ความคืบหน้าในการฝึกการบรรยาย จากครั้งที่แล้ว
ตั้งกระทู้ใหม่
...............
ในวันนั้นของการเปิดภาคเรียนที่ 1 วันที่นักเรียนเก่าหลายคนพูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุดเพราะไม่ได้เจอกันมานาน ใครหลายคนต่างก็มีเรื่องให้พูดคุยเยอะแยะมากมาย ฟังตามแทบไม่ทัน ทั้งเรื่องรับจ๊อบทำงาน หรือสาดน้ำข้ามปี แม้กระทั่งตอนที่ผู้อำนวยการกล่าวทักทายกับทุก ๆ คนหน้าลานพิธีเคารพธงชาติ พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่คิดจะเงียบลงไปเลยแม้แต่น้อย ดื้อเกินจะบรรยาย แม้แต่ครูก็ยังยอม
แต่พอเจอนางฟ้าในคราบของครูคนใหม่ เหตุใดไฉนเลยถึงได้เงียบไปกัน
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยก้าวเท้าออกมาหน้าลานพิธี แย่งชิงทุกสายตาไปจากผู้อำนวยการสุดแสนจะน่าเบื่อ แล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใส จนใครต่อใครเทใจให้ไปโดยไม่รู้ตัว
แต่เมื่อประโยคทิ้งท้ายหลังการทักทายของเธอมาถึง บรรดาหมาวัดหมายมั่นจะเด็ดดอกฟ้ากลับอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน หรือบางทีอาจมีแค่ผมอยู่เพียงคนเดียว
แม้ว่าเรื่องนั้นผ่านมาจนครบสี่เดือนไปแล้ว แต่ผมยังคงนึกถึงเรื่องที่ว่าอยู่ไม่หาย เพราะคำพูดสุดท้ายของเธอที่ได้ยินในวันนั้น มันยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่เคยลืมเลือน
ห้าโมงเย็นของวันนี้ ผมนั่งเล่นอยู่บนพื้นเรียบใต้บ้านพักครูหลังหนึ่ง มันตั้งอยู่สุดเขตโรงเรียน มีสนามฟุตบอลคั่นกลางเอาไว้ ไกลกำลังพอดีหากต้องการจะหลบสายตาของใครหลายคน แม้แต่บ้านพักครูอีก 3 หลังที่เรียงรายต่อกันก็ยังไม่มีใครอยู่เลยสักคน
ผมนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน มือที่ว่างอยู่ควักเอาโทรศัพท์ออกมาดูยูทูบไปพลาง ทั้งยิ้มและหัวเราะเมื่อมาถึงเนื้อหาที่ตัวเองถูกใจ ขณะเดียวกันก็คอยชะเง้อมองว่า ‘เธอ’ ที่ผมนั่งรอเดินทางมาถึงหรือยัง
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รอคอยอะไรนานถึงขนาดนั้นเลย เพราะตัวเองกะเวลาเอาไว้ดีด้วยล่ะนะ
ผมเบนสายตาออกจากภาพเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองเห็นรถสีขาวคุ้นตากำลังขับตรงมาทางนี้พอดี ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ผมฉีกยิ้มแทบจะทันที ยันตัวเองลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ เราไม่ได้มาเสียเที่ยวสินะ
โทรศัพท์ในมือถูกปิดลงไปโดยไม่หันไปมอง แล้วเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกงในแบบเดียวกัน จะเป็นภาพเคลื่อนไหวใส่เนื้อหาอะไรมาก็ไม่สนมันแล้ว ไม่มีอะไรเบนความสนใจจาก ‘เธอ’ ที่อยู่หลังพวงมาลัยนั้นได้
สักพัก รถคันเดิมก็วิ่งมาถึงที่จอดตามปกติ แววตาคู่หนึ่งมองทะลุแผ่นกระจกมาที่ผมด้วยความสงสัย ก่อนเครื่องยนต์จะถูกดับลงด้วยมือของหญิงสาวใบหน้าสวยหมดจดสะกดใจไม่ไหวติง
ผมรีบตั้งสติในเวลาต่อมา ก่อนจะหันกลับไปคว้าถุงพลาสติกที่ตัวเองนำมาด้วย แล้วเดินกึ่งวิ่งด้วยความตื่นเต้นเข้าไปหาหญิงสาวในรถคันเดิม เมื่อได้ระยะที่พอดีจึงหยุดลง แล้วรับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อขาที่สั่นรุนแรงทั้งที่อากาศก็ไม่ได้หนาวเย็นอะไร ให้ตายเถอะ หยุดสักทีได้ไหม ทำไมต้องมาเป็นอะไรเอาตอนนี้วะเนี่ย
หญิงสาวในรถถือพวงกุญแจเอาไว้ แล้วเปิดประตูลงมาในที่สุด เผยให้เห็นว่าเธอสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่สีไม่ฉูดฉาดเท่าไหร่นัก เป็นเสื้อผ้าที่เธอไม่เคยใส่ให้เห็นที่ไหนมาก่อน ก็แน่ล่ะ จะให้เธอแต่งตัวแบบนี้มาสอนที่โรงเรียนได้ไงกันเล่า
และเหมือนว่าเธอจะยังต้องการคำตอบอยู่ดี คิ้วสวยได้รูปจึงขมวดเข้าหากัน ตั้งคำถามว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ ส่วนผมเองก็บังคับขาให้เลิกสั่น ไม่งั้นต้องกลับไปกินแห้วเป็นข้าวเย็นอีกเป็นแน่ คราวนี้เราต้องทำให้ได้
“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายผู้ที่เพิ่งจะมาถึง มอบรอยยิ้มจริงใจให้กับเธอเพื่อสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเหมือนทุกที
“สวัสดีค่ะ มาทำอะไรเนี่ย”
“สเต็กครับ” ผมยกถุงพลาสติกในมือขึ้นสูงให้เห็นได้ชัด หญิงสาวหันขวับไปมอง แล้วเห็นว่ามีโฟมจำนวน 2 กล่องวางซ้อนกันอยู่ในถุงพลาสติกอีกที
“ใส่กล่องเหรอ”
“อ๋อ ครับ” ผมหันไปมองบ้าง ก่อนจะทิ้งมือลงต่ำเหมือนอย่างเคย แล้วหันกลับไปยิ้มให้เธออีกที
“กลัวชวนแล้วจะไม่ไป ผมเลยซื้อใส่กล่องมา”
หือ ? ไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่เธอกลับก้มหน้าลงแล้วแอบหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียอย่างนั้น ความตั้งใจของผมมันดูเยอะไปงั้นเหรอ อะไรกันเนี่ย ผมเขินเป็นเหมือนกันนะครู
ขณะที่ผมกำลังเขินอยู่นั้น หญิงสาวก็เลิกหัวเราะไปพอดี เป็นการเรียกสติของผมกลับคืนมาในเวลาเดียวกัน ไม่นานขาเรียวสวยจึงเริ่มก้าวเดินอีกครั้งโดยอ้อมผ่านตัวผมไป
“ทีอย่างนี้ไม่ยอมให้พลาดเลยนะ” หญิงสาวหันมายิ้มให้ผมบ้าง ขณะเดียวกันก็ยังคงเดินต่อไป เส้นผมสีดำหยักศกสลวยสะบัดเบา ๆ ตามแรงเดิน แผ่กระจายกลิ่นแชมพูหอมฟุ้งกระทบจมูกอย่างจัง นี่สินะฉากสโลโมชั่นที่เห็นได้บ่อยในละครบางประเทศ
“ครับบบบ” ผมลากเสียงยาวปนหัวเราะเบา ๆ ที่ตัวเองโดนว่ามาแบบนั้น รู้อยู่ล่ะว่าเคยทำอะไรด้วยความไม่ตั้งใจมาบ้าง แต่เรื่องแบบนี้จะยอมให้พลาดได้ไง
‘เยส’ ทำได้แล้วเว้ย ผมร้องสุดเสียงในใจเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คาด แล้วเดินตามเธอไปไม่ยอมทิ้งห่าง ก้มหน้ากระดี๊กระด๊าแบบเต็มที่ แอบทำไม่ยอมให้เธอมองเห็น ในใจนึกถึงแต่เรื่องที่มันกำลังจะเกิดขึ้นในอีกนาน
แต่แล้ว !!!
ผมหยุดชะงักลงไปทันทีที่เงยหน้าขึ้น หญิงสาวตาสีน้ำตาลเข้มหันกลับมามองที่ผมอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วินาทีนั้นผมแทบจะทำอะไรไม่ถูก คิดว่าเธอเห็นจะท่าทีเมื่อกี้ของผมหรือเปล่า แล้วทำไมต้องยิ้มอะไรแบบนั้นด้วย เห็นสินะ เมื่อกี้เห็นจริง ๆ ใช่ไหม
เชี่ยแล้วไง นี่กูทำอะไรลงไปเนี่ย
ผมรีบสลัดท่าทีเมื่อกี้ทิ้งไป พยายามทำตัวให้กลับมาเป็นปกติที่สุด แล้วหันแก้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอายออกไปทางอื่น แต่ไม่นานก็ต้องหันกลับมาอีกครั้งเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้าไม่ทำอะไรบ้าง เธอคงได้เข้าใจผมผิดจริง ๆ แน่ ๆ
“เอ่อ” ผมกำลังจะพูดแก้ตัวออกไป แต่แล้วก็ถูกเธอชิงพูดตัดหน้าก่อน
“รออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวครูไปเอาจานชามมาก่อน” ว่าแล้วหญิงสาวก็หมุนตัวกลับอีกที แล้วหยิบกุญแจไขประตูบ้านพักก่อนจะเสียบเข้าไป
ผมที่ได้ยินคำพูดเมื่อกี้ก็ถึงกับเปลี่ยนอารมณ์ไปเป็นอีกแบบ นึกในใจว่าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ที่มาที่นี่ก็เพื่อจะเข้าไปนั่งกินสเต็กด้วยกันไม่ใช่หรือ
“เอ้า แล้วไม่กินข้างในเหรอครับ”
“ข้างในมันร้อน ข้างนอกนี่แหละ” เธอให้เหตุผล ขณะเดียวกันก็เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในบ้านพักของตัวเอง ทิ้งให้ผมยืนงงทำอะไรไม่ถูกไปสักพัก
อะไรวะ
“ผมเข้าไปช่วยถือของได้ไหม" ผมร้องออกไปตามหลังเมื่อเห็นว่าเธอเลี้ยวเข้าไปยังมุมห้องที่มองไม่เห็น จนบางทีก็อยากจะชะเง้อมองเข้าไปเสียด้วยซ้ำ
“รออยู่นั่นแหละ” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากมุมห้องที่เธอหายเข้าไป ไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ
...................
แบบนี้ดีแล้วหรือยังครับ หรือมีอะไรต้องปรับปรุ่งเพิ่มอีกมั้ย ขอรบกวนด้วยครับ
10 ความคิดเห็น
ส่วนตัวคิดว่ามันยังดูเป็นบุรุษสามไปหน่อย แต่รวมๆ ก็โอเคแล้วค่ะ
บอกกันตรงๆเลยนะ
ส่วนตัวผมจะชอบการบรรยายแบบบุรุษที่หนึ่งมาก เพราะมันทำให้ผมรู้สึกใกล้ชิดกับตัวละคร แต่แบบที่นายใช้ดูท่าจะสับสนกับการบรรยายแบบบุรุษที่สามอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
แต่พอเจอนางฟ้าในคราบของครูคนใหม่ เหตุใดไฉนเลยถึงได้เงียบไปกัน
มนุษย์ปกติเราไม่พูดกันแบบนั้น...ลิเกมาก ผมไม่รู้ว่านี่เป็นอคติของผมหรือเปล่า แต่บุรุษที่หนึ่งสำหรับผมมันควรบรรยายใกล้เคียงกับการเล่าให้เพื่อนฟัง หรือใช้รูปแบบเหมือนคนพูดกันทั่วไป แต่เท่าที่อ่านมาทั้งหมดบอกตามตรงว่าผมค่อนข้างเหนื่อย ใช้คำลูกเล่นเยอะมาก ที่จริงมันเก๋อยู่นะ แต่ใช้ฟุ้มเฟือยเกินไป ผมอ่านแล้วรู้สึกอืดอาดจนหลายครั้งลืมไปแล้วว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ ถ้าจะใช้จริงๆ เอาคำสวยๆพวกนี้ไปเน้นเฉพาะฉากที่เราต้องการให้เด่นดีกว่า เช่นการปรากฎตัวครั้งแรก การหักมุมแบบฉับพลัน หรือฉากขยี้อารมณ์ แล้วของบางอย่างใช้คำพูดง่ายๆแทนก็ได้ ไม่ต้องบรรยายละเอียดขนาดนั้น เช่น
ว่าแล้วหญิงสาวก็หมุนตัวกลับอีกที แล้วหยิบกุญแจไขประตูบ้านพักก่อนจะเสียบเข้าไป
ว่าแล้วเธอก็หันไปหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูบ้าน <<< เข้าใจง่าย + กระชับ + ภาษาคน
เรื่องคำคล้องจองทำได้ดี แต่แนะนำว่าไม่ต้องตั้งใจเขียนขนาดนั้น (เคยทำมาแล้ว) ปล่อยไหลตามธรรมชาติบ้าง ยิ่งประดิษฐ์คำเยอะมากเท่าไหร่มันจะยิ่งดูห่างไกลจากความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายใช้คำว่า 'ผม' ให้น้อยเข้าไว้ การบรรยายแบบบุรุษหนึ่งมันจำเป็นก็จริง แต่ถ้าตัดทิ้งแล้วไม่เสียความหมายที่จะสื่อก็ตัดทิ้งได้เลย เหมือนกับคำว่า 'ผม' ที่ใช้สีแดงเคลือบเอาไว้ในโพสนี้ (ลองอ่านใหม่)
ป.ล. ปกติจะไม่แนะนำเรื่องการบรรยายให้ใครเพราะมือใหม่เหมือนกัน แต่บุรุษที่หนึ่งนี่ผมอินเป็นพิเศษ!
อั้ยยะ ยังพลาดอีกเยอะ แล้วพลาดจุดเดิมด้วย
เมื่อลงมือแก้ไขแล้วทำไมไม่แก้ส่วนที่ผิดพลาดอื่น ๆ เสียด้วยเลยล่ะ?
น่าจะลืมหรือทำไม่ได้มั้ง ฮ่าๆๆ
จุดอ่อนอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับคำวิจารณ์อันใหญ่ยิ่ง
จะพยายามแก้ไขไปเรื่อยๆ ครับ
ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ
แต่คอมเมนต์ก็เหมือนที่คุณ G.Tenju ว่า
คุณประดิษฐ์คำเยอะไปหน่อย ในช่วงที่เป็นฉากทั่ว ๆ ไปที่ไม่สำคัญนัก บรรยายให้รวบรัดไว้ดีกว่า ค่อยไปบรรยายเยอะ ๆ ในฉากที่ต้องการดึงอารมณ์คนอ่านเอาค่ะ
วันนี้ขณะทำงาน เอาแต่คิดว่าจะทำยังไงดีว้าาาาเรื่องการบรรยาย เกือบสลดแน่ะ พอกลับมาอ่านคอมเมนท์ที่เหลือ ค่อยใจชื้นหน่อย ขอบคุณครับ ไว้จะค่อยๆ พัฒนาต่อไปครับ
ผมว่าโอเคเลยครับ แต่ว่า...
ถ้านิยายคุณร่วมสมัย การบรรยายก็ควรร่วมสมัยนะครับ (contemporary) ซึ่งถ้าเราใช้คำในประเภทใดประเภทหนึ่งมากคำแค่ไหน มันก็จะช่วยสร้างบรรยากาศนั้นมากขึ้นเท่านั้น (งงไหม?)
จุดนี้เราต้องเข้าใจธีมตัวเองก่อนครับ เพราะถ้าเรามั่นใจในธีมตัวเองแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการและสติปัญญาของคนอ่านล้วน ๆ แล้วครับ
อย่างแนวไซไฟ (หรือแนวพยายามจะไฮเทค) ก็จะใส่ศัพท์แสง technobable มาเยอะ ๆ เช่น บีมแอเรียซิงเกิลเอนเนอร์จี (มันหมายความว่าไรก็ไม่รู้) แต่เมื่อไหร่มีคำแบบ 'เหาะทะยานโดยเวหา ดั้นหมอก ออกกลีบเมฆา เหาะระเห็จเตร็จฟ้า' คนอ่านก็จะเอ๊ะจิรากรได้ครับ เพราะคนยุคใหม่ที่เข้ามาอ่านนิยายร่วมสมัย เขาก็คาดหวังว่าจะได้เจออะไรร่วมสมัย
แต่ก็จะมีนักเขียนกวนบาทา (อย่างเช่นผม) ที่จงใจใช้ประโยคแปลก ๆ แต่นั่นมีจุดประสงค์อื่น คือไม่ได้จะสร้างบรรยากาศ แต่จะกวนประสาทมากกว่าครับ (อยากให้คนอ่านเอ๊ะจิรากร)
ตรงใจผมเลยครับ ( ' ' )
งงกับคำว่า เอ๊ะ จิรากร มากกว่าครับ
เท่าที่อ่านดูก็ถือว่าโอเคแล้วนะครับ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจตัวเองก็แนะนำว่า ลองไปหางานเขียนเรื่อง The Lost World ของ อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ มาอ่านดูครับ รับรองว่าจะมั่นใจในงานเขียนของตัวเองมากขึ้น ที่เหลือก็แค่แก้ไขเรื่องคำผิดกับการเว้นวรรคเท่านั้นเอง ส่วนพวกคำสร้อยหรือพวกการเล่นคำก็สามารถใส่ได้ แต่ก็ต้องดูเรื่องของความเหมาะสมของรูปประโยคด้วยนะครับบ
จริงด้วย ผมมีหนังสือเชอร์ล็อก โฮล์มส์อยู่นี่ ลืมไปเลย
ขอบคุณที่แนะนำครับ
เชอร์ล็อคกับลอสเวิร์ด รูปแบบคำบรรยายต่างกันนะครับ เชอร์ล็อตจะเป็นบุคคลที่ 2 เล่าเรื่องผ่านตัวละครวัตสัน ส่วนลอสเวิร์ดจะเป็นบุคคลที่ 1 เล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวเอก ที่ผมแนะนำให้ไปลองอ่านลอสเวิร์ดก็เพราะ ถึงจะเป็นนิยายบุคคลที่ 1 แต่ก็การเขียนบรรยาย ก็ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยายบุคคลที่ 3 เพราะการบรรยายที่กว้างและมีการอธิบายส่วนต่างๆอย่างละเอียด จนบางทีก็นึกว่ากำลังอ่านนิยายบุคคลที่ 3 อยู่
อ๋อ ทีนี้ก็เข้าใจในสิ่งที่คุณคอมเมนท์ที่1บอกซะที ไว้จะลองหามาดูครับ
ส่วนตัวชอบนะคะ เเต่เหมือนโดนยืนอยู่วงนอกบทสนทนามากกว่า คิดว่าหากคุณเขียนในเชิงบรรยายบรรยากาศน่าจะดีเลยล่ะค่ะ แต่หากเขียนในเชิงบุรุษ1-2 น่าจะเปลี่ยนนิดนึง เเต่รวมๆคือชอบค่ะ
มันไม่สามารถดึงให้คนอ่านเข้าไปเป็นส่วนร่วมหรือคล้อยตามได้เลยเหรอครับ
ดึงได้ค่ะ เเต่อาจจะยังไม่มาก เนื่องจากยังรู้สึกยืนเป็นคนนอกเลยอารมณ์ไม่ได้คล้อยตามสักเท่าไร เเต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสไตล์ก็ได้นะคะ เเค่หาทางอธิบายให้คนเข้าร่วมอารมณ์ได้ตามสไตล์คุณก็น่าจะโอเคเเล้วค่ะ สู้ๆนะคะ :)
ดีขึ้นตั้งเยอะเลยค่ะ พอดีเพิ่งเห็น คำว่า เหตุไฉน มันเป็นคำของยุคเก่าค่ะ ควรใช้กับยุคโบราณ ไม่ใช้ในยุคใหม่ คุณสามารถเปลี่ยนได้ เป็น เพราะเหตุอะไรถึงได้เงียบไป อย่างนี้ค่ะ
ขอบคุณครับ
คราวหน้าอย่าเงียบไปอีกนะ
จ้าาาา เราเบื่อคนชอบหาเรื่อง ว่าเราค่ะ เราเลย ขอถอยห่างออกมาดีกว่า ขี้เกียจทะเลาะด้วย
นิดนึงไม่ได้เหรอ
ตอนนั้นเราอารมณ์ไม่ดีค่ะ มีเรื่องเครียดอยู่ด้วย เลยไม่เอาดีกว่า
มีคนติคำว่าเหตุไฉนกันหลากหลาย เเต่ผมออกจะชอบ.. โดยส่วนตัวเเล้วเท่าที่อ่าน ผมโยนนิยายคุณอยู่ในยุคประมาณสิบยี่สิบปีก่อน อารมณ์การบรรยายมันใกล้เคียงนะ หรือคุณคิดว่าไง? เเต่พออ่านคอมเเม้นของคุณG.Tenju ผมก็รู้สึกว่า เเหม เรานี่มันช่างอ่อนด๋อยเรื่องประสปการณ์ #สวัสดีโลกนอกกะลา สราภาพตามตรงว่าผมไม่เห็นจุดที่คุณเเก้ไข.. บางทีผมคงต้องเปิดมันเทียบกัน #เเก่เเล้วก็งี้
...สราภาพตามตรงว่าผมไม่เห็นจุดที่คุณเเก้ไข...
ช่วยแปลตรงนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมยังงงๆ อยู่เลย
อ่านแล้วยังให้ความรู้สึกเหมือนการเล่าบุคคลที่สามอยู่ครับ แต่บางคนอาจจะชอบก็ได้ เพราะการเล่ามันไม่มีกฎตายตัว บางคนเล่ากระชับ แต่เหมือนการพูดห้วนๆ มันห้วนจนดูเหมือนเป็นสมุดบันทึกความในใจของคนเก็บกดก็มี แต่บางครั้งก็บรรยายมากเกิน จนเหมือนหลุดเข้าไปโลกแห่งบทกลอนก็มี
อย่างที่ผมเคยบอกไปครับ เขียนในแนวทางที่ตนถนัด มันจะเป็นผลดีต่อตัวเราเองมากที่สุด หากเราชอบการประดิษฐ์ถ้อยคำให้ดูสวยหรู ก็เขียนไปเถิดครับ
โอเคครับ แนวทางที่ตนถนัด
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?