Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

อายุ 18. คนเดียว. ในฮ่องกง.

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
18.12.18 [DAY 1]

เช้ามืด_สาธร_กรุงเทพฯ

ตื่นมากับฟ้าสีนํ้าเงินเข้มที่คอนโดย่านสาธรแล้วก็คิดกับตัวเองว่า…โอ้ย ง่วงฉิบ คว้าโทรศัพท์มาเล่นซักพักก็ตัดสินใจที่จะลุกออกจากเตียง ไม่ใช่เพราะอะไร นอกไปจากว่ามันกำลังจะสายแล้ว เดินเข้าห้องนํ้า พร้อมกับปรับอุณหภูมินํ้าให้เข้ากับตัว ถ้าเย็นเกินไปอาจจะวิ่งกรี้ดออกจากห้องได้ เดี๊ยวเค้าจะว่าบ้าเอา 

ออกมาจากคอนโดก็ตรงไปที่ท่าเรือสาธร-ตากสิน คิดในใจ จะทันไปขึ้นเครื่องไหมวะ ต้องกลับไปบ้านก่อนที่จะไปสุวรรณภูมิ นั่งไปได้ครึ่งทาง เรียบร้อย…ฉิบหายสิจะอะไร เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าลืม sweater สุดที่รักไว้ที่คอนโด ก็คิด ถ้านั่งย้อนกลับไปแล้วย้อนกลับมาอีก ก็เสียเวลาพอตัว สรุปก็คือกลับบ้านอยู่ดี


ช่วงสาย_บางกรวย_นนทบุรี
ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้าคราคร่าไปด้วยผู้คนที่จะเดินทางเข้าเมือง มองออกไปจากท่าเรือ ป๊าก็นั่งรออยู่กับจักรยานไฟฟ้าประจำบ้าน ซ้อนท้ายป๊าไปเหมือนตอนที่เคยอยู่ที่โรงเรียน กลับบ้านเหมือนที่เคยทำมาตลอด

พอมาถึงบ้านก็เห็นบรรยากาศเดิมๆที่เคยเห็นมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ประตูรั้วใหญ่สีเหลืองทองสำหรับรถยนต์กับประตูเล็กสีนํ้าเงินเข้ม เดินเข้าไปก็จะเป็นสวนเล็กๆ มีเสียงน้ามาจากนํ้าพุลายหินอ่อนสีดำของบ้าน ลึกเข้ามาอีกหน่อยเป็นระเบียงบ้านที่มีคุณป้าซักผ้าอยู่ เสียงที่คุ้นเคยก็กล่าวทัก “คิดถึงที่สุดเลยยยยย” เปิดประตูกระจกเข้าไปก็เจอคุณตาอ่านหนังสือพิมพ์ประจำตัวอยู่ คำแรกที่ทักก็คือ “มาเช้าเชียว” แอบคิดในใจว่าคุณตาคิดกับเราว่าเราตื่นสายรึปล่าว 55555 

สิ่งแรกที่ทำตอนที่ถึงห้องนอนก็คือรีบเก็บกระเป๋าให้เร็วที่สุด อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องรีบออกจากบ้านแล้ว ย้อนกลับไปตอนที่นั่งหลังจักรยานป๊า สรุปได้ว่า ให้ป๊าไปที่สุวรรณภูมิพร้อมกับกระเป๋าก่อน ส่วนเราก็ไปคอนโด ไปเอา sweater แล้วค่อยตามไป ลุ้นนะ บอกเลย ไม่รู้จะไปทันไหม 

ก่อนเที่ยง_สุวรรณภูมิ_สมุทรปราการ

ที่เคาน์เตอร์ T ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เรากอดพร้อมบ๊ายบายป๊าก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ…คนเดียว ความรู้สึกระหว่างที่ขึ้นบันไดเลื่อนไปจุดตรวจความปลอดภัยก็ทำให้อดไม่คิดถึงคราวก่อนที่ทำแบบนี้ไม่ได้…เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราได้ทำแบบเดียวกันกับวันนี้ แต่ความรู้สึกมันช่างต่างกันนัก 3 ปีที่แล้ว เราออกจากประเทศบ้านเกิดไปไกลมากๆ ครึ่งโลกเลยทีเดียว ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนประจำประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันนี้ เราก็อยู่บนบันไดเลื่อนอันเดิม กับความรู้สึกอ้างว้างที่ไม่เหมือนเดิม เหมือนมันจะมีอะไรบางอย่างที่บอกกับเราว่า เออ แกไม่เป็นอะไรหรอก ไปอยู่เม’กามาปีนึงละ คนเดียวด้วย ไม่เห็นจะตกระกำลำบากอะไรมากมาย ก็ไม่รู้สิ เรื่องแบบนี้มันก็เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ลองดูซักตั้งแล้วกัน ฮ่องกง

ผ่านด่านตรวจความปลอดภัยและคนเข้า(ออก)เมืองมาแล้ว ก็จะได้เจอกับแหล่ง duty free อันมีของมหาศาล เดินสบายๆมาเรื่อยๆ เวลาเรายังเหลือ ระหว่างที่กำลังจะเดินไปที่ประตูทางออกขึ้นเครื่อง สายตาก็เหลือบไปเห็นกับร้านโปรดที่ไม่คิดว่าจะมี Dean and Deluca ร้านนี้เป็นร้านที่ทำให้นึกถึงตอนที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้ดี ตอนที่ได้ไปเดิน-อยู่ที่ New York City รัฐ New York ก็ติดใจเมืองนั้นมาโดยตลอด มันมีอะไรบางอย่างในเมืองนั้นที่น่าหลงใหล อาจจะเป็นคน อาจจะเป็นสไตล์การแต่งตัว อาจจะเป็นวิถีชีวิต หรืออาจจะเป็นอะไรที่ไม่ได้กล่าวมาเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ เวลาเราชอบอะไรซักอย่าง เราอาจจะไม่ต้องเค้นหาคำตอบกับตัวเราขนาดนั้นก็ได้ ยึดตามคติ Whatever happens, happened. กลับมาที่ร้านในสนามบิน เราก็ตัดสินใจเข้าไปนั่ง สั่ง Quesadilla มากิน ระหว่างที่กินอยู่ บางอย่างก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ เวลาคนไปเที่ยว เรามันมีหลายสาเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจเสียเงินนั่งในท่อเหล็กลอยฟ้าเป็นชั่วโมงๆ สาเหตุอาจจะเป็นเพราะ อกหัก เงินเหลือ เป็นธรรมเนียบครอบครัว หรืออะไรก็ตาม แต่สาเหตุของเรา ก็คือ พูดตรงๆนะ เบื่อกับชีวิต toxicๆ ที่ต้องได้เจอในประเทศ หลายอย่างในประเทศบ้านเกิด มันหนักหน่วงมาก โดยเฉพาะเวลาได้เริ่มเรียนในระดับอุดมศึกษา เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์มากขึ้น ลึกขึ้น ทำให้เราเริ่มคิด เริ่มวิเคราะห์อะไรมากมาย อยากออกห่างจากมันมาบ้าง อยากออกไปหาอะไรใหม่ๆ มาใส่หัวให้ได้คิดแตกต่างไปบ้าง ซักไม่กี่วันก็ยังดี 

บ่าย_EK384_Airbus A380-800

ขึ้นมานั่งในที่นั่งริมทางเดินใน section หน้าของเครื่อง นั่งได้ซักพัก ก็เริ่มสังเกตว่า เออ ถึงแม้จะขึ้นสายการบินของอาหรับ (Emirates) แต่คนฮ่องกงก็เยอะดี แต่คนไทยนี้สิ น่าจะเป็นแค่เลขหลักหน่วยบนเครื่อง ระหว่างที่บินไปฮ่องกง ก็นั่งพิมพ์ travel journal นี้ แล้วก็นั่งดูหนังที่อยากดูมานาน เรื่อง “Amélie” ความอยากดูนี้ เกิดขึ้นมาเพราะได้ฟังเพลงซาวน์แทรคของเรื่อง ชื่อ “Comptine d'un autre été : L'après-midi” ถ้าได้ลองฟังดู จะเข้าใจ 

เย็น_สนามบินเช็คเล็บก๊อก_ฮ่องกง
กว่าจะได้ลงมาจากเครื่อง ไม่รู้ jetbridge เป็นอะไร ใช้เวลาเชื่อมกับเครื่องนานมากก หรือมันจะเป็นสัญญาณอะไรรึปล่าว? ไม่หน่า เวอร์ ออกมาจากเขตของประตูทางออกขึ้นเครื่อง ก็มีที่นั่ง เลยนั่งซักหน่อย เปลี่ยนซิมที่ซื้อมาจากกรุงเทพฯ แล้วระหว่างที่เปลี่ยนซิมอยู่ ก็นึกขึ้นมาได้ เดี๊ยวนะ บนเครื่องทำไมไม่แจก arrival form วะ หรือว่ามันไม่มี? สรุป เดินบวกนั่งรถไฟเชื่อมไปจนกระถั่งถึงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็เจอเจ้า arrival form จนได้ กรอกมันไปตามระเบียบแล้วก็เดินทำหน้ายิ้มแบบเหนื่อยๆไปหาเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต.ม. มองหน้า พลิกหนังสือเดินทางไปมา ทีแรกเหมือนจะถามอะไร ปรากฏ เปิดไปเจอวีซ่านักเรียนแลกเปลี่ยนของสหรัฐฯพอดี ยังไงล่ะ ผ่านเลยสิครับท่านผู้ชม หลังจากผ่านต.ม. มาซักพัก ก็เดินมาเจอกับสายพานรับกระเป๋า

ตอนที่ยืนรอกระเป๋าใจก็ยืนคิดทั้งๆที่ปกติไม่เคยคิด ว่าจะมีคนเอากระเป๋าเราไปผิดไหมวะ หรือไม่ก็ ขโมยเลย ความคิดติดลบส่วนหนึ่งเกิดมาจากคืนก่อนการเดินทางโดยแม่ของเราเอง แม่ก็บอกว่า เออเนี่ย เพื่อนแม่เพิ่งจะไปต่างประเทศมา อยู่ดีๆก็มีคนจีนคว้ากระเป๋าเพื่อนแม่ไปแล้วพอจะไปเอาคืน ก็ทำเป็นพูดไม่รู้เรื่อง อีกส่วนก็คือว่า วันนี้ไม่รู้อะไร ยืนรอกระเป๋านานมากกก แทบจะออกมาเป็นใบสุดท้ายเลย แต่ท้ายที่สุด ก็ไม่มีอะไร กระเป๋าสีเทาประจำตัวก็โผล่มาจนได้ น้าตาแทบเล็ด แต่ความพีคยังไม่ได้หยุดแค่นี้ สิ่งน่าอายในชีวิตการท่องเที่ยวฮ่องกงเริ่มต้นตั้งแต่ในสนามบินเลยทีเดียว มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะ เรายืนรอกระเป๋าอยู่ แล้วเจ้าฮูดจาก sweater มันยื่นออกมา ประเด็นอยู่ที่ว่า มันดันไปเกี่ยวกับกระเป๋าบนสายพาน และแน่นอน คำว่า “อิเ-้ย!” หลุดออกมาจากปากของเรา ท่ามกลางสายตาคนฮ่องกงนับร้อย ดีป่ะละ เที่ยวคนเดียว ไม่อาย เพราะไม่มีใครรู้จักเราซักหน่อย…มั้งนะ?

เดินออกมาจากโถงรับกระเป๋า ถ้ามองไปทางซ้ายก็จะเจอกับบูทขายตั๋ว Airport Express ของ MTR อยู่ ต้องขออธิบายก่อนว่า ในการเดินทางเข้าเมืองฮ่องกง เราสามารถเดินทางไปได้หลายวิธี โดยวิธีที่เร็วและแพงที่สุดก็คือเจ้ารถไฟ Airport Express ทางเลือกอื่นๆก็เป็นจำพวก รถเมล์สนามบิน A21, A22, บลาๆๆ พูดถึงเรื่องราคาแพง การจ่ายเงินในฮ่องกง เค้าไปไกลยิ่งกว่าไทยแลนด์ 4.0 แล้วนะ แบบ ไปไกลโพ้นเลย เพราะที่นี้การใช้จ่ายในการเดินทาง การกินอยู่ จะใช้เจ้าบัตร Octopus ทั้งหมด ถ้านึกถึงบัตรแบบนี้ไม่ออก ให้นึกถึงบัตร Rabbit บ้านเรา แต่ว่ามันใช้ได้ทุกที่ ทุกรูปแบบการเดินทาง โดยบัตรนี้ จะมีเงินมัดจำค่าบัตร HK$50 แล้วเราก็จะต้องเติมเงินเข้าไปอีกขั้นต่า HK$50 โดยรวมๆแล้ว ในการเปิดบัตร เราก็จะต้องใช้ทั้งหมด ขั้นต่า HK$100

ความทรหดในชีวิตการเที่ยวฮ่องกงกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อกูก้าวเท้าออกไปจากรถไฟนี้ เราคิดในใจ และมันก็เป็นจริง ความยุ่งเหยิง แม่งเริ่มจากกูก้าวออกไปจากรถไฟจริงๆ สาเหตุก็คือ ลืมไปเลย ว่าวันที่เรามาถึงเป็นวันทำงานปกติของคนในฮ่องกง ที่ดันไปประจวบเหมาะกับช่วงเวลาเร่งด่วนช่วงเย็น ก้าวออกมาปุ๊ป เงยหน้ามา ก็เจอคนเป็นร้อยๆพันๆที่สถานี Lai King ที่ลงที่นี้ ก็เพราะต้องเปลี่ยนสายไปยังสาย Tsuen Wan เพื่อที่จะไปยัง Airbnb ที่จองไปแถวสถานี MTR Mong Kok สิ่งที่สังเกตได้เวลาขึ้นรถไฟฟ้าที่นี้ก็คือ สถานีแม่ง บันไดเลื่อนน้อยมากกกก แทบจะบันไดล้วนๆเลยทีเดียว แล้วประเด็นคือ เราดันมีกระเป๋าลากเลื่อนมาด้วย…สนุกล่ะสิคุณ แบกกันกล้ามขึ้นเลย5555

เย็น_Nathan Road_Kowloon

พอมาถึงที่สถานี Mong Kok ก็เดินงกๆเงินๆไปตามถนน Nathan เดินไปตามที่ทางเจ้าของ Airbnb ที่เราจองบอกไว้ในกระดาษที่ปริ้นมาจากบ้านที่ไทย หลังจากได้ visual reception จากคนปริมาณมหาศาลแล้ว สิ่งถัดมาที่ได้สัมผัสในฮ่องกงก็คือ ‘กลิ่นบุหรี่’ โอ้วพระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก มันมีอยู่ทุกที่ อารมณ์ประมาณว่า ในทุกๆลมหายใจ จะมีมันอยู่ ถึงกับกระทั่งสำลักเลยทีเดียว5555 เดินมาเรื่อยๆพร้อมกับเสียงกระเป๋าลากครืดๆมาตามทาง คิดในใจ ล้อกูจะหักไหม? พื้นทางเดินเท้าของฮ่องกงไม่ค่อยเรียบสักเท่าไหร่ ทางเท้าของเค้ามีการปูพื้นเป็นปูนสีเทาผื้นใหญ่ๆต่อกัน แต่ก็นะ จะไปมีใครสู้ทางเดินเท้าของเมืองกรุงเทพฯ ดุจเทพสร้างได้? นึกกลับไปถึงช่วงเวลาที่ฝนตก การเดินบนทางเดินเท้าในกรุงเทพฯ จะกลายเป็นการเล่นเกมอันแสนสนุกทันที เนื่องจากมันจะชอบมีระเบิดน้าที่ชอบซ่อนตัวอยู่ตามซอกในทางเดิน ถ้าใครแต้มบุญสูง ผู้นั้นจะไม่โดนระเบิดน้า แต่ถ้าใครเป็นเหมือนกับเรา ผู้ที่แต้มบุญต่าเตี้ยเรี่ยดิน ผู้นั้นก็จะได้รับแรงระเบิดน้าเปลื้อนดินโคลนมาเป็นของฝากจากถนน

หลังจากเดินมาซักประมาณ 5 นาทีเศษๆ เราก็เดินมาถึงทางเข้าอพาร์ตเมนต์ที่เราจะอยู่ในอีก 3 วัน ต้องบอกก่อนเลยว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวต่างประเทศแล้วไม่ได้พักในโรงแรม ใจมันก็ตุ้มๆต่อมๆหน่อย5555 ไม่ค่อยจะแน่ใจกับสถานที่ กับสถานการณ์ซักเท่าไหร่ แต่มันก็ต้องลองดู ไม่ลองก็ไม่รู้ ถูกไหม? เดินเข้าอพาร์ตเมนต์ไปพร้อมกับกดลิฟต์ไปที่ชั้น 6 เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ก็พบกับทางเดินว่างๆ มีเสียงผู้คนพูดภาษาจีนกันกรายๆ ในทางเดินผนังสีขาวที่ไร้ผู้คนพร้อมกับประตูสีไม้อ่อนหลากหลายประตู ไม่มีเครื่องหมายบอกถึงทางเข้าอพาร์ตเมนต์ใดๆทั้งสิ้น ไอเราก็คิดอยู่ในใจ จะทำยังไงกับชีวิต นี้คือกูจะต้องทำอะไร จะไปที่ห้องของกูยังไงวะเนี่ยย จากนั้นจึงตัดสินใจหยิบกระดาษ A4 ที่ปริ้นมาจากบ้าน อ่านคำบอกทางของทางเจ้าของห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงได้ตรัสรู้ว่า อ้อ เค้าบอกไว้ว่า ทางเข้าไปยังส่วนห้องพักของอพาร์ตเมนต์ ประตูจะอยู่ติดกับตัวลิฟต์…มองไปในทางเดินอีกครั้งบวกกับการประมวลผลของสมองที่ค่อนข้างเอ๋ออยู่ มีประตูบานนึง ที่เด่นขึ้นมาจากที่เหลือ ใช่ มันคือประตูที่เค้าบอกเอาไว้ในกระดาษเป๊ะๆ เดินกดรหัสที่เค้าบอกพร้อมกับหยิบกุญแจห้องหมายเลข 4 ที่เค้าแขวนไว้ เดินเข้าไปไขประตูห้อง พอได้เปิดเข้าไป ก็แอบช๊อคเล็กน้อย คือ…มัน เล็ก มาก ไม่ได้จะ exaggerate อะไร แต่แม่งเล็กจริงๆนะ อยากให้ลองนึกถึงนะ ขนาดห้องคือประมาณห้องส้วมสองห้องหน่อยๆ เอง

will continue shortly.
Advertisement
ส่งกำลังใจให้ จขกท. 

 แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

>