Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ขอความร่วมมือช่วยส่ง Light Novel ไปญี่ปุ่นหน่อยครับ

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีครับ ตอนนี้ผมกำลังเขียนหนังสือ light novel เพื่อออกตีพิมพ์ที่ญี่ปุ่นแต่มีปัญหาอยู่ว่าทางนั้นดูไม่ค่อยต้อนรับคนต่างชาติเท่าไหร่ เลยอยากขอความช่วยเหลืออยากให้ช่วยลง petition ให้เขาเห็นหน่อยครับว่าตลาดอนิเมของเมืองไทยมีค่าพอที่จะให้ความสนใจ

-พื้นหลังของปัญหา-
ที่ญี่ปุ่นนี่ปกติแล้วถ้าจะลงสมัครเป็นนักเขียน light novel แต่ละสำนักพิมพ์จะเปิดประกวดของตัวเองครับ สำนักพิมพ์ส่วนใหญ่จะจัดประกวดงี้ปีละครั้งสองครั้ง โดยรับต้นฉบับจำกัดไว้ที่เรื่องละ 150 หน้า หรือบางที่อาจจะรับแค่ 130 หน้า ใครที่ชนะผ่านเข้ารอบไปถึง top 10 ได้จะได้รับตีพิมพ์ และ top 5 จะมีเงินรางวัลพิเศษให้
ฟังดูเป็นกฎที่แฟร์และดีอยู่ใช่ไหมครับ ปัญหาคือเขาจะดูเพียงแค่ 150 หน้าชิ้นเดี่ยวๆนี้เท่านั้น ถ้าใครเขียนเรื่องไม่จบตายตัวภายใน 150 หน้านี้ก็จะกลายเป็นหักคะแนนไป
ปัญหาตรงนี้เลยเป็นว่าผมเขียนมา 13 เรื่อง ส่งประกวดผ่านมา 10 เรื่อง แต่เน้นเนื้อ เน้นทั้งความลึกของทั้งตัวละคร ฉาก คอนเซป และมุมมอง นอกจากนั้นก็พยายามทำอะไรให้แตกต่างจากที่คนญี่ปุ่นทำกันซ้ำซากเยอะแยะแล้วเพื่อให้มีความเด่นของตัวเองครับ
ส่วนตัวเองผมก็ไม่ได้เขียนเพื่อเอาเงินรางวัล แต่ตั้งใจเพื่อเขียนเป็นซีรี่ย์เพื่อทำเป็นงานจริงๆจังๆครับ ทางตัวสำนักพิมพ์ของญี่ปุ่นเองจริงๆก็ทำเงินหลักๆจากซีรี่ย์อยู่แล้ว พวกที่ชนะผ่านๆมาส่วนมากสำนักพิมพ์เองก็จะดันให้เขียนต่อเป็นซีรี่ย์อยู่แล้วด้วยซ้ำ เลยนึกว่าถ้าส่งไปทางนั้นก็จะยอมเข้าใจ

แต่เอาเข้าจริงๆส่งมา 2 สำนักพิมพ์นี่แล้วกลับโดนปรับตกหมด 10 เรื่องครับ คอมเมนต์เขาคืนมาก็ชมอยู่บอกว่าแหวกแนว ลึกละเอียด น่าสนใจอยู่ แต่ที่โดนปรับตกคือเพราะไม่จบตายตัวในเล่มเดียว ตอนจบเล่มยังมีปัญหาที่ยังไม่แก้ค้างอยู่ มีตัวละครเยอะไป บางตัวมีบทน้อยไป หรือภาษาอาจจะยังดีไม่พอ พูดง่ายๆคือนอกจากเรื่องภาษาแล้วถ้าคนตรวจดูงานของเราเป็นซีรี่ย์แต่แรกก็จะไม่เป็นปัญหาเลยครับ
ดูอย่างแฮรี่พอตเตอร์หรือวันพีซเป็นตัวอย่าง งานพวกนี้เล่มแรกอย่างเดียวก็ลงตัวละครทีเป็นสิบๆ เรื่องก็ไม่ได้รวบจบตอนท้าย แต่เพราะคนอ่านรู้อยู่แล้วว่ามีเรื่องให้อ่านต่ออีกยาว และกรณีนั้นให้ค่อยๆสร้างขึ้นไป ตอนจบมันก็จะยิ่งพอใจ มันเลยไม่เป็นปัญหาใช่ไหมละครับ ส่วนตัวผมเลยคิดว่ายังไงสุดท้ายสำนักพิมพ์ก็อยากได้ของไปทำซีรี่ย์อยู่แล้ว ตรวจอย่างงี้คิดยังไงก็ไม่สมเหตสมผลครับ

สำหรับซีรี่ย์ 150 หน้าถือว่ายังเป็นแค่ตอนต้นเรื่อง แค่แนะนำตัวละคร แนะนำฉาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ได้มีเนื้อที่สนุกในตัวของมันเอง ถ้าแปลเป็นอนิเมก็จะได้ประมาน 3-5 ตอนครับ
ตอนส่งสำนักพิมพ์ที่ 2 ก็ถามเค้าผ่านเมลก่อนแล้วว่ารับของซีรี่ย์รึเปล่าเค้าก็บอกโอเค ตอนส่งต้นฉบับไปให้ผมก็เขียนคำท้ายไปให้ด้วยว่าอยากให้ตรวจโดยดูว่าเรื่องนี้เขียนเพื่อเป็นซีรี่ย์ แต่สุดท้ายผลลัพธ์เหมือนเดิมครับ ตกหมด 10 เล่ม สาเหตุเดิมเป๊ะๆ คือสรุปกูบอกให้อ่านเป็นซี่รี่ย์ก็จะไม่ทำตามมันให้ได้
เรื่องภาษาญี่ปุ่นในต้นฉบับก็ไม่ได้แย่อะไรนะครับ ตัวผมเองก็เรียบภาษาญี่ปุ่นมาเป็น 10 ปีแล้ว คุยกับคนญี่ปุ่นได้ประมานเค้าไม่รู้สึกตัวว่าเราต่างชาติ สอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นก็ได้ระดับ 1(ระดับสูงสุด) มาแล้ว ตัวต้นฉบับนี่ก็ออกเงินไปตั้ง 3 แสนเยน(1 แสนบาท)จ้างคนญี่ปุ่นมาตรวจให้แล้วว่าภาษาไม่ผิด ไม่แปลกเพี้ยนอะไร
เพราะงั้นตรงนี้ก็ต้องยอมรับครับว่าภาษาอาจจะไม่ได้ผิด ปัญหาคือมันแค่อาจจะไม่สละสลวย อ่านไม่สบายตาเท่าคนญี่ปุ่นเขียนจริงๆ เลยยอมรับว่าตรงนี้เป็นข้อเสียแพ้คนญี่ปุ่นอยู่ แต่ยังไงตรงนี้ถ้าเขารับเมื่อไหร่ มีบรรณาธิการเมื่อไหร่คือหมดปัญหาแน่นอน เลยคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ

ที่เขียนไปตั้ง 13 เล่มนี่ก็ไม่ใช่เพราะเขียนลวกๆส่งเดจนะครับ แต่เพราะอยากให้สำนักพิมพ์เห็นว่าเราสามารถเขียนได้ทีละหลายเรื่อง หลายหัวข้อ หลายสไตล์ แต่ทุกเรื่องสนุกหมด ไอเดียสดใหม่ และโชว์ด้วยว่าเราทำงานหนัก มุ่งมั่น ทุกวันนี้ก็นั่งเขียนถึงตี 2 ทุกคืนครับ แต่สุดท้ายส่งไปสำนักพิมพ์ก็ไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิมครับ
ปัญหานอกจากนั้นคือประกวดพวกนี้เค้าทำกันแค่ปีละครั้ง ทำครั้งนึงก็ใช้เวลาตั้งครึ่งปีกว่าจะประกาศผล และสำนักพิมพ์เกือบทุกที่ก็เปิดประกวดเวลาไล่เลี่ยกันครับ เลยต่อให้อยากลองส่งหลายๆที่เผื่อจะมีที่ไหนรับก็ต้องรอมันถึงปีนึงกว่าจะได้ลองซักที่นึง
เพราะงั้นผมเลยคิดว่าวีธีงี้ไม่เวิร์ค ยิ่งคนตรวจพูดไม่รู้เรื่องงี้อีกส่งไปแต่ละที่เสียอีก 10 ปีก็ไม่ได้แน่นอน เลยพยายามติดต่อสำนักพิมพ์โดยตรงว่าขอคุยกับบรรณาธิการได้รึเปล่า เราจะได้พรีเซนต์งานของเราแบบชัดเจนว่าเราเขียนซีรี่ย์อยู่
นอกจากนั้นก็อยากจะโชว์ด้วยว่าในการที่เป็นชาวต่างชาติ เราสามารถนำไอเดียสดใหม่ที่คนญี่ปุ่นคิดไม่ถึงเข้ามาได้ และก็จะช่วยขยายตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะในไทยได้มากขึ้น เพราะตลาดอนิเมในไทยก็ใหญ่ถือเป็นอันดับรองแค่จีน เกาหลี และญี่ปุ่นเองครับ เพราะงั้นก็คือเข้าใจว่าเราไปเสนอแบบนี้มันไม่ตรงกับกฎที่เขาวางไว้ แต่เราก็ลองตามกฎเขาแล้วและรู้ตัวแล้วว่ายิ่งตามกฎจะกลายเป็นว่าไม่แฟร์กับเราซะแทน เลยมีข้อเสนอขนาดนี้มาเพื่อแลกขอแค่โอกาสเปิดรับฟังเราหน่อยจะได้ไหม

แต่คุยกับตรงนี้ผ่านทั้งเมลกับทั้งโทรศัพท์ของตัวบริษัท คุยเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมรับฟังครับ อธิบายแล้วอธิบายอีกว่าทำไมระบบประกวดของเขาไม่เวิร์คกับเรา ว่าเราสามารถยื่นทั้งไอเดียและโอกาสทางธุรกิจแบบที่คนญี่ปุ่นทำไม่ได้ และว่าเราก็ไม่ได้สั่งให้เขารับทันที ขอโอกาสคุยดีๆเพื่อที่เราจะได้อธิบายได้ชัดเจน แต่ไม่ว่าจะคุยยังไงเขาก็ไม่ยอมผ่านให้เราไปคุยกับบรรณาธิการ บอกว่าตามกฏๆอย่างเดียว ต่อให้ผมก็ทวนแล้วทวนอีกว่ายอมรับฟังนิดหน่อยก็ไม่ได้เสียหาย และปฏิเสธเราท่าเดียวแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นประโยชน์อะไรให้เขา
มีบางที่ตอบกลับมาตรงๆด้วยเลยว่าเขาไม่แคร์ตลาต่างชาติ เขาไม่แคร์ว่าเราจะเอาไอเดียอะไรใหม่มาให้ ประมานว่าเรื่องคนญี่ปุ่น คนนอกอย่ายุ่ง ประมานนั้นเลยครับ
พอพูดอย่างงี้ผมเลยอยากขอความช่วยเหลือเซ็น petition นี้หน่อยครับ เพื่อให้เขาเห็นและยอมเปิดรับฟังขึ้นมาหน่อย ตัว petition นี้เขียนส่งไปให้ Kyoto Animation อยู่ แต่จริงๆคือไม่จำกัดตายตัวครับว่าส่งไปที่ไหน เพราะทุกที่ๆผ่านมาหัวแข็งไม่ยอมฟังพอกัน

แสดงความคิดเห็น

33 ความคิดเห็น

อัจฉราโสภิต 15 ธ.ค. 60 เวลา 17:30 น. 2

มีความฝันเป็นเรื่องดีครับ แต่เข้าใจข้อจำกัดของความฝันตัวเองบ้าง


แม้แต่สำนักพิมพ์ในไทย คุณเอางานยาวๆ หรือดูท่าจะยาวไปขาย เขายังไม่รับเลยครับถ้าคุณไม่ได้มีชื่อเสียงมากพอ ไม่มีอะไรรับประกันว่านิยายคุณขายออกแน่ๆ


ตลาดหนังสือญี่ปุ่น คุณก็น่าจะทราบว่ามันโคตรล้น ต่อให้ตลาดมันใหญ่กว่าไทย ปริมาณงานที่เข้าสู่ตลาดมันก็เยอะกว่า เยอะกว่ามากด้วย เดินเข้าไปในร้านหนังสือนี่ล้นจนหาเรื่องที่ต้องการแทบไม่เจอ ยังไม่พอ ตลาดหนังสือมือสองของญี่ปุ่นก็ใหญ่มากด้วย การ์ตูนส่วนใหญ่ที่ผมมีตอนนี้ก็มือสองทั้งนั้น


เอาจริงๆ ต่อให้เป็นเรื่องที่สำนักพิมพ์คิดว่าดี และมาเป็นเล่มเดียว จะขายออกได้กำไรหรือจะแป้กขาดทุนก็ยังไม่รู้เลย


แล้วที่โทรไปตรงๆแบบนั้น คุณเองเรียนภาษามานานมากก็น่าจะรู้นะครับว่ามันไม่สุภาพเลย แม้แต่ในไทยก็ยังถือว่าไม่ควร ดีว่าเป็นญี่ปุ่นเขาเลยไม่วางหู (หรือเขวี้ยงหู) ใส่คุณ แต่ผมกล้าบอกครับ เขาหมายหัวคุณไว้แล้ว


คุณไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกครับ


ต่อให้มีคนเซ็นครบ ผมก็บอกได้เลยว่าบริษัทไม่สน ไม่ต้องมหึมาบิ๊กเบิ้มอย่างเคียวอนิหรอกครับ บริษัทเล็กๆ เขาก็ไม่สน หนึ่งมันไม่มีกฎหมายบังคับให้ทำตาม สองญี่ปุ่นชาตินิยม สามคนเซ็นเป็นใครจะมาซื้อนิยายคุณหรือเปล่า หรือแม้แต่จะซื้อเรื่องอื่นของเขารึเปล่าก็ไม่รู้ สี่ เขาน่าจะเข็ดกับขบวนการดูดอนิเมบ้านเราไปไม่มากก็น้อย


อยากร่วมงานกับเขา ทำตามกฎเขาให้ได้ก่อนดีไหมครับ ไม่งั้นถ้าเก่งจริง คุณติดต่อขอพิมพ์เป็นหนังสือทำมือไปขายตามคอมมิคเก็ตเลยก็ยังได้ คนเก่งจริงๆ เขาไม่ขอโอกาสใครหรอกครับถ้ามันมีทางที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงตัวเอง

0
ขออนุญาตแนะนำ 15 ธ.ค. 60 เวลา 17:44 น. 3

เราไม่รู้ว่าคุณจขกทอายุเท่าไหร่ แต่ถ้าเราเก่งภาษาแบบคุณเราจะไปเรียนเซนมงที่มันถูกๆ เรียนแค่หนึ่งปี รวมกับวีซ่าหางานอีกเป็นเกือบสองปีระหว่างที่อยู่ก็เอาหนังสือไปเสนอ สนพต่างๆ

หรือหางานทำให้ได้วีซ่าถาวรแล้วค่อยคิดเรื่องเอานิยายไปเสนอ สนพ. อะนะ

0
เวิ่นเว้อ 15 ธ.ค. 60 เวลา 17:50 น. 4

ตอนนี้เจ้าของกระทู้อยู่ที่ญี่ปุ่นหรือเมืองไทยคะ


ความคิดเห็นของเราอาจจะทำให้คุณเจ้าของกระทู้รู้สึกไม่ดีหรือเปล่าเราก็ไม่แน่ใจ แต่อ่านรายละเอียดของคุณเจ้าของกระทู้แล้วนะคะ เราคิดว่ามันมีปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถแก้ได้โดยง่ายค่ะ สิ่งนั้นก็คือ ชาตินิยม ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน


สำหรับเรามองว่า คนญี่ปุ่นมีความรักชาติสูง สูงจนบางครั้ง การเป็นการปิดโอกาสบางอย่างสำหรับคนต่างชาติ ดังนั้นทางสำนักพิมพ์ที่นั่นจึงไม่ผ่านผลงานของคุณ



หากคิดตามที่คุณเล่า ต้นฉบับของคุณอาจจะยังไม่ดีพอตามที่ทางบรรณาธิการสำนักพิมพ์บอก 


หรือหากมันดีจริงอย่างที่คุณบอก เหตุผลอีกอย่างคือ ไม่รับนิยายที่เขียนโดยคนต่างชาติ(ต่างกับนิยายแปลนะคะ เพราะนิยายแปลทุกคนรู้ว่ามันแปลจากคนต่างชาติ)


อาจจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง


ไม่แน่ใจว่าการลง Petitiion จะช่วยได้มากแค่ไหน แต่ขอแนะนำอีกทางซึ่งอาจจะไม่ตรงใจคุณ


หากคิดว่างานเขียนของคุณแน่จริงๆ มีอีกหนึ่งวิธีคือการส่งให้สำนักพิมพ์ในเมืองไทยพิจารณาค่ะ และหากผ่านการพิจารณา ได้ตีพิมพ์ฉบับภาษาไทย อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ก้าวหนึ่งว่างานคุณมันโอเคระดับหนึ่ง แล้วหากมันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าถึงตอนนั้นคุณค่อยส่งต้นฉบับนี้ไปที่สำนักพิมพ์ญี่ปุ่นค่ะ แบบนั้นจะง่ายกว่ามั้ยคะ ให้เขาซื้อลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์เมืองไทย (ที่ถือว่าเป็นนิยายแปลไปน่ะค่ะ)


อย่างน้อยเป็นการเปิดประตูทางออกอีกทางหนึ่ง


เราไม่รู้นะคะว่าเรื่องที่เราแนะนำมันจะเป็นไปได้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยหากคุณคิดว่านิยายของคุณดีจริงๆ ลองมาเริ่มต้นที่เมืองไทยก็ยังไม่เสียหายนะคะ หากดีจริงคุณก็ได้รับการตีพิมพ์แน่นอนไม่มีเงื่อนไขอื่นให้ลำบากใจ



0
no one know 15 ธ.ค. 60 เวลา 18:17 น. 5

ผมว่าวิธีแก้ปัญหามันก็อยู่ในสิ่งที่คุณพิมพ์มาแล้วนะ?


ต้นสังกัดบอกให้ส่งนิยายจบสมบูรณ์ภายใน 150 หน้า แต่คุณส่งไปแบบยาวเป็นซีรีย์ ถือว่าไม่ตรงกับเงื่อนที่ทางนั้นตั้งไว้ แล้วใครจะรับพิจารณาเล่าครับ? คุณก็แค่แต่งเรื่องใหม่ เอาให้จบใน 150 หน้าและได้ตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เขาต้องการเท่านั้นเอง ขนาดเงื่อนไขง่าย ๆ แบบนี้ถ้าคุณยังทำตามไม่ได้ แล้วใครจะอยากร่วมงานด้วยฮะ?


อีกอย่างถ้าผมเป็นต้นสังกัดของทางนั้น คงนั่งคิดและไม่เข้าใจว่าคุณก็เป็นคนไทยแท้ ๆ ทำไมถึงไม่คิดดิ้นรนพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นนักเขียนชั้นนำในบ้านเกิดตัวเองให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเอาผลงานที่ได้รับการยอมรับในตลาดบ้านตัวเองแล้วมานำเสนอ?




Just Monika...


0
reito 15 ธ.ค. 60 เวลา 18:25 น. 6

เรื่องของเรื่องคือไม่ใช่เรากำลังสั่งให้เขารับครับ เราพยายามอธิบายเค้าดีๆแล้วว่าระบบที่เขามีอยู่นี่ไม่ตรงกับเรา และการไปตามกฏเขา 100% ก็จะกลายเป็นงานของเราเสียคุณภาพไปครับ คิดซะว่าถ้าสำนักพิมพ์อยากขายซีรี่ย์อยู่แล้ว เนื้อเรื่องคุณพีคตั้งแต่เล่มแรก เล่มต่อๆมาหมดมุขไม่มีอะไรเขียนต่อ มันจะก็ไม่เป็นประโยชน์กับใครไม่ว่าจะตัวเรา สำนักพิมพ์เขา หรือว่าคนอ่าน มันเหมือนจ้างนักวิ่ง 100 เมตรแ่ต่สั่งให้ไปวิ่งมาราธอนอะครับ


ทางนี้เราก็พยายามต่อรองกับเขาแบบสุภาพที่สุดที่จะทำได้อยู่ ให้เขาเข้าใจสถานการณ์ ว่าระบบที่เขาดึงดันอยู่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเวิร์ค 100% และทางนั้นก็ไม่ใช่จะไม่รู้นะครับ ทั้งเคสที่ชนะประกวดแต่เอาเข้าจริงเขียนไม่ถึงปีก็เลิก กับเคสที่ไม่ได้ชนะแต่กลายเป็น Best Seller มันมีทั้งคู่


เพราะงั้นเราขอแค่นั่งคุย หรือแค่ส่งเมลก็พอ ให้เขาได้พิจารณาได้ตามที่เราต้องการ และก็พยายามคุยด้วยว่าเรามีข้อเสนอมากกว่าเล่มเดียว เพราะไม่งั้นในตอนนี้ส่งไปในประกวด คนตรวจแต่ละเล่มก็ใช่ว่าจะเป็นคนเดียวกัน กลับกลายเป็นว่านอกจากไม่ยอมรับรู้ว่าเราเขียนซีรี่ย์อยู่ บวกเข้าไปว่าไม่รับรู้ว่าเราส่งเขาไปอีก 9 เล่ม กลายเป็นแพ้เปล่าๆ


ใช่ครับว่าการที่เราไม่ใช่คนญี่ปุ่นมันทำให้เสียเปรียบแต่แรก เพราะงั้นผมถึงต้องพิสูจน์ไงครับว่าเราทำได้มากกว่าคนอื่น เรามีของมาเสนอได้อีกเยอะแยะ


ส่วนเรื่องส่งสำนักย์พิมพ์ไทยก่อน อาจจะเสียอภัยหน่อย ผมว่าไม่มีความแตกต่างครับ พูดถึงเรื่องระดับของเนื้อเรื่อง มาตราฐานมันเท่ากันอยู่แล้ว ต่อให้ลงที่ไทยก่อนก็ไม่ช่วยให้ต่อไปทำที่ญี่ปุ่นง่ายขึ้น เพราะงั้นถ้าภาษาเราดีพออยู่แล้ว(ส่วนตัวภาษาไทยก็ไม่ได้แข็งเท่าญี่ปุุ่นหรืออังกฤษอยู่แล้ว) สู้ลงตลาดต่างชาติแล้วค่อยให้เข้ามาไทยงั้นผมว่าดีไม่ดีขายดีกว่าอีกครับ

2
เวิ่นเว้อ 15 ธ.ค. 60 เวลา 18:32 น. 6-1

ไม่งั้นก็ตามคุณอัจฉราโสภิตแนะนำค่ะ. ขายตามคอมิคเก็ต อีกทั้งเป็นการวัดความสามรถของคุณไปด้วย ถ้างานเขียนของคุณดีจริงๆ ไม่ว่าขายทางไหนมันก็ขายได้เหมือนกันค่ะ






0
แมงกะพรุนไฟอาศัยอยู่ใต้แกนโลก 15 ธ.ค. 60 เวลา 21:17 น. 6-2

ทุกการแข่งขันมีกฎมีเกณฑ์นี่คะ เหมือนเขาจัดประกวดวาดรูประบายสีเทียนแล้วคุณอยากส่งภาพสีน้ำเข้าประกวดอะคะ

ลองเผยแพร่ทางอื่นเถอะค่ะ ถ้าคุณรับกฎเขาไม่ได้

0
SilverPlus 15 ธ.ค. 60 เวลา 19:03 น. 7

งานดี งานทำเงิน ผมว่ายังไงเขาก็สนใจนะ


ที่เขาไม่สนใจ อาจเพราะมันไม่ทำเงิน หรือมันไม่สนุกอย่างที่เจ้าของกระทู้หลงคิดก็ได้ หลักการธุรกิจมันก็มีแค่นี้แหละ


แถมช่องทางของทางญี่ปุ่นมีมากกว่าส่งสำนักพิมพ์ไม่ใช่หรอ พิมพ์นิยายลงเว็บก็ได้นิ แล้วถ้ามันดัง มันถูกตาคนอ่าน แม้ตอนแรกหลายสำนักพิมพ์จะมองว่ามันไม่ทำเงิน แต่เมื่อมันเป็นที่นิยมในเว็บลงนิยาย เขาก็อาจนำไปพิจารณาใหม่ก็ได้นะ แล้วก็ใช้สะโลแกนน่าสนใจว่า "นักเขียนไฟแรงจากต่างแดนผู้มีใจรักภาษาญี่ปุ่น" ซึ่งอาจทำให้ยอดขายเยอะถล่มถลายก็ได้ จริงไหม (มองโลกในแง่ดี)


วางเรื่องชาติลงก่อน ผมว่าเขาเปิดกว้างอยู่นะ ขนาดจั๊มยังมีโครงการให้นักวาดจากต่างประเทศส่งไปได้เลย ผมอยากให้มองงานของตัวเองก่อนดีกว่า


งานคุณมันคงยังไม่ถูกตา เขาจึงไม่รับไง ผมว่าปัญหาสำคัญมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก ถึงต่อให้เขียนวันละ 24 ชั่วโมง ทุกวัน เป็นเวลา 10 ปี เหมือนเครื่องจักร แต่ถ้านิยายมันไม่ดี ยังไงมันก็ไม่ดี คุณอาจใช้ความพยายามไปในทางที่ผิดก็ได้ คือไม่ได้เน้นที่พล็อต แต่เน้นไปที่ความพยายามในการพิมพ์ (ตัวอักษร) เสียมากกว่า ซึ่งผลลัพธ์ก็อย่างที่คุณเห็น ผลงานมันไม่ดีพอนั้นเอง

0
Death With Love 15 ธ.ค. 60 เวลา 19:11 น. 8

ก่อนอื่นขอชื่นชมจขกท.ที่มุมานะทำตามความฝันอย่างไม่ย่อท้อ นับถือจากใจเลยทีเดียวครับ


แต่ผมก็คิดเช่นเดียวจากท่านคห.อื่นๆ มันเป็นเรื่องของกติกา ถ้าทำตามไม่ได้ ทางเขาย่อมมีสิทธิ์ไม่รับพิจารณา

เพราะฉะนั้นปัญหาของจขกท.เกิดที่ตัวเองครับ เปลี่ยนวิธีคิด ง่ายกว่าไปบอกคนตั้งกติกาเปลี่ยนตามใจคุณ


ขอพูดถึงคนตรวจฉบับ ผมไม่คิดว่าเขาผิดเลยที่ปัดทิ้งงานของจขกท. เขาเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้นครับ

รวมทั้งการบอกให้เขาทำเกินหน้าที่(หรือช่วยเหลือเป็นพิเศษ)เพื่อเรา ก็ไม่ถูกต้องนะครับ มันไม่ยุติธรรมต่อคนอื่นที่ทำตามกติกา

ชาวญี่ปุ่นมีเรื่องวัฒธรรมและแบบแผนต่างจากบ้านเรานะครับ


ส่วนเรื่องยื่นคำร้อง นอกจากไม่ได้ผล ยังเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างหนัก

การต่อรองลักษณะนี้เหมือนไปกดดันเขา ซ้ำยังแสดงความไม่เคารพกติกาที่เขาตั้งขึ้นอย่างชัดเจน

ถามว่าทำไม? เพราะคุณขอให้เขาฉีกกติกาอย่างเปิดเผย(และต่อสาธารณชน)

คุณต้องการร่วมงานกับทางเขา แต่กลับเลือกงัดข้อโดยตรง คิดว่าเหมาะสมไหมล่ะครับ


ลองสมมติตัวเองเป็นฝ่ายสนพ.ญี่ปุ่นนะครับ

ลำพังแค่กติกาเบื้องต้นยังปฏิบัติตามไม่ได้ ขืนตกลงรับ ต่อไปจะสร้างปัญหาอะไรอีกก็ไม่รู้

นักเขียนต่างชาติไม่เข้าใจระบบ ขั้นแรกเราต้องการพิจารณาเล่มเดียวจบ ไม่ต้องการซีรีย์ จะส่งมาทำไม


สรุปที่ผมพิมพ์ไปทั้งหมด หวังดีและอยากให้จขกท.ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่

ความพยายามของจขกท.เป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่การประกวดมันมีกติกาเงื่อนไข

จขกท.เขียนไลท์โนเวลได้เป็นสิบๆ เรื่อง เชื่อว่าแก้ไข ปรับเปลี่ยนให้ผลงานอยู่ภายใต้กติกาไม่น่าจะยาก

ขอบอกว่ายิ่งจขกท.มั่นใจในผลงาน ก็ยิ่งควรทำให้เขายอมรับ ซึ่งเริ่มต้นโดยเรายอมรับกติกาของเขาก่อนครับ

// ที่จริงช่องทางอื่นก็ยังมีนะครับ ตามคห.บนๆ บอก

ขายเองตามงานคอมมิคเก็ต เขียนลงเว็บอย่าง 4chan หรืออื่นๆก็ได้ ภาษาได้ก็ลุยเลยครับ

0
อัจฉราโสภิต 15 ธ.ค. 60 เวลา 19:48 น. 9

มั่นใจมาก มั่นใจจนบอกว่าระบบของเขาไม่เวิร์ก สุดยอดเลยครับ


คุณยังไม่เข้าใจระบบของเขาเลยครับ ที่เขาให้ส่งไปเล่มเดียวคือเขาจะดูคุณโดยรวม ถ้าเห็นแววว่าดีเขาจับมันยืดเองครับ เขามีผู้ดูแลเนื้อหา บางทีดีไม่ดีที่คุณวางๆไว้นั่นโดนตีตกเปลี่ยนใหม่หมดออกเป็นเรื่องใหม่ ถ้าเรื่องแรกไม่จบจะทำยังไงครับ ง้อเขาไม่ให้เปลี่ยน เพราะวางมาแล้วมันสนุกแน่ๆ เชื่อผมสิ ? ผมเป็นบก. มีขำก๊ากแน่


คุณเป็นใครครับ มีดีกรีอะไรที่เขาจะต้องให้สิทธิคุณเป็นพิเศษ เคยออกหนังสือขายดีมาก่อนรึเปล่า ? ก็เปล่า (นี่คือเหตุผลที่มีคนแนะนำให้คุณออกกับทางไทยก่อนเพื่อสร้างชื่อ) มีชื่อเสียงหรือมีคุณวุฒิอะไรไหม ? ก็ไม่ มีเงินพอออกทุนให้เขาพิมพ์เหรอ ? อาจจะ แต่ทำไหมครับ แล้วถ้าเกิดออกไปแล้วไม่สนุก เสียชื่อบริษัท รับผิดชอบยังไงดีครับ


ไม่ใช่แค่นั้น คุณยังบอกว่าถ้าเข้าไป เรื่องสำนวนภาษาไม่ใช่ปัญหาเพราะมีคนช่วยแก้ ผลักภาระให้เขาซะงั้น ทำไมเขาต้องรับคนที่ทำให้งานเขามากขึ้นด้วย ?


คุณบอกว่าคุณไม่ได้บังคับ แต่ที่คุณทำอยู่คือการล่ารายชื่อกดดันให้เขาทำ ไม่บังคับนะ แต่ฉันมีมวลชน ไม่บังคับเลย....


ผมไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงบอกว่าเป็นเรื่องของคนญี่ปุ่นครับ เล่นไม่สนใจทั้งกฎทั้งมารยาทแบบนี้ ถ้ารับมาอยู่ในสังกัดวุ่นวายแน่ ไม่น่าบอกเขาไปว่าเป็นคนไทยเลยครับ เสียชื่อ


จงดีใจไว้นะครับที่คุณดีล (เดล) กับคนญี่ปุ่น ถ้าดีลกับคนไทย ผมว่ามีด่าพ่อล่อแม่กันบ้างแล้วล่ะ

0
llkawaiill 15 ธ.ค. 60 เวลา 20:08 น. 10

คุณเจ้าของกระทู้มีไอเดียน่าสนใจ อยากคุยส่วนตัวจัง พอจะมีช่องทางติดต่อไหมนะ?


เราเองก็เขียนเป็นแนวlight novelเหมือนกัน แต่ดูเหมือนคนในนี้จะไม่สนใจเท่าไร ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแปลแล้วส่งประกวดเหมือนกัน ส่งพิจารณาในไทยก็เงียบราวกับป่าช้า เมลล์ส่งถึงรึเปล่าไม่รู้

0
lilin4646 15 ธ.ค. 60 เวลา 20:44 น. 11

การทำหนังสือคือการทำงานเป็นทีมนะครับ ถ้าคุณที่เป็นส่วนน้อยไม่พร้อมทำงานกับคนส่วนใหญ่ของเขา เขาก็ไม่รับหรอกครับ ถ้าเขาจะเอานักเขียนต่างชาติเจ้าปัญหา สู้เอานักเขียนญี่ปุ่นที่พร้อมจะร่วมงานดีกว่าแน่ๆ ครับ ถ้าคิดว่าเรื่องดีมั่นใจ ผมคิดว่าทำขายเองเลยครับ งานโดจินญี่ปุ่นเปิดกว้างอยู่แล้ว

0
ต่วยดำ 15 ธ.ค. 60 เวลา 20:48 น. 12

สงสัยมากว่าทำไมคุณถึงคิดว่าเรื่องของคุณจะขายได้ท่ามกลางคู่แข่งเป็นล้านๆที่ญี่ปุ่น และปี1ที่นู่นมีไลท์โนเวลวางขายมากกว่าที่ไทยจะกล้าเสี่ยงซื้อลิขสิทธิ์มาแปลขายเป็นหลายเท่า ตกไตรมาสหนึ่งเป็นร้อยๆจากทุกสำนักพิมพ์


ถ้าให้เดา คุณเอาแต่คิดว่าที่ลงในไทยไม่มีใครสนใจเพราะพวกนี้มันไม่รู้จักไลท์โนเวลที่แท้จริง คุณจึงพยามจะลบปมด้อยนี้ด้วยการไปแจ้งเกิดที่นู่น เพื่อประกาศศักดาว่าไงล่ะ ข้านี่แหละไรท์ที่เขียนไรท์โนเวลได้ ขนาดต้นตำรับยังต้องมาตีพิมพ์ให้


และที่ตอนนี้คนญี่ปุ่นยังไม่สนใจ เพราะติดว่าเป็นคนไทยไงล่ะ ก็เลยพยามจะทำตัวเป็นกระแส เพื่อให้ยุ่นสนใจ


แต่ในความเป็นจริงคนญี่ปุ่นเขาไม่มายด์เรื่องชาติหรอกนะคะ ตราบใดที่เขียนงานที่เอามาจากวัฒนธรรมของเขา ไม่งั้นตุลาการทมิฬที่นักเขียนเกาทั้งสองคนพูดเขียนญี่ปุ่นไม่ได้เลยคงไม่ได้แจ้งเกิดที่ยุ่น


ปัญหาของคุณคือ คุณตัวเปล่าเล่าเปลือย ไม่มีชื่อเสียงไม่มีอะไรที่จะการันตีความคุ้มค่าที่ทางนู้นเขาจะมาชายตาแลเลย คุณคิดว่าให้คนพูดมากๆ ว่าได้โปรดรับเรื่องของคุณไปทีเห็นความตั้งใจมั้ย แล้วถ้าทางนู้นถามกลับมาว่าแล้วคุณเอาอะไรมาการันตีล่ะว่าเรื่องของคุณจะขายได้คุ้มกับที่ลงทุนให้? คุณจะตอบเขาว่าไง


จะบอกแค่ว่าผมมั่นใจเหรอ? แล้วจะให้พวกเราตอบเขาว่าไง เห็นใจคุณหน่อยเถอะ เห็นมั้ย? งั้นเหรอ?


ทางที่ดีคุณมาทำยอดตีพิมพ์ในนี้ให้ได้ก่อน ถ้าคุณลงเรื่องแล้วมันขายได้จริง มีคนอ่านแล้วอยากได้รวมเล่มจริง ตอนนั้นคุณจะเอาผลยอดตีพิมพ์นี้ไปลองเจรจากับเขาดูก็ยังได้


แต่นี่พูดจากันแบบโลกธุรกิจ คุณจะมาให้เขาซื้อเรื่องของคุณ นอกจากสิ่งที่คุณคิดเอาเองว่าเรื่องผมต้องขายได้ คุณคิดว่าจะมีอะไรทำให้เขา "กล้าเสี่ยง" กับคุณ?


รางวัล ยอดวิว ยอดขายรวมเล่ม อีบุ๊ค หยอดเหรียญในเด็กดีหรือในธัญวลัยคุณมีไปการันตีให้เขาเบาใจได้มั้ยว่ามันขายได้แน่? มันโอเคพอที่จะทำให้สละเวลาอ่านเรื่องจากคนญี่ปุ่นด้วยกันเองที่ส่งมาให้อ่านเป็นล้านๆ ไหนจะตามเว็บอ่านฟิคออนไลน์ในญี่ปุ่นที่ระดับชั้นเกินกว่าเด็กดีหลายพันเท่าอีกล่ะ?


คุณพอจะมีอะไรที่การันตีให้พวกเราอยากสนับสนุนคุณนอกจากเป็นคนไทยที่อยากไปตีพิมพ์งานที่ญี่ปุ่น?

2
อัจฉราโสภิต 16 ธ.ค. 60 เวลา 04:59 น. 12-1

จริงๆญี่ปุ่นค่อนข้างชาตินิยมนะครับ เขาอาจจะไม่ได้เหยียดต่อหน้า แต่ถ้าเป็นธุรกิจหรือการศึกษา ยังไงเขาก็เชื่อใจประเทศเขามากกว่า ถ้าของเมืองนอกโดยเฉพาะเอเชียไม่ดีเด่นจริงๆ เขาเอาของประเทศเขาก่อน


จำตอนหางานวิจัยอ้างอิงได้ มีของฝรั่งของจีนราวๆสิบฉบับ อาจารย์บอกอย่างน้อยขอญี่ปุ่นสักฉบับสองฉบับไว้เพิ่มความน่าเชื่อถือหน่อย ขนาดอาจารย์ผมค่อนข้างจะดูเป็นญี่ปุ่นที่สากลพอสมควรแล้วนะครับ (แกพูดอังกฤษได้โอเค ไม่เหมือนอาจารย์บางท่าน ขนาดเป็นศาสตราจารย์แล้วยังพูดกระท่อนกระแท่นฟังไม่รู้เรื่อง)

0
ต่วยดำ 16 ธ.ค. 60 เวลา 23:22 น. 12-2

เขาไม่มายด์หรอกค่ะอย่างที่บอกว่าถ้างานนั้นเป็นงานที่ใช้วัฒนธรรมของเขา ไลท์โนเวลฝีมือคนไทยเขียนในมุมมองของเขาก็เป็นการโคลนงานสไตล์งานเขียนนิยายญี่ปุ่นแนวนี้มา หรือก็คือการเขียนนิยายไทยในแบบสไตล์ญี่ปุ่น


เขาออกจะแฮปปี้ด้วยซ้ำเพราะมันเป็นเหมือนเป็นเครื่องตอกย้ำว่าวัฒนธรรมของเขาได้รับการเผยแพร่ซึมเข้าไปในวิถีของชาติอื่น ไม่ใช่การเอานิยายในไทยที่มีความเป็นไทย 100% ให้มาพิมพ์ขายที่ยุ่นเพื่อเอาความเป็นไทยไปเผยแพร่ที่นู่น ถ้าอันนั้นไม่ใช่ระดับงานบรมครูจริง หรือเป็นงานเขียนไทยที่แอบเนียนโคกับความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้อย่างเรื่องคู่กรรมที่มีโกโบริอยู่ในเรื่อง ถ้าแบบนี้เขาไม่เอาแน่ค่ะ เพราะเหมือนเอาวัฒนธรรมชาติอื่นมาแทรกในวิถีของชาติเขา


แต่ในกรณีนี้อย่างที่บอกว่าถ้าเราไปแบบทำให้เขารู้ว่าเรามานี่เพราะความเป็นเขา อย่างการเขียนนิยายในแบบไลท์โนเวลญี่ปุ่น เขาก็พร้อมต้อนรับเพราะถือว่าได้ต้อนรับคนที่มีความเป็นญี่ปุ่นอยู่ในตัว ไม่ใช่คนต่างชาติที่ไม่มีความเป็นญี่ปุ่นอยู่ในวิถีเลยเข้าใจมั้ยคะ? เหมือนที่เจ๊ปาคุอดีตนักพากย์อนิเมตัวท็อปรุ่นไล่ๆกับคุณฮายาชิบาระที่พากย์เรย์ในเอว่าน่ะ คนนั้นก็เกาหลีใต้แท้100%ค่ะ เพียงแต่ชอบอนิเมญี่ปุ่นรักทางนี้มาทางนี้ พิสูจน์คุณภาพจนทางโน้นเขารับมาเป็นนักพากย์อนิเม ทั้งที่เกาหลีใต้มีประเด็นกับทางญี่ปุ่นมากกว่าไทยด้วยซ้ำ


แต่ในกรณีนี้ที่เป็นเรื่องของธุรกิจแค่มีความเป็นญี่ปุ่นมันไม่พอ เพราะปัญหาที่เขามายด์ก็คือ คุณภาพงานเขียนมากกว่า ถึงได้บอกว่าถ้าคุณreitoทำยอดขายยอดวิวที่นี่ได้ดีจริงๆ เขาก็คงพร้อมโอเคเหมือนที่ลงทุนให้คนที่เขียนการ์ตูนตุลาการทมิฬ


เพราะอย่างงานของคนเขียนตุลาการทมิฬมันก็คือการเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นแบบเกาหลีที่คนเกาหลีเรียกแบบเกาๆว่ามันฮวา เหมือนที่เรียกข้าวปั้นซูชิแบบเกาๆ ว่าคิมบับน่ะแหละ และที่ได้ไปก็เพราะมีชื่อเสียงที่เกาประมาณหนึ่งและออกตัวว่าค่อนข้างชอบดูการ์ตูนดูอนิเมญี่ปุ่น การรับคนประเภทนี้เข้ามา มันก็ไม่ต่างกับได้โชว์ว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีความเหนือชั้นกว่าชาติอื่น ถึงแม้ตัวคนวาดแกจะไม่สามารถอ่านออกเขียนญี่ปุ่นได้แม้แต่น้อยก็ตาม และคนญี่ปุ่นไม่เชี่ยวภาษาอังกฤษค่ะ เกาหลีญี่ปุ่นสองชาตินี้ เผลอๆ ฐานภาษาอังกฤษง่อยกว่าไทยด้วย จากที่เคยร่วมงานมา คนญี่ปุ่นกับคนเกาที่พูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนมากคือจบนอกค่ะ หาได้น้อยมากที่แค่เรียนตามหลักสูตรปกติจะพูดอังกฤษได้

0
ELVHA 15 ธ.ค. 60 เวลา 22:31 น. 13

ชักอยากเห็นแล้วสิ


ว่าคุณเจ้าของกระทู้เขียนเนื้อหาแนวไหนยังไง


ลองมาคุยกันดูสักหน่อยไหมครับ?

1
Daddy Bear 16 ธ.ค. 60 เวลา 02:57 น. 14

ดูเป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงดีนะครับ แต่ดูเหมือนคุณยังทำอะไรไม่โดนใจหลาย ๆ อย่างเช่นกัน


อย่าลืมว่าผลงานที่อยากตีพิมพ์ เอาไปทำเป็น Animation หรือซี่รี่ย์ยาว ๆ ไม่เจ๋ง ไม่โดนใจตลาด จริง ๆ นับเรื่องได้แบบใช้ยังไม่ทันครบสิบนิ้วมือ + นิ้วเท้าเลยนะครับ


แล้วงานทีว่านั่นคือของคนญี่ปุ่นแท้ ๆ ที่ชาตินิยมจัด ๆ ด้วยนะเออ


แล้วกติกาโหดหิน 150 หน้าเอาให้จบทุกอย่างนี่ เป็นผมยอมแพ้แหะ 150 หน้าสำหรับผมมันก็ได้แค่ 15 ตอน ซึ่งนิยายเรืองล่าสุดนี่แต่งมา 11 ตอนแล้วยังไม่ถึง 5% ของเรื่องเลย เออ เอาดิ 555555 แล้ว 150 หน้าให้จบเลยนี่ยากครับ ยากที่ว่าคือไม่ได้เขียนให้จบยากนะ แต่เขียนให้มันสนุก กระแทกในคนอ่านยากมาก ๆ


กว่าจะบิ้วให้ไปถึงจุดพีค กว่าจะเจาะลึกตัวละคร กว่าจะร่ายยาวเรื่องต่าง ๆ ให้คนอ่านค่อย ๆ ทำความเข้าใจและอินไปกับโลกที่เราสร้างขึ้นมามันยากนะ ซึ่ง 150 หน้าผมบอกเลยผมทำไม่ได้ เพราะเป็นคนว่างพลอตไว้ 2 3 พลอตสำหรับปรับใช้งานให้เหมาะสมตลอด ซึ่งผมทำไม่ได้แน่ ๆ


ถ้าคุณอยากให้เค้ายอมรับจริง ๆ ก็เขียนมันไปเป็นซีรีย์แบบที่คุณว่าให้จบไปเลยสิ แล้วส่งไปเลย เอาแบบนี้ ไม่ต้องเอาแบบประกวดนะ ส่งไปเลยกี่สำนักว่าไป จำไปเจาะจงเฉพาะว่าอยากเป็น Kyoto Ani อย่างเดียวทำไม แบบนี้มันเหมือนนักเรียนพึ่งจบ ม.6 แล้วตั้งเป้าไว้ว่าจะเข้าวิศวะมหาลัยบิ๊กบึ้ม แต่ความสามารถตัวเองไม่ถึง เข้าได้แค่วิศวะม.รองลงมาแล้วไปปฏิเสธไม่ยอม จะเอาแต่บิีก ๆ อ่ะ


ถ้าคุณเจ๋งจริง เค้ากระแทกใจตั้งแต่เรื่องแรก ๆ แล้วครับ ไม่ต้องสิบเรื่องหรอก แถมการที่คุณโทรไปแบบนี้สำหรับผมถือว่าเสียมารยาทอย่างรุนแรง อย่างที่ด้านบนบอกว่า "อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล" นักเขียนญี่ปุ่นการแข่งขันดุเดือดกว่าไทยเยอะมากครับ


ทิ้งท้ายนิดนึงว่า ผมสนใจนะว่างานที่คุณมั่นใจว่ามันสนุกโคตร ๆ จนสมควรได้รับการทำซีรีย์จาก Kyoto Ani เนี่ยมันจะเป็นยังไง ลองเขียนลง Dek D สิครับ ถ้าดีจริงผมรับรองเลยว่าค่ายดัง ๆ บ้านเรายินดีต้อนรับอยู่แล้ว และคุณจะได้เครดิตชั้นยอดที่สามารถนำไปต่อยอดในอาชีพนักเขียนได้อีกนานเลยนะครับ

4
อัจฉราโสภิต 16 ธ.ค. 60 เวลา 04:53 น. 14-1

ผมว่า 150 หน้า (A4) นี่ถือว่ายาวพอสมควรแล้วนะครับ เพราะถ้าพับมันลงเป็นพ็อกเก็ตบุ๊กจะได้ราวๆ 300 หน้า นิยายหนึ่งเล่มจบพอดี หรือถ้าเป็นไลท์โนเวลก็จะได้หนาปึ้กมาเล่มหนึ่ง ดีไม่ดีต้องซอยสองเล่มด้วย (แล้วแต่ขนาดตัวอักษรและการเว้นวรรคที่ใช้ด้วย แต่โดยปกติก็ประมาณนี้)


ถ้าไม่ได้คิดจะเป็นซีรีส์ตั้งแต่แรก ความยาวประมาณนี้อาจจะอึดอัดไปนิดแต่ก็พอเขียนได้ ยิ่งเป็นไลท์โนเวล เน้นบรรยายสั้น ภาษาเบา เรื่องเดินเร็ว ตัวละครไม่มาก ยิ่งเขียนได้ง่ายขึ้น


อีกอย่าง ต้องคิดถึงกรรมการด้วยครับ ผลงานหลายสิบหรืออาจจะหลายร้อย แค่นี้ก็อ่านกันตาแฉะ


ผมว่ามันเหมือนแข่งการ์ตูนครับ เขาอยากดูไอเดียเริ่มต้น ดูการใช้ภาษา/ลายเส้น ถ้าถูกใจเขายืดเองได้ แต่อาจจะหลังจากตัดนั่นตัดนี่ปรับไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว เหมือนหมัดดาวเหนือที่ตอนส่งเรื่องสั้นเป็นการ์ตูนวัยรุ่น แต่ตอนเขียนจริงเป็นดิสโทเปียเลือดสาด เป็นต้น


อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าโดนบังคับปรับ เจ้าของกระทู้จะว่ายังไง มั่นอกมั่นใจในพล็อตตัวเองขนาดนี้

0
Daddy Bear 16 ธ.ค. 60 เวลา 15:24 น. 14-2

พอดีพลอตของผมมันยาวน่ะสิครับเลยบอกว่า 150 หน้าทำให้จบไม่ได้แน่ ๆ


เว้นแต่จะตัดช่วงก่อนหน้าช่วงพีคออกไปจนหมดนั่นแหละ 5555

0
อัจฉราโสภิต 16 ธ.ค. 60 เวลา 15:27 น. 14-3

หมายถึงถ้าวางมันเพื่อ 150 หน้าตั้งแต่แรก มันจะไม่ได้ยากขนาดนั้นครับ


ถ้าวางมหากาพย์ ไม่ได้คิดว่าจะให้จบภายในนั้น ก็ต้องยากอยู่แล้ว

0
ต่วยดำ 16 ธ.ค. 60 เวลา 23:34 น. 14-4

150 หน้าเอ4สำหรับงานเขียนญี่ปุ่นถือว่าไม่เยอะหรอกค่ะ ถือว่าจำนวนหน้าตามมาตรฐานงานเขียน เพราะเขาวัดจากวิธีการเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น เนื่องจากงานเขียนของเขาจะนับตัวอักษรแบบจากบนลงล่าง หน้าหนึ่งพ็อตเก็ตบุ๊คของเขาจะมีการล็อกจำนวนตัวอักษรไว้ที่ประมาณหน้าละ 200 ตัวอักษรค่ะ แต่ถ้าเป็นพวกเล่มใหญ่ ขนาดอาจจะขยายไปได้ถึง 400 ตัวอักษร แต่ปกติแล้วจะตีที่หน้าละประมาณ 200 ตัวอักษร


และเนื่องจากภาษาเขามีการใช้คันจิในการรวบคำและเน้นการเขียนที่เรียบง่ายเข้าใจง่ายได้ใจความแบบสามารถรวมประโยคได้ 150 หน้าของเขาของเขาก็จะได้ประมาณ 300 หน้านิยายพ็อตเก็ตบุ๊คไทยปกตินั่นแหละค่ะ เพราะของญี่ปุ่นไลท์โนเวลเองเล่มหนึ่งก็อยู่ประมาณ200หน้า ถ้าแค่สามร้อยหน้ายังจบเรื่องไม่ได้ เอาจริงๆ ก็จัดว่ามีความย้วยเกินสำหรับนิยายที่ไม่ใช่เขียนแบบลงออนไลน์ให้คนค่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ นะคะ

0
นักเขียนคนหนึ่ง 16 ธ.ค. 60 เวลา 12:28 น. 16

คุณมองจุดประสงค์ของการประกวดผิดไปนิดนะผมว่า เขาไม่ได้หาพล็อตสนุกๆ นิยายสนุกๆ เสียทีเดียว แต่เขาหานักเขียนที่มีฝีมือ คุณจะเอาผลงานชิ้นเอกของคุณไปวางให้เขาซึ่งไม่ได้รู้จักอะไรคุณเลยแล้วเขาจะรับหรอไง กฏเขาก็มีอยู่ คุณไม่ยอมรับแบบนี้และยิ่งทำให้เขาไม่สนใจคุณเข้าไปอีกเพราะคุณไม่เคารพพวกเขา แล้วเขาจะอยากทำงานร่วมกับคุณหรือไง คิดถึงคนอื่นบ้าง พอจะเข้าใจว่าคุณทุ่มเทมาก อยากนำเสนอสิ่งแปลกใหม่ แต่บางเรื่องมันก็มีขั้นตอน มีก่อนมีหลัง มีหนักมีเบา คุณจะเข้าประเด็นหลักเลยได้ไงหากคุณไม่เข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ เขาก่อน

เหมือนคนจะเสนอขายสิ้นค้า คุณจะขายของดีๆ ราคาแพงที่ข้างถนนไหม ตะโกนขายแหกปากร้องออกไป มันจะน่าฟังไหม ของดีๆ ที่คุณมั่นใจเอาออกมาตะโกนขายเหมือนของราคาถูกๆ แทนที่จะเริ่มต้นเสนอตัวเข้าไปก่อน เพื่อเปิดการขายจากนั้นนั่งขับเข่าคุยกันทำให้เขายอมรับ ไม่ใช่แค่ฝืนยัดเยียดสินค้าให้เขาท่าเดียว

วิธีการจัดงานประกวดนี้ก็เพื่อหานักเขียน ไม่ใช่ผลงาน เขาจำกัดจำนวนหน้าเพื่อหาคนมีฝีมือ


เคยได้ยินไหมว่าการแข่งทำอาหาร ยิ่งเป็นเมนูที่ทำได้ง่ายๆ เท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้อร่อยมากๆ ได้ยากเท่านั้น บางครั้งเขาจัดแข่งขันระดับประเทศยังมีให้แข่งทำอะไรง่ายๆ เลย นี่แหละที่เขากำลังทดสอบความสามารถจริงๆ


จำนวนหน้าที่จำกัดนี้เองก็เหมือนกับจัดกัดมาเพื่อมองหาฝีมือจริงๆ ของนักเขียน

3
อัจฉราโสภิต 16 ธ.ค. 60 เวลา 14:26 น. 16-2

หนึ่ง เพราะวัตถุดิบน้อย จึงไม่ได้แข่งที่วัตถุดิบ แต่แข่งที่วิธีการปรุง


สอง เพราะใครๆก็ทำได้ วิธีการไม่ซับซ้อน ดังนั้นถ้าโจทย์มาง่ายแต่ทำให้อร่อยและ/หรือแปลกใหม่ได้ ก็เท่ากับเก่งครับ


ยิ่งถ้าจำกัดเครื่องปรุงและวัตถุดิบด้วยแล้วยิ่งแข่งกันง่ายและทำยาก


ยกตัวอย่างไข่เจียว คุณเอาปูอลาสก้าเนื้อแน่น ไข่เลี้ยงด้วยวิธีพิเศษไข่แดงใหญ่มาก อัดๆกันเข้าไปถ้าไม่ได้ทำพลาดหรือไร้ฝีมือจริงๆ ยังไงมันก็ออกมาอร่อย แต่ลองจำกัดเครื่องปรุงให้เหลือแค่ไข่ ซอส น้ำมะนาว น้ำ เกลือ เครื่องปรุงเบสิกทั้งหลายดูครับ ใครที่ใช้ของแค่นี้แล้วทำออกมาได้อร่อยเด่นกว่าไข่เจียวทั่วไป แปลว่าฝีมือเขาดี และถ้าให้วัตถุดิบแพงๆ เขาไป ในเมื่อฝีมือพื้นฐานดีอยู่แล้วเขาก็มีแนวโน้มจะใช้วัตถุดิบนั้นๆ ทำอาหารออกมาได้อร่อยเด่นมากขึ้น (ไม่แน่เสมอไป แต่โดยทั่วไปมักจะเป็นแบบนั้น)

0
Cloudy 16 ธ.ค. 60 เวลา 21:28 น. 18

เห็นใจในความพยายาม ทว่าตรรกะยัง LOSER

ขออภัยที่ต้องกล่าวตรง ๆ แต่มันเป็นความจริง


ส่วนตัวทำงานกับสายนี้ของบริษัทญี่ปุ่นค่ะ

เขาไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อชาติแน่นอน หากมีมาตรฐานตามที่กำหนด และสามารถทำตามกติกานโยบายของเขาได้

3
llkawaiill 16 ธ.ค. 60 เวลา 21:36 น. 18-1

ทำงานสายนี้เหรอ จะถามว่าที่ไหน อะไรยังไงได้ไหมนะ(จะเสียมารยาทรึเปล่า)


พอดีตอนนี้ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ด่วนๆเลย


พอจะมีช่องทางให้ติดต่อได้ไหม?

0
Cloudy 16 ธ.ค. 60 เวลา 21:42 น. 18-2

บริษัทเกมแห่งหนึ่งที่มีบริษัทแม่เป็นสายนี้ค่ะ คาบเกี่ยวกันอยู่

HQ อยู่โตเกียวค่ะ บอกได้เท่านี้

เข้ามาเพราะคนรู้จักเอามาให้ดู ไม่สะดวกให้ใครติดต่อสอบถามเรื่องอยากทำงานด้านนี้ค่ะ

0
Passerby 16 ธ.ค. 60 เวลา 23:08 น. 19

เขียนลงนาโร่ดิครับ ถ้างานดีมีความนิยมสูงเดี๋ยวสนพ.มาติดต่อขอตีพิมพ์เอง

0
SleeplessWriter 17 ธ.ค. 60 เวลา 21:13 น. 20

อยากส่งงานให้เขา แต่อยากใช้วิธีของเรา ... แถมยังจะเกณฑ์ให้คนอื่นๆ ช่วยกันกดดันเขาอีก!?

พี่มองว่าตรรกะคุณแปลกพิกลนะคะ



และอีกอย่าง "ส่งเดช" เขียนแบบนี้ไม่ใชหรอคะ

0