายุหลายศตวรรษที่อยู่ข้ามยุคสมัยด้วย การเลือกคำให้เหมาะ นี่ยากมากครับ


...จะพยายามขัดเกลาให้ดียิ่งขึ้นนะครับ

0
yurinohanakotoba 2 ธ.ค. 66 เวลา 00:19 น. 5-2

อืม...การใช้ศัพท์แสงมีความโดดไปมาอย่างที่คุณแพนด้าแดงว่า มันทำให้อ่านแล้วไม่ลื่นไหล ถ้าคุณคิดว่าเป็นเสน่ห์ของตัวเองก็ยังต้องปรับปรุงกันต่อ ถ้าทำให้มันเป็นเนื้อเดียวกันได้หมด อ่านแล้วไม่สะดุดเหมือนผ้าเนื้อเดียวกันได้นั่นล่ะความรู้สึกคนอ่านถึงจะดีขึ้น


สิ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นปัญหาอีกอย่างคือคุณไม่ค่อยเล่าเรื่อง พอไม่เล่าเรื่องความน่าสนใจมันไม่มี หรือคุณคิดว่าเรื่องคุณใช้อะไรดึงดูดคนอ่าน จะจับคนอ่านไม่อยู่เอานะ


อะไรคือการเล่าเรื่อง กลับไปอ่านงานของคุณพัณณิดาดูครับ นั่นล่ะการเล่าเรื่อง

0
wizzard potion 2 ธ.ค. 66 เวลา 00:25 น. 5-3

ขอวาร์ปของตัวอย่างเรื่องที่เขาเล่าเรื่องเก่งๆ ด้วยได้มั้ยครับ อยากลองไปอ่าน

0
รตินธร์ 2 ธ.ค. 66 เวลา 00:40 น. 5-4

ขอบคุณครับคุณ yuri ผมแฟนคลับคุณพัณณิดาเลยครับ แต่อ่านผลงานแค่ไมรอน ยกให้เป็นครูเลย งดงามทั้งภาษาและการเล่าเรื่องจริงอย่างที่คุณว่าเลยครับ คงต้องไปหาเรื่องอื่นมาอ่านเพิ่มแล้ว


ผมยังไม่คิดว่างานของตัวเองดีพอหรือมีเสน่ห์แล้วหรอกครับ ยังมีจุดที่พัฒนาได้อีกมากจริง ๆ ที่เขียนออกมาก็คือทำได้ดีที่สุดในตอนนั้น ๆ ครับ บางจุดผิดพลาดเราก็มองไม่ออกเหมือนกัน ก็ต้องอาศัยเวลาขัดเกลา


ส่วนคนอ่าน นี่ก็แล้วแต่จริง ๆ ครับ เพราะคงเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะทำให้คนอ่านทุกคนชอบ ผมเขียนตามแบบที่ถ้าผมเป็นคนอ่าน ผมจะชอบแบบนี้ที่สุด ซึ่งก็คงดึงดูดได้ในกลุ่มที่มีรสนิยมใกล้เคียงกันครับ คนชอบอีกสไตล์ ผมไปเขียนให้ชอบก็ไม่ไหวเหมือนกัน

0
รตินธร์ 1 ธ.ค. 66 เวลา 23:18 น. 6-1

คำว่าจริง ไม่ได้หมายถึงว่าจริงแบบโลกเราครับ อารมณ์รู้สึกว่ามีอยู่จริงๆ อาจจะเป็นโลกฝันๆ แบบ Alice in Wonderland ก็ได้ ซึ่งนิยายมันถ่ายทอดมิติได้มากกว่าภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดได้แค่ภาพกับเสียงเท่านั้น นิยายนี่ได้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ความนึกคิดของตัวละคร ซึ่งเป็นพื้นที่ให้เราสร้างสรรค์อะไร ๆ ได้มากครับ

0
NANATUS 2 ธ.ค. 66 เวลา 16:17 น. 7

ความรู้ใหม่เลยครับ ผมผ่านหูผ่านตามาบ้างกับคำว่าไฮแฟนตาซี แต่ก็รู้จักแค่ผิวเผิน

เลยเข้าใจมาตลอดว่าคำนี้หมายถึงผลงานที่เป็นแฟนตาซีจ๋าๆ แบบพวก LOTR, Narnia อะไรพวกนี้ซะอีก

ไม่นึกว่าจะมีความหมายในเชิงนี้ด้วย แถมผลงานไซไฟยังรวมอยู่ในนี้ได้อีก



ส่วนตัวแล้ว ผมเองก็ชื่นชอบผลงานแนวนี้และกำลังเขียนอยู่เหมือนกัน

เข้าใจเลยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงผลงานประเภทนี้ ส่วนหนึ่งคงเพราะความสุดโต่งของมันนั่นแหละ(ฮา)

ยังไงขอรบกวนฝากผลงานเอาไว้หน่อยแล้วกันครับ เผื่อใครผ่านไปผ่านมาแล้วสนใจ


The Last Sanctuary ล่าอนาคต ผ่ากฎโรงเรียนมหาเวท

เป็นแนวไซไฟ แฟนตาซี มีธีมหลังเป็นโลกอนาคตครับ : )

1
สมุด บันทึกผี 3 ธ.ค. 66 เวลา 20:29 น. 8

มันอ่านค่อนข้างยาก ถ้าโลกนั้นไม่ได้อิงมาจากวัฒนธรรมที่ ผู้คนนิยม เข่น วิถีซามูไร ประศาสตร์ยุคกลางของอังกฤษ หรือ ปกรณัมเทพนิยายต่างๆ คนอ่านต้องมีจินตนาการ

ป.ล. นิยายน่าสนใจดีครับ

1
รตินธร์ 3 ธ.ค. 66 เวลา 21:23 น. 8-1
ขอบคุณครับ

นิยายแนวนี้ที่ดี ๆ ก็เปิดจินตนาการคนอ่านได้มากนะครับ

แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวที่คุ้นเคยอย่างที่คุณว่าแหละครับ อย่างตอนนี้มีเรื่อง The Sword of Kaigen ที่ต่างประเทศกำลังดังมาก เซ็ตติ้งจะคล้ายญี่ปุ่นยุคใหม่มาก แบบมีอุปกรณ์คล้ายสมาร์ทโฟน ยูทูป แต่ก็มีประเทศที่คล้ายญี่ปุ่นยุคโบราณ แต่ละประเทศจะใช้เวทมนตร์เฉพาะได้ คล้าย ๆ กับเรื่องนารูโตะ และถ่ายทอดมิติทางสังคม การเมือง การสงคราม ออกมาได้สมจริงมาก

หรือซีรีย์ Jade City ที่เซ็ตติ้งคล้ายฮ่องกงยุค 90 ที่หยกเป็นของล้ำค่ามีพลังวิเศษ คนที่ฝึกฝนจะใช้พลังจากมันได้แบบยอดมนุษย์ ธีมเรื่องแบบหนังมาเฟียเข้มข้น ที่เน้นความสัมพันธ์ครอบครัวของตัวละครได้ซาบซึ้งใจมาก บทบู๊ก็มันสุดๆ

มันเป็นแนวที่ผู้แต่งสามารถผสมผสานวัฒนธรรมจริงและสร้างสรรค์งานออกมาได้หลากหลายจริง ๆ ครับ และงานไฮแฟนตาซียุคใหม่ ๆ ก็ฉีกไปจากยุคกลางของยุโรปไปมากแล้ว มีการผสมผสมธีม วัฒนธรรม ยุคสมัยที่หลากหลายกันจนอ่านได้สนุกเลย

งานดี ๆ แบบนี้ เสียดายมากที่ไม่มีคนแปลมาให้คนไทยได้อ่านกัน
0
moonSB1996 4 ธ.ค. 66 เวลา 12:06 น. 9

สวัสดีครับ ! ผมเองก็ชอบนิยายแนวนั้นเหมือนกันแต่หาที่ถูกใจอ่านอยากจริง ๆ

ขอให้สนุกบ้างนะครับ ถ้ามีคำผิดคำตกอภัยล่วงหน้ากำลังแก้ทั้งเล่มแรกอยู่ครับ !

https://writer.dek-d.com/moonSB1996/writer/view.php?id=1612763

2
รตินธร์ 4 ธ.ค. 66 เวลา 14:53 น. 9-1

แต่งแนวไหนครับ พอเล่าเรื่องย่อได้ไหมครับ เผื่อคนสนใจจะได้ไปตามอ่านกัน

0
moonSB1996 4 ธ.ค. 66 เวลา 16:54 น. 9-2

แนวแฟนตาซีครับ

เรื่องราวของฮากาโนะ เฟนโนที่ได้กลายเป็นเจ้าชายของอาณาจักรที่ชื่อว่า "อิริทิว" โดยมีเกี่ยวข้องกับสงครามที่เริ่มมาตั้งแต่ยุคเทพ และความลับที่เทพซ่อนอยู่ หวังว่าจะถูกใจนะครับ

0
นักอ่านที่ผ่านมา 4 ธ.ค. 66 เวลา 12:43 น. 10

เราอ่านของ Brandon Sanderson หลายเรื่องที่ไม่ได้แปลไทย บางเล่มคงเป็นนิยายที่ชอบที่สุดแล้วในบรรดานิยายที่อ่านช่วงหลาย ๆ ปีนี้ แปลกใจอยู่เหมือนกันที่ยังไม่แปลมา


เราตื่นเต้นนะ ที่เห็นว่าจขกท. กำลังเขียนนิยายแนวนี้อยู่ แต่เราไม่คิดว่านิยายไฮแฟนตาซีในไทยได้รับความนิยมน้อยเพราะ genre อย่างเดียว เรื่องที่ดังหรือแปลเข้ามาเราก็เห็น อย่าง The Witcher (ที่เรานับว่าเป็นไฮแฟนตาซี ตามนิยามของจขกท. เรื่องการสร้างโลกใหม่ทั้งใบ) ก็มีภาษาไทยทั้งภาคซีรีส์และนิยาย คนเล่นเกมก็มีเยอะ


หรืออย่างเราเองที่ชอบแนวนี้ ไม่ได้อ่านไฮแฟนตาซีภาษาไทยเพราะยังไม่เจอเรื่องที่เราอ่านแล้วชอบ หลาย ๆ เรื่อง (เท่าที่เคยอ่านมา คงไม่ทุกเรื่อง) มักเน้นเซตติ้งหรือ worldbuilding มากเกินไป จนลืมเน้นเรื่องราวของตัวละคร หรือไม่ได้สร้างความน่าติดตามอื่น ๆ สำหรับนักอ่านประเภทที่ไม่ได้ตามหาเซตติ้งโดยเฉพาะ อย่างนิยายของ Brandon Sanderson ที่เราพูดถึง ก็ไม่ได้มีจุดขายเรื่องเซ็ตติ้งอย่างเดียว เราและนักอ่านหลายคนถูกใจเพราะความน่าติดตามของเรื่องราวของตัวละครหลัก


หากจขกท. อยากได้คำวิจารณ์นิยายของจขกท. จากนักอ่านไฮแฟนตาซีคนหนึ่ง เรายินดีอ่านและออกความเห็นโดยละเอียดจากมุมมองของเราให้ แต่คงเป็นคอมเมนท์ที่พูดกันตรง ๆ เรื่องจุดที่เราอ่านแล้วรู้สึกสะดุด และคงต้องเป็นหน้าไมค์ในกระทู้นี้เพราะเราไม่มีไอดีที่สะดวกอินบอกซ์ไปหาได้

7
รตินธร์ 4 ธ.ค. 66 เวลา 14:59 น. 10-1

ขอบคุณครับ

ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับ

คำติที่ชี้ให้เห็นจุดพร่อง จุดที่ควรพัฒนา เป็นสิ่งล้ำค่าต่อผู้แต่งจริงๆครับ แนะนำมาได้เต็มที่เลยครับ


The Way of Kings ของแซนเดอร์สันนี่ผมประทับใจมาก ยกเป็นไฮแฟนตาซีอันดับหนึ่งในดวงใจเลย ตัวละครหลักทั้งสาม น่าประทับใจแบบที่สุดจริงๆ ผมเปรียบเป็นกิมย้งฝรั่งเลยละ


เลคเชอร์ของแซนเดอร์สันที่สอนในมหาลัย ผมก็ดูจนจบคอร์สเลยครับ มีประโยชน์มากๆ

0
นักอ่านคนเดิม 4 ธ.ค. 66 เวลา 20:20 น. 10-2

เราก็บุคมาร์คเลกเชอร์ไว้เหมือนกัน แต่ยังไม่ว่างไปดูเลย 55

วิจารณ์นิยายจขกท. แค่ 2 ตอนย่อยแรกนะ เพราะเป็นตอนดึงดูดคนอ่าน แล้วถึงวิจารณ์ตอนอื่น ๆ ก็คงลงเอยหัวข้อเดียวกันอยู่ดี


1: ภาษา


เราอ่านนิยายภาษาอังกฤษเป็นหลัก คงแนะนำเรื่องภาษาไม่ได้ แต่ภาษาในเรื่องนี้สะดุดมากจนยกมาเป็นหัวข้อแรก


เรารู้ว่าภาษาไทยเราไม่เก่งนะ แต่ปกติไม่ถึงขนาดที่อ่าน ๆ หยุด ๆ มาแปลศัพท์จนอินกับเรื่องไม่ได้แล้วไม่เห็นภาพ ภาษาก็มีทางการบ้างไม่ทางการบ้างจนสับสนบรรยากาศ แล้วไรท์ใช้คำความหมายเดิมบ่อยมาก อย่างคำที่แปลว่าไฟนี่มาติดๆ กัน มีพารากราฟที่เจอห้าหกครั้งด้วย


2: ตัวละคร


เรายังไม่เห็นความยูนีคของตัวเอกในสองตอนแรกนะ เพราะเห็นแค่เขาทำหน้าที่ตามธรรมเนียม ช่วยคน ๆ ฉากสู้ ๆ แล้วพอเราไม่ได้มีความอยากเชียร์เป็นพิเศษ ไม่ผูกพันกับตัวละคร ถึงนักเขียนจะบอกว่าเหนื่อยแทบขาดใจ เราก็ยังไม่มีความรู้สึกร่วมอยู่ดี


จริง ๆ เราสับสนนิสัยเขาด้วย มีทั้งแอคชั่นการผิวปากเพลินใจ รอยยิ้มขมขื่น ความสุขกับงานที่เรียบง่าย เราเลยงงวิธีมองโลกของเขามาก อะไรสำคัญกับเขากันแน่ แล้วเขามั่นใจแค่ไหนนะ ตอนแรกอย่างกับมั่นใจ แต่พอมีระเบิดมา (ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่ระเบิดครั้งแรก) ก็วิตกกังวลจน "อารมณ์ท่วมท้น" จริง ๆ เราอ่านต่อไปอาจจะรู้มากกว่านี้ก็ได้ แต่ตอนนี้พอไม่เข้าใจก็ยังไม่อิน


เทียบกับการเปิดตัวตัวละครใน Stormlight Archive นะ บทของ Szeth ฝากคำถามไว้กับนักอ่านเยอะเลยตั้งแต่หน้าแรก เขาเป็นใคร มาสเตอร์ล่ะ ทำไมต้องมาทำภารกิจนี้ด้วย แล้วพลังนี่มันอะไร หรืออย่าง Kaladin อย่างนี้ นักเขียนก็เขียนให้เห็นชัด ว่าเขาทำอะไรต่างจากคนอื่น ๆ ในตำแหน่งเดียวกันยังไง เสียสละขนาดไหน คนในทีมรักมาก นักอ่านก็อยากเชียร์ไปด้วย แล้วเรื่องของ Shallan ตอนแรกดูเหมือนธรรมดา ๆ แต่พอรู้ว่าเหตุผลที่มาหา Jasnah คืออะไรก็สร้าง tension พร้อมความน่าสนใจให้เราอยากติดตามแล้ว

0
ก็ยังนักอ่านคนเดิม 4 ธ.ค. 66 เวลา 20:25 น. 10-3

3: ข้อมูล, worldbuilding


ข้อมูลด้าน worldbuilding กับศัพท์ในเรื่องแน่นมาก ๆ แล้วบางทีการให้ข้อมูลก็อยู่ในจุดที่เบรคเนื้อเรื่องหรือเบรคอารมณ์อีก ลานหินปฐวีมีกี่ชั้น สนามพลังกราวิทัตสร้างจากอะไร โลกนี้มีกี่ธาตุ อุปกรณ์ที่คนใช้ในโลกนี้มีอะไรบ้าง จำเป็นต้องรู้ตั้งแต่ตอนแรกเลยหรือเปล่า รู้แล้วทำให้อยากอ่านต่อมากขึ้นไหม จริง ๆ นักอ่านรู้แค่ว่ามีสัตว์ประหลาดมาบุกสนามพลังก็เพียงพอให้เข้าใจเรื่องที่เกิดแล้ว คำอธิบายประวัติรูปปั้นกับสวนบนลานในตอนที่ 2 ก็เหมือนกัน ฉากแอคชั่นเพิ่งจบไป เราอยากรู้ผลที่ตามมามากกว่า ว่ามันจะเกี่ยวกับตัวละครหลักยังไงบ้าง ยังไม่ได้อยากรู้ประวัติศาสตร์ของโลกนี้ตอนนี้อ่า


ใน Stormlight Archive ตอนที่ Szeth ใช้พลังตั้งแต่ตอนแรก เรานึกภาพแอคชั่นออกทั้ง ๆ ที่แทบไม่ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับระบบเวทมนตร์ของเรื่องเลยนะ ศัพท์ที่ใช้ก็อยู่ใน context ที่อ่านต่อไปแล้วเข้าใจเหตุการณ์ได้ ยังไม่ต้องรู้รายละเอียด ไม่ต้องหยุดมาเปิดย้อนหรือจำข้อมูล แล้วรายละเอียด worldbuilding อื่นๆ เราก็ค่อยมารู้พร้อม Kaladin/Shallan ในตอนอื่น ๆ อีกที ก็เลยไม่รู้สึกว่าข้อมูลเยอะไป


4: จุดขาย, conflict, ความน่าติดตาม, mystery


อันนี้อาจจะตามมาจากข้อบน ๆ ก็ได้ เราอ่านถึงตอนสุดท้ายที่อัพก็ยังไม่เจอปมที่ทำให้อยากอ่านต่อ เรื่องตัวละครก็ยังไม่ผูกพันมากพอ ส่วนเรื่อง mystery ของโลกก็ยังไม่มีคำถามที่สงสัยหรือน่าสนใจมากพอให้อ่านต่อ เหตุการณ์ถึงตอนนี้ มีแค่ตัวละครหลักสู้กับอะไรบางอย่างเพื่อช่วยใครบางคนต่อไปเรื่อย ๆ แล้วก็ได้เห็นอาจารย์ทำอะไรเทพ ๆ สักอย่าง แต่เรายังไม่มี context มากพอที่เราจะเข้าใจความหมายความสำคัญของมันเลย


ไม่รู้ว่าเราวิจารณ์ตรงไปไหม อะไรที่จขกท.อ่านแล้วคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ก็ข้ามไปเลยก็ได้นะ แต่ยังไงขอเป็นกำลังใจให้นะ ในฐานะนักอ่านที่อยากเห็นนิยาย genre นี้เป็นภาษาไทยมากขึ้น

0
รตินธร์ 4 ธ.ค. 66 เวลา 21:19 น. 10-4

ขอบคุณมากครับที่ช่วยวิจารณ์ให้ด้วยความตั้งใจและละเอียดมากจริง ๆ

เป็นบทความที่มีประโยชน์กับผมมากครับ มันทำให้เห็นจุดพร่องได้ชัดเจนขึ้นมาก หลาย ๆ ส่วนที่คุณแนะนำมา ผมรู้โดยทฤษฎี แต่พอลงมือเขียนจริง มันก็มีจุดผิดพลาดปรากฏให้เห็นอยู่


งานเขียนชิ้นนี้เป็นนิยายเล่มแรกที่ผมเขียนจบเลยครับ จึงถือเป็นโอกาสในการศึกษาทักษะการแต่งนิยายทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ ที่ลงไปนี่ก็ปรับแก้จนถึงดราฟที่ 3 แล้วครับ แต่ก็แน่นอนว่าด้วยความมือใหม่ ก็ยังมีจุดสะดุดหลาย ๆ อย่าง


เรื่องภาษา เป็นสิ่งที่หาจุดลงตัวยากจริง ๆ ครับ เวอร์ชั่นแรก ๆ ภาษายังอ่านยากยิ่งกว่านี้เสียอีก นี่ผมก็ปรับโทนลงไปมากแล้ว ในงานเขียนชิ้นหลัง ๆ เป็นส่วนที่ลงตัวขึ้นมาก แต่ในบทแรก มันยังคงสะดุดและขาดความเป็นเนื้อเดียวกันอยู่จริง ๆ กระทู้นี้ทำให้ผมเห็นจุดพร่องตรงนี้ได้ชัดเจนขึ้นมาก (เวลาอยู่กับงานตัวเองนาน ๆ มันมองไม่ออกครับ รู้แบบเหมือนอยู่หลังหัว แต่ไม่ชัด พอได้การสะท้อนจากนักอ่านหลาย ๆ ท่าน มันก็เห็นชัดขึ้นมากเลย) เป็นปักหมุดใหม่ที่จะทำให้ดีขึ้นครับ และตอนนี้พอเห็นหนทางแล้วว่าควรพัฒนาต่อไปอย่างไร


เรื่องตัวละคร คุณชี้ได้เห็นภาพชัดทีเดียว ด้วยว่าผมเอาส่วนไคลแมกซ์ของเรื่องมาเป็นบทเปิดเพราะกลัวดึงคนอ่านไม่ได้ ก็เลยทำให้คนอ่านไม่รู้ถึงบริบท ขาดความเข้าใจในตัวเอกไป ในบทต่อ ๆ ผมถึงจะเท้าความถึงที่มาที่ไป คำแนะนำนี้ ทำให้ผมเห็นถึงข้อเสียของการสลับโครงสร้างการเล่าเรื่องอยู่พอสมควรเลยครับ


และในส่วนของ infodump นี่ก็ความผิดพลาดของมือใหม่จริง ๆ เลยครับ บทนี้เป็นบทที่ผมเขียนแรก ๆ เลย ความชำนาญในการเล่าเรื่องก็ยังน้อยอยู่ แม้ตอนหลังปรับแก้ไปหลาย ๆ ส่วน แต่ความไม่สมดุลในส่วนนี้ก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่


เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์มากจริง ๆ ครับ ได้แฟนนิยายเดียวกันมาแนะนำด้วยแล้ว ยิ่งดีใจเป็นพิเศษเลย ในวงการนี้ผมยังมือใหม่อยู่มาก และเพิ่งเข้าปีที่ 2 ที่ลงมือแต่งนิยายอย่างจริงจัง จึงยังมีพื้นที่ให้พัฒนาอีกมหาศาลเลยครับ ขอบคุณจริง ๆ ครับ และถ้ายังพอมีเวลา หรือเนื้อเรื่องไม่ทำให้เบื่อจนเกินไป ผมอยากข้อคำแนะนำเพิ่มเติมกับบทต่อไปที่จะนำมาลงด้วยนะครับ เอาแค่ถึงที่ผมลงให้อ่านในวันอาทิตย์นี้ก็ได้ครับ (จะจบช่วงแนะนำตัวละครหลักพอดี)

0
นักอ่านคนเดิมอยู่ดี 4 ธ.ค. 66 เวลา 23:20 น. 10-5

เรายินดี และดีใจที่คำวิจารณ์เป็นประโยชน์กับจขกท. นะ


การใช้ฉากสำคัญเป็นบทเปิดเรื่องอาจจะไม่ได้แปลกขนาดนั้นนะ (เรานึกถึงคอนเสปต์เรื่อง "inciting event": เหตุการณ์สำคัญช่วงแรก ๆ ที่ทำให้โลกของตัวละครเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น) นิยายสมัยนี้หลาย ๆ เรื่องก็นิยมเปิดด้วยฉากแอคชั่น เพียงแต่ว่าคงต้องให้ข้อมูลบริบทกับคนอ่านมากพอ ว่าตัวละครแต่ละคนเป็นใคร แล้วสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจทำ มีความหมายยังไงบ้างสำหรับพวกเขา ถ้านักอ่านเชื่อว่าตัวละครให้ความสำคัญกับ A มาก ๆ (A คืออะไรก็ได้) แล้วฉากเปิดเรื่องเป็นฉากที่ A กำลังโดนพรากไป คิดว่านักอ่านน่าจะเข้าใจความรู้สึกนั้นได้นะ


ลองเสนอดูนะ จขกท. อาจจะลองสรุปกับตัวเองดู ว่าตัวละครแต่ละคนมีนิสัยเด่นอะไรที่คนอ่านน่าจะชอบ พวกเขาให้ความสำคัญกับอะไร และจะมีแอคชั่น การตัดสินใจ หรือความคิดแบบไหนที่แสดงให้นักอ่านเห็นแล้วจะตีความได้เลยว่าพวกเขาเป็นคนแบบนั้นแน่ ๆ


ไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ ไม่ต้องเฉลยประวัติตัวละครทั้งหมด อย่าง Stormlight Archive ที่แค่บทเดียวก็เชื่อแล้ว ว่า honor สำคัญสำหรับ Szeth, สมาชิกในทีมสำคัญสำหรับ Kaladin


คิดว่าปกตินะ ที่บทท้าย ๆ จะดีกว่าบทแรกเพราะประสบการณ์มากขึ้น แต่เคยอ่านคำแนะนำว่าหลังเขียนจบแล้ว การกลับมารีไรท์บทแรก ๆ ก็สำคัญมากด้วย เพราะจะเป็นบทที่นักอ่านส่วนใหญ่ใช้ตัดสินงานของเรา ถ้าเขาไม่ชอบบทแรก ๆ ก็คงปิดไปเลย หลายคนคงไม่รอให้งานดีขึ้นในบทหลัง ๆ


กว่าจะถึงวันอาทิตย์ที่จขกท.ขอไว้ยังอีกเกือบอาทิตย์ ไม่กล้ารับปากเพราะเราขี้ลืม แล้วไม่ได้เข้าเว็บนี้เป็นปกติด้วย 55 แต่ถ้าจำได้จะแวะกลับมาตอบในกระทู้นี้นะ

0
รตินธร์ 4 ธ.ค. 66 เวลา 23:58 น. 10-6

ขอบคุณครับ

อันที่จริงบทนี้ก็ปรับจนถึงดราฟที่ 3 แล้วนะครับ และตัวโครงสร้างของเรื่องก็ตกผลึกจนเข้ารูปไปแล้ว ที่จะปรับคงเหลือแค่ในส่วนของภาษา ก็ได้แต่เก็บประสบการณ์ทั้งหมดไปทำเล่มใหม่ให้ดีขึ้นครับ


ในส่วนคนอ่าน หลายคนก็ชอบบทแรกมากทีเดียว แต่ผมก็เข้าใจได้เลยว่าส่วนไหนที่ทำให้คนอ่านบางส่วนเข้าไม่ถึง เป็นบทเรียนที่ล้ำค่าจริง ๆ ครับ


ส่วนตัวไม่ชอบกับข้ออ้างที่ว่ารอบทหลัง ๆ จะดีขึ้นเลยครับ รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของนักเขียนที่ควรทำให้ดีที่สุดตั้งแต่บทแรก (แม้ว่าของผม เบต้ารีดหลายคนพอผ่านบทแรกไปแล้วจะบอกว่าอ่านง่ายขึ้นมาก ๆ ก็เถอะ) พอเจอกับตัวเองจริง ๆ ถึงเข้าใจ ว่าถึงจุด ๆ หนึ่งก็ต้องมูฟออนเหมือนกันครับ ไม่งั้นคงแก้ได้ไม่รู้จบ อย่างเรื่อง Red Rising เล่มแรกยังไม่ค่อยกริบ มีจุดสะดุดหลาย ๆ อย่าง แต่คนแต่งก็มูฟออนไปเล่ม 2 ที่ดีขึ้นมากแบบก้าวกระโดดไปเลย


สำหรับเรื่องอ่าน ไม่ซีเรียสเลยครับ แค่นี้ก็ขอบคุณในน้ำใจมาก ๆ แล้วครับ ว่าง ๆ ยาว ๆ ตอนลงหลาย ๆ ตอนแล้ว ถ้าอยากแวะมาอ่านจริง ๆ ค่อยอ่านก็ได้ครับ แค่นี้ผมก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว

0
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 09:05 น. 10-7

ขอเพิ่มเติมในส่วนมุมมองคนแต่งหน่อยนะครับ


ด้วยว่านิยายเล่มหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้คนอ่านทุกคนชอบ ต่อให้แต่งออกมาได้ดีแค่ไหนก็ตาม อย่างเรื่อง The Way of Kings ที่ผมอวยแบบสุด ๆ แต่เพื่อนนักอ่านของผมบางคนก็ผ่านด่านบทนำไปไม่ได้เหมือนกัน ไม่ต้องกล่าวถึง Szeth เลยครับเพราะอ่านไปไม่ถึงซะแล้ว เป็นนิยายที่มี learning curve สูงจริง ๆ ผมเองก็ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับโลกใบนั้นสักพักเหมือนกัน แต่พอจูนติดนี่ก็ยาวเลยครับ เล่มหนาขนาดนั้น ไม่กี่วันอ่านจบ แบบกิจกรรมว่างอื่น ๆ หยุดไปทั้งหมดเลย


มันจึงมีทั้งส่วนที่นักเขียนสื่อไม่ดีพอ กับนักอ่านรับการสื่อไม่ได้ แบบรู้สึกไม่จูนกับเรื่องนั้น ๆ ด้วยครับ


อย่างตัวละครอาเธดีสในเรื่องของผมที่สื่อกับคุณนักอ่านคนเดิมฯไม่ได้เลย แต่กับอีกหลายคนก็ชอบตัวละครนี้มากตั้งแต่บทแรก อย่างในส่วนเริ่มต้น ที่อาเธดีสรู้สึกผ่อนคลายเพราะงานเรียบง่ายทำให้ไม่ต้องสวมบทเป็นเจ้าชายชั่วคราว แต่พอเกิดเหตุระเบิดอนธการ เขาก็เครียดหนักขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่ามันจะเกิดบ่อย เพราะแต่ละครั้ง ถ้าผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็หมายถึงมีคนตาย อย่างเช่นครั้งนี้ เขาก็เกือบจะช่วยชีวิตเด็ก ๆ เอาไว้ไม่ได้เหมือนกัน จึงเป็นการสื่อว่าทำไมเขาถึงเครียดถึงขนาดนั้น และต้องมีความเป็นผู้นำขนาดไหนเพื่อข่มตัวเองไม่ให้ลนลาน และทำหน้าที่นำทัพไล่อสูรออกจากนครได้สำเร็จ


ในบทแรก ๆ นี้เองก็มีหลายครั้งที่อาเธดีสต้องตัดสินใจเลือกสิ่งที่มีผลกระทบถึงความเป็นความตาย ทั้งการกระโดดเข้าไปขวางอสูรเพื่อช่วยเด็กจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สั่งให้ทหารกลับนครโดยตัวเองจะไปช่วยน้อยชายเพียงลำพัง ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นโอกาสที่จะช่วยเหลือได้ การที่เขาดุเด็กเรื่องทำอะไรไม่คิด แต่สุดท้ายก็ถูกอาจารย์ดุที่ตัวเองก็ทำอะไรไม่คิดเหมือนกัน


คือส่วนทั้งหมดนี้ ออกแบบมาเพื่อให้คนอ่านรับรู้ถึงบุคลิกของอาเธดีส ทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของเขา รวมถึงสถานการณ์ยากลำบากที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งความรักที่เขามีให้น้องชาย น้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ชนิดที่ว่า ต่อให้รู้ว่าช่วยน้องไม่ได้ และต้องตายเปล่า ก็ยังยินดีตายเพื่อแค่ได้พยายามอยู่ดี


ในส่วนทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ผมส่งไปถึงคุณนักอ่านคนเดิมฯไม่ได้เลย ซึ่งก็เป็นธรรมดาของนิยายทุกเรื่องครับ บางเล่ม คนอ่านก็จูนได้ บางเรื่องก็จูนไม่ติดเหมือนกัน

อย่างในส่วนของ infodump เรื่อง The Way of Kings เวลาบรรยายฉากสถานที่แต่ละฉาก สภาพอากาศ สัตว์ประจำท้องถิ่น หรืออย่างเช่นตอนที่ Shallan นั่งเรือมาถึงเมืองใหม่ในบทแรก คุณแซนเดอร์สันก็บรรยายแบบละเอียดยิบเลยเช่นกัน กับนักอ่านบางคน ส่วนนี้ ๆ ก็คงกลายเป็นข้อเสียจนเลิกอ่านได้เหมือนกันครับ แต่กับบางคน อย่างผม กลับเป็นส่วนที่ชอบและประทับใจมาก เช่นเดียวกับในบทแรกของผมที่มีการบรรยายถึงสภาพเมืองอยู่ 2 ครั้ง ในช่วงต้น 1 ย่อหน้า กับช่วงปลายบท 3 ย่อหน้า ผมก็พยายามกระชับที่สุด และพิจารณาว่าเป็นส่วนที่จำเป็นต่อการให้คนอ่านเห็นสภาพของโลกใบนี้จริง ๆ ซึ่งคนอ่านที่ชอบก็บอกว่ากำลังพอดีเลย ไม่มากและถูกจังหวะ แต่กับบางคน ก็รู้สึกว่ามาก ไม่อยากรู้ หรือกับอีกบางคน ก็บอกว่าน้อยไป อยากให้บรรยายมากกว่านี้อีก

ผมก็เลยพอสรุปว่ามันเป็นส่วนของรสนิยม และคงเขียนให้ทุกกลุ่มพอใจไม่ได้แน่ ท้ายที่สุดคนแต่งเองก็ต้องเลือกว่าจะบรรยายในระดับไหน


หรืออย่างในส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ ในเรื่อง ที่ผมยอมรับว่าจังหวะยังทำให้ดีกว่านี้ได้ แต่มันก็เป็นส่วนจำเป็นและลงตัวที่สุดของเรื่องนี้แล้ว ที่ใส่ลงไปแบบนี้


อย่างเรื่อง Mistborn ตอนที่ Kelsier สอน Vin ใช้พลัง Allomancer ก็จัดเต็มเลยเหมือนกัน นักอ่านบางคนก็ไม่ชอบส่วนนี้ แต่ส่วนตัวผมก็ชอบ และความเข้าใจวิธีใช้พลังในส่วนนี้มันก็ทำให้การต่อสู้ในฉากต่อ ๆ ไปอ่านได้สนุกมาก เพราะคนอ่านรู้ถึงกฎและขีดจำกัดของพลังในเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว เช่นเดียวกับพลังต่าง ๆ ในช่วงเริ่มเรื่อง ที่ผมรู้สึกว่าจำเป็นต้องอธิบายเพื่อให้คนอ่านรู้ถึงกฎและขีดจำกัดของพลังในเรื่อง มิเช่นนั้นแล้ว ฉากผจญภัยต่าง ๆ ในเรื่องจะทำให้คนอ่านลุ้นไปกับมันไม่ได้ และสัมผัสถึงความสมจริงไม่ได้เลย ซึ่งนักอ่านหลายคนก็ชอบครับ จะเป็นความรู้สึกว่าต้องใช้เวลาจูนสัก 2-3 บทแรก พอผ่านก็อ่านได้สบายมาก ผมจึงเข้าใจว่ามันเป็นช่วง learning curve ของเรื่องผม ซึ่งก็อาจจะหนักไปกับนักอ่านบางคน หรือบางคนก็รู้สึกไม่จูนกับโลกนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ


ทั้งหมดก็เป็นส่วนที่ผมสรุปองค์ความรู้จากการที่ได้รับคำแนะนำมาครับ ระหว่างข้อผิดพลาดที่ควรแก้ไขจริง ๆ กับจุดยืนถึงสิ่งที่ผู้แต่งต้องการนำเสนอ และจริตความชอบของนักอ่านที่ต่างกัน

0
มันเทศ 4 ธ.ค. 66 เวลา 18:50 น. 11

อ่านแล้วตอนหนึ่ง ขอพูดตรง ๆ นะ นิยายท่านเหมือนเขียนเพื่อโชว์ของมากกว่าเขียนเอาสนุก บางคำไม่จำเป็นต้องเรียงศัพท์ยาก และอีกจุดคือworldbuilding ที่พยายามยัดเยียดคนอ่านมากเกินงาม

มันคนละแบบกับเรื่องที่จขกท.ยกมาเลยนะ เช่น TSA อันนั้นคือเล่าเรื่องได้ดี ลำดับการเล่าชวนติดตาม ตัวละครเด่นน่าสนใจ แต่ของจขกท. นอกจากคำยากก็ไม่ได้มีจุดทีีอ่านแล้วคลิกเลย

1
รตินธร์ 4 ธ.ค. 66 เวลา 21:25 น. 11-1

ศัพท์ที่ยากจนทำให้คนอ่านสะดุด กับ infodump

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ครับ

งานของผมไปเทียบกับงานระดับครูแบบ TSA ไม่ได้หรอกครับ ยังต้องพัฒนาไปอีกมากครับ

0
IRYS...Just IRYS 4 ธ.ค. 66 เวลา 19:14 น. 12

//อาจจะตอบนอกเรื่องหรือไม่ตรงกระทู้เท่าไร แต่ขี้เกียจลบแก้แล้วครับ//


เอาเข้าจริง Concept High fantasy นี่ถ้าไม่นับเหล่าบรรดาตัวที่ดูมีความเป็น Novel อย่างเดียว เดี๋ยวนี้คอนเซปต์นี้มันก็ไปแทรกอยู่ใน Manga Anime หรือ Light novel เอาหมดแล้วครับ พื้นฐานของนักแต่งใน Gen ใหม่บางกลุ่มเลยถูกวัฒนธรรมเหล่านั้นกลืนเข้าไป แล้วก็สร้างสรรค์เนื้อหาที่อยู่ในหมวด High fantasy ออกมาโดยมีความเป็นญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีนครอบทับอยู่เยอะ ทีนี้พอมันมีตัว mainstream ถูกผลิตออกมาเรื่อย ๆ ตลอดแถมยังดี ก็ไม่แปลกที่สายตาผู้เสพสื่อส่วนใหญ่จะไม่ได้หันไปมอง Novel แบบดั้งเดิมด้วยครับ แต่ไม่ใช่เพราะมันไม่ดี แค่มันไม่ถูกนำเสนอ


ยกตัวอย่างแค่ผมก็ได้ ถึงจะรู้จัก TLOTR หรือ GOT หรือ DUNE ก็ตาม แค่ความชอบที่เติบโตมาคู่กับวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมันก็ส่งผลให้นิยายหรือสื่อที่ผมทำเอนเอียงไปหาสไตล์แบบสื่อจากญี่ปุ่นซะมากกว่า พอถ่วงดุลกับว่าตัวเองเรียนภาพยนตร์ ต้องรู้จักสื่อตะวันตกเยอะ ไม่ชอบความติดเล่นของพวกอนิเมะที่ทำให้ดูเป็นการ์ตูนเกินไป เนื้อหาก็เลยออกมาในโทนคล้าย ๆ ATOT ที่เป็นเหมือนจุดกึ่งกลางของสื่อตะวันตกและชาวเกาะไรงี้

อย่างหนังสือ Dune นี่ถึงจะโด่งดังก็จริง แต่มันก็กลับมาดังเปรี้ยงปร้างจริง ๆ อีกทีก็หลังจากที่ภาพยนตร์ถูกสร้างออกมาจนกลายเป็น Mainstream ดังนั้นถ้าหวังจะผลักดันกระแส Novel แบบเดิมที่มีความเป็นตะวันตกแบบตะวันตกจริง ๆ ก็คงต้องภาวนาให้สื่อประเภทภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ได้ทำแนวนี้เยอะ ๆ นั่นแหละครับ และต้องดีหรือเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยด้วยนะ แบบนั้นถึงจะปลุกให้นักอ่านกลับมานิยมชมชอบเหมือนคราว harry potter ที่ทำเอานิยายไทยเต็มไปด้วยแนวโรงเรียนเวทมนตร์ได้ เพราะถ้าจะให้ใครสักคนชอบ GOT ที่เข้มข้น โหดร้าย หรือ TLOTR ที่เต็มไปด้วยปรัชญาได้ เขาก็ควรค่อย ๆ ถูกหล่อหลอมด้วยเนื้อหาประเภทเดียวกันที่มันไม่หนักอึ้งเท่าพวกนี้ก่อน

3
รตินธร์ 4 ธ.ค. 66 เวลา 21:32 น. 12-1

ขอบคุณครับ เป็นมุมมองที่สะท้อนภาพวงการสื่อแฟนตาซีได้ดีเลยครับ

ที่พวกเราทำได้ก็คงเป็นการพยายามสร้างผลงานให้ออกมาได้ในคุณภาพที่ดีที่สุดแหละครับ ถ้างานทำให้คนสนุกได้จริง ๆ คนก็จะเริ่มสนใจกันเอง


คุณ IRYS แต่งนิยายเรื่องอะไร พอนำมาแนะนำได้ไหมครับ

0
IRYS...Just IRYS 4 ธ.ค. 66 เวลา 21:47 น. 12-2

อ่า เรื่องนี้ครับ The Fleur of Fynyng: ปกรณัมวีรสตรีดาบทมิฬ

https://dekd.co/w/n/2064595

หลัง ๆ เขียนช้าเพราะเอาเวลาไปทำงานกับเรียนมหาลัยหมดครับ ชีวิตเด็กเขียนบทภาพยนตร์ก็งี้แหละครับTwT

-------------------------------------------------------------------- อ้อ เพิ่มเติมอีกอย่างที่เพิ่งนึกได้

High fantasy ส่วนใหญ่ที่เราพูดกันถึงมักจะมีเนื้อหาเข้มข้น ข้อมูลมากมายที่ชวนปวดหัว ตัวละครมีหลายมิติ ซับซ้อน การพัฒนาเรื่องถูกลำดับไว้อย่างดีและค่อยเป็นค่อยไปตามประสานิยาย ดังนั้นคำตอบของคำถามว่าเหตุใดมันถึงไม่ได้รับความนิยมก็คือการที่มันต้องใช้เวลาเข้าใจด้วยนี่แหละ สนพ. หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เองก็ไม่ได้ผลักดันตรงนี้มากเพราะเขาเองก็ต้องการเรื่องที่การันตีว่าจะขายได้ และเรื่องมักขายได้ในปัจจุบันก็มักเป็นแนวระบบหรือเรื่อยเปื่อยที่ทำให้นักอ่านรู้สึกดีได้จากการแพทเทิร์นการกระทำของตัวเองในเรื่องเสียมากกว่า(เช่น มีพลังเยอะ ปกปิดพลัง โดนดูถูก จากนั้นก็เอาคืนโชว์ให้ตัวละครรอบข้างที่ทั้งดีหรือร้ายเห็น)


แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีที่ไม่ดังนะ อย่างผมคงยกตัวอย่างฝั่งตะวันตกไม่ได้ แต่ถ้าฝั่งตะวันออกเท่าที่ผมรู้จัก "เวทมนตร์ของผู้กลับมาต้องไม่ธรรมดา" นี่ก็ดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีว่ามันแมสได้เพราะมีองค์ประกอบที่เอื้อต่อการให้คนในประเทศแถบตะวันออกเข้าถึงได้ง่าย ต่างกับวัฒนธรรมตะวันตกโบราณที่ห่างตัวไปหน่อย

0
รตินธร์ 4 ธ.ค. 66 เวลา 21:56 น. 12-3

ขอบคุณครับ


จริงเลยครับ นิยายไฮแฟนตาซีเต็มรูปแบบนี้ ค่อนข้างเรียกร้องสมาธิและความตั้งใจจากคนอ่านสูงทีเดียว เลยทำให้มันเป็นแนวเฉพาะกลุ่มพอสมควร

0
รตินธร์ 4 ธ.ค. 66 เวลา 22:31 น. 13-1

ดีครับ ผมอ่านอยู่ ทั้งบรรยากาศ ความสมจริง ตัวละคร ดีมากๆเลยครับ


แต่ยาวไปสักหน่อย 3000 กว่าตอน เลยยังไม่ได้ติดตามไปไกลมากครับ

0
Furinkazan 7 ธ.ค. 66 เวลา 07:56 น. 13-2

ตามอ่านอยู่ครับ เนื้อหาเข้มข้นขึ้นตลอด ลุ้นไปกับไพ่ทาโรต์จนอยากมีสักใบเลย

บันทึกของโรเซลล์ก็สุดยอด

0
PM-Simon 4 ธ.ค. 66 เวลา 23:42 น. 14

ชอบอ่าน High Fantasy มาก ๆ ค่ะ อ่านเป็นหลักเลยก็ว่าได้ แต่นักเขียนมือสมัครเล่นส่วนใหญ่จะตกม้าตายในช่วงเปิดเรื่อง ที่ชัด ๆ เลยก็คือ info dump


เราว่าค่อย ๆ เล่าเรื่องไปพร้อม ๆ กับตัวละครหลักดีกว่าน่ะค่ะ เพราะถ้าเริ่มต้นมาว่าตัวละครชื่อนี้ เป็นเจ้าชายเจ้าหญิง มีเมืองชื่อนี้ ภูมิประเทศอย่างนี้ มันขาดอรรถรสในการเสพเนื้อเรื่องน่ะค่ะ เราเองก็ไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ แต่เราจะระวังจุดนี้เป็นพิเศษ ค่อย ๆ สอดแทรกบรรยากาศของเรื่องไปที่ละจุดสองจุด ท่องในใจว่า Show Don’t Tell (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dek-d.com/writer/56055/)


ถึงแม้ว่าเราจะเขียนเซ็ตติ้งเป็นโลกอื่น แต่อิงมาจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สองในอังกฤษ แต่มีเวทมนตร์แทนน่ะค่ะ อาจจะไม่ใช่เซ็ตติ้งใหม่ทั้งหมด แต่เราอยากเล่าเรื่องเกร็ดประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นมาก ๆ เลย แต่ต้องอดใจค่อย ๆ เล่า เดี๋ยวนักอ่านหนีหมดค่ะ แหะ ๆ


ขอใช้โอกาสนี้โปรโมตเรื่องตัวเองหน่อยนะคะ

The King's Gambit - กลเม็ดกษัตริย์ไร้บัลลังก์

ฟินน์เป็นเด็กกำพร้าไร้ความทรงจำ แต่แล้ววันหนึ่ง คนที่อ้างว่าเป็นน้องสาวฝาแฝดบอกว่าเขาคือกษัตริย์ ประเทศต้องการเขาในการทำสงคราม เด็กชายจะต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ตนควรทำ หรือตามหาสิ่งที่ตนต้องการ

https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=2520514



3
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 01:16 น. 14-1

ขอบคุณครับ เป็นเซ็ตติ้งที่น่าสนใจมากเลยครับ


ขออนุญาตถามเพิ่มเติมหน่อยนะครับ ว่าคำแนะนำที่ให้ เป็นคำแนะนำสำหรับทุกคน หรือจากที่ได้อ่านงานผมแล้วถึงรู้สึกแบบนั้นครับ เพราะในส่วนเริ่มต้นเรื่องของผม ก็เข้าเหตุการณ์คับขันของตัวเอกทันทีเลย บรรยายเมืองเพียงย่อหน้าเดียวเอง จนในกระทู้มีคนคอมเม้นว่าไม่ tell เลย และส่วนตัวสไตล์แต่งก็พยายามเน้น show ให้มาก tell ให้น้อยที่สุดด้วย


สอบถามเพราะอยากรู้จริง ๆ ครับ ถ้าอ่านแล้วทำให้รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ผมจะได้เก็บมาเป็นข้อมูลเพื่อพัฒนางานต่อไปครับ


ป.ล.ผมเอานิยายเข้าชั้นแล้วนะครับ (ที่raw) ภาษาสวยทีเดียว ดีใจที่ได้เห็นคนแต่งนิยายแนวเดียวกันครับ

0
PM-Simon 5 ธ.ค. 66 เวลา 02:04 น. 14-2

เราพูดถึงภาพรวมน่ะค่ะว่าหลายคนชอบเขียนแบบนั้น เราอ่านงานคุณไปนิดหน่อยก็เห็นว่าเริ่มต้นมาก็น่าสนใจเลยค่ะ แต่เดี๋ยวจะหาเวลาว่างมาอ่านต่อ แล้วจะเขียนคอมเมนต์ให้นะคะ


ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่สนใจนิยายเรา เราไม่ค่อยได้เข้าเด็กดีเท่าไหร่ ใน RAW เลยจะอัพเร็วกว่าด้วยละค่ะ ️

0
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 02:10 น. 14-3

ขอบคุณครับ ผมก็เลยไปติดตามใน RAW เลย ดีใจที่กระทู้นี้ทำให้ได้รู้จักคนแต่งแนวไฮแฟนตาซีหลายคนครับ นึกว่าเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ซะแล้ว

0
CometSighted 5 ธ.ค. 66 เวลา 05:16 น. 15

High Fantasy ผมชอบอ่าน เหตุผลหลักๆ เลย ผมชอบเสพย์โลกที่เป็น Setting ของเรื่องนั้นเป็นหลักๆ เลยครับ ... โลกนั้นมีหน้าตาเป็นยังไง? มีปัจจัยเพิ่มเติมอะไรบ้าง? มีอารยธรรมอย่างไรบ้าง ซึ่งมันคือความแปลกใหม่ที่น่าค้นหาในระดับหนึ่งครับ และด้วยความลึกของจักรวาลแนวนี้ ที่ผมชอบอีกต่อมาเลยคือ มันเปิดให้ตีความและมีทฤษฏีในหมู่แฟนคลับได้นี่สิครับ


นิยายในที่นี้ ที่ผมได้อ่าน หลักๆ ก็ The Lord of the Rings กับ Game of Thrones เลยครับ

เรื่องนึงคือแบบ นอกจากโลกลุ่มลึกแล้ว สาส์นในนิยายก็ลึกซึ้งอีกด้วย เป็นเชิงปรัชญาในหลายแง่อีกด้วย ไม่ว่าจะ โลกที่สมควรแก่การรักษาไว้ มิตรภาพกับการฝ่าฟันเรื่องต่างๆ และอื่นๆ

ส่วน Game of Throne อันนี้คือชอบการออกแบบโลกและเรื่องการเขียนเชิงอุบาย การเมือง การใช้ไหวพริบทั้งหลาย ซึ่งมันจะมาแนว Thriller ซึ่งมันก็ค่อนข้างแปลกใหม่ พอมาผูกกับ Fantasy ที่มันมีพื้นหลังออกแนว Myth หน่อย มันก็เลยมีกลิ่นอายแบบ Historical + Fantasy


ส่วนนิยายที่ผมแต่ง .... จะว่าไงดี มันเหมือนมีสองพื้นหลัก คือนิยายแนว Historical กับพื้นหลังแบบ High Fantasy ผสมกัน

นิยายแนว Historical ที่ว่า ผมได้พื้นฐานแนวคิดมาจาก War and Peace ของ Leo Tolstoy ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า เป็นนิยายที่สร้างบรรยากาศได้อินและลึกมาก แต่แนวคิดของเรื่องก็น่าสนใจเหมือนกันคือ ทุกอย่างในโลกมันดำเนินไปเพราะสถานการณ์รุมเร้า แม้แต่ "มหาบุรุษ" ที่หลายคนมองว่าเป็นผู้สร้างเหตุการณ์ ก็ไม่รอดจากสถานการณ์ สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจโดยอ้างอิงจากสถานการณ์ที่ตนเจอ .... ส่วนพื้นหลังแบบ High Fantasy อันนี้ที่ผมรับมา ก็เพื่อ Creative Freedom ในเรื่องการออกแบบและแต่งเดิมโดยเฉพาะเลยครับ และมันก็มีความน่าสนใจและความท้าทายระหว่างออกแบบคือ พอเป็นอีกโลกและมีปัจจัยอื่นที่โลกเราไม่มี เส้นทางประวัติศาสตร์มันจะ Progress ไปยังไง? :v


ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว จัดไปละกันครับ


https://writer.dek-d.com/dekd/writer/view.php?id=1722107


Into the Light - มุ่งสู่แสงสว่าง ภาค สงครามปลายบูรพาทิศ

"สามัญศักราชที่ 2694 - สองมหาอำนาจ ยาชิม่าและเอลีเซียทำสงครามอย่างดุเดือด โลกตกอยู่ในยุคสงคราม มันคือช่วงเวลาแห่งความมืดมน ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ และชีวิตของแต่ละคนต่างต้องดำเนินต่อไป"


แรงบันดาลใจจากการแต่งเรื่องนี้ก็...

Setting ประวัติศาสตร์แนว Alternate History

Setting โลกแนว High Fantasy

เนื้อเรื่องแบบอนิเมะที่เป็นสายอารมณ์ความรู้สึก

และก็พวกบันทึกประวัติศาสตร์อะไรพวกนี้ครับ


ส่วนที่เลือก Setting เป็นยุคคล้ายสงครามโลกก็คือเพราะว่า

มันเป็น Setting ที่คนไม่ค่อยเอามาเข้าคู่กับ Fantasy กัน

เป็น Setting สมัยใหม่ที่ไม่ได้ไกลตัวจากยุคปัจจุบันเท่าไหร่

และเป็นยุคสมัยที่ผมคุ้นเคย และสนใจอยากจะลองผสมผสานกับปัจจัย Fantasy ด้วยน่ะครับ


ยังไงก็ขอฝากหน่อยแล้วกันนะครับ :v

1
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 09:16 น. 15-1

เป็นอีกเรื่องที่ผมยกนิ้วให้เลยครับ เรื่องการสร้างโลกออกมาได้อย่างสมจริง มีเอกลักษณ์ และแฝงกลิ่นอายแฟนตาซี แถมคนแต่งก็ยังใจดีมาก ๆ อีกด้วยครับ มีข้อสงสัยเรื่องประวัติศาสตร์อะไร ไปถามก็อธิบายแบบจัดเต็ม ลึกซึ้ง และไม่มีกั๊กเลย


ใครชอบแนวสงคราม การเมือง ที่ลุ่มลึก รายละเอียดโลกที่ออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยม ผมเชียร์ให้ไปลองอ่านดูเลยครับ

0
Aswaryan 5 ธ.ค. 66 เวลา 08:41 น. 16

ได้เจอคนอ่านไฮแฟนตาซีเยอะเลย แต่ละคนคอมเมนท์เจาะแบบได้ประโยชน์สุดๆ อ่านแล้วมีกำลังใจเขียนขึ้นเยอะเลย ไรต์สู้ๆนะฮะ^^

1
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 09:19 น. 16-1

ขอบคุณครับ ได้ประโยชน์เยอะจริง ๆ สู้ไปด้วยกันครับ ^^

คุณ Aswaryan ก็เอาเรื่องที่แต่งมาแนะนำได้นะครับ

0
LesserPANDA 5 ธ.ค. 66 เวลา 10:06 น. 17

ขออีกเมนต์เถอะ รู้สึกว่ากระทู้มันเข้มข้นมาก ไม่ได้เห็นสาระในบอร์ดมานานแล้วสมองจะตาย 5555555


ไรต์เขียนสองปีบนโจทย์ยากก็เก่งมากแล้วค่ะ เขียน ๆ ต่อไปคงเติบโตได้เรื่อย ๆ รอผลงานเทพ ๆ นะคะ 


แน่นอนว่าไม่มีนิยายเรื่องไหนถูกใจคนทั้งโลกได้เป็นความจริง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวไรต์เองว่าจะกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไร และมีความพอใจระดับไหน ถ้ารู้จักตัวเองในจุดนี้และมีแนวทางที่ชัดเจนให้กับมัน เราคิดว่าก็เป็นมายเซ็ตที่แข็งแกร่งมาก ๆ แล้วค่ะ


ขอเสริมส่วนหนึ่งที่อาจจะไม่เกี่ยวกับประเภทของนิยาย เราเป็นคนนึงที่อ่านนิยายทุกประเภทที่เข้ากับตัวเอง อารมณ์ว่าตัวเองอ่านแล้วสนุกน่ะค่ะ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นไฮแฟนตาซีหรือเปล่า ดังนั้นคงไม่สามารถวิเคราะห์รูปแบบของนิยายในประเภทนั้น ๆ ได้อย่างลึกซึ้งว่าการเติบโตของตัวละครในนิยายประเภทหนึ่ง ๆ ควรเป็นอย่างไร การบรรยายและสร้างบรรยากาศควรเป็นอย่างไร (ปกติเราชอบอ่านสืบสวนเป็นพิเศษก็เถอะ)


เราเองก็เป็นแฟนผลงานของคุณลวิตร์ ของคุณท้องฟ้าก็ชอบ(รู้นะว่าอยู่ในบอร์ด อยากบ่นว่ารำคาญตัวละครผู้หญิงของคุณพี่มากก็เถอะ 5555) แต่เราไม่ได้ชอบที่ความเป็นไฮแฟนตาซีแต่อย่างใด เราชอบการผูกเรื่อง การเลือกนิสัยของตัวละครให้สามารถสะท้อนสิ่งต่าง ๆ ที่นักเขียนอยากบอกได้ ชอบในลักษณะการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง ชอบของคุณลวิตร์มาก(มีเกือบทุกเล่มละ) เพราะเป็นแนวที่โฮปฟูล สะท้อนอะไรได้หลาย ๆ อย่าง อบอุ่นหัวใจ เห็นความหวังและความดีงามบนความเป็นมนุษย์ของตัวละคร อ่านแล้วมีกำลังใจกับสังคมที่เป็นอยู่ ภาษาเรียบง่ายน่ารักและสละสลวย (แน่นอนว่าบางคนอาจตามหาสิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้น แต่สำหรับเราเอาแค่นี้พอละ ชีวิตเหนื่อย 5555)


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็คือสิ่งที่เราได้จากนักเขียนชั้นดีทุกท่าน ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเขียนแนวไหนเซ็ตติ้งแบบไหน เขาก็สามารถสื่อสารข้อความให้นักอ่านอย่างเรามีความรู้สึกร่วมได้ มันเป็นสกิลที่อาจเป็นพรสวรรค์หรือมีวิธีฝึกที่ดีเราเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน 


อ่านข้อความในทู้ของไรต์แล้วเลยอยากเป็นกำลังใจ ว่าจริง ๆ แล้วเราอาจไม่จำเป็นจะต้องวาดขอบเขตให้อยู่แค่ในความเป็นไฮแฟนตาซี บางทีการตอบคำถามว่า “อะไรคือสิ่งที่นักเขียนต้องการจะสื่อ” อาจเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เมื่อตอบได้แล้วจึงหาเซ็ตติ้งมารองรับเพื่อเพิ่มน้ำหนักและขยายความหมายของมันให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าแนวคิดนั้นจะเล็กกระจิ๊ดริดหรือแสนธรรมดาแค่ไหน มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สื่อชั้นครูจะแสดงมันออกมาให้ผู้รับสารสามารถรับรู้ถึงความโอ่อ่าของมันได้น่ะค่ะ


(ถ้าเป็นสายอนิเมะ ซีซันนี้ก็ต้องยกให้ข้อความที่เมะเรื่อง ฟรีเรน ต้องการจะสื่อ แต่สำหรับเราชอบโอเวอร์เทคมากกว่า)


เราโดนสื่อหลอกล่อมานานจนมีความคุ้นเคยกับไฮแฟนตาซีที่เป็นแนวสงคราม เนื้อหาหนัก ๆ ยุคเก่า ปกครองแบบ monarchy จริง ๆ ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่าของคุณลวิตร์หรือคุณท้องฟ้าเป็นไฮแฟนตาซี แม้มันจะตรงกับตัวนิยามของศัพท์ที่จขกท.ว่าเอาไว้ก็ตาม 55555 (ก็เราไม่ค่อยสนใจการแบ่งประเภทนี้นะ ประเภทไรก็เขียนมาเถอะ ถ้ามันหนุกก็อ่านหมดอะ 5555 นึกถึงโฆษณาตัวเต็มของพิซซ่าหน้าซูชิ ที่เน้นว่า เราคนไทย อะไรอร่อย เราแดรกหมด 5555)


เลยอยากแปะเรื่องนึงให้ไรต์เอาไปดูเล่นค่ะ ก็เป็นผลงานคนไทยที่มีคุณภาพอีกงาน อาจจะไม่ได้เทพขึ้นหิ้ง เพราะไรต์เขาหนีไปแล้ว โกดมาก อยากให้มาต่อ ใครรู้จักตามตัวให้ที หวังว่ายังสบายดีอยู่นะคะ 55555


Winter's Whispering

https://writer.dek-d.com/pleumfortune/writer/view.php?id=1287834


1
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 10:20 น. 17-1

ขอบคุณครับ ได้กำลังใจมากๆเลย

นิยายที่ผมชอบ หัวใจเลยก็คือตัวละครนี่แหละครับ เวลาที่ผมแต่ง ก็อยากสร้างตัวละครให้เหมือนมีชีวิตจิตใจขึ้นมาจริงๆ

ไฮแฟนตาซี ไม่จำเป็นต้องทำให้อ่านยากเลยครับ เรื่อง Las ของคุณท้องฟ้าผมถึงชอบมาก มันอ่านง่ายเหมือนดูอนิเมะดีๆเลย ตัวละครก็มีมิติ ใช้ความเมตตาและความเพียรแก้ปัญหา ต่างจากนิยายส่วนใหญ่ที่ใช้ความรุนแรง เป็นนิยายที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีหัวใจครับ เช่นเดียวกับเรื่องไมรอนของคุณลวิตร์


เหล่านี้เป็นแก่นที่ผมอยากสร้างขึ้นมาในนิยายของตัวเองครับ แบบที่คนอ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีหัวใจ

แต่งได้แค่ไหนไม่รู้ครับ แต่ได้พยายามแต่งจนจบ แล้วอย่างน้อยตัวเองอ่านแล้วมีความสุข ได้แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ

0
TheTideMaker 5 ธ.ค. 66 เวลา 13:07 น. 18

รู้สึกแนวนี้ที่สนพ.นำเข้ามาแปลนี่น้อยจริง อย่างเรื่อง Shadow and Bone นี่ถ้าซีรี่ย์ไม่ได้ดังระดับหนึ่งก็ไม่แน่ใจว่านานมีจะเอาเข้ามาแปลไหม (เผอิญดูซีรี่ย์แล้วชอบเลยไปหาหนังสืออ่าน ตอนนั้นยังไม่มีแปลไทยเลยอ่านเล่มอังกฤษ แต่ภาษาไม่ได้แข็งแรงมาก อ่านเข้าใจแต่อยากอ่านแบบละเอียดๆ อีกทีลงทุนซื้อมาทั้งสองภาษา)


ถ้าฝีมือคนไทย เดี๋ยวนี้คิดว่าได้รับความนิยมน้อยลงจากเมื่อก่อน สำหรับเราที่แน่ๆ คือยังไม่ตาย ใดๆ ก็ยังชอบอยู่ แต่ที่ไปรอดน่ะแอบน้อยด้วยปัจจัยต่างๆ อย่างไรก็สู้ๆ นะคะนักเขียนไฮแฟนตาซีทุกคน (นี่ยังไม่กล้าเขียน ฝีมือยังไม่ถึงขั้น แฮ่)

1
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 14:09 น. 18-1

ขอบคุณครับ

แนวนี้ แต่งให้ดีนี่ยากจริงครับ มีรายละเอียดที่มากเหลือเกิน ขาดความชำนาญนี่เละเอาได้ง่ายๆ เลย คนชอบแต่งมีเยอะ แต่งให้รอดออกมาสนุก น้อยครับ

0
คีตาสีเงิน 5 ธ.ค. 66 เวลา 18:58 น. 19

ไฮแฟนตาซี เขียนยากจริงๆ ค่ะ ส่วนตัวเราชอบเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์มากๆ กับแฮร์รี่ พอตเตอร์ คือแบบนิยายในดวงใจ ถ้าเป็นนิยายไทยชอบหัวขโมยแห่งบารามอส (น่าจะนับเป็นไฮแฟนตาซีอยู่นะคะ) สำหรับเรา ส่วนที่ยากที่สุดคือเล่าเรื่องยังไงให้นักอ่านอิน เหมือนอยู่ในโลกของเราจริงๆ ไม่เบื่อไปก่อน ตรงนี้เป็นโจทย์ที่ยากมากจริงๆ


ส่วนตัวเราเขียนอยู่ค่ะ ไม่รู้ว่าเรียกไฮแฟนตาซีได้ไหม แต่สร้างโลก ภูมิประเทศ ศาสนา ระบบเวทมนตร์(ยาวถึง 22 หน้า A4 ในไฟล์ที่เป็นข้อมูลเรื่องระบบเวทมนตร์) รู้สึกว่าสูบพลังเวอร์วัง แต่ว่าทำให้นิยายของเราสมจริงมากขึ้น แต่เพราะนิยายที่เขียนเป็นโทนสบายๆ คล้ายๆ ไลท์โนเวล/อนิเมะ จึงไม่ได้ดูอลังการเหมือนไฮแฟนตาซียุคก่อนๆ


แอบฝากเลยค่ะ 5555

Novenary Knight (อย่า) เรียกข้าว่า 'อัศวิน'


เมื่อคนที่รักตัวกลัวตายอย่าง “บุญเกือบ” คิ้วท์บอยแห่งบ้านบางระจัน ดันทะลุมิติไปเป็น “อัศวินลำดับที่ 9 ในตำนาน” วีรบุรุษปลอมๆ แบบเขาจะเอาอะไรไปสู้ งานนี้ไม่ตายดีก็ตายฟรี ไม่เอาด้วยหรอกนะ...

หึ!

> https://dekd.co/w/n/1279290


ส่วนของคุณ เราไปกดเก็บเข้าชั้นไว้แล้วถ้าเคลียร์ต้นฉบับเสร็จจริงจัง จะแวะไปอ่านนะคะ


ปล. เราชอบแนวไซไฟด้วยเช่นกันแต่เขียนไม่เก่งเลย แต่ก่อนติดเรื่อง Orion ชอบมากๆๆ ไม่รู้นักเขียนหายไปไหน 5555

1
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 20:38 น. 19-1

น่าสนใจดีเลยครับ ผมเก็บไว้ในชั้นแล้วครับ


แฮรี่ พอตเตอร์ นี่แรงบันดาลใจผมเลยครับ ชอบที่เจเคบอกว่าเธอชอบนิยายที่อ่านแล้วรู้สึกเหมือนคนแต่งรู้ถึงทุกรายละเอียดที่อยู่ในฉากนั้น มันทำให้เวลาอ่านแฮรี่ พอตเตอร์ แต่ละฉากนี่เหมือนโดนเวทมนตร์สูบเข้าไปจริง ๆ เลยครับ ตอนอ่านถึงโรงเรียนครั้งแรก ทั้งบันไดเคลื่อนที่เองได้ ภาพที่คนในภาพวิ่งไปมาได้ มันว๊าวมาก ... แต่ที่ดีงามที่สุดจริง ๆ คือทุกตัวละครหลักในเรื่องเป็นที่ตราตรึงใจอย่างที่สุดเลยครับ


บารามอส พอทันตอนไปนั่งอ่านฟรีในร้านหนังสืออยู่ครับ ^^


ดีใจที่ได้รู้จักนักแต่งนิยายที่รักในแนวทางเดียวกันนะครับ

0
Indyblackcat 5 ธ.ค. 66 เวลา 20:26 น. 20

ในที่สุดคุณรตินธร์ก็เผยแพร่ผลงานสักที รู้สึกยินดีที่ได้เข้ามาเป็นสักขีพยาน เอ่อ..น่าจะลำดับกลางๆละ เสียดายเข้ามาไม่ทันวันแรกของการตั้งกระทู้ (ฮา)


ไล่อ่านตั้งแต่ความเห็นแรกลงมา เหมือนถูกทุกคนพูดแทนความในใจผมไปกันหมดแล้ว ในหัวข้อไฮแฟนตาซีกับสถานการณ์นิยายไทยในปัจจุบัน ก็เหลือแค่หน้าที่อวยพรแล้วล่ะครับ ที่ผมสามารถทำให้ได้โดยคนอื่นไม่สามารถทำแทนได้ (ฮา)


ยังไงก็ขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ ทั้งนี้อาจไม่ได้หมายถึงในแง่มุมยอดอ่าน ยอดติดตาม หรือยอดขาย ที่คุณรู้สึกเป็นกังวลอยู่ แต่หลอกผมไม่ได้หรอก ยืมคำพูดจากตำราพิชัยสงคารามซุนวูเสียหน่อย "คุณถ่อมตัวแต่แฝงด้วยความทะนง" นั่นแสดงว่ายังต้องมีทีเด็ดทีขาดอยู่ ถ้าผิดก็ไปโทษซุนวูเอานะ ผมยืมคำพูดเขามา (ฮา)


มาพูดถึงสิ่งผมอยากอวยพรให้ประสบความสำเร็จกันต่อ คือในหลายๆเรื่องซึ่งเป็นปัจจัยรองลงมาจากสามข้อข้างต้นที่กล่าวถึง ที่คุณจะได้รับไปจากการเขียนงานและเผยแพร่มันออกไป อย่างเช่น ประสบการณ์,ฐานคนอ่าน(ให้ดีขอแฟนพันธุ์แท้ไปเลย ฮา) หรืออะไรต่อมิอะไร


และก็ไม่จำเป็นต้องซีเรียสหรือเครียดกับสถานการณ์เกินไปนะครับ ยังไงก็มีคนเอาใจช่วยคุณอีกเยอะ แน่นอนผมเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนพวกนั้นด้วย


โชคดีมีชัยครับ

1
รตินธร์ 5 ธ.ค. 66 เวลา 20:46 น. 20-1

ยินดีครับคุณแมวดำ

ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ


โฟกัสเดียวตอนนี้คือแค่อยากให้งานออกมาดีที่สุดเท่าที่ตัวเองทำได้ครับ แบบ กับคนอื่นดีแค่ไหนไม่รู้ แต่ให้ตัวเองอ่านและรู้สึกชอบ แบบ เป็นนิยายที่ดีที่สุดสำหรับเราที่ยังไม่มีใครแต่ง ได้แค่นี้ก็ฟินมากแล้วครับ


ส่วนเรื่องอื่น ๆ ถ้าประสบความสำเร็จก็คงดีแน่นอนอยู่แล้วครับ แต่ก็พยายามไม่สนใจเลย ไม่คาดหวังถึงปัจจัยภายนอกเราก็ไม่เครียดครับ ^^ ตอนนี้มีเบต้ารีดที่อ่านจบแล้วชอบแบบมาก ๆ จริง ๆ อยู่ 2 คน (ให้อ่านไป 3) ก็รู้สึกดีใจแบบสุด ๆ เลยล่ะครับ

0