กว่าจะผ่านการพิจารณาจากสนพ.ต้องส่งกันกี่รอบคะ?
ตั้งกระทู้ใหม่
คุณต้องการจะลบกระทู้นี้หรือไม่ ?
10 ความคิดเห็น
เราส่งไปสามเรื่อง ไม่ผ่านทั้งสามเรื่อง แต่ยังไม่ยอมแพ้ค่ะ คาดว่าจะส่งไปอีกสักสองเรื่องแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ เลือกทางนี้แล้วได้แต่สู้เท่านั้นค่ะ 5555555555555
ดีแล้วค่ะ อย่ายอมแพ้นะคะ!!!
ส่งไป 2 ที่ไม่ผ่านทั้งสองที่ สุดท้ายมี สนพ. อีกที่มาติดต่อขอซื้อไปตีพิมพ์เองครับ แต่นั่นเมื่อก่อนนะ ตอนนี้น่าจะยากกว่านั้นแล้ว
จริงค่ะ ตอนนี้น่าจะยากแล้ว ขอบคุณมากนะคะ
ในช่วงที่ตลาดหนังสือกำลังบูมมาก ส่งมากสุดก็สามสนพ (ไม่รวมแก้ต้นฉบับแล้วส่งกลับไปมา) แต่นี่คงไม่สามารถใช้อ้างอิงได้เท่าไรเพราะตลาดนี้กำลังอยู่ในขาลงอย่างเห็นได้ชัดน่ะค่ะ
ทำไมถึงขาลงคะ แล้วช่วงไหนถึงจะขึ้นอีกคะ ขอความรู้หน่อยค่ะ
ตอนนี้หนังสืออยู่ในช่วงขาลงข้ามปีเลยค่ะ สังเกตจากนิตยสารหลายหัวที่อยู่คู่กับคนไทยมานานอย่างขวัญเรือน คู่สร้างคู่สมจะปิดตัวในเดือนนี้ สำนักพิมพ์ก็ปิดตัวกันเยอะค่ะ แต่เชื่อว่าต้องมีวันที่หนังสือกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ตอนนี้คนในวงการหนังสือก็ไม่ได้นิ่งเฉย หลายฝ่ายเริ่มขยับกันแล้ว มันก็น่าเศร้าค่ะที่เห็นนิตยสารที่ตัวเองเคยตีพิมพ์งานด้วยปิดตัวลง แต่เวลาเปลี่ยนโลกก็เปลี่ยนค่ะ ต้องทำใจ 555 เรื่องนิยายจะผ่านไม่ผ่าน การตลาดก็เกี่ยวข้องมาก ๆ เหมือนกัน ถ้านิยานเราโดนใจบก. แต่ไม่โดนใจทีมการตลาด ยังไงก็จบค่ะ
โหหหหหห ล้ำลึกมากเลยนะคะ อยากนี้ก็คงต้องรอไปก่อน หรือไม่ก็ทำของตัวเองให้ดีที่สุด ขอบคุณมากนะคะ ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ
มีคนช่วยตอบเรียบร้อย ขอบคุณนะคะ
ขอเสริมต่อแล้วกันนะคะ ที่บอกว่าตลาดหนังสืออยู่ในขาลง หมายถึงในแง่ที่เป็นรูปเล่มนะคะ แต่หากมองภาพกว้างจริงๆ ความต้องการยังอยู่เหมือนเดิม (หรืออาจจะน้อยลงบ้างตามจำนวนประชากรเกิดใหม่) แต่รูปแบบการเสพเปลี่ยนไป จากเป็นเล่มๆ กลายเป็น Content ในสื่อดิจิตอลแทน
รูปแบบมีตั้งแต่สร้าง Content ในเพจแล้วได้เงินจากการโฆษณาแทน (คล้ายๆ กับหนังสือพิมพ์แจกฟรีที่รายได้อยู่ที่โฆษณา ไม่ได้อยู่ที่คนเสพ Content) หรือสร้างเป็น Content ในเวบไซต์แล้วให้คนซื้ออ่านเอง อย่างเวบไซต์ Dek-D ที่ใช้ Coin ในการซื้ออ่านนิยายในเวบ หรือสร้างเป็น E-book กับผู้ให้บริการวางขาย อย่างอุ๊คบี Meb ฯลฯ
ตอบคำถามว่าทำไมถึงขาลง
ตอบสั้นๆ เพราะผู้ซื้อสามารถพบผู้ขายได้โดยตรง พ่อค้าคนกลางก็เลยไร้ความหมายค่ะ (พ่อค้าคนกลางคือ สำนักพิมพ์ สายส่ง ร้านหนังสือ มาเป็นสายโซ่เลยแหละ) ส่วนรายละเอียด ขี้เกียจพิมพ์
สรุปก็คือ สำนักพิมพ์มีทางเลือกอยู่ไม่กี่ทาง ถ้ายังคงต้องการทำหน้าที่เป็นผู้คัดสรรต้นฉบับ หรือรวบรวม Content มาลงในแหล่งเดียวเหมือนธุรกิจรูปแบบเดิม ก็ต้องปรับตัวในเรื่องบริหารสต็อคและกระแสเงินสดอย่างยิ่ง หรือไม่อย่างนั้น ต้องหาค้นหาพื้นที่ให้ตัวเองใหม่ว่าจะทำยังไงให้พ่อค้าคนกลางอยู่ได้ เป็นแค่ผู้คัดสรรต้นฉบับอย่างเดียวไม่ได้แล้ว อาจต้องมีฟังก์ชั่นอื่นด้วย หรือไม่อย่างนั้นก็ปิดตัวไปแล้วไปทำอย่างอื่นดีกว่า
ตัวอย่างการปรับตัวของสำนักพิมพ์ เท่าที่เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของสำนักพิมพ์หนึ่งที่ยังคงมีกำไรอยู่ได้ (เป็นสำนักพิมพ์ขนาดเล็กที่เจาะตลาดค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม) หลักๆ เขาใช้วิธีขายเองประมาณ 80% - 90% โดยที่ประมาณ 50% ขายได้จากงานหนังสือและที่เหลือคือขายในเวบตัวเอง (ดังนั้นเจ้า 80% - 90% นี้ได้เป็นเงินสด) ส่วนอีก 10% ส่งขายตามร้าน (เป็นเครดิต คือ ขายของไปก่อน แต่กว่าจะได้เงินมาก็อีกสัก 6 เดือน แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ผลิตงานถัดๆ ไป)
ช่วงไหนจะขึ้นอีก?
เกริ่นไว้ตอนแรกแล้วว่า หนังสือเล่มอาจจะหายไปจากตลาด แต่ Content ยังคงเป็นที่ต้องการของนักอ่านอยู่ ดังนั้น นักเขียนยังมีโอกาสค่ะ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของสื่อรูปเล่มอีกแล้วเท่านั้นเอง และโอกาสที่จะได้ฉายแสงอาจจะหนักหนาสาหัสกว่ารูปแบบเก่าหรือเปล่าไม่แน่ใจนะ
สมมุติแบบหยาบๆ ว่ามีนักเขียนประมาณ 100 คนส่งไปแล้วสำนักพิมพ์ A เขาแฮปปี้ก็จะตีพิมพ์ให้ หนังสือก็ออกมา สำนักพิมพ์ A มีคนเขียนที่ผ่านพิจารณาทั้งหมด 10 คน ดังนั้นสำนักพิมพ์ A ส่งเรื่องเข้าสู่ตลาด 10 เล่ม
ในตลาดมีสำนักพิมพ์ทั้งหมด 20 สำนักพิมพ์ มีนักเขียนที่ละ 10 คน ดังนั้นมีนักเขียนออกสู่ตลาดให้ผู้บริโภคเลือกสรร 200 คน มีสัก 20 คนที่ฉายแสงคิดเป็นโอกาส 10%
แต่เมื่อเข้าสู่รูปแบบในตอนนี้ที่นักเขียนต่อตรงกับนักอ่านเลย สมมุติว่าเดิม 100 คนส่งเรื่องให้ 1 สำนักพิมพ์และแต่ละคนส่งแค่ที่เดียวเท่านั้น ทั้งหมดมี 20 สำนักพิมพ์ ดังนั้นในตลาดมีนักเขียนทั้งหมด 2,000 คน
นักเขียนทั้ง 2,000 คนสร้าง Content ของตัวเองสู่ผู้อ่าน และมีคนได้ฉายแสง 20 คน คิดเป็นโอกาส 1%
ที่จริงวิธีนี้เปรียบเทียบได้แย่มาก (เพราะจำนวนผู้อ่านที่เข้าถึงได้ย่อมมากขึ้นกว่ารูปแบบเก่า มันไม่ควรคิดแค่ 20 คน แต่เอาแบบนี้ไปก่อนนะคะ) แต่มันช่วยทำให้เห็นภาพว่านักเขียนปัจจุบันมีการแข่งขันสูงแค่ไหน ถ้าปัจจัยทุกอย่างเหมือนเดิมค่ะ
เป็นไปได้มากว่าสูงสุดคืนสู่สามัญในกาลถัดไป เมื่อไรที่ดิจิตอลเข้ามามากจนเกินไป คนจะเริ่มขวนขวายหาระบบอนาล็อก และเมื่อไรที่กลับคืนสู่สามัญ น่าจะปรากฏตลาดเฉพาะกลุ่มที่เรียกราคากับสิ่งนี้ได้ เพียงแต่ต้องคอยดูว่าจะใช้เวลาอีกกี่ปีกว่าจะถึงตอนนั้น
กว่าจะรอจนกระทั่งมันกลับมาใหม่ นักเขียนปัจจุบันคงต้องไหลตามกระแสในตอนนี้ไปก่อนแหละค่ะ
และเท่าที่ดูในตอนนี้ สำนักพิมพ์ต่างๆ กำลังกระโดดเข้าแย่งก้อนเค้กของหนังสือแปลจีนอย่างเอาเป็นเอาตาย สำนักพิมพ์น้อยแล้ว แถมยังหันไปมองเรื่องต่างประเทศกันใหญ่ ยิ่งเหลือพื้นที่ให้กับนักเขียนไทยน้อยลงไปอีก อาจจะหวังพึ่งโอกาสที่ตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์ยากอยู่ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนน่าจะดีกว่าน่ะค่ะ
สู้เขานะคะทาเคชิ สมรภูมินี้ช่างดุเดือดยิ่งนัก TvT
ปล. ทั้งหมดเป็นแค่ความคิดส่วนตัวค่ะ เราไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ (ไม่เกี่ยวกันเลยเหอะ) จึงเป็นเพียงมุมมองของคนไม่เกี่ยวข้องที่มองเข้าไปในอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ไม่ทราบในปัจจัยและรายละเอียดลึกๆ ที่อาจทำให้ความคิดทั้งหมดเปลี่ยนไป (ถ้าตรงไหนที่เรามองแล้วไม่เข้าเค้า ท้วงติงได้นะคะ)
ขอขอบคุณคุณเป่ยหนิงสำหรับการขยายความค่ะ
ถ้าหากจะถามว่าหนังสือรูปเล่มยังมีคนอ่านไหม คำตอบคือมีค่ะ แต่ต้องยอมรับว่าหนังสือรูปเล่มกำลังแผ่วจริง ๆ มีไม่กี่สนพ.เท่านั้นที่ยังยืนหยัดได้ ชนิดว่าก็ยังตีพิมพ์หนังสือต่อไป ไม่ปิดตัวลงเหมือนที่อื่น แต่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการพิมพ์ใหม่เยอะอยู่เหมือนกันอย่างที่บอกค่ะ ไม่ผ่านการตลาดก็จบ สนพ.คือนักธุรกิจ ทำแล้วขาดทุนแน่นอนเขาก็ไม่ทำ นักเขียนที่ลงอีบุ๊กก็ได้ส่วนแบ่งมากกว่าส่งสนพ. แต่เชื่อว่าคงจะมีสักวันที่หนังสือเล่มจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แต่ก็คงจะอีกนานละค่ะ
กระจ่างเลย ขอบคุณนะคะ สมรภูมินี้ดุเดือดจริงๆ
จขกทจะรอวันที่หนังสือกลับมารุ่งเรืองนะคะ เพราะชอบแบบหนังสือมากกว่าค่ะ อ่านแล้วสบายตา
ส่่งไปหลายรอบจนขี้เกียจนับแล้วค่ะ ไม่เคยผ่านเลย ต้อแต้ 555555
ยังไงก็สู้ต่อไปนะคะ วันหนึ่งอาจเป็นของเรา~
สู้ต่อไปค่ะ อย่าย่อท้อนะคะ ถ้าสู้โอกาสคือ 50% แต่ถ้าท้อ โอกาสคือ 0 นะคะ
สู้ๆน้าาา เราเป็นกำลังใจให้ นึกซะว่าเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้แก้ไขผลงานให้ดีกว่าเดิมค่ะ^^
ขอบคุณมากนะคะ สู้ๆเช่นกันนะคะ จะมาพัฒนางานไปด้วยกันค่ะ!
3 เรื่องแรก เรื่องละ 3-4 ที่ มีส่งไป สนพ ที่เขาหยุดพิมพ์แล้วด้วยค่ะ
พีคไปอี้ก ตอนส่งเมลล์ไปถามผลการพิจารณา
นับครั้งที่ลองรีไรท์แล้วส่งซ้ำที่เดิมด้วยค่ะ
เรื่องที่ 4 ประมาณ 2-3 ที่ รวมๆ แล้ว 10+ ครั้งค่ะ
โหหหหห ยังไงก็สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
สมัยก่อนเคยส่งแล้วผ่าน แต่กว่าจะผ่านก็ 6-7 แห่งเห็นจะได้ ทางนั้นส่งสัญญามาให้เซ็น ต่อมาไม่นานสำนักพิมพ์ปิดตัวไป ผลงานก็เลยไม่ได้ลง เศร้ากันไป
สมัยนี้ไม่ค่อยจะว่างเสียแล้ว คิดการใหญ่เหมือนเดิมไม่ได้ เข้าใจว่าคงยากกว่าเดิม แต่ถ้าไม่คิดฝันวันของเราคงไม่มาใช่ไหมครับ
ถูกต้องที่สุดเลยค่ะ! สู้ต่อไปนะคะ เชื่อว่าวันของคุณต้องมาถึง
อีกนิดก็จะเกินสถืติเจเคแล้วจ้า
โอ้โหหหหหห งั้นถ้าได้ตีพิมพ์หนังสือก็ต้องดังเป็นพลุแตกเหมือนเจเคแน่เลยค่ะ สู้ต่อไปนะคะ
แค่ส่งก็ยังไม่กล้า...
ต้องกล้าเท่านั้นค่ะ มั่นใจเข้าไว้ค่ะ ถ้าได้ตีพิมพ์ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ก็ถือว่าได้พัฒนางานค่ะ
เราส่งไปสองรอบค่ะ สำนักพิมพ์แรกก็สองเดือน แต่ไม่ผ่าน ทางสำนักพิมพ์อธิบายเหตุผลอย่างสุภาพนะคะว่าทำไมจึงไม่ผ่าน คือไม่ตรงกับแนวทางสำนักพิมพ์ จึงเลือกส่งไปอีกที่ คราวนี้ประมาณห้าวันค่ะ เขาก็บอกว่าสนใจพิมพ์ จริงๆ มองว่าถ้าเราเลือกส่งให้ตรงกับแนวของสำนักพิมพ์ก็จะมีโอกาสผ่านสูงนะคะ
แต่ก่อนจะส่งไปนี่ ก็ต้องรีไรต์และตรวจแก้คำผิดจนตาบวมเลย ฮ่าๆ
ยังไงก็เอาใจช่วย และมาพยายามไปด้วยกันค่า
ขอบคุณมากนะคะ เดี๋ยวคงจะต้องดูแนวไปก่อน ขอบคุณที่แชร์นะคะ
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?