เพื่อนๆ บรรยายความคิดในหัวของตัวละครกันยังไงเหรอครับ?
ตั้งกระทู้ใหม่
คือถ้าผมใช้วิธีการบรรยายแบบสรรพนามบุรุษที่ 3
ผมควรจะบรรยายความรู้สึกของตัวละคร หรือใช้เครื่องหมายอะไรที่จะทำให้นักอ่านรู้ว่าประโยคที่ผมกำลังบรรยายอยู่นี้ คือความในใจของตัวละครดีครับ?
11 ความคิดเห็น
เราใช้ฟันหนูค่ะ '...'
ไม่ได้ใช้ค่ะ ก็บรรยายไปเลยว่าคิดในใจ หรือคิดว่า...
ใช้ pov3 ก็เขียนบอกไปเลย
สมชายคิดว่าอาหารจานนี้แย่ที่สุด แย่จนเขาต้องเหลือบตาไปดูสีหน้าของคู่เดตขณะรับประทานอาหาร
ถ้าไม่ใช่บทพูดในใจ ก็เขียนไปตามปกตินั่นแหละครับ
ตัวอย่างเช่นว่า... วันนั้นที่เขาเดินผ่านหน้าร้านสะดวกซื้อ สังเกตุเห็นขอทานคนหนึ่ง ก็คิดในใจว่าทำไมมานั่งขอทานแบบนี้ ทั้งที่ร่างกายก็ครบ แต่ตอนนี้เขาก็ได้รู้คำตอบแล้วเมื่อดูข่าวที่ออกมาแฉว่าขอทานคนนี้มีรายได้วันละเกือบแสนบาท
แต่ถ้าเจ้าของกระทู้หมายถึงใช้สัญลักษณ์อะไรเพื่อเป็นบทพูดในใจ ของผมส่วนใหญ่จะใช้อัญประกาศเดี่ยว
ตัวอย่างเช่นว่า.... "วันนี้เธอแต่งตัวสวยจังเลย" ฉันชื่นชมเพื่อนสนิท แต่ในใจตรงข้าม 'ตกลงนี่มันแต่งตัวจะไปเป็นขอทานหรือไง'
หรือไม่ก็ใช้สัญลักษณ์อะไรอื่น ไม่ว่าจะเป็นตัวเอียง ตัวหนา เป็นต้น
บรรยายความรู้สึก เขียนตามปกติได้เลยค่ะ ส่วนบทพูดในใจ เราไม่ได้ใช้อะไรเลยค่ะ แต่จะเว้นให้ขึ้นย่อหน้าใหม่ แยกความคิดออกจากบทบรรยายเอา บางทีอาจจะใช้ ... นำหน้า
บางสำนักพิมพ์ ก็จะใช้ความคิดในใจของตัวละครเป็นตัวเอียงค่ะ
ผมก็เห็นว่ามีหลายวิธีมากนะ แต่ละเรื่องก็ใช้ไม่เหมือนกัน บางเรื่องก็ใช้ฟันหนู บ้างก็ตัวหนา บ้างก็ตัวเอียง...แต่สิ่งสำคัญคือ ถ้าใช้วิธีไหนไปแล้ว ก็ต้องใช้วิธีเดิมตลอด คนอ่านจะได้ไม่งง ถ้าไม่มั่นใจก็เขียนกำกับลงไปด้วยก็ได้ครับว่าตัวละครคิด
...ส่วนของผม ตัวเอกคิดในใจบ่อยอยู่แล้ว แถมเดินเรื่องผ่านตัวเอกด้วย ผมจึงใช้ [] แทนครับ
การเล่ามุมมองบุคคลที่ 3 ไม่สามารถอ่านความคิดของตัวละครใดๆแม้แต่นิดเดียว ผู้เขียนอาศัยดูการกระทำหรือภาษากายของตัวละครแทน เพราะว่า ลักษณะการเล่าเรื่องผ่านมุมมองบุคคลที่ 3 คือผู้เขียนรู้ว่าเกิดอะไรกับตัวละครในที่เกิดเหตุ แต่ตัวเองไม่ใช่บุคคลในที่เกิดเหตุ
เพื่อนึกภาพออก เพื่อนพระเอกทำหน้านิ่งยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วพูดด้วยสุขุมรักษาบรรยากาศภายในห้องประชุม แต่มือข้างขวาที่ถนัดกลับสั่นกำหมัดจนสมาร์ทโฟนแตกหักคามือแล้วเลือดออกติ้งๆ แค่นี้ก็เดาได้แล้วว่า เพื่อนพระเอกต้องการจะสื่ออะไรโดยไม่ต้องแสดงความคิดในหัวหรือพูดทางปากเลย วิธีนี้เรียกว่า Show, Do Not Tell พูดเสียงดังก็จริง แต่การกระทำชัดเจนกว่าคำพูด
อยากให้คนอ่านรู้ว่าตัวละครคิดอะไรผ่านมุมมองบุคคลที่ 3 ใช้ภาษากายดีที่สุด เพราะชีวิตจริงยังมีบางคนปากไม่ตรงกับใจด้วยนี่สิ
ทำไมอ่านใจไม่ได้ล่ะครับถ้าผมให้มนุษย์มีพลังจิตเป็นบุคคลที่สามมาเล่าเรื่อง หรือให้พระเจ้าที่มองเห็นความคิดตัวละคล มองเห็นกระทั้งอดีตและอนาคตมาเป็นบุคคลที่สามเพื่อเล่าเรื่องก็ได้ไม่ใช่หรือครับ
หรืออย่างน้อยให้ตัวเอกเป็นบุคคลที่สามเล่าเรื่องราวของตัวเองเขาในอดีต เขาก็ต้องรู้ว่าตัวเองคิดอย่างไรในขณะนั้น
บุคคลที่สามต้องเป็นแบบไหนในความคิดของคุณเหรอครับ?
อันนี้แค่อยากแลกเปลี่ยนกันนะ
พอเริ่มอ่านตามที่เจ้าของเมนต์ว่าแล้ว เรากลับเริ่มเห็นด้วยค่ะ คือปกติแล้วถ้าเป็นมุมมองของบุคคลที่ 3 เราต้องเปลี่ยน Mind Set ว่า จริง ๆ แล้วคือ เราไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขาคิดอยู่เลย สามารถอธิบายได้แค่การกระทำของตัวละครตามสิ่งที่เห็นผ่านแววตาเท่านั้น
อย่างตอนเราอ่านนิยายแปล หลาย ๆ เรื่องที่มีการดำเนินเรื่องแบบบุคคลที่ 3 ทั้งหมด (ทั้งหมดในที่นี้ คือ ทั้งหมดจริง ๆ นะคะ แบบว่าไม่ได้มีมุมมองของบุคคลที่ 1 โผล่มาให้เห็นเลย) ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง 'น้องโล่สายแทงก์ แกร่งเกินร้อย' ของสำนักพิมพ์นกย่าง
คือในเรื่องจะไม่มีการเผยความคิดของตัวละครออกมาให้เห็นเลยค่ะ จะบรรยายแค่ว่าใคร ทำอะไร ยังไงแค่นั้น
และการเรียกตัวละครก็จะเรียกด้วย 'ชื่อ' ไปเลย
เราเลยคิดว่า ถ้าเป็นนิยายที่ใช้การบรรยายแบบบุคคลที่ 3 ล้วน ๆ ไม่น่าจะสามารถล่วงรู้ความคิดของตัวละครได้ค่ะ
มุมมองบุคคลที่ 3 มีอยู่ 2 ประเภทย่อยคือ
1.มุมมองบุคคลที่ 3 แบบจำกัด ซึ่งผมพูดข้างต้นไปแล้ว
2.มุมมองบุคคลที่ 3 แบบพระเจ้า
เหตุผลไม่เลือกแบบพระเจ้า เพราะว่าผู้แต่งที่นิยมเขียนมุมมองบุคคลที่ 3 ส่วนมากจะแต่งแบบจำกัด โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ควรสปอยแก่คนอ่านล่วงหน้า บางทีรู้มากไปไม่ได้ช่วยเพิ่มความสนุกแก่คนอ่าน และผู้อ่านบางคนไม่ชอบเนื้อเรื่องยืดจนน้ำล้นแก้ว ขอแค่จับใจความพอสรุปได้พอแล้ว
แต่ถ้าอยากจะเล่าความคิดของตัวละครจนเข้าใจแรงจูงใจแท้จริงหรืออารมณ์ความรู้สึก สู้เล่าเรื่องบุคคลที่ 1 ดีกว่า อย่างเล่าผ่านมุมมองของนางเอก บทบรรยายเป็นตัวแทนของความคิดหรือความรู้สึกของนางเอก เพราะเล่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญด้วยตัวเอง บทพูดคือตัวแทนของคำพูดจากปากต่างหาก ส่วนตัวละครอื่น นางเอกต้องอาศัยการตีความจากฟังคำพูดหรือเสียงรอบตัว หรือดูการกระทำอีกฝ่ายแทน ไม่ใช่ทุกคนจะมีพลังจิตอ่านใจได้หรอก
ไม่เคยเจอตำราเล่มไหนบอกอย่างที่คุณเขียนเลยครับ
แม้แต่ Third-person limited point of view ก็มีความหมายว่า เล่าเรื่อง จำกัดมุมมองผ่านตัวละครเดียว และสามารถรู้จิตใจของตัวละครนั้น ๆ ได้
Third-person omniscient point of view ก็มีความหมายว่า เล่าเรื่อง ผ่านมุมมองหลายตัวละคร และสามารถรู้ภายในจิตใจของตัวละคร ได้
ที่ผมรู้สึกกังวลคงเพราะ มันเป็น"ความเห็น"ของคุณ และความเห็นของคุณก็ได้ไปสร้างกรอบการเขียนขึ้นให้กับคนอื่น อย่างที่ความเห็น 7-2 เป็นก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
มีคนเชื่อไปแล้วว่า "การเล่ามุมมองบุคคลที่ 3 ไม่สามารถอ่านความคิดของตัวละครใดๆแม้แต่นิดเดียว" อย่างที่คุณตอบ
ตำราเล่มไหนสอน? จะบอกว่าสังเกตุจากการอ่านนิยายเป็นร้อยเรื่อง มันก็ไม่น่าใช่ หรือคุณอ่านนิยายเป็นร้อยเล่มแล้วสรุปได้แบบนั้น ผมว่าอันนี้ก็น่ากลัวอยู่นะ
แต่ไม่ได้ผิดนะที่คุณจะเขียน POV3 โดยไม่รู้จิตใจของตัวละคร มันไม่ผิดเลย
ผมมีไอเดียอยากให้บุคคลที่สามเป็นสุนัขที่เล่าเรื่องให้สุนัขตัวอื่นฟังก็ทำได้
ลองหาตำราเขียนนิยายมาอ่านบ้าง อ่านในเวบก็ได้มีสอนเต็มไปหมด เพื่อให้รู้หลักการจริง ๆ เวลาเขียนส่วนที่เป็นความคิดเห็น (opinion) ลีลาภาษาจะได้สื่อสารออกไปว่ามันเป็น "ความคิดเห็น"
ตามความเห็นที่ 7 นี่ไม่น่าใช่เล่าผ่านบุคคลที่3 นะ แต่เป็นเล่าผ่านบุคคลที่หนึ่ง ไม่ทราบว่าจำสับสนหรือเปล่า
ในความคิดความเข้าใจของเรา เขียนในมุมมองบุคคลที่3 คือคนอ่านเปรียบเหมือนพระเจ้าเลยนะ รู้ทุกอย่างทุกความคิด ทุกการกระทำของตัวละครทุกตัว ส่วนบุคคลที่1 จะรู้เพียงความคิดการกระทำของตัวเอกของเรื่องตัวเดียวเท่านั้น เหมือนเราเป็นคนเล่าเรื่องจึงไม่รู้ความคิดคนอื่นอาศัยสังเกตการกระทำและคำพูด
เอ่อ... ที่คุณบอกมานั้น มันเป็นการเล่าบุคคลที่หนึ่งไม่ใช่หรือครับ
อันที่จริง การเล่ามีหลักหลายวิธีมากครับ แม้กระทั่งแถด้วยเหตุผลอันแฟนตาซีก็มี อิๆ
บางเรื่องที่เป็นเหล้ามุมมองบุคคลที่หนึ่ง อย่างเช่นนิยายเรื่องเพอร์ซีย์แจ็กสัน เรื่องนี้ผมคิดว่าคนเขียนอยากจะย้ายไปเล่ามุมมองของตัวละครคนอื่นด้วย แต่ไม่รู้จะทำไงในเมื่อเขียนเป็นมุมมองบุคคลที่หนึ่งแล้ว สุดท้ายยกให้ไปเป็นความสามารถพิเศษของพระเอก ที่สามารถแยกวิญญาณออกไปจากร่าง ไปแอบดูชาวบ้านคนอื่นได้ หรือที่เห็นได้ชัดที่สุดเลยก็คือเรื่องต่อมาของนักเขียนคนนี้ที่เป็นแนวเกี่ยวกับเทพเจ้าอียิปต์ เค้าใช้วิธีสลับมุมมองของตัวละครบุคคลที่หนึ่งโดยเป็นบทของใครของมัน แล้วก็เช่นเดิมใช้วิญญาณออกจากร่างเพื่อไปดูสถานการณ์ แต่คราวนี้ถอดหัวออกไปเลย ส่วนร่างกายนั้น.... ไปหาอ่านเอาเองก็แล้วกันครับ อิๆ
ส่วนเหล้ามุมมองที่สาม ความจริงมันยังแยกย่อยออกมาได้อีกสี่ประเภท...
อย่างแรกก็เหมือนเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์นั่นแหละครับ ส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนความคิดอะไรของตัวละครลงไป ใช้เพียงคำพูดและการกระทำเพื่อสื่อสารให้ผู้อ่านตีความเอาเอง
แยกย่อยที่สองคือเล่าทั้งหมด ทั้งที่เห็น ความคิด และการกระทำ ยกตัวอย่างให้เป็นเรื่องมังกรผู้เฝ้าหอคอยและเรื่องผลาญ เขาได้เขียนความรู้สึกนึกคิดของตัวละครลงไปด้วย ซึ่งการเขียนแบบนี้ก็ไม่ค่อยแตกต่างกับเหล้ามุมมองบุคคลที่หนึ่งมากนัก
อย่างที่สามคือการเขียนจำกัดอยู่ที่ตัวละครเดียว ก็คล้ายเหมือนเหล้ามุมมองบุคคลที่หนึ่งนั่นแหละครับ ไม่ย้ายไปที่ตัวละครใดเลยในเรื่องทั้งสิ้น เล่าอยู่เพียงแค่ตัวละครเอกเพียงตัวเดียวว่าไปพบไปเจออะไรมาบ้าง ตัวอย่างเช่นแฮร์รี่พอตเตอร์ หลังจากจบช่วงบทนำไปแล้ว เราจะสังเกตได้ว่าเนื้อหาทั้งหมดจะหมุนอยู่รอบตัวของแฮร์รี่พอตเตอร์เพียงคนเดียว และสำหรับอันนี้จะผสมผสานอย่างสองข้อย่อยข้างบนด้วยก็ได้
และแยกย่อยที่สี่ก็เหมือนกับหัวข้อย่อยๆที่สามนั่นแหละครับ มีความแตกต่างเพียงแค่การเล่าเหล่านั้นจะกระโดดข้ามไปข้ามมาระหว่างตัวละครเพื่อให้นักอ่านได้เห็นสถานการณ์แบบวงกว้าง
ทั้งหมดที่ยกมาเป็นตัวอย่างนั้น ผมไม่ได้ศึกษามาจากที่ไหนทั้งสิ้น ผมสังเกตและจดจำเอาจากนักเขียนท่านอื่น ซึ่งก็ได้ข้อสรุปมาว่าการเขียนนั้นคือจินตนาการ ซึ่งจินตนาการก็คือไร้ขอบเขตครับ ดังนั้นไม่มีคำว่าใครผิดใครถูก ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้วิธีใดเพื่อสื่อสารให้นักอ่านเข้าใจครับ
นี่มาบอกให้รับรู้เฉยๆ จากนั้นผมก็เดินออกจากห้องประชุมอันดุเดือด อิๆ ไปแล้วจ้า
อ่านเม้นท์นี้จบเมาเลย ก๊กเหล้าไปหลายไห ...เอาๆๆ ชนแก้ว... เอือก...
7-6 ดื่มหนักไปนะ
อันนี้แลกเปลี่ยนกันธรรมดา ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าดุเดือดเลย
เราเคยมีความคิดแบบ คห7 นี่แหละค่ะ ค่อนข้างจะฟิก POV ว่าเข้าถึงตัวละครเดียวเท่านั้น ไม่งั้นก็ห้ามเข้าถึงความคิดไปเลย
แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแล้วค่ะ ไปศึกษามาแล้ว POV 3 แบบพระเจ้า เข้าถึงความคิดตัวละครได้ทุกตัวจริงค่ะ แต่ถ้าอยากจำกัดไม่เข้าถึงเลยก็ไ้ด้เช่นกัน
ทั้งนี้ คนเราจะเล่ายังไงก็ได้ค่ะ ขอแค่สื่อให้คนอ่านรู้เรื่องพอ เพราะอย่างไร ทฤษฎีการเขียนมันก็เกิดขึ้นมาทีหลังกันทั้งนั้น แต่ที่เขาแนะนำ ๆ กัน ก็เพราะเขาค้นพบแล้วว่าวิธีไหนมันง่าย มันเวิร์ก
ลองดูหลากหลายความเห็นได้ตามกระทู้ที่เราเคยตั้งค่ะ https://www.dek-d.com/board/view/3957191/
ไม่ใช่อะ PoV 3 ถ้าเป็นแบบพระเจ้า คือสามารถรู้ได้ทุกอย่างคับ ทำไมจะไม่ได้ PoV 3 แบบเพราะเจ้าคือลักษณะที่เราเป็นคนเล่า ซึ่งเราเป็นคนแต่ง ตัวละครจะไปรู้มากกว่าคนแต่งได้ยังไง ??
แต่ปรกติ เราจะไม่อธิบายทุกอย่างใน PoV 3 เพราะเราไม่ต้องการสปอย์เนื้อเรื่องมากกว่าคับ
Pov3 แบบไม่สปอยคือ pov3 แบบจำกัด ไม่ใช่แบบพระเจ้าเจ้าคะ
ถ้าเป็นผมน่ะ ผมจะปรับให้ข้อความของคนที่คิดเป็นตัวเอียงครับ และระบุว่าคนๆนี้กำลังคิดอยู่ ไม่ได้เอ่ยหรือพูดนะครับ
ใช้เทคนิคเดียวกัน
บรรยายไปเลยคับ จะใช้ 'แบบนี้' แค่ในกรณีที่ตัวละครพูดในใจคับ ถ้าคิดเฉยๆ ก็อธิบายไปเลย
บรรยายดีกว่า Stephen King ได้สอนไว้
รายชื่อผู้ถูกใจความเห็นนี้ คน
แจ้งลบความคิดเห็น
คุณต้องการจะลบความคิดเห็นนี้หรือไม่ ?