ถ้าเอานิยายระบบของคนไทยลงเป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทย การศึกษาไทยจะดีขึ้นหรือแย่ลง
ตั้งกระทู้ใหม่
นิยายที่มีการใส่ระบบเกมเข้าไป ถ้ากระทรวงศึกษาธิการตัดสินใจนำนิยายระบบที่คนไทยเป็นผู้แต่ง ใส่ลงไปในหลักสูตรวิชาภาษาไทยสำหรับชั้นประถมหรือมัธยม อีกทั้งออกสอบกลางภาคหรือปลายภาค รวมถึงสอบเข้ามหาลัย บางเรื่องอ้างว่าเขียนแล้วได้เงินหลักแสนต่อเดือน ถ้าทำแบบนี้จะเป็นยังไงต่อ ช่วยปลูกฝังเด็กไทยรักการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นรึเปล่า หรือทำให้วรรณกรรมไทยแปดเปื้อน
คิดเห็นยังไงบ้าง
9 ความคิดเห็น
ผมคิดว่าไม่นะ แล้วก็เอาจริงๆผมว่าเด็กไทยก้ไม่ใช่ว่าไม่รักการอ่านไปซะหมดนะ เพียงแต่บางครั้งสิ่งที่อ่านมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่ไดโนเสาร์บางคนอยากให้อ่านก็เท่านั้นเอง "อ่านในสิ่งที่เค้าไม่ได้อยากให้อ่าน = ไม่อ่าน" นั่นแหละครับในสายตาเค้าน่ะ
เอาแค่คัดครูที่สอนให้ใช้คะ/ค่ะ ให้ถูกก่อนน่าจะดี
เคยเจอวิทยากร แนะนำตัวว่าเป็นครูกสน. พูดนะค่ะ จบทุกประโยคเป็นชั่วโมงที่ปวดหัวมาก
หมายถึงในแชทหรือในสไลด์อะไรงี้เหรอครับ ถ้าถึงกับพูดออกเสียงผิดนี่เกินเบอร์นะนั่น
พูดขณะอบรมในห้องประชุมอำเภอเลยค่ะ น้าสะใภ้ที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ยังสะกิดด้วยคิ้วขมวด เขาพูด 'นะค่ะ' ทุกประโยคเลย
โห ถึงขั้นพูดออกเสียงผิดนี่หนักมากนะ ถ้าแค่เขียนผิดนี่ยังพอเข้าใจว่าผันเสียงวรรณยุกต์ไม่เป็น แต่ถ้าถึงขนาดพูดผิดนี่มันแบบ... ไม่รู้จะพูดยังไงเลย
ไม่เห็นด้วยครับ
นิยายแนวระบบกำลังมาแรงจริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อิน และมันเป็นอะไรที่กำลังลอยเพราะกระแส ยังไม่ได้รับการยอมรับว่าดีแบบวรรณกรรมอมตะ
อาจมีคนย้อนว่า "เอ้า วรรณคดีฉันก็ไม่อินเหมือนกัน แถมบางเรื่องพระเอกเลวเว่อร์ ไม่อยากอ่านโว้ย"
คืองี้ครับ ผมมองว่าพวกวรรณคดีต่าง ๆ ที่เด็กเรียน มันมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ อ่านแล้วได้ความรู้ในเรื่องการประพันธ์ ประวัติศาสตร์ ค่านิยมในยุคนั้น ๆ เป็นอะไรที่ถูกยอมรับว่ามีมาตรฐานมาแล้ว
เดี๋ยวก็อาจมีคนแย้งมาอีกว่า "นิยายฉันก็ดัง มีคนอ่านเยอะ ให้ความรู้ ภาษาดีเหมือนกัน"
โอเคครับ ก็ได้ครับ 5555 แต่ประเด็นคือมันยังไม่ได้รับการยอมรับในวงการ ไม่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่าง ๆ อาศัยความดังในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะดังได้อีกกี่ปี ผ่านไปอีก 3 ปี กระแสเปลี่ยน อาจจะเหงาก็ได้ครับ
ถ้าของใครดังไปตลอดชีวิต ผ่านไป 500 ปีแล้วยังดังอยู่ คนรุ่นหลังยกให้เป็นสมบัติของชาติ ก็ขอชื่นชมยินดีด้วยครับ เด็กรุ่นถัด ๆ ไปคงจะได้เรียนกัน เด็กก็จะได้อ่านงานดี ๆ มีสาระของโลกยุค 500 ปีก่อน ดีครับ
แต่ในยุคปัจจุบัน นิยายในยุคนี้ยังไม่ได้ถูกยอมรับขนาดนั้น แล้วอย่างแนวระบบนี่หลายคนก็ไม่อิน อย่างผมเนี่ย ไม่อินตั้งแต่แนวเกมออนไลน์แล้ว ไม่เกี่ยวกับว่าดีไม่ดี มันเหมือนให้คนเกลียดทุเรียนไปกินทุเรียนแหละครับ ต่อให้เนื้อดียังไง คนไม่ชอบก็คือไม่ชอบ มันดูมัดมือชกไปหน่อย
การอยากส่งเสริมการรักการอ่าน อาจจะให้เด็กเลือกนิยายที่สนใจมาอ่านกันเองแล้วมีคะแนนให้ หรือให้เด็กวิเคราะห์นิยาย ให้กล้าแสดงออกมาเล่านิยายให้เพื่อนฟัง แบบนี้น่าจะดีกว่าครับ
มาถึงเรื่องได้เงินแสน ใครได้ก็ยินดีด้วยครับ แต่ผมมองว่าใช้เหตุผลนี้มาบรรจุไม่ได้ ไม่งั้นอีกหน่อยมีคนขายขนมโตเกียว ได้เงินล้านต่อเดือน กลายเป็นนักเรียนทุกคนต้องมาหัดทำโตเกียวหรือไปกินโตเกียวอีก 5555
นิยายแนวระบบผมก็คนนึงที่เขียนได้เงินแสน แต่มันเอามาเปรียบเทียบในลักษณะนั้นไม่ได้ ผมไม่ได้เขียนนิยายขึ้นเพื่อหวังจะให้คนยอมรับเหมือนวรรณกรรมสมัยก่อนที่ท่านยกมาอ้าง ภาษาภายในเรื่องไม่ได้ดีเด่อะไรเลย มันไม่มีคุณค่าให้ยกไปเชิดชูอะไรแบบนั้นหรอกถ้าท่านจะมาถามหาคุณค่า อ่านแล้วอาจจะได้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตบ้าง แต่จุดประสงค์หลักในการเขียนงานประเภทนี้คือ "ให้ความบันเทิง" อ่านแล้วทำให้ผู้อ่าน "สนุก ผ่อนคลาย คลายเครียด" มันเป็นงานประเภทนั้นมากกว่า ถามว่ามันจะช่วยให้เด็กไทยรักการอ่านเพิ่มมากขึ้นไหม คำตอบคืออาจจะช่วยครับ ถ้าเด็กอ่านแล้วมันสนุก มันก็ทำให้อยากอ่านต่อ เด็กก็จะเรียนรู้ที่จะอ่านเพิ่มขึ้น แต่อ่านแล้วได้อะไรกลับมาไหม อันนี้ไม่ขอตอบ เพราะมันก็แล้วแต่งานว่านักเขียนได้สอดแทรกความรู้ที่ใช้ได้จริงลงไปในนิยายระบบไหม ส่วนตัวนิยายของผม ผมใส่ กลับกันบังคับให้ไปอ่านวรรณกรรมอะไรที่มันมีคุณค่าทางภาษาอย่างที่ท่านบอก แต่เนื้อหาเป็นยุคไหนแล้วก็ไม่รู้ อ่านแล้วรู้สึกเบื่อ มันก็ไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กรักการอ่านขึ้นมาหรอกครับ ก็แค่ในมุมมองของผมนะครับ ก็แค่อยากจะมาตอบในมุมมองของนักเขียนที่เขียนนิยายระบบ จุดประสงค์ในการเขียน ผมไม่ได้หวังจะให้นิยายผมขึ้นหิ้ง หรือมีคนเอานิยายผมไปบูชา เอานิยายผมไปเป็นต้นแบบเหมือนพระอภัยเลย ผมเขียนเพื่อให้นักอ่านที่เข้ามาอ่านได้ความบันเทิงเริงใจ ผ่อนคลาย รู้สึกสนุกสนาน ซึ่งจากยอดขายที่ได้มา มันก็ถือว่างานเขียนผมบรรลุจุดประสงค์ มันก็ประมาณนั้นครับ ผมก็แค่ปรับตัวตามยุคสมัยให้ตัวเองอยู่รอด
ไม่ต้องถึงขั้นนิยายระบบก็ได้มันเฉพาะทางเกิ๊น
แค่วรรณกรรมเยาวชนทั่วไปก็พอแหละ
ลองคิดเล่น ๆ ว่าการเอานิยายระดับนี้ ที่มียอดขายสักหลักหมื่นหลักแสนไปอยู่ในหลักสูตร บางทีอาจจะทำให้เด็กเข้าถึงวรรณกรรมได้ง่ายขึ้น และมีเหตุผลในการตั้งใจเรียนวิชาภาษาไทยมากขึ้นก็ได้
อย่างเช่นว่า
เอ๊ เขียนแค่นี้ก็ขายได้แล้วหรอ ลองตั้งใจเรียนเทคนิคต่าง ๆ ผ่านวิชาภาษาไทยแล้วมาลองเขียนบ้างดีกว่า
ปัจจุบันเรารู้สึกว่าการยกแต่ผลงานขึ้นหิ้งมามันดูเข้าถึงยาก ยิ่งทำให้ดูว่าการแต่งวรรณกรรมเป็นเรื่องไกลตัวมาก ๆ และเหมือนเป็นการบอกอ้อม ๆ ว่าจะเป็นนักเขียนได้อาจจะต้องมีพรสวรรค์ระดับ 'นักกวี'
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วงานเขียนดี ๆ มันอาจจะออกมาจากใครก็ได้
ก็ต้องดูว่าเรื่องที่เอามาใส่ในหลักสูตร
มีความดีความงามอย่างไรให้ศึกษา
มันเปิดโลกของเขาได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าหนังสือมันเปิดโลกเขาได้เขาก็ชอบอ่านเอง
ถ้ามองกันที่ตัวเงิน ผมเห็นด้วยว่าทุกชั้นปีตั้งแต่ประถม 1 ควรเรียนเรื่องการลงทุน
จขกท. คงต้องตอบก่อนครับว่านิยายระบบมีคุณค่าอะไรในทางวรรณกรรม อีกอย่างผมว่ากระทรวงศึกษาธิการเนี่ยเขาดูจะสนใจการบังคับให้นักเรียนตัดผมสั้นและแต่งตัวถูกระเบียบ กับงานเอกสารของคุณครูมากกว่าการจะปลูกฝังให้เด็กไทยรักการอ่านหรือสนใจวรรณกรรมด้วยซ้ำ
วรรณกรรมที่ใช้เรียน ไม่ว่าจะระดับมัธยมหรืออุดมศึกษาของประเทศไหน ก็เป็นวรรณกรรมที่ผ่านการยอมรับว่าดีและมีคุณค่าบางอย่างเป็นวงกว้างค่ะ ซึ่งของพวกนี้มันต้องใช้เวลา
โรงเรียนของไทย ขอให้มีหนังสือสนุกๆ ให้เด็กได้อ่านในห้องสมุดยังยากเลยค่ะ ;w; (แต่เราเป็นขาประจำห้องสมุด รร ค่ะ บรรณารักษ์จำหน้าได้ เคยไปเป็นคนช่วยจัดเรียงหนังสือด้วย 55)
คนละอย่างคนละเรื่องกันก็ควรจะแยกกันไป นิยายขายดีกับนิยายอ่านแล้วฝึกฝนการอ่านการเขียนมันคนละอย่างกันเลย ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่เข้าใจมักคิดว่าจะเอานั่นเอานี่ให้เด็กเรียนคงจะดี
แต่ที่จริงแล้วผู้คิดหลักสูตรการศึกษาเข้าจะตั้งวัตถุประสงค์ไว้ก่อนว่าต้องการให้นักเรียน
พัฒนาด้านไหน แล้วค่อยหาสิ่งที่คู่ควรมาใช้ให้ถูก แต่ความคิดของเจ้าของกระทู้คือตรงกันข้าม
เอาอะไรก็ไม่รู้มาแล้วถามว่าเด็กอ่านแล้วจะได้อะไร??? ผิดตั้งแต่แนวความคิดแล้ว
เอานี้คือตอบตรงดีเห็นด้วย ก็พอจะเข้าใจอยู่แหละ เพราะนิยายระบบมันเกลื่อน 55
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?