Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

สับเปลี่ยนอารมณ์โคตรเร็ว

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
            กล่าวทักทายทุกท่านที่ผ่านเข้ามาอ่าน หลังจากที่ประกาศพักไปทำนิยายส่งประกวด ซึ่งตอนนี้ก็กำลังเร่งทำอยู่ เเต่ในฉากนี้รู้สึกเหมือนมันจะมีปัญหานิดหน่อยที่อารมณ์ของตัวละคร มันจะดูสับเปลี่ยนไปเร็วมาก เรียกได้ว่าเเค่ฉากในห้องนี้ก็ดูเเทบจะได้ครบทุกอารมณ์ เลยอยากจะขอฟังคำเห็นนักเขียนนักอ่านท่านอื่นๆดูบ้างว่ารู้สึกยังไงกับฉากตรงนี้

            “เดี๋ยวสิแร็ค! นายคิดจะทำอะไรน่ะ พวกเราเราจะไปที่ไหน”
    หญิงสาวพยายามยับยั้งชายหนุ่มที่เดินกำลังกะเผลก พลางค่อยๆฉีกผ้าพันแผลออกทีละน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ปริปากตอบคำถามของเธอแม้แต่น้อย เอาแต่จ้ำอ้าวเดินไปที่ประตูทางออกลูกเดียว
            “อั่ก!”
            “โอ้พระเจ้า! แร็คเป็นอะไรหรือเปล่า!”
    ชายหนุ่มล้มลงกับพื้นเพราะฝืนสังขารมากเกินไปจนไม่อาจจะประคองมันไว้ได้อีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงกัดฟันสู้โดยใช้ขาข้างที่มีแรงเยอะที่สุดยันตัวเอาไว้กับพื้นให้อยู่ในท่าคุกเข่า
          “เซฟีร่า... ถ้าพวกเรารีบหนีไปตอนนี้อาจจะยังทันเวลา มันอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าเราหายไป”
            “แร็ค...”
            “ฉันรู้ลู่ทางที่เราจะหลบให้พ้นสายตายามเฝ้าประตูก่อนจะออกจากเมือง...”
            “แร็ค”
            “ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันสบายดี ยังสบายดีเหมือนตลอดที่ผ่านมา... เอาล่ะ... ช่วยฉัน...”     
            “แร็คเนโซ!”
             ผัวะ!
    หญิงสาวที่พยายามช่วยพยุงร่างของเขาให้ลุกขึ้นยืน ในตอนนี้เธอเลือกที่จะตบหน้าอีกครั้งเพื่อเตือนสติเขาหลังจากที่เอาแต่ดันทุรัง ทำตามอำเภอใจโดยไม่ฟังสิ่งใดๆ
            “ฉันเคยคิดนะ... ว่าลึกๆแล้วที่นายทำตัวเป็นเด็กตลอดมา ก็เพื่อจะซ่อนความรู้สึกด้านลบต่างๆเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น... ไม่ว่านายจะกังวลหรือหวาดกลัว นายก็มักจะ... ยิ้มร่าด้วยความมั่นใจอยู่เสมอ... แต่สุดท้ายแล้วฉันคิดผิด... นายมันก็แค่เด็กที่ไม่รู้จักโต... ฉันมองนายผิดไปจริงๆ...”
          “หึ... ทำเป็นเรียกร้องให้ฉันสัญญิงสัญญา... บอกให้ฉันรักษาชีวิตเอาไว้ แล้วตัวเธอล่ะเซฟีร่า...”
    ขณะที่หญิงสาวทิ้งชายหนุ่มไว้เบื้องหลังและกำลังจะออกจากห้องผ่านทางประตู แต่แล้วเธอก็ต้องหยุดชะงักให้กับคำลงท้ายประโยคที่มันสร้างความรู้สึกตะขิดตะขวงในใจ เธอจึงหยุดพักหายใจชั่วขณะแล้วเริ่มพูดคำในใจออกไปพร้อมๆกับการปล่อยลมหายใจ
         “แสงจันทร์หรรษา...”
          “หากข้าผิดสัญญา...”
          “จะต้องยอมกินเข็ม หนึ่งพันเล่ม”    “จะต้องยอมกินเข็ม หนึ่งพันเล่ม”
    ทั้งคู่ต่อประโยคบทกลอนกันคนละหนึ่งท่อน ก่อนจะลงท้ายพร้อมๆกัน หญิงสาวปล่อยมือจากกลอนประตูแล้วหันหลังกลับมาหาชายหนุ่มที่ค่อยๆ พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง พลางฉีกผ้าพันแผลที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ตั้งแต่ส่วนล่างขึ้นมาด้านบน แต่ก่อนที่จะได้พบหน้ากันอีกครั้ง เพียงเศษเสี้ยววินาที เธอสังเกตเห็นหยดน้ำซึมออกมาผ่านเนื้อผ้าจากบริเวณดวงตาเล็กน้อย
            “นายยัง... จำมันได้...”
            “เออ... แล้วฉันก็คิดว่าเธอน่าจะยังจดจำมันได้ ซึ่งมันก็เป็นจริง... แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะยอมกินเข็มพันเล่มแล้วสินะ... หรือไม่ก็ตอนนั้นเธอคงจะแอบไขว้นิ้วถึงกล้าบิดเบือน... หรือไม่ก็แค่ทำเป็นเหมือนมันเป็นลมปากไร้น้ำหนักที่ไม่สำคัญใช่ไหม... เธอถึงทำกันได้ลงคอ... ทั้งๆที่เป็นคนพูดเองแท้ๆ... วันนี้หายไปไหนซะล่ะ... สัญญาที่บอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...”
          “นั่นนาย... ร้องไห้เหรอ...”
          “ไม่ได้ร้องเฟ้ย! ก็แค่ผ้าพันแผลมันเคืองตาเท่านั้นเอง!”
    ชายหนุ่มตะโกนก้องกลับไปหาหญิงสาวพร้อมรีบปาดร่องรอยหยดน้ำบนใบหน้า แม้จะมีนัยน์ตาสีแดงใสๆเป็นปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้เหมือนมันจะแดงหนักกว่าเดิม เมื่อความจริงถูกเปิดโปงให้เห็นใบหน้าเนียนๆเหมือนกับเด็ก พอๆกับขนาดตัวของเขาที่เมื่อยืนเทียบกันตรงๆ ก็มีความสูงถึงเพียงแค่หัวไหล่เท่านั้น ประกอบด้วยท่าทางที่พยายามเก็บซ่อนน้ำตาอย่างสุดชีวิต ก็มากพอที่มันจะทำให้เธอเผลอหัวเราะลั่นออกมาในทันใด
            “อุ๊ป! หึๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ ให้ตายสิ! ขอโทษทีนะที่เสียมารยาท แต่... ฉันก็ไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงยังมีหน้าหัวเราะออกมาในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้”
          “ช่างหัวมารยาทมันเถอะ... ถ้าเธอยังยิ้มได้ ฉันก็มีความสุขแล้ว...”
            “แร็ค...”
            “เธอจะ... เธอจะไม่หนีไปกับฉันแน่นะ...”
    หลังจากที่ความบาดหมางเริ่มสมานกันอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ขอยื่นข้อเสนอเดิมแก่หญิงสาว พลางผายมือไปหาเธออย่างช้าๆ แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็มีแต่เพียงการปฏิเสธเท่านั้น เธอส่ายหน้าพร้อมดันมือของเขาให้กลับคืนไปด้วยรอยยิ้มปนความทุกข์ใจ
            “ต่อให้ต้องกินเข็มพันเล่มก็คงต้องทำ... ฉันอธิษฐานอยู่ทุกวันต่อเทพเจ้า... ขอให้ฉันเกิดมาเป็นแค่คนธรรมดา... ไม่ใช่เจ้าหญิง ไม่ใช่ราชินี ไม่ใช่คนพิเศษที่ต้องเป็นผู้นำของคนทั้งอาณาจักร... ออกผจญภัยไปทั่วโลก พบปะมิตร ฉะกับศัตรูแบบที่เราวาดฝันกันเอาไว้นับไม่ถ้วน... น่าเสียดายที่เมื่อโตขึ้นแล้วมันไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราคาดหวังสักนิด... แร็ค... ฉันขอโทษที่รักษาสัญญากับนายไม่ได้... เวลานับจากนี้ฉันจะต้องอยู่ในปราสาทเท่านั้นเพื่อซักซ้อมพิธีราชาภิเษก... ถ้าอยากจะบอกลาล่ะก็...”
    ชายหนุ่มรีบโผเข้ากอดหญิงสาวในทันทีที่อ้อมแขนของเธอกางออกโดยไม่สนใจว่าเธอจะพูดจบประโยคหรือไม่ ทั้งๆที่มันควรจะเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย แต่ก็มันกลับเป็นการโอบรับไออุ่นจากกันและกันโดยปราศจากความโศกเศร้า ราวกับทั้งคู่ ไม่ได้รู้สึกว่านี่จะเป็นการจากลาแม้แต่น้อย

แสดงความคิดเห็น

2 ความคิดเห็น

เจ้า(แมว)ขาว 22 มี.ค. 61 เวลา 11:19 น. 1

กำลังเดิน ครับไม่ใช่ เดินกำลัง


นายคนนี้มีขากี่ข้างครับ ควรใช้ว่า ขาอีกข้าง หรือ ขาข้างที่มีแรงมากกว่า

ที่สุด มักใช่กับสิ่งที่มีจำนวนมากตั้งแต่สามขึ้นไปครับ


... ใช้เยอะไปรึเปล่า ถ้าพูดเว้นนิดเดียวสั้นๆ ใช้เว้นวรรคก็พอ


อ่านแล้วไม่เข้าใจว่ามันน่าหัวเราะตรงไหน น่าจะรู้สึกแปลกใจมากกว่า

ต่อให้มันตลกแต่ถ้าอารมณ์ไม่ให้ก็หัวเราะออกมาทันทีไม่ได้หรอก

1
นายถังนำ้ 22 มี.ค. 61 เวลา 11:51 น. 1-1

ขอบคุณครับ คือ มันมีเหตุการณ์ที่เหมือนกันก่อนหน้านี้ ตรงที่ ตอนเเรกฝ่ายชายเเซวหญิงว่า "นั่นเธอร้องไห้เหรอ"


เเล้วพอมาตอนนี้ กลายเป็นฝ่ายชายโดนถามย้อนกลับซะเอง มันก็เลยทำให้ไปจี้เส้นเธอเข้าให้

0
ตีสี่ 22 มี.ค. 61 เวลา 12:12 น. 2

สำหรับเรา เป็นช่วงเนื้อหาที่ไม่รู้สึกอะไรเลย จขกท บอกว่าอารมณ์ตัวละครดูสับเปลี่ยนเร็วมาก เรารู้สึกว่าปกติ เพราะไม่มีย่อหน้าไหนที่ต้องอินกับเนื้อเรื่อง มันเลยให้ความรู้สึกว่าก็เขียนดำเนินเรื่องธรรมดา

1