Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

~ไทม์แมชชีนมีจริงหรือไม่o_O?คลิก!~

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

                                


   บรรดานักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของโลกที่กำลังทุ่มเทการวิจัยเรื่องนี้กันอย่างหนัก ก็เริ่มมีเค้าของความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมากสำหรับเรื่อง ไทม์ แมชชีนหรือการท่องเวลาออกมากันบ้างแล้ว โดยบรรดานักวิจัยจากแคลิฟอร์เนียและกรุงมอสโควเค้าประกาศออกมาแล้วว่า การท่องเวลา (Time Travel) นั้น มีความเป็นไปได้อยู่ทีเดียว !! ซึ่งพวกเค้าได้สร้างห้องแล็ปที่เรียกว่า TARDIS ขึ้นมา และเริ่มทดลองโดยนำพื้นฐานมาจากสมการของนักฟิสิกส์เอกของโลก อัลเบิร์ท ไอนสไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยา-ศาสตร์กลุ่มนี้กล่าวว่ามันอาจยากมากในการวิจัยและทดลองให้มันเป็นจริงหรือใกล้ความจริง แต่ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว
       บางทีอาจจะดูเหมือนเป็นการฝืนกฎของธรรมชาติ ที่บัญญัติเอาไว้ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องดำเนินครรลองไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะกระทำตัวเหนือธรรมชาติอย่างนี้ แน่นอนว่าธรรมชาตินั้นมีสิทธิ์ขาดในการดูแลจัดสรรปันส่วนทุกอย่างบนโลกนี้ได้อย่างลงตัวและถูกต้องมากที่สุดแล้ว กระนั้นมนุษย์เราก็ยังอาจหาญที่จะฝืนธรรม ชาติในกฎเกณฑ์หลายๆอย่าง เช่น การตัดต่อพันธุกรรมซึ่งกระทำตนประดุจเป็นพระเจ้า เริ่มจะสร้างเครื่องข้ามเวลาและการคิดค้นยาอายุวัฒนะ ซึ่งเป็นกฎเหล็กของธรรมชาติที่มนุษย์เราไม่ควรฝ่าฝืน การท่องเวลานั้นบางทีฟังดูเหมือนว่ามันจะเป็น สิ่งที่ขัดแย้งกันเอง (Paradoxes)
อยู่ในหลายๆด้าน คุณลองจินตนาการดูว่าวันหนึ่งเรานั้น
สามารถที่จะประดิษฐ์เครื่องไทม์ แมชชีนได้สำเร็จและเดินทางย้อนไปยังอดีต และเกิดนึกสนุกขึ้นมาทำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราไม่ได้พบกัน และทำให้เราไม่ได้เกิดขึ้นมา และพอเรากลับมายังอนาคต ซึ่งเราก็ยังเป็นตัวเราอยู่ ?? ดูแล้วมันออกจะแปลกๆ ในเมื่อเราในอดีตไม่ได้เกิดมา
แล้วตัวเราในอนาคตหรือในขณะนี้นั้นเป็นใคร
?? เป็นไปได้
หรือไม่ว่า
อาจจะมีอนาคตของหลายๆ มิติอนาคต
ซึ่งจะแยกย่อยออกไปตามเหตุการณ์ที่เจอหรือเกิดขึ้นตามแต่ละมิติเวลาในช่วงนั้น

        จากความคิดตรงนี้ละครับที่ทำให้มันดูเหมือนว่า การย้อนเวลาขัดแย้งกันเองด้วยกฎของธรรมชาติ อย่างที่ว่าไป ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ อดีต เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้
เราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว อาจจะคิดได้ในแง่ว่าช่วงเวลาของอดีตหรือของอนาคตที่มีนั้นมีอยู่เพียงมิติเดียว แต่ถ้ามีอยู่หลายมิติเวลาล่ะก็เป็นอีกเรื่องนึง
 !!! ส่วนที่กล่าวไปก็คือ
กลุ่มที่มีข้อโต้เถียงเรื่องที่ว่าการท่องเวลานั้นเป็นไปไม่ได้นั่นเอง

        สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎี-ของเขาเรื่องที่ว่า เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง

         สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎี-ของเขาเรื่องที่ว่า เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง

        จากความคิดตรงนี้ละครับที่ทำให้มันดูเหมือนว่า การย้อนเวลาขัดแย้งกันเองด้วยกฎของธรรมชาติ อย่างที่ว่าไป ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ อดีต เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้
เราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว อาจจะคิดได้ในแง่ว่าช่วงเวลาของอดีตหรือของอนาคตที่มีนั้นมีอยู่เพียงมิติเดียว แต่ถ้ามีอยู่หลายมิติเวลาล่ะก็เป็นอีกเรื่องนึง
 !!! ส่วนที่กล่าวไปก็คือ
กลุ่มที่มีข้อโต้เถียงเรื่องที่ว่าการท่องเวลานั้นเป็นไปไม่ได้นั่นเอง

        สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎี-ของเขาเรื่องที่ว่า เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง

         สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎี-ของเขาเรื่องที่ว่า เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง

        จากความคิดตรงนี้ละครับที่ทำให้มันดูเหมือนว่า การย้อนเวลาขัดแย้งกันเองด้วยกฎของธรรมชาติ อย่างที่ว่าไป ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ อดีต เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้
เราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว อาจจะคิดได้ในแง่ว่าช่วงเวลาของอดีตหรือของอนาคตที่มีนั้นมีอยู่เพียงมิติเดียว แต่ถ้ามีอยู่หลายมิติเวลาล่ะก็เป็นอีกเรื่องนึง
 !!! ส่วนที่กล่าวไปก็คือ
กลุ่มที่มีข้อโต้เถียงเรื่องที่ว่าการท่องเวลานั้นเป็นไปไม่ได้นั่นเอง

        สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎี-ของเขาเรื่องที่ว่า เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง

         สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University เคยได้เสนอทฤษฎี-ของเขาเรื่องที่ว่า เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้ ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง ในปี 1970 นั่นเอง



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:16
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:17
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 6 พฤษภาคม 2550 / 17:37

PS.  รักแอลกิ๊กไลท์มีจัยให้เนียร์โดนแฟนคลับเดธโน๊ตตื้บเจ้าค่ะ!TT^TT

แสดงความคิดเห็น

>

8 ความคิดเห็น

ped-noi 5 พ.ค. 50 เวลา 09:21 น. 1

        หลังจากที่ค้นพบว่า มีหลุมดำอยู่ในแกแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา และในใจกลางของแกแล็คซี่อื่นๆ อีก ทำให้เริ่มมีการสนใจ ศึกษาและค้นคว้ากันอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น ต่อมาในปี 1980 Rip Thorne หัวหน้าของ CalTech ซึ่งเป็นกลุ่มที่วชาญเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพของโลกได้ทำการพิสูจน์ และได้บทสรุปว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เรื่องท่องเวลาน่ะ ไม่น่าจะเป็นจริงได้ แต่ถ้ามีเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่พอจะสามารถจับหรือควบคุมหลุมดำเอาไว้แล้วศึกษาให้ดีก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งตรงจุดนี้ก็ไปตรงกับข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution และอีกข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่งของ Kerr Solution ก็กล่าวว่าบางทีหลุมดำอาจจะไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว หรือก็คืออาจจะมีหลุมดำที่เป็น "ประตู" อยู่ หรือที่เรียกประตูนี้ว่า หลุมหนอน (Wormhole) เจ้าหลุมดำชนิดนี้ที่ว่ามันเป็นประตูสู่กาลเวลา เป็นตัวเชื่อมระหว่างหลุมดำในมิติหรือจักรวาลอื่น หรือที่เรียกได้ว่าเป็น Multiverse โดยใช้หลักการที่เรียกว่าการ Warp ซึ่งต่อมาภายหลังจากหนัง Sci-Fi เราจะเห็นลักษณะของการ Warp เป็นไปในรูปของการเดินทางข้ามจักรวาลอย่างเร็วแบบเข้าสู่ Hyper Space ซึ่งก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผ่านกาลเวลา

        อย่างที่ทราบกันละครับว่าเรื่องของเวลาและเกี่ยวกับการท่องเวลานั้นเริ่มต้นมาจากความรู้ในด้านสาขาวิทยาศาสตร์ หรือถ้าจะเจาะจงลงลึกไปมากกว่านั้นก็คือสาขาฟิสิกส์นั่นเอง โดยริเริ่มมาจาก อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์เอกของโลกและต่อมาก็ได้มีผู้สืบสานงานต่อจากเขาอีกมากมาย แตกแขนงออกมาเป็นอีกหลายทฤษฎี มีทั้งผู้ที่เชื่อว่าด้วยกฎฟิสิกส์นั้นเป็นไปได้กับการสร้าง ไทม์ แมชชีนขึ้นมาแต่ ณ เวลานี้ยังทำไม่ได้ และ พวกที่เชื่อว่าไม่น่าทำได้ สรุปก็คือมีเชื่อกับไม่เชื่อนั่นเอง

        ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามีสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนทฤษฎีการท่องเวลาให้เป็นจริงได้ ก็คือ หลุมหนอน (Wormhole) หรือ คือจุดเชี่อมระหว่างมิตินั่นเอง ว่ากันว่าโดยข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution ได้กล่าวเอาไว้ว่าเจ้าหลุมหนอนเนี่ยก็เป็นหลุมดำชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากหลุมดำอื่นๆ ซึ่งจะดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไปในตัว ด้วยแรงดึงดูดที่มหาศาลจนแม้กระทั่งแสงก็ไม่อาจหนีจากมันได้ จากนั้นก็จะโดนบดขยี้แหลกเหลวด้วยแรงกดอันมหาศาล แต่ว่าเจ้าหลุมดำหรือหลุมหนอนของนาย Kerr เนี่ย มันไม่ได้ดูดกลืนอย่างเดียว แต่มันจะ "พ่น" สิ่งที่ดูดกลืน จากฟากหนึ่งของตัวมันมาออกยังอีกจุดหนึ่งด้วย หรือทำหน้าที่คล้ายๆ "ปาก" นั่นเอง

       

        ได้มีการสันนิษฐานกันว่า มันน่าจะเป็นประตูเชื่อมกันระหว่างจักรวาลกับจักรวาล เวลากับเวลาและมิติกับมิติ ซึ่งตรงกลางภายในรอยต่อเชื่อมนี้หรือโพรงนี้อาจจะมีการบิดเบี้ยวของบรรยากาศเกิดซึ่งเกิดจากบางสิ่ง หรือก็คือ Singularity ที่ได้กล่าวไปนั่นเอง ซึ่งตรงนี้เองอาจจะทำให้เกิดรอยต่อของมิติขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของทางออก และ อาจทำให้เกิดการ วาร์ป (Warp) ผ่านจักรวาล และเวลาได้ แต่หลุมดำไหนล่ะที่จะเป็นประตูมิติเวลา และ หลุมดำไหนล่ะที่จะเป็นสุสานของจักรวาล ?? คำถามนี้ก็ต้องรอคำตอบกันไปก่อน ส่วนถ้าคิดต่อไปอีก ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า แล้วเราจะ "ควบคุม" หลุมหรือช่วงเวลาหรือการบิดเบี้ยวของช่องมิติได้ยังไง ?? หรือจะให้ไปโผล่ยังจุดที่ต้องการได้ยังไงล่ะ ?? คำตอบน่ะเหรอครับ ก็คงต้อง"รอ" กันไปก่อน
                                                                                    ..............................................................
                                                                                          อ่านเรื่องน่ารู้เรื่องอื่นๆ คลิ๊กที่นี่เลย



แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:21
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:22
แก้ไขครั้งที่ 3 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:24
แก้ไขครั้งที่ 4 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:26
แก้ไขครั้งที่ 5 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:27
แก้ไขครั้งที่ 6 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:27
แก้ไขครั้งที่ 7 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:39
แก้ไขครั้งที่ 8 เมื่อ 5 พฤษภาคม 2550 / 09:44
แก้ไขครั้งที่ 9 เมื่อ 24 กันยายน 2550 / 14:18

PS.  
0
-นกที่ไร้ปีก- 5 พ.ค. 50 เวลา 11:58 น. 2

ถ้าในอนาคตมนุษย์ทำไทม์แมชชีนได้  แน่นอนว่าปัจจุบันก็ต้องรู้ ไม่ว่าจะปีไหน หรืออดีตก็ตาม  คงมีคนอีกมากที่ต้องการขายของที่มาจากอนาคตอ่ะนะ


PS.  คนบางคนจับผิดราวกับมีรางวัลให้ แต่บางคนจะมองหาความดี ในอุปสรรคทั้งปวง
0
~OJค์XญิJจOมป่วu~ 5 พ.ค. 50 เวลา 12:07 น. 3

อืม ช่ายๆเราเหนด้วย เราอยากรู้จังว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็เป็นพอ เหอะๆ


PS.  ~คuกํๅลัJน้OEจัEมๅง้OXน่OEดิ๊~
0
ped-noi 6 พ.ค. 50 เวลา 17:23 น. 5

ขอโทษนะที่ตัวหนังสือเล็ก แล้วจะแกเขให้ ในคห.1 มันแก้ไม่ได้แล้ว ทำความเข้าใจกันเองแล้วกันนะ


PS.  รักแอลกิ๊กไลท์มีจัยให้เนียร์โดนแฟนคลับเดธโน๊ตตื้บเจ้าค่ะ!TT^TT
0
Dr.Steven Synaptic 26 มี.ค. 52 เวลา 01:21 น. 6

ถ้าเป็นผม ผมไม่อยากสร้างTime Machinrหรอกครับ เพราะเผื่อว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเวลาได้ แต่ผมอยากได้แค่ เครื่องคอมพิวเตอร์หรือจอภาพ ที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ก็พอ8

0
กดกด 17 ก.ย. 52 เวลา 17:18 น. 7

ไร้สาระ&nbsp  มนุษย์ เป็นแค่เศษเสี้ยว เล็กๆๆๆ ถ้าเทียบแล้ว เท่ากับอะตอมของจักรวานเรย&nbsp มนุษย์นะหรือ ริอาจจะควบคุม หลุมดำ ?แรงกดมหาศาล แม้แต่โลก หรือดวงอาทิตย์ ก็ถูกมันบดเป็นเส้นสปาเก๊ตตี้ แล้วมนุษย์หล่ะ&nbsp ผมลองคิดเล่นๆนะ&nbsp คงต้องมีชุดอวกาศแบบ โคตรพ่อโคตรแม่ แข็งเลยแหละ เพราะต้องทนต่อแรงกดของหลุมดำได้ 5555
หลุมดำเรียกได้ว่า เป็นสุสานของจักรวานเลยทีเดียว แม้แต่ดาวดวงไหนก็ถูกมันดูดกลืนไปหมด&nbsp &nbsp ผมเชื่อเลยว่า ถ้ามนุษย์ทำมะดาๆ&nbsp อยู่เหนือหลุมดำได้ หรือสั่งการ หรือควบคุมมันได้ ผมว่า อย่าไปนับถือพระจงพระเจ้าเรยคับ นับถือไอคนที่มันประดิดขึ้นมาดีกว่า
เพราะมันสามารถแหกกฏเกนของธรรมชาติได้ ทุกวันนี้ก็มนุษย์ก็เกือบจะเทียบเท่าพระเจ้าอยู่แล้ว เช่น ถ้า100ปีข้างหทำให้ผู้ชายมีลูกได้ ศัลยกรรมหน้า หรือร่างกาย ปลูกถ่ายDNA ฯลฯ&nbsp &nbsp งั้น ทฤษฏีง่ายๆแล้วกันคับ&nbsp  น้าสามารถพัฒนาทามแมชชีนได้ แล้วทำไม่คนที่อยู่ใน100ปีหน้า ถึงไม่กลับมา บอก หรือส่งข่าวสารอะไรเลย ?&nbsp  อดีต เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ มนุษย์ต้องเดินไปตามครรลองของธรรมชาติ

0
choke 20 มี.ค. 54 เวลา 21:47 น. 8

ผมว่ามนุษย์เราก้อไม่ธรรมดานะครับ อย่าลืมนะครับว่าบางศาสนายังบอกเลยนะครับว่ามนุษย์มีรูปลักษณ์เหมือนพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะดูถูกความสามารถของมนุษย์ไม่ได้นะครับขอกล่าวไว้แค่นี้ก่อนถ้ามีคนตอบจะกลับมาใหม่

0