Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ความคืบหน้าในการฝึกการบรรยาย จากครั้งที่แล้ว

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
จากครั้งที่แล้วที่ได้โพสต์ลงไป และนำเอาคำแนะนำของนักเขียนคนอื่นๆ มาปรับใช้ นี่คือผลลัพธ์ที่ได้ครับ
...............

ในวันนั้นของการเปิดภาคเรียนที่ 1 วันที่นักเรียนเก่าหลายคนพูดเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุดเพราะไม่ได้เจอกันมานาน ใครหลายคนต่างก็มีเรื่องให้พูดคุยเยอะแยะมากมาย ฟังตามแทบไม่ทัน ทั้งเรื่องรับจ๊อบทำงาน หรือสาดน้ำข้ามปี แม้กระทั่งตอนที่ผู้อำนวยการกล่าวทักทายกับทุก ๆ คนหน้าลานพิธีเคารพธงชาติ พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่คิดจะเงียบลงไปเลยแม้แต่น้อย ดื้อเกินจะบรรยาย แม้แต่ครูก็ยังยอม
 
แต่พอเจอนางฟ้าในคราบของครูคนใหม่ เหตุใดไฉนเลยถึงได้เงียบไปกัน
 
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยก้าวเท้าออกมาหน้าลานพิธี แย่งชิงทุกสายตาไปจากผู้อำนวยการสุดแสนจะน่าเบื่อ แล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใส จนใครต่อใครเทใจให้ไปโดยไม่รู้ตัว
 
แต่เมื่อประโยคทิ้งท้ายหลังการทักทายของเธอมาถึง บรรดาหมาวัดหมายมั่นจะเด็ดดอกฟ้ากลับอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน หรือบางทีอาจมีแค่ผมอยู่เพียงคนเดียว
 
แม้ว่าเรื่องนั้นผ่านมาจนครบสี่เดือนไปแล้ว แต่ผมยังคงนึกถึงเรื่องที่ว่าอยู่ไม่หาย เพราะคำพูดสุดท้ายของเธอที่ได้ยินในวันนั้น มันยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่เคยลืมเลือน
 
 
ห้าโมงเย็นของวันนี้ ผมนั่งเล่นอยู่บนพื้นเรียบใต้บ้านพักครูหลังหนึ่ง มันตั้งอยู่สุดเขตโรงเรียน มีสนามฟุตบอลคั่นกลางเอาไว้ ไกลกำลังพอดีหากต้องการจะหลบสายตาของใครหลายคน แม้แต่บ้านพักครูอีก 3 หลังที่เรียงรายต่อกันก็ยังไม่มีใครอยู่เลยสักคน
 
ผมนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน มือที่ว่างอยู่ควักเอาโทรศัพท์ออกมาดูยูทูบไปพลาง ทั้งยิ้มและหัวเราะเมื่อมาถึงเนื้อหาที่ตัวเองถูกใจ ขณะเดียวกันก็คอยชะเง้อมองว่า ‘เธอ’ ที่ผมนั่งรอเดินทางมาถึงหรือยัง
 
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รอคอยอะไรนานถึงขนาดนั้นเลย เพราะตัวเองกะเวลาเอาไว้ดีด้วยล่ะนะ
 
ผมเบนสายตาออกจากภาพเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเล็กอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะมองเห็นรถสีขาวคุ้นตากำลังขับตรงมาทางนี้พอดี ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ผมฉีกยิ้มแทบจะทันที ยันตัวเองลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ เราไม่ได้มาเสียเที่ยวสินะ
 
โทรศัพท์ในมือถูกปิดลงไปโดยไม่หันไปมอง แล้วเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกงในแบบเดียวกัน จะเป็นภาพเคลื่อนไหวใส่เนื้อหาอะไรมาก็ไม่สนมันแล้ว ไม่มีอะไรเบนความสนใจจาก ‘เธอ’ ที่อยู่หลังพวงมาลัยนั้นได้
 
สักพัก รถคันเดิมก็วิ่งมาถึงที่จอดตามปกติ แววตาคู่หนึ่งมองทะลุแผ่นกระจกมาที่ผมด้วยความสงสัย ก่อนเครื่องยนต์จะถูกดับลงด้วยมือของหญิงสาวใบหน้าสวยหมดจดสะกดใจไม่ไหวติง
 
ผมรีบตั้งสติในเวลาต่อมา ก่อนจะหันกลับไปคว้าถุงพลาสติกที่ตัวเองนำมาด้วย แล้วเดินกึ่งวิ่งด้วยความตื่นเต้นเข้าไปหาหญิงสาวในรถคันเดิม เมื่อได้ระยะที่พอดีจึงหยุดลง แล้วรับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อขาที่สั่นรุนแรงทั้งที่อากาศก็ไม่ได้หนาวเย็นอะไร ให้ตายเถอะ หยุดสักทีได้ไหม ทำไมต้องมาเป็นอะไรเอาตอนนี้วะเนี่ย
 
หญิงสาวในรถถือพวงกุญแจเอาไว้ แล้วเปิดประตูลงมาในที่สุด เผยให้เห็นว่าเธอสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่สีไม่ฉูดฉาดเท่าไหร่นัก เป็นเสื้อผ้าที่เธอไม่เคยใส่ให้เห็นที่ไหนมาก่อน ก็แน่ล่ะ จะให้เธอแต่งตัวแบบนี้มาสอนที่โรงเรียนได้ไงกันเล่า
 
และเหมือนว่าเธอจะยังต้องการคำตอบอยู่ดี คิ้วสวยได้รูปจึงขมวดเข้าหากัน ตั้งคำถามว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ ส่วนผมเองก็บังคับขาให้เลิกสั่น ไม่งั้นต้องกลับไปกินแห้วเป็นข้าวเย็นอีกเป็นแน่ คราวนี้เราต้องทำให้ได้
 
“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายผู้ที่เพิ่งจะมาถึง มอบรอยยิ้มจริงใจให้กับเธอเพื่อสานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเหมือนทุกที
“สวัสดีค่ะ มาทำอะไรเนี่ย”
 
“สเต็กครับ” ผมยกถุงพลาสติกในมือขึ้นสูงให้เห็นได้ชัด หญิงสาวหันขวับไปมอง แล้วเห็นว่ามีโฟมจำนวน 2 กล่องวางซ้อนกันอยู่ในถุงพลาสติกอีกที
 
“ใส่กล่องเหรอ”
 
“อ๋อ ครับ” ผมหันไปมองบ้าง ก่อนจะทิ้งมือลงต่ำเหมือนอย่างเคย แล้วหันกลับไปยิ้มให้เธออีกที
 
“กลัวชวนแล้วจะไม่ไป ผมเลยซื้อใส่กล่องมา”
 
หือ ? ไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่เธอกลับก้มหน้าลงแล้วแอบหัวเราะออกมาเบา ๆ เสียอย่างนั้น ความตั้งใจของผมมันดูเยอะไปงั้นเหรอ อะไรกันเนี่ย ผมเขินเป็นเหมือนกันนะครู
 
ขณะที่ผมกำลังเขินอยู่นั้น หญิงสาวก็เลิกหัวเราะไปพอดี เป็นการเรียกสติของผมกลับคืนมาในเวลาเดียวกัน ไม่นานขาเรียวสวยจึงเริ่มก้าวเดินอีกครั้งโดยอ้อมผ่านตัวผมไป
 
“ทีอย่างนี้ไม่ยอมให้พลาดเลยนะ” หญิงสาวหันมายิ้มให้ผมบ้าง ขณะเดียวกันก็ยังคงเดินต่อไป เส้นผมสีดำหยักศกสลวยสะบัดเบา ๆ ตามแรงเดิน แผ่กระจายกลิ่นแชมพูหอมฟุ้งกระทบจมูกอย่างจัง นี่สินะฉากสโลโมชั่นที่เห็นได้บ่อยในละครบางประเทศ
 
“ครับบบบ” ผมลากเสียงยาวปนหัวเราะเบา ๆ ที่ตัวเองโดนว่ามาแบบนั้น รู้อยู่ล่ะว่าเคยทำอะไรด้วยความไม่ตั้งใจมาบ้าง แต่เรื่องแบบนี้จะยอมให้พลาดได้ไง
 
‘เยส’ ทำได้แล้วเว้ย ผมร้องสุดเสียงในใจเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คาด แล้วเดินตามเธอไปไม่ยอมทิ้งห่าง ก้มหน้ากระดี๊กระด๊าแบบเต็มที่ แอบทำไม่ยอมให้เธอมองเห็น ในใจนึกถึงแต่เรื่องที่มันกำลังจะเกิดขึ้นในอีกนาน
 
แต่แล้ว !!!
 
ผมหยุดชะงักลงไปทันทีที่เงยหน้าขึ้น หญิงสาวตาสีน้ำตาลเข้มหันกลับมามองที่ผมอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วินาทีนั้นผมแทบจะทำอะไรไม่ถูก คิดว่าเธอเห็นจะท่าทีเมื่อกี้ของผมหรือเปล่า แล้วทำไมต้องยิ้มอะไรแบบนั้นด้วย เห็นสินะ เมื่อกี้เห็นจริง ๆ ใช่ไหม
 
เชี่ยแล้วไง นี่กูทำอะไรลงไปเนี่ย
 
ผมรีบสลัดท่าทีเมื่อกี้ทิ้งไป พยายามทำตัวให้กลับมาเป็นปกติที่สุด แล้วหันแก้มที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอายออกไปทางอื่น แต่ไม่นานก็ต้องหันกลับมาอีกครั้งเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้าไม่ทำอะไรบ้าง เธอคงได้เข้าใจผมผิดจริง ๆ แน่ ๆ
 
“เอ่อ” ผมกำลังจะพูดแก้ตัวออกไป แต่แล้วก็ถูกเธอชิงพูดตัดหน้าก่อน
 
“รออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวครูไปเอาจานชามมาก่อน” ว่าแล้วหญิงสาวก็หมุนตัวกลับอีกที แล้วหยิบกุญแจไขประตูบ้านพักก่อนจะเสียบเข้าไป
 
ผมที่ได้ยินคำพูดเมื่อกี้ก็ถึงกับเปลี่ยนอารมณ์ไปเป็นอีกแบบ นึกในใจว่าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ที่มาที่นี่ก็เพื่อจะเข้าไปนั่งกินสเต็กด้วยกันไม่ใช่หรือ
 
“เอ้า แล้วไม่กินข้างในเหรอครับ”
 
“ข้างในมันร้อน ข้างนอกนี่แหละ” เธอให้เหตุผล ขณะเดียวกันก็เปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในบ้านพักของตัวเอง ทิ้งให้ผมยืนงงทำอะไรไม่ถูกไปสักพัก
 
อะไรวะ
 
“ผมเข้าไปช่วยถือของได้ไหม" ผมร้องออกไปตามหลังเมื่อเห็นว่าเธอเลี้ยวเข้าไปยังมุมห้องที่มองไม่เห็น จนบางทีก็อยากจะชะเง้อมองเข้าไปเสียด้วยซ้ำ
 
“รออยู่นั่นแหละ” เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากมุมห้องที่เธอหายเข้าไป ไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
 
นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ
...................

แบบนี้ดีแล้วหรือยังครับ หรือมีอะไรต้องปรับปรุ่งเพิ่มอีกมั้ย ขอรบกวนด้วยครับ

แสดงความคิดเห็น

>

10 ความคิดเห็น

G.Tenju 21 ม.ค. 62 เวลา 04:01 น. 2

บอกกันตรงๆเลยนะ


ส่วนตัวผมจะชอบการบรรยายแบบบุรุษที่หนึ่งมาก เพราะมันทำให้ผมรู้สึกใกล้ชิดกับตัวละคร แต่แบบที่นายใช้ดูท่าจะสับสนกับการบรรยายแบบบุรุษที่สามอยู่ ยกตัวอย่างเช่น


แต่พอเจอนางฟ้าในคราบของครูคนใหม่ เหตุใดไฉนเลยถึงได้เงียบไปกัน


มนุษย์ปกติเราไม่พูดกันแบบนั้น...ลิเกมาก ผมไม่รู้ว่านี่เป็นอคติของผมหรือเปล่า แต่บุรุษที่หนึ่งสำหรับผมมันควรบรรยายใกล้เคียงกับการเล่าให้เพื่อนฟัง หรือใช้รูปแบบเหมือนคนพูดกันทั่วไป แต่เท่าที่อ่านมาทั้งหมดบอกตามตรงว่าผมค่อนข้างเหนื่อย ใช้คำลูกเล่นเยอะมาก ที่จริงมันเก๋อยู่นะ แต่ใช้ฟุ้มเฟือยเกินไป ผมอ่านแล้วรู้สึกอืดอาดจนหลายครั้งลืมไปแล้วว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ ถ้าจะใช้จริงๆ เอาคำสวยๆพวกนี้ไปเน้นเฉพาะฉากที่เราต้องการให้เด่นดีกว่า เช่นการปรากฎตัวครั้งแรก การหักมุมแบบฉับพลัน หรือฉากขยี้อารมณ์ แล้วของบางอย่างใช้คำพูดง่ายๆแทนก็ได้ ไม่ต้องบรรยายละเอียดขนาดนั้น เช่น


ว่าแล้วหญิงสาวก็หมุนตัวกลับอีกที แล้วหยิบกุญแจไขประตูบ้านพักก่อนจะเสียบเข้าไป


ว่าแล้วเธอก็หันไปหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูบ้าน <<< เข้าใจง่าย + กระชับ + ภาษาคน


เรื่องคำคล้องจองทำได้ดี แต่แนะนำว่าไม่ต้องตั้งใจเขียนขนาดนั้น (เคยทำมาแล้ว) ปล่อยไหลตามธรรมชาติบ้าง ยิ่งประดิษฐ์คำเยอะมากเท่าไหร่มันจะยิ่งดูห่างไกลจากความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ


สุดท้ายใช้คำว่า 'ผม' ให้น้อยเข้าไว้ การบรรยายแบบบุรุษหนึ่งมันจำเป็นก็จริง แต่ถ้าตัดทิ้งแล้วไม่เสียความหมายที่จะสื่อก็ตัดทิ้งได้เลย เหมือนกับคำว่า 'ผม' ที่ใช้สีแดงเคลือบเอาไว้ในโพสนี้ (ลองอ่านใหม่)


ป.ล. ปกติจะไม่แนะนำเรื่องการบรรยายให้ใครเพราะมือใหม่เหมือนกัน แต่บุรุษที่หนึ่งนี่ผมอินเป็นพิเศษ!

1
ปล่อยอึ่ง 21 ม.ค. 62 เวลา 06:54 น. 3-1

น่าจะลืมหรือทำไม่ได้มั้ง ฮ่าๆๆ


จุดอ่อนอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับคำวิจารณ์อันใหญ่ยิ่ง


จะพยายามแก้ไขไปเรื่อยๆ ครับ

0
A.L. Lee 21 ม.ค. 62 เวลา 08:30 น. 4

ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ

แต่คอมเมนต์ก็เหมือนที่คุณ G.Tenju ว่า

คุณประดิษฐ์คำเยอะไปหน่อย ในช่วงที่เป็นฉากทั่ว ๆ ไปที่ไม่สำคัญนัก บรรยายให้รวบรัดไว้ดีกว่า ค่อยไปบรรยายเยอะ ๆ ในฉากที่ต้องการดึงอารมณ์คนอ่านเอาค่ะ

1
ปล่อยอึ่ง 21 ม.ค. 62 เวลา 18:55 น. 4-1

วันนี้ขณะทำงาน เอาแต่คิดว่าจะทำยังไงดีว้าาาาเรื่องการบรรยาย เกือบสลดแน่ะ พอกลับมาอ่านคอมเมนท์ที่เหลือ ค่อยใจชื้นหน่อย ขอบคุณครับ ไว้จะค่อยๆ พัฒนาต่อไปครับ

0
Louis Forest 21 ม.ค. 62 เวลา 09:15 น. 5

ผมว่าโอเคเลยครับ แต่ว่า...


ถ้านิยายคุณร่วมสมัย การบรรยายก็ควรร่วมสมัยนะครับ (contemporary) ซึ่งถ้าเราใช้คำในประเภทใดประเภทหนึ่งมากคำแค่ไหน มันก็จะช่วยสร้างบรรยากาศนั้นมากขึ้นเท่านั้น (งงไหม?)


จุดนี้เราต้องเข้าใจธีมตัวเองก่อนครับ เพราะถ้าเรามั่นใจในธีมตัวเองแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการและสติปัญญาของคนอ่านล้วน ๆ แล้วครับ


อย่างแนวไซไฟ (หรือแนวพยายามจะไฮเทค) ก็จะใส่ศัพท์แสง technobable มาเยอะ ๆ เช่น บีมแอเรียซิงเกิลเอนเนอร์จี (มันหมายความว่าไรก็ไม่รู้) แต่เมื่อไหร่มีคำแบบ 'เหาะทะยานโดยเวหา ดั้นหมอก ออกกลีบเมฆา เหาะระเห็จเตร็จฟ้า' คนอ่านก็จะเอ๊ะจิรากรได้ครับ เพราะคนยุคใหม่ที่เข้ามาอ่านนิยายร่วมสมัย เขาก็คาดหวังว่าจะได้เจออะไรร่วมสมัย


แต่ก็จะมีนักเขียนกวนบาทา (อย่างเช่นผม) ที่จงใจใช้ประโยคแปลก ๆ แต่นั่นมีจุดประสงค์อื่น คือไม่ได้จะสร้างบรรยากาศ แต่จะกวนประสาทมากกว่าครับ (อยากให้คนอ่านเอ๊ะจิรากร)

2
Chibi_Maru 21 ม.ค. 62 เวลา 11:20 น. 6

เท่าที่อ่านดูก็ถือว่าโอเคแล้วนะครับ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจตัวเองก็แนะนำว่า ลองไปหางานเขียนเรื่อง The Lost World ของ อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ มาอ่านดูครับ รับรองว่าจะมั่นใจในงานเขียนของตัวเองมากขึ้น ที่เหลือก็แค่แก้ไขเรื่องคำผิดกับการเว้นวรรคเท่านั้นเอง ส่วนพวกคำสร้อยหรือพวกการเล่นคำก็สามารถใส่ได้ แต่ก็ต้องดูเรื่องของความเหมาะสมของรูปประโยคด้วยนะครับบ

3
ปล่อยอึ่ง 21 ม.ค. 62 เวลา 19:00 น. 6-1

จริงด้วย ผมมีหนังสือเชอร์ล็อก โฮล์มส์อยู่นี่ ลืมไปเลย

ขอบคุณที่แนะนำครับ

0
Chibi_Maru 21 ม.ค. 62 เวลา 19:23 น. 6-2

เชอร์ล็อคกับลอสเวิร์ด รูปแบบคำบรรยายต่างกันนะครับ เชอร์ล็อตจะเป็นบุคคลที่ 2 เล่าเรื่องผ่านตัวละครวัตสัน ส่วนลอสเวิร์ดจะเป็นบุคคลที่ 1 เล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวเอก ที่ผมแนะนำให้ไปลองอ่านลอสเวิร์ดก็เพราะ ถึงจะเป็นนิยายบุคคลที่ 1 แต่ก็การเขียนบรรยาย ก็ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยายบุคคลที่ 3 เพราะการบรรยายที่กว้างและมีการอธิบายส่วนต่างๆอย่างละเอียด จนบางทีก็นึกว่ากำลังอ่านนิยายบุคคลที่ 3 อยู่

0
ปล่อยอึ่ง 21 ม.ค. 62 เวลา 20:29 น. 6-3

อ๋อ ทีนี้ก็เข้าใจในสิ่งที่คุณคอมเมนท์ที่1บอกซะที ไว้จะลองหามาดูครับ

0
21 ม.ค. 62 เวลา 11:49 น. 7

ส่วนตัวชอบนะคะ เเต่เหมือนโดนยืนอยู่วงนอกบทสนทนามากกว่า คิดว่าหากคุณเขียนในเชิงบรรยายบรรยากาศน่าจะดีเลยล่ะค่ะ แต่หากเขียนในเชิงบุรุษ1-2 น่าจะเปลี่ยนนิดนึง เเต่รวมๆคือชอบค่ะ

2
ปล่อยอึ่ง 21 ม.ค. 62 เวลา 19:43 น. 7-1

มันไม่สามารถดึงให้คนอ่านเข้าไปเป็นส่วนร่วมหรือคล้อยตามได้เลยเหรอครับ

0
22 ม.ค. 62 เวลา 11:29 น. 7-2

ดึงได้ค่ะ เเต่อาจจะยังไม่มาก เนื่องจากยังรู้สึกยืนเป็นคนนอกเลยอารมณ์ไม่ได้คล้อยตามสักเท่าไร เเต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสไตล์ก็ได้นะคะ เเค่หาทางอธิบายให้คนเข้าร่วมอารมณ์ได้ตามสไตล์คุณก็น่าจะโอเคเเล้วค่ะ สู้ๆนะคะ :)

0
☆ราชินีอิซาเบลล่า☆ 21 ม.ค. 62 เวลา 15:10 น. 8

ดีขึ้นตั้งเยอะเลยค่ะ พอดีเพิ่งเห็น คำว่า เหตุไฉน มันเป็นคำของยุคเก่าค่ะ ควรใช้กับยุคโบราณ ไม่ใช้ในยุคใหม่ คุณสามารถเปลี่ยนได้ เป็น เพราะเหตุอะไรถึงได้เงียบไป อย่างนี้ค่ะ

4
พี่ตุลา 21 ม.ค. 62 เวลา 19:02 น. 9

มีคนติคำว่าเหตุไฉนกันหลากหลาย เเต่ผมออกจะชอบ.. โดยส่วนตัวเเล้วเท่าที่อ่าน ผมโยนนิยายคุณอยู่ในยุคประมาณสิบยี่สิบปีก่อน อารมณ์การบรรยายมันใกล้เคียงนะ หรือคุณคิดว่าไง? เเต่พออ่านคอมเเม้นของคุณG.Tenju ผมก็รู้สึกว่า เเหม เรานี่มันช่างอ่อนด๋อยเรื่องประสปการณ์ #สวัสดีโลกนอกกะลา สราภาพตามตรงว่าผมไม่เห็นจุดที่คุณเเก้ไข.. บางทีผมคงต้องเปิดมันเทียบกัน #เเก่เเล้วก็งี้

1
ปล่อยอึ่ง 21 ม.ค. 62 เวลา 20:32 น. 9-1

...สราภาพตามตรงว่าผมไม่เห็นจุดที่คุณเเก้ไข...

ช่วยแปลตรงนี้ให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมยังงงๆ อยู่เลย

0
white cane 21 ม.ค. 62 เวลา 19:29 น. 10

อ่านแล้วยังให้ความรู้สึกเหมือนการเล่าบุคคลที่สามอยู่ครับ แต่บางคนอาจจะชอบก็ได้ เพราะการเล่ามันไม่มีกฎตายตัว บางคนเล่ากระชับ แต่เหมือนการพูดห้วนๆ มันห้วนจนดูเหมือนเป็นสมุดบันทึกความในใจของคนเก็บกดก็มี แต่บางครั้งก็บรรยายมากเกิน จนเหมือนหลุดเข้าไปโลกแห่งบทกลอนก็มี


อย่างที่ผมเคยบอกไปครับ เขียนในแนวทางที่ตนถนัด มันจะเป็นผลดีต่อตัวเราเองมากที่สุด หากเราชอบการประดิษฐ์ถ้อยคำให้ดูสวยหรู ก็เขียนไปเถิดครับ

1