Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

ตั๋วการเดินทางในอดีต

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

คุณเคยเห็นอดีตและปัจจุบันออกเดินทางไปพร้อมๆกันหรือเปล่า?
   การเดินทางผ่านภาพถ่าย ที่ไม่ว่าเราจะออกเดินทางด้วยเหตุผลอะไรนั้น ผลลัพธ์ภาพถ่ายที่ได้จากการเดินทางนั้น อย่างน้อยก็คงจะทำให้เราสัมผัสกับความหมายของชีวิต ณ ช่วงหนึ่งของการเดินทาง
   การถ่ายภาพนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตเรามานานแล้ว เรามีความสุขทุกครั้งเมื่อได้ลั่นชัตเตอร์ และการเดินทางได้นำพาตัวเราออกไปเจอสิ่งใหม่ๆ “กล้องฟิล์ม” เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้จักดีว่านิยมในสมัยก่อน เป็นกล้องที่โบราณเล่นยากมาก และก่อนจะได้รูปมานั้นต้องใช้เวลา นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของเรา เราหลงใหลเสน่ห์ของกล้องฟิล์มมานานมาก 
   จนเกินการเดินทางที่ทำให้เราไปพบกับจุดกำเนิดในการถ่ายภาพฟิล์ม เราได้เดินทางไปที่กรุงเทพฯ ไปหาพ่อกับแม่ และมีวันหนึ่งเราได้เดินเข้าไปในห้องเก็บของ เจอกล่องที่ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดีอยู่เลยเปิดกล่อง นั้นดู มีกล้องฟิล์มยี่ห้อ Minolta วางอยู่ในนั้นและยังมีม้วนฟิล์มอยู่ในกล่องที่หมดอายุแล้ว เราเลยขนออกมาถามพ่อว่า “กล้องกับฟิล์มยังใช้ได้อยู่ไหม” พ่อบอกเราว่ายังกล้องยังใช้ได้อยู่ แค่ช่องมองภาพมีฝุ่นนิดหน่อย แต่ฟิล์มน่าจะหมดอายุไปแล้ว หลังจากนั้นเราเลยเอากล้องมาเช็ดให้ดูสะอาดกว่าเดิม และชวนพ่อไปดูฟิล์มที่ห้างแห่งหนึ่ง ให้ช่างตรวจเช็คสภาพด้วย ปรากฏว่ากล้องสภาพโอเคกว่าที่คิด ช่างแค่แนะนำการใช้เบื้องต้นให้และแนะนำฟิล์มว่าแต่ละยี่ห้อของฟิล์มเป็นอย่างไร หลังจากนั้นเราเลยทดสอบกล้องจากการถ่ายไปเรื่อยของเราและถ่ายครบแล้วนำไปให้ร้านล้างฟิล์มออกมา ภาพที่ได้มามีทั้งเบลอและชัด แต่สิ่งที่สำคัญภาพที่ได้มาเห็นแสงพระอาทิตย์ และเงาต่างๆเหมือนกับที่ดวงตาเราเห็น มันเหมือนจริงมากๆซึ่งต่างจากกล้องดิจิตอล
    เราเริ่มศึกษาอย่างจริงจังในการเล่นกล้องฟิล์ม ผ่านร้านที่เราให้เขาเช็คสภาพครั้งแรก และจากพ่อเราด้วย หลังจากกลับจากกรุงเทพฯ เราก็นำกล้องกลับมาด้วย แต่เราก็ได้หยุดถ่ายภาพไป จนเลื่อนผ่านในทวิตเตอร์มีคนขายม้วนฟิล์ม ซึ่งตอนนั้นเมื่อสองปีที่แล้วฟิล์มยังราคาถูก เราจึงสั่งจากร้านนั้นมาลองถ่ายภาพและประจบเหมาะที่ทำให้เราได้มีการเดินทางเกิดขึ้น เราใช้ชีวิตการเดินทางขึ้นสู่เทือกเขา บนดอยในภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตที่นอกเหนือการเดินทางไปกรุงเทพฯ เราขึ้นดอยบ่อยมากเพราะเนื่องจากลุงมีไร่อยู่ที่นั้น เราชอบที่จะไปไร่ชอบที่จะได้เก็บผัก เก็บผลไม้จากแปลง และจุดเริ่มต้นภาพถ่ายและการเดินทางก็เกิดขึ้น หลังจากที่เราได้สั่งฟิล์ม เขาจัดส่งให้เราภายในไม่กี่วัน ทำให้เราได้หยิบกล้องและฟิล์มติดมือเราไปพร้อมกับการเดินทางด้วย เราได้ลั่นชัตเตอร์ครั้งแรกก่อนก้าวขาขึ้นรถไปกับลุง ซึ่งฟิล์มม้วนนี้คือ fuji 100 ในม้วนมี่แค่ 27 ภาพเท่านั้น เราถ่ายระหว่างทางไปด้วย แต่ละภาพต้องใช้สมาธิสูงมาก เพราะมีรายละเอียดเยอะในการถ่ายรูปจากกล้องฟิล์ม เมื่อถึงไร่เราก็เดินถ่ายรูปไปจนหมดม้วน ไร่ของลุงตั้งอยู่ที่สะเมิง ทุกๆครั้งที่เราไปที่ไร่เราจะพกกล้องฟิล์มติดมือเรามาด้วยตลอด แต่หลังๆมาราคาฟิล์มเริ่มสูงขึ้น เพราะเริ่มมีคนนิยมกลับมาใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายรูปเช่นเดียวกันกับเรา การใช้กล้องฟิล์มมีแต่คำว่า “ลงทุน” นอกจากค่าฟิล์มแล้ว เรายังต้องเสียค่าล้างฟิล์มอีกและคงเป็นไปไม่ได้ที่กล้องฟิล์มจะแข็งแรง ทนทาน และไม่พัง กล้องฟิล์มมีปัญหาบ่อย จนตอนนี้ทำให้เรามีกล้องฟิล์มสามตัว แต่ในสามตัวนี้พังหมดแล้ว ณ ปัจจุบันนี้ ไกหมุนเพื่อกรอฟิล์มค้างบ้าง เลนส์มีฝา ราขึ้นก็มี ขายเพื่อที่จะซื้อตัวใหม่ไปบ้าง เราดองรูปที่ล้างไว้นานแล้วเก่งมาก ถ้าเป็นปีที่แล้วนับว่าเป็นปีแห่งการเดินทาง เราไปกรุงเทพฯและเชียงใหม่ มากกว่าที่จะอยู่บ้านเราที่หนองบัวอีก และเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่พกกล้องฟิล์มไปด้วยกับเรา เราจำได้ว่าช่วงที่ไปกรุงเทพฯเราถ่ายรูปหมดไปหลายม้วน และนำไปล้างค่าใช้จ่ายแสนสาหัสมาก เล่นงานไปหลายบาท และยิ่งไปเชียงใหม่ช่วงปิดเทอมภาคเรียนที่หนึ่งของปีที่แล้ว อากาศกำลังดี ไปทำงานบนไร่ด้วย เที่ยวเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงด้วย เป็นอะไรที่ถ่ายรูปทุกอย่างเก็บไว้เยอะมาก และแน่นอนค่าล้างรูปมากกว่าที่ไปถ่ายกรุงเทพฯแน่ๆ เราไปเที่ยวทุกที่ ที่คิดว่าสวย และตามสไตล์เราด้วย เราเป็นคนที่ชอบภูเขาชอบเสียงธรรมชาติ ชอบเดินป่า และสถานที่ ที่ประทับใจและตาตรึงมาสุดคือ “ม่อนจอง” เราจำบรรยากาศได้ทุกช่วงเวลาเมื่อเรากลับไปดูภาพถ่ายที่ได้มาจากกล้องฟิล์ม เราเดินขึ้นม่อนจองกันกับ ลุงและลูกชายลุงที่อายุเท่าๆกันกับเรา ม่อนจองเป็นเขาที่สูงอันดับสองของเมืองไทย เพราะฉะนั้นเราใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงจากด้านล่างขึ้นไปถึงบนยอดเขา เพื่อไปกางเต้นท์นอนดูดาว และพระอาทิตย์ขึ้น และรับหมอกยามเช้า การเดินทางขึ้นมาด้านบนเป็นอะไรที่ยากลำบาก เพราะกลางวันอากาศแปรปรวน เดี๋ยวแดดออก และไม่นานฝนก็ตกลงมา เป็นแบบนี้สลับกันไปช่วงๆ ด้วยความสูงจะเกิดความชันมาก ทำให้ปวดขา และก่อนจะถึงจะพบกับเนินฮิบฮอบเพื่อทดสอบความแข็งแรงของขา โดยเราต้องวิ่งขึ้น เหนื่อยมาก หอบเลย และก็ต้องเดินต่อไปอีกนิดเพื่อถึงลานกางเต้นท์ที่เจ้าหน้าที่อุทยานกำหนดไว้ให้ นอกจากจะได้เห็นธรรมชาติแล้ว เรายังได้พบกับมิตรภาพ คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ได้นำพาให้เรามารู้จักกันในที่แห่งนี้ อายุที่ต่าง สถานะภาพที่ต่างกัน แต่ทุกคนพูดคุยกันเหมือนสนิทกันมาก คงเป็นช่วงที่เดินขึ้นนี่แหละ ที่ทำให้สนิทกัน เป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ดีต่อกัน ตกกลางคืนนั่งดูดวงด้วยกัน และล้อมวงทำอาหารด้วยกัน เหมือนเข้าค่ายเลยความรู้สึกแรก และต่างคนแยกย้ายกันกลับเข้าเต้นท์เพื่อมาเจอพระอาทิตย์ขึ้นกับหมอกหนาๆ ในช่วงเช้า เราถ่ายได้ภาพผ่านกล้องฟิล์มไปเยอะมาก จนคนข้างๆแซวว่า “ถ่ายไว้เผื่ออนาคตหรอ” ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกอะไรจนเวลาผ่านไปเราไปล้างรูปและร้านส่งไฟล์มาให้ เราเปิดดูแล้วนึกถึงคนที่เคยพูดไว้ว่า ถ่ายไว้เผื่ออนาคตหรอ มันคงเกิดขึ้นจริงๆแล้วแหละ เพราะนับตั้งแต่วันนั้นเราไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ขึ้นไปม่อนจองอีกเลย เราได้ไปแค่สถานที่อื่น เราคงได้ดูแค่ภาพถ่ายและคิดว่าตอนนั้นม่อนจองที่เราถ่ายคงกลายเป็นอดีตไปแล้ว เพราะอนาคตสถานที่เหล่านั้นคงเปลี่ยนไป 
ทำไมถึงคิดที่จะถ่ายกล้องฟิล์ม? กล้องฟิล์มค่าใช้จ่ายแพงนะ! 
   นี่เป็นคำถามที่เราเจอบ่อยมาก แต่เรามักจะตอบว่าการถ่ายกล้องฟิล์ม ทำให้สมาธิเรานิ่งขึ้น และเด็ดขาดมากขึ้น ทำให้เรามันใจในตัวเอง ทุกคนก็จะงงว่าสิ่งที่เราพูดคืออะไร กล้องฟิล์มเป็นกล้องที่ต้องอาศัยความตั้งใจและใช้สมาธิในการถ่ายแต่ละครั้งสูงมาก เพราะมีรายละเอียดเยอะ และการลั่นชัตเตอร์แต่ละครั้งต้องมีความมั่นใจในการถ่าย เพราะกล้องฟิล์มไม่สามารถ เช็ครูปที่ถ่ายได้ว่าชัดหรือเบลอ องศาได้หรือเปล่า เราจะเห็นรูปเราก็ต่อเมื่อเรานำไปล้าง และทางร้านส่งรูปมาให้ จริงๆตอนเปิดดูรูปที่ร้านส่งมาให้เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากเพราะรูปที่เราคาดหวังตอนนั้นที่เรากดถ่ายในบรรยากาศช่วงนั้นมันดีมากจริงๆก็ย่อมอยากเห็นภาพที่สมบูรณ์ ตั้งแต่ที่ถ่ายมาก็มีที่สมหวังแล้วก็ผิดหวังกับภาพที่ถ่ายเป็นธรรมดา ค่าใช้จ่ายก็สูงจริงแต่คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มา เพราะแต่ภาพเราได้คิดเสมอก่อนลั่นชัตเตอร์ไป และเราจดจำช่วงเวลานั้นได้ดีที่สุดเพราะเรามีความตั้งใจ และสิ่งที่ทำให้ภาพในช่วงนั้นเป็นสิ่งที่เรามองไปกี่ครั้งก็รู้สึกได้คือ แสง สี และเงาของภาพช่วงนั้น เพราะสีของฟิล์มเหมือนสีจริงๆที่ดวงตาเราเห็น ซึ่งเราว่าเราคิดไม่ผิดที่จะเล่นกล้องฟิล์ม ถ่ายทอดศิลปะผ่านม้วนฟิล์มออกไป เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นภาพถ่ายของตัวเอง.. 
   กล้องคือตัวหยุดความทรงจำ แต่ภาพถ่ายจะมีค่าในอนาคต ภาพถ่ายเป็นเหมือนตั๋วในอดีตที่เรามองภาพเหล่านี้ เราจะนึกถึงสถานที่ในอดีต ความทรงจำ ความรู้สึกที่เราได้สัมผัส ทำให้เราได้เห็นชีวิตในแต่ละช่วงของเราจริงๆ การเดินทางผ่านภาพถ่ายของเราในแต่ละสถานที่เป็นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิต กล้องฟิล์มคือส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว เป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการเดินทาง เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราถ่ายในวันนี้ อนาคตจะเปลี่ยนแปลงจากที่ดวงตาเราเห็นตอนนี้มากน้อยแค่ไหน เราทำได้เพียงบันทึกการเดินทางในชีวิตของเราผ่านภาพถ่ายเอาไว้ดูในอนาคต ให้ภาพถ่ายเป็นสื่อกลางในการนำเรากับไปในความทรงจำช่วงนั้น..
        ฝากติดตาม"phitchafilm" ในIG เราด้วยนะ
       มาร่วมเดินทางไปกับม้วนฟิล์มด้วยกันเถอะ-//-








แสดงความคิดเห็น

>

3 ความคิดเห็น