Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

บทพูดนี้กำลังจะสื่ออะไร? (ปรึกษา)

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่

สวัสดีคุณนักเขียนทุกท่านที่ผ่านมาเห็นกระทู้นี้ อยากจะขอความกรุณาให้ปรึกษา และขอความคิดเห็นในมุมมองของแต่ละคนหน่อยครับ

พอดีกำลังเขียนนิยายแฟนฟิคชั่นด้อมหนึ่งอยู่ ศึกษาหาข้อมูลต้นฉบับนั้นเพื่อมาเขียนโดยเฉพาะ แต่ก็ต้องมาเอะใจนั่งสงสัยใคร่ครวญกับสิ่งที่ตัวละครกำลังจะสื่อ 
(ไม่ขอเอ่ยชื่อด้อม)

   "จักรวาลมีจุดกำเนิด แต่ไม่มีจุดจบ
    มันไร้อาณาเขตอันขีดจำกัด..
    ส่วนดวงดาวก็มีจุดกำเนิด แต่ทว่ามันก็มีพลังทำลายตัวเองอยู่.. มันมีจุดจบ
    ผู้มีปัญญาเปี่ยมล้นนั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุดนั้น
    เราก็จะได้เรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์
    นี่คงเป็นคำเตือนสุดท้ายจากพระเจ้าที่มอบให้กับผู้ที่แข็งขืนผู้ไม่ทำตามประสงค์ของท่าน"

นี่คือตัวอย่างบทพูดส่วนหนึ่ง ภายใน 3 บรรทัดแรกนั้นผมเข้าใจ ทว่าที่สงสัยคือบทพูดนี้

   'ผู้มีปัญญาเปี่ยมล้นนั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุดนั้น
    เราก็จะได้เรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์'

ประโยคนี้ต้องการจะสื่ออะไรหรอครับ?
(ต้นฉบับดั้งเดิมที่ศึกษาตีความนำมาเขียนแฟนฟิคชั่นนั้น เป็นเรื่องแนวไซไฟวิทยาศาตร์เกี่ยวกับทฤษฎีโลกคู่ขนานและการย้อนเวลา) 
ผมไปปรึกษาเพื่อนนักเขียนท่านหนึ่ง ซึ่งเขาตีความหมายได้ว่า "อาจจะหมายถึงพวกที่ดูเหมือนจะฉลาด แต่ไม่ฉลาดกับคนที่ดูโง่" เขาบอกกับผมมาอย่างนี้นะ แต่ก็ทั้งเข้าใจและก็ไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน
เลยอยากลองมาถามในมุมมองนักเขียนคนอื่น ๆ ดูบ้างว่าจะมีความคิดเห็นกับบทพูดนี้อย่างไร จุดประสงค์การถามในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการจะเข้าถึงตัวละครให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่อยากให้มีการ Ooc มากนัก

แสดงความคิดเห็น

14 ความคิดเห็น

ลุงกริชมือบอน 6 พ.ย. 65 เวลา 21:49 น. 1

ทุกสิ่งมันช่างยิ่งใหญ่ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็จะรู้ว่าเราไม่รู้มากขึ้นเท่านั้น เราเป็นเพียงสิ่งเล็กจ้อย สุดท้ายแล้วเราก็ไม่อาจกำหนดอะไรได้ มั้ง??

0
สหายนักเขียน 6 พ.ย. 65 เวลา 22:32 น. 2

ถึงมีความรู้แต่เพื่อต้องการพิสูจน์ความเชื่อ และความท้าทาย ก็สามารถทำอะไรโง่ๆ จนตัวเองต้องตาย คนรุ่นหลังได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์

เช่น ดวงอาทิตย์ แม้จะรู้ว่ามันอันตราย แต่ก็มีคนอยากพิสูจน์ บินเข้าไปใกล้เพื่อให้เห็นกับตา

0
Sambaboy 6 พ.ย. 65 เวลา 23:19 น. 3

ตีความตามความเข้าใจนะครับ


ความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่คิดว่าตัวเองฉลาดล้ำ อาจจะนำมาซึ่งหายนะ

ประวัติศาสตร์บอกใบ้เรื่องเหล่านี้ไว้เป็นระยะ

มนุษย์ไม่อาจออกนอกขอบเขตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว


0
yurinohanakotoba 7 พ.ย. 65 เวลา 01:15 น. 4

กลัว out of character เหรอ

ผมมองว่าคนพูดไม่ได้หวังจะให้มีความหมายอะไร

พูดให้ดูเบียว ๆ จับแพะชนแกะเท่านั้น

สิ่งที่พูด พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็น ความจริง (True) บอกไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง (Fact)

จักรวาลม่ีจุดกำเนิดหรือไม่ พิสูจน์ไม่ได้

จุดกำเนิดของจักรวาลมีทฤษฎีบิกแบงมารองรับ

จักรวาลไม่มีจุดสิ้นสุดเพราะมีทฤษฎีบอกว่าจักรวาลขยายตัวไปเรื่อย ๆ และก็มีทฤษฎีบอกว่าสุดท้ายจะมีมหาหลุมดำเกิดขึ้นและก็ดูดทุกอยางกลับไปเพื่อเกิดบิกแบงขึ้นอีก

ผมเลยมองว่าสิ่งที่พูดมันไม่มีทั้ง True และ Fact


ประเด็นของกระทู้ 'ผู้มีปัญญาเปี่ยมล้นนั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุดนั้น เราก็จะได้เรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์'

เรารู้ความหมายของคำว่าปัญญาไหม?

ปัญญา (Wisdom) กับ ความรู้ (Knowledge) เราแยกกันออกไหม

สิ่งตรงข้ามกับ ปัญญา คือ ความโง่เขลา (Foolishness)

สิ่งตรงข้ามกับ ความรู้ คือ ความไม่รู้ (Ignorance)


ปัญญาจะใช้ระบุถึงความสามารถในการตัดสินใจ

ความรู้ คือสิ่งที่เรามีจากประสบการณ์ เช่นการฟังมา การอ่านมา การทดลองด้วยตัวเอง

ในสภาวะเดียวจะทั้งมีปัญญา และ โง่เขลาไปพร้อมกันไม่ได้

เพราะปัญญาเกิดจากความเข้าใจในหลายสิ่งหลายอย่าง ส่วนความโง่เขลาเกิดจากความไม่เข้าใจในสิ่งเหล่านั้น

ที่จะพอรับฟังได้ก็จะเป็นคำว่า

'ผู้มีความรู้เปี่ยมล้นนั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุดนั้น เราก็จะได้เรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์'

คือรู้ทุกอย่างแต่ไร้ความสามารถในการตัดสินใจให้เหมาะสมกับสถานการณ์


อนึ่ง คำว่า ปัญญา(Wisdom) ก็มีการตีความแตกต่างกันไป บางที่การรู้ดีรู้ชั่ว ก็ถือว่าเป็นปัญญา บางที่การรักษาตัวรอดก็ถือว่าเป็นผู้มีปัญญา

ลองศึกษาเรื่องของโสกราตีสดูโดยเฉพาะช่วงตอนถูกประหารให้ดื่มยาพิษ

สำหรับผมมันพูดไม่ได้หรอกว่า ผู้มีปัญญาเปี่ยมล้น(โสกราตีส)นั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุด(เลือกความตาย)

https://i.imgur.com/c784Kx6.png


0
White Frangipani 7 พ.ย. 65 เวลา 07:29 น. 5


บทพูดนี้กำลังจะสื่ออะไร? (ปรึกษา)


สวัสดีค่ะ


เห็นความหมายของคำที่คุณนำมาปรึกษาแล้วนะ เจ้าของเม้นต์ซึ่งเป็นนักเรียนหัดเขียน อยากลองช่วยคิดเพื่อหาคำตอบ เพื่อถือโอกาสฝึกหัดตีความในความหมายของคำด้วยค่ะ


คำตอบซึ่งที่จะตอบให้คุณต่อไปนี้เป็นความเข้าใจ ซึ่งเป็นความเข้าใจในส่วนบุคคลนะคะ


นี่คือตัวอย่างบทพูดส่วนหนึ่ง ภายใน 3 บรรทัดแรกนั้นผมเข้าใจ ทว่าที่สงสัยคือบทพูดนี้


'ผู้มีปัญญาเปี่ยมล้นนั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุดนั้น

เราก็จะได้เรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์'


คุณมีความสงสัยภายใน 2 บรรทัดนะคะ


แต่เพื่อความชัดเจนของรูปการณ์โดยรวม ซึ่งมีทั้ง 6 บรรทัดเป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกันอยู่นะคะ เพราะฉะนั้น เจ้าของเม้นต์ขออนุญาติยกทั้งหมด 6 บรรทัดมาตีความนะคะ


ทั้งนี้เราได้เห็นความชัดเจน เห็นความแตกต่างของความหมายทั้ง 6 บรรทัดได้ง่ายขึ้น ว่าแท้จริงเป็นเช่นไร เกี่ยวข้องกันอยู่จริงหรือไม่ อย่างไรนะคะ


ซึ่งเจ้าของเม้นต์อ่านกลับไปมาหลาย ๆ รอบแล้ว มีความรู้สึกราวกับว่า อาจจะเป็นเพราะการเขียน ใน 2 บรรทัดสุดท้ายที่คุณสงสัย ที่คุณไม่เข้าใจนั้น อาจจะเพราะผู้เขียนเองที่เขียนไม่ได้ใจความที่ถูกต้อง ที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อ่านสับสนได้ เป็นธรรมดา อาจจะเพราะเหตุนี้ก็เป็นได้ค่ะ


ซึ่งเจ้าของเม้นต์ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ชัดเจนด้วยเช่นกัน คือรู้สึกว่ามีการขาด ตกไป ในการเชื่อมคำในประโยค จึงให้ความรู้สึกว่าเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ คือรู้สึกแบบนั้นค่ะ


เรามาดูกันชัด ๆ ใน 3 บรรทัดแรกนะคะ


"จักรวาลมีจุดกำเนิด แต่ไม่มีจุดจบ

มันไร้อาณาเขตอันขีดจำกัด..

ส่วนดวงดาวก็มีจุดกำเนิด แต่ทว่ามันก็มีพลังทำลายตัวเองอยู่.. มันมีจุดจบ"


3 บรรทัดนี้ คือการกล่าวถึงเหตุแห่งความเป็นจริง ความจริงที่เกิดขึ้นได้นะคะ เป็นการเขียน เป็นการกล่าว..เพื่อการสื่อ...ในเหตุการณ์ ในธรรมชาติของจักรวาลได้ดี และถูกต้อง จึงเป็นการเข้าใจได้ดีผ่านคำ ผ่านประโยค


3 บรรทัดนั้น ตีความจากคำที่ถูกอนุมาน ซึ่ง มีความหมายว่า...จักรวาลมีจุดกำเนิด

แต่ไม่มีจุดจบ มันไร้อาณาเขตอันขีดจำกัด

แต่ดวงดาวนะ มีแตก มีดับ...และทุกอย่างในห้วงจักรวาลนี้ แท้จริงทุกอย่างแม้ดวงดาวก็มีจุดกำเนิด มีแตก มีดับเป็นธรรมชาติ เป็นแก่นสารของทุกอย่างในจักวาลนี้ นั้นเป็นความจริงค่ะ

(หรือเป็นความจริงที่ศักดิ์สิทธิ์ คือเป็นธรรมชาติ และความจริงนี้มีอยู่จริง เกิดขึ้นได้จริง ไม่มีแปรเปลี่ยน แบบนั้นนะคะ)


เป็นความจริงที่เข้าใจได้ ว่าสิ่งที่ถูกกล่าวมาใน 3 บรรทัดนั้น มีอยู่จริง เป็นการสื่อที่ดี และชัดเจน


และเขาผู้เขียน ก็นำมาความจริงที่มีอยู่จริง จาก 3 บรรทัดนี้ เป็นบทเริ่มในการสร้าง 3 บรรทัด...ต่อมา ทั้งนี้เพื่อให้สามบรรทัดต่อมาดูมีความหมายที่ดูเป็นความจริง(หรือดูศักสิทธิ์)ด้วยเช่นกัน


หากแต่ 2 บรรทัดข้างล่าง ที่คุณสงสัยนะคะ เจ้าของเม้นต์คิดว่าผู้เขียน เขียนได้ไม่ชัดเจน ดูมีการตกหล่นในการสร้างประโยค คือเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ จึงเกิดเป็นคำ ประโยคที่อ่านออกมาไม่ได้ใจความที่ชัดเจนค่ะ

(คือเกิดการผิดพลาดขึ้น ในการสร้างประโยค นั้นอาจจะเป็นสาเหตุค่ะ)


เรามาดูกันให้ชัดเจนอีกครั้งนะคะ


ผู้มีปัญญาเปี่ยมล้นนั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุดนั้น

เราก็จะได้เรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์

นี่คงเป็นคำเตือนสุดท้ายจากพระเจ้าที่มอบให้กับผู้ที่แข็งขืนผู้ไม่ทำตามประสงค์ของท่าน"


3 บรรทัดสุดท้ายนี้ คือดูคล้ายผู้เขียนต้องการให้ 3 บรรทัดสุดท้ายมีความหมายเชื่อมโยงกันนะคะ

เพราะ 3 บรรทัดสุดท้าย อ่านออกมาแล้วนะคะแท้จริงเป็นคำเตือน หรือเป็นคำที่บอกเล่าในแบบประนีประนอม คือบอกให้สังวรณ์ไว้บ้าง หรือ เตือนว่าจงอย่าอวดฉลาด หากอวดฉลาด และพลาดพลั้ง จะกลายเป็นความโง่ และจะเกิดเหตุการณ์ที่ยํ่าแย่ และถูกจาลึกไว้ในประวัติศาสตร์(จะเกิดเป็นประวัติที่น่าละอาย คงเตือนไว้แบบนั้นค่ะ)


และในวรรคสุดท้าย ที่ถูกเชื่อมเข้าไปนี้นะคะ คือคำว่า นี่คงเป็นคำเตือนสุดท้ายจากพระเจ้าที่มอบให้กับผู้ที่แข็งขืนผู้ไม่ทำตามประสงค์ของท่าน

และในวรรคสุดท้ายนะคะ เป็นคล้ายข้อความซึ่งเป็นอนุมาน เป็นความเข้าใจ เป็นความศรัทธาของนักเขียนเองที่ประทับตราลง เป็นความรู้สึกส่วนลึก ๆ ที่ดูคล้ายจะให้เกิดเป็นลายเซ็นต์ส่วนบุคคล คือเขียนตามความเชื่อของเขา คือเป็นความรู้สึกส่วนบุุคคล ซึ่งถูกใส่เข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้เห็นเป็นแรงอรรถให้กับการจบบท...นิยาม...ทั้ง 6 บรรทัด ก็คงเท่านั้นค่ะ


สรุปนะคะ เข้าใจว่า สามบรรทัดสุดท้ายนั้น มีการผิดพลาดในการสร้างประโยคบอกเล่า คือมีคำเชื่อมที่น่าจะมี ได้ขาดหายไป และเกิดเป็นผลให้การเชื่อมประโยคสุดท้ายที่ไม่ลงตัวได้ดีนัก ทำให้อ่านออกมาแล้วไม่ชัดเจน ไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นเนื้อเดียวกันได้แนบเนียนนัก เป็นผลตามมาเช่นที่เห็น


น่าจะเป็นเช่นนั้นค่ะ


คือเข้าใจจากที่อ่าน ๆ หลาย ๆ รอบเพื่อทำความเข้าใจในคำ ในประโยคแล้วนะคะ รู้สึก และเข้าใจได้ในเหตุการณ์ของ 6 บรรทัด ตามที่เม้นต์ให้คุณนี้ค่ะ


ทั้งหมดนี้ เป็นความเข้าใจในส่วนบุคคลนะคะ


ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ จะให้ดีนะคะ คุณเจ้าของกระทู้ไม่ลองถามนักเขียนที่คุณติดตามอ่านคะ?


คุณน่าจะได้คำตอบที่ถูกต้อง ตามที่เขาต้องการสื่อ อย่างแน่นอนค่ะ


หากคุณมีโอกาสถามนักเขียนในด้อมที่คุณติดตามศึกษานะคะ และได้คำตอบ อย่าลืมนำมาแบ่งปันด้วยนะคะ ว่าแท้จริงเขาต้องการสื่ออะไรค่ะ?


อยากเรียนรู้ด้วยเช่นกันค่ะ

(เรียนรู้คำต่าง ๆ บ้าง ก็สนุกดีนะhttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png)


สุดท้าย. เป็นกำลังใจให้งานเขียนงานฟิคชั่นของคุณด้วยค่ะ


https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png


1
นามะเครุ 7 พ.ย. 65 เวลา 10:45 น. 5-1

อยากจะลองถามผู้เขียนต้นฉบับอยู่เหมือนกันครับ แต่ไม่รู้จะติดต่อยังไงดี และยังมีปัญหาด้านภาษาที่ใช้สื่อสาร ไม่มีความรู้มากพอที่จะทำความเข้าใจข่างสารที่ติดต่อกันอีกด้วย (ถึงแม้จะมี Google translate ก็ตาม)

0
filenotfound 7 พ.ย. 65 เวลา 07:37 น. 6

สื่อถึงว่านักเขียน เขียนไม่ค่อยรู้เรื่องครับผม ดูแย้งๆไม่สัมพันธ์กันทั้งๆที่ในประโยคเดียวกันแท้ๆ อย่างประโยคดวงดาวมีจุดกำเนิด พลังทำลายตัวเอง?

จุดจบ? จะบ้าตาย

4
White Frangipani 7 พ.ย. 65 เวลา 07:46 น. 6-1


สื่อถึงว่านักเขียน เขียนไม่ค่อยรู้เรื่องครับผม ดูแย้งๆไม่สัมพันธ์กันทั้งๆที่ในประโยคเดียวกันแท้ๆ อย่างประโยคดวงดาวมีจุดกำเนิด พลังทำลายตัวเอง?

จุดจบ? จะบ้าตาย


สวัสดีค่ะ


"จักรวาลมีจุดกำเนิด แต่ไม่มีจุดจบ

มันไร้อาณาเขตอันขีดจำกัด..

ส่วนดวงดาวก็มีจุดกำเนิด แต่ทว่ามันก็มีพลังทำลายตัวเองอยู่.. มันมีจุดจบ


แต่จริงแล้วนะ ทั้งหมดนี้ เป็นระบบ เป็นวัฎจักร เป็นการเกิดขึ้น และเป็นไป ในส่วนของจักรวาล... และในส่วนของการเกิดดวงดาว... ดังที่เขาเขียนมานะคะ ถูกต้องแล้ว ตามที่เขาเขียนขึ้นจริงนะคะ


ดูเขาจะรู้ถึงความเป็นจริงที่เป็นแก่นสาร ของทั้งจักรวาล และดวงดาวได้ชัดเจนด้วยค่ะ


เพราะความจริงนะ เป็นเช่นที่เขาเขียนขึ้น 3 บรรทัดเกี่ยวกับจักรวาล และดวงดาวนะคะ


คุณลองใจเย็น ๆ และลองอ่านใหม่อีกครั้ง คุณจะเข้าใจค่ะ


0
filenotfound 8 พ.ย. 65 เวลา 09:29 น. 6-2

เขาใช้คำผิดครับ ดวงดาวมันไม่ได้มีอำนาจในการทำลายตัวเอง แต่มันอยู่ในกฎธรรมชาติ คือทุกอย่างต้องเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา สมมุติประโยคเดียวกันนี้ใช้กับบ้านของเรา มันจะแปลกไปโดยทันที

0
Hoshisora 8 พ.ย. 65 เวลา 10:49 น. 6-3

ขอเสริมความเห็นนี้ เรื่องการเกิดและตายของดวงดาว


การที่ดาวคงรูปเป็นดาวได้ เกิดจากสมดุลของสองแรง คือแรงโน้มถ่วง จากมวลที่รวมตัวกันเป็นดาว และแรงดัน ที่ดาวสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับแรงโน้มถ่วง สมดุลของสองอย่างนี้คือสิ่งที่ทำให้ดาวอยู่ได้ โดยเฉพาะดาวฤกษ์ที่มีวิวัฒนาการที่รุนแรง


เวลาดาวจะตาย ก็คือการตายของสมดุลที่ว่า เพราะงั้นส่วนใหญ่เราจึงมองว่า การที่ดาวตาย มันคือการพังทลาย (collapse) มากกว่าจะถูกทำลาย (Destruc) คงนึกออกนะคับว่าการพังกับการทำให้พัง มันต่างกันยังไง


เพราะงั้นการที่บอกว่า ดาวมีพลังทำลายในตัวเอง มันเลยไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนการบอกว่า เรามีพลังทำลายในตัวเองนั่นก็คือพลังชีวิต มันก็คงจะไม่ใช่ทั้งหมดหรอกจริงไหม จะบอกว่าแบบนั้นก็ได้ แต่ต้องบอกเหตุผลให้ถี่ถ้วนด้วย


ดวงดาวมีจุดกำเนิด = ใช่

ดวงดาวมีพลังทำลายในตัวเอง = ไม่เชิง

จักรวาลมีจุดกำเนิด = อย่างน้อยก็ในจุดหนึ่ง

จักรวาลไร้ขอบเขตที่จำกัด = ไม่ชัวร์

จักรวาลไม่มีจุดจบ = ไม่สามารถสรุปได้เช่นนั้น


การแต่งนิยายที่ท้าทายคำถามพวกนี้ ต้องเตรียมข้อมูลมาแน่นจริงๆ ใช้คำอย่างรัดกุมและอธิบายให้ละเอียด เพราะถ้ามาแบบครึ่ง ๆ กลางๆ ก็จะโดนซักถามและวิจารณ์แบบที่เกิดขึ้นในกระทู้ตอนนี้

0
White Frangipani 9 พ.ย. 65 เวลา 07:52 น. 6-4

ดวงดาว จักรวาล ซึ่งเป็นธรรมชาติเนาะ

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-02.png


แต่(คน)นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถค้นพบได้


https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png


ซึ่งความจริงที่เขาทั้งหลายพยายามค้น ๆ นั้นหรือในหล๊าย หลายสิ่ง หล๊ายๆ หลาย ๆอย่าง ที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทำการค้น ๆ นั้น จริงด้วยสินะ ที่ว่า บางสิ่งมีผล ที่ว่าไม่ชัวร์ ไม่เชิง หรืออาจจะไม่ใช่แบบนั้น หรือว่าจะใช่แบบนั้น ไม่ถูกต้อง หรือ ถูกต้อง ไม่รู้ได้ ความจริงเป็นเช่นไร? นั้น ในบางอย่าง นั้นก็ไม่มีความแน่นอน แต่เขาเหล่านักวิทยาศาตร์ทั้งหลายก็ต้องค้นกันต่อไป


แม้จะไม่ใช่ผลสรุปที่แน่อน ตายตัว แต่นักวิทยาศาสตร์ก็รู้การเป็นมา ของสองสิ่งนี้ คือ เรื่องของดวงดาว และจักรวาล พอสังเขป


แต่เอาที่แน่ ๆ คือ เอาที่เขาทั้งหลายสรุปไว้ เป็นเหตุการณ์ การรู้ ถึงสองสิ่งนี้ ในขณะปัจจุบันก่อนนะคะ(ซึ่งแน่นอน เหตุการณ์ ความเป็นจริง ทั้งดวงดาว และจักรวาลนั้นแท้จริง มีเหตุการณ์ เป็นมาอย่างไร คงเป็นหน้าที่ของวิทยาศาสตร์ ที่ต้องค้นต่อไป ในอนาคต ท้าทาย จริงด้วยสิเนาะ)


เกี่ยวกับเรื่องดวงดาว และเรื่องของจักวาล เจ้าของเม้นต์ชอบมาก ๆ ชอบอ่านน๊า

ชอบเรื่องราวของเหล่าวิทยาศาตร์ด้วยค่ะ


เกี่ยวกับเรื่อง ดวงดาวและจักรวาล ในเม้นต์นี้ ไม่สามารถเม้นต์เพื่อแลกเปลี่ยนต่อได้นะคะ (เพราะขณะนี้ง่วงมาก ๆ ต้องขออภัยค่ะ)


แต่จะพยายามค้นหาข้อมูลซึ่งเป็นผลสรุป ซึ่งมีอยู่ ว่าด้วยความเป็นจริงที่นักวิทยาสตร์ค้นพบ เกี่ยวกับทั้งดวงดาว และจักรวาล ซึ่งเป็นบทสรุป ด้วยฤษฏีในขณะปัจจุบัน มาแบ่งปันนะคะ


ขอบคุณที่แลกเปลี่ยน แบ่งปัน ในสิ่งที่มีความสนใจ ที่คล้ายกันค่ะ

(ชอบอ่านธรรมชาติ และชอบติดตามผลงานของวิทยาศาสตร์ค่ะ)

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/jj-02.png

พากระทู้ออกนอกประเด็นไปเลยด้วยเนาะ

ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ไว้ที่นี้ด้วยค่ะ

0
Hoshisora 7 พ.ย. 65 เวลา 09:11 น. 8

คนโง่มักจะคิดว่าตัวเองฉลาดคับ ตามข้อมูลในคลิปนี้ ลองศึกษาเองดูคับ




แต่ปัญหาคือ ต้นฉบับที่คุณได้มา มันดูงงๆ ไม่รู้ว่ามันงงมาแต่แรก หรือแปลผิดมา ที่แน่ๆ คือ การใช้ภาษาขาดความสละสลวยอย่างที่สุด ผลคือมันเลยออกมางงๆ อย่างที่เห็นล่ะคับ และผมเห็นด้วยกับ คห.4 ที่บอกว่าเป็นเหมือนคำพูดเท่ๆ ที่เอาไว้เปิดตัวมากกว่า แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าเอาความหมายก็คือตามที่บอกไปข้างบนคับ

0
white cane 7 พ.ย. 65 เวลา 11:45 น. 9

มันทำให้ผมนึกถึงตำราสูตรปรุงยาของหมอโบราณ เขียนเป็นขั้นเป็นตอน อธิบายน่าเชื่อถือ แต่เมื่อมาถึงปัจจุบันนี้ กลับพบว่ามันไม่จริง แถมชวนติดโรคอีกสารพัดเลยด้วย 


อันนี้ไปหาเปิดฟังได้ตาม YouTube เลยครับ เขาเอาเรื่องราวเกี่ยวกับสูตรยาโบราณของทุกประเทศมาเล่าให้ฟัง ส่วนใหญ่จะเป็นของชาวกรีกและอียิปต์ 


และนอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นอีก ที่เกี่ยวกับบางคนในอดีตที่เหมือนว่าจะฉลาดแต่แท้จริงกลับทำอะไรที่ไม่ฉลาด 


ตรงกับประโยคนั้นเลย = มีความรู้มหาศาลแต่แท้จริงไม่ฉลาด ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เราได้เรียนรู้จากอดีต 


แต่ว่าอ่านแล้วงงงวยมากอยู่ครับ

0
Luckyraider77 7 พ.ย. 65 เวลา 12:10 น. 10

คนที่คิดว่าตัวเองแลาดคือคนโง่ - ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว

เราจักเรียนรู้ทุกสิ่งผ่านประวัติศาสตร์ - เรียนรู้ผ่านความสำเร็จและผิดพลาด


0
BJP1107 8 พ.ย. 65 เวลา 04:35 น. 12

นิยายเรื่องอะไรนี่ แต่อ่านละปวดสมองมากเลย คือคำมันไม่ค่อยเชื่อมกัน

จากการตีความของเราคิดว่า คงแนวประมาณความรู้ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนจักรวาลหรือเปล่า? ผู้ที่บอกว่าตนเองฉลาดในอดีตอาจจะเป็นคนโง่เขลา เหมือนตอนก่อนที่เราเชื่อว่าโลกแบน เชื่อในพระเจ้าประมาณนี้ ส่วนประโยคสุดท้ายคือหาตัวเชื่อมไม่ได้เลย

0
so wats 8 พ.ย. 65 เวลา 19:55 น. 13

ถ้าอยากรู้ไปถามคนด้อมเดียวกันดีกว่า คนอื่นก็แปลไม่ออก เขาใช้คำนี้จริงๆเหรอ? ถ้าไม่เป็นปัญหาที่คนแปลแปลไม่รู้เรื่อง ก็คงเป็นปัญหาที่ต้นฉบับเขาใช้คำใช้ภาษาได้ไม่ดี แต่ละประโยคถึงดูไม่ค่อยมีความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกันสักเท่าไหร่

6
นามะเครุ 8 พ.ย. 65 เวลา 21:47 น. 13-1

คำถาม : เขาใช้คำนี้จริงๆเหรอ?

ต้นฉบับช่องทางถูกลิขสิทธิ์ไทยแห่งหนึ่ง แปลจากญี่ปุ่นได้ประมาณนี้ครับ แต่ผมนำมาทำให้สละสลวยขึ้นนิดหน่อย ไม่ได้เปลี่ยนให้คลาดเคลื่อนเลยสักนิด(หมายถึงฉบับแปลภาษาไทย ไม่ใช่ของต้นทางภาษาญี่ปุ่น ผมแปลไม่ได้เพราะไม่ได้ศึกษาให้ดีมากพอ อาจจะมีการคาดเคลื่อน ทว่าในช่องทางถูกลิขสิทธิ์แปลอังกฤษ หากนำมาแปลไทยแล้ว มันก็็แปลได้เหมือนกันนะครับ

"The universe has a beginning but has no end. Infinite. (จักรวาลมีจุดกำเนิด แต่มันไม่มีจุดจบ)

The star, to had, beginning, but thier own power leads them to thier destruction. Finite.

(ส่วนดวงดาวก็มีจุดกำเนิด แต่ทว่ามันก็มีพลังทำลายตัวเองอยู่.. มันมีจุดจบ)

History dictated that it is the wise who are the most foolish. (ผู้มีปัญญาเปี่ยมล้นนั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุดนั้น เราก็จะได้เรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์)

One could call this a final warning from god,

to those who can still resist. (นี่คงเป็นคำเตือนสุดท้ายจากพระเจ้าที่มอบให้กับผู้ที่แข็งขืนผู้ไม่ทำตามประสงค์ของท่าน)" [<หากแปลผิดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย]

ส่วนคำถามว่า

<ถ้าอยากรู้ไปถามคนด้อมเดียวกันดีกว่า> มันก็จริงตามที่คุณบอก แต่อยากจะบอกว่าด้อมนี้ไม่ค่อยแมสในไทยมากนัก(เท่าที่ผมเห็น) Facebook กลุ่มแฟนคลับของคนไทยที่พอจะคุยสื่อสารนั้นมีแทบนับนิ้วได้(ไม่รู้มีช่องทางอื่นไหม?) ยกเว้นจะถามในกลุ่มต่างชาติ แต่ด้วยทักษะด้านภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะดีมากนัก อาจทำให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด และอาจจะเกิดการคลาดเคลื่อนของคำตอบก็ได้ หรือบางที.. ชาวต่างชาติคงงงกับการถามของผมแน่

https://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/yy-big-04.png

0
Hoshisora 8 พ.ย. 65 เวลา 23:56 น. 13-2

น่ะ ผมว่าละว่าปัญหาน่าจะเกิดจากตอนแปลเป็นไทย แล้วมันก็เป็นงั้นจริงด้วย


The star, to had, beginning, but thier own power leads them to thier destruction. Finite.


คือก็ชัดๆ นะคับ ว่าเค้าบอกไว้ว่า but thier own power "leads them" to thier destruction - พลังของตัวเอง "นำมัน" ไปสู่ (to thier) การทำลายมัน ไม่ใช่ "มีพลังทำลายตัวเอง" อย่างที่คุณแปลมา ไม่มี have, had อยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำก็เห็นอยู่


"จักรวาลมีจุดเริ่มต้น แต่ไร้ซึ่งจุดจบ, คงอยู่เป็นอนันต์"

"ดวงดาราก็ก่อเกิด แต่พลังของมันจะนำจุดจบสู่ตัวเอง, ไม่อยู่เป็นอนันต์"


แบบนี้คือ ถูกต้องตามต้นฉบับ และถูกต้องตามหลักทฤษฏีในตอนนี้ด้วยคับ (เอาจริงขัดให้สวยกว่านี้ก็ได้ แต่เอาตามต้นฉบับไว้ก่อน)

0
yurinohanakotoba 9 พ.ย. 65 เวลา 02:29 น. 13-3

ไปดูต้นฉบับญี่ปุ่นแล้ว ถ้าแปลตามตัวอักษรก็ไม่ผิดอะไรกับที่อังกฤษแปลมา

พอดีไปเจอ Blog คนญี่ปุ่น แปลออกมาแล้วเป็นภาษาที่อ่านเข้าใจ ตามด้านล่าง


There is no end though there is a start in space. ---Infinity.

宇宙に始まりはあるが、終わりはない。 ---無限

It has own power, it ruins, and it goes though there is a start also in the star. ---Finite.

星にもまた始まりはあるが、自らの力をもって滅び逝く。 ---有限

Only the person who was wisdom can read the most foolish one from the history.

英知を持つ者こそ、最も愚かであること。歴史からも読み取れる。

The fish that lives in the sea doesn't know the world in the land. It also ruins and goes if they have wisdom.

海に生ける魚は、陸の世界を知らない。彼らが英知を持てば、それもまた滅び逝く。

It is funnier that man exceeds the speed of light than fish start living in the land.

人間が光の速さを超えるのは、魚たちが陸で生活を始めるよりも滑稽。

It can be said that this is an final ultimatum from the god to the people who can fight.

これは抗える者たちに対する、神からの最後通告とも言えよう。

0
Hoshisora 9 พ.ย. 65 เวลา 09:02 น. 13-4

โห ต้นฉบับเขียนไวดีมากกกกก ว่าละมันน่าจะมากลายพันธ์ุที่การแปลระหว่างภาษา บางอันคือความหมายเปลี่ยนไปเลยกำ -0-

0
so wats 9 พ.ย. 65 เวลา 17:30 น. 13-5

ตามความรู้อังกฤษเราเท่าที่มีนะ จาก จขกท. -History dictated that it is the wise who are the most foolish ประวัติศาสตร์ทำให้ผู้มีปัญญาคือคนที่โง่ที่สุด

(ไม่เกี่ยวกับการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เลย แต่แปลว่าประวัติศาสตร์บังคับให้ต้องเป็นเช่นนั้น)

-The star, to had, beginning, but thier own power leads them to thier destruction. Finite. ดวงดาวก็มีจุดเริ่มต้น แต่พลังของพวกมันเองจะนำพาพวกมันไปสู่การถูกทำลายล้าง. มีจุดจบ


0
so wats 9 พ.ย. 65 เวลา 17:52 น. 13-6

ประโยคนั้นมีปัญหาจากการแปลจริงๆด้วย ไปเจอเว็บfandom ภาษาอังกฤษ เขามีแปลให้หลายเวอร์ชั้้นเลย ญี่ปุ่น 英知を持つ者こそ、最も愚かであること。歴史からも読み取れる。


-Only the person who (has) wisdom can read the most foolish one from the history. มีแค่ผู้มีปัญญาจึงสามารถอ่านคนที่โง่ที่สุดจากประวัติศาสตร์ได้ กับอีกอัน

-It is those who possess wisdom who are the greatest fools. History has shown us this. ผู้มีปัญญาคือคนโง่ที่สุด ประวัติศาสตร์แสดงให้เราเห็นสิ่งนี้ -It the wise who are the most foolish. History has taught us as much.

คนฉลาดคือคนโง่ที่สุด ประวัตืศาสตร์สอนเราไว้มาก

0
9 พ.ย. 65 เวลา 09:44 น. 14

'ผู้มีปัญญาเปี่ยมล้นนั้นคือผู้ที่โง่เขลาที่สุดนั้น

เราก็จะได้เรียนรู้ผ่านประวัติศาสตร์'

ในความเข้าใจแรกของเราก็คือ... ผู้ที่มีปัญญามากมักไม่คิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดแต่เขากลับคิดว่าตัวเองนั้นโง่เขลายังเรียนรู้ไม่พอ ในโลกใบนี้มีเรื่องราวมากมายหลายสิ่งหลายอย่างที่เขายังไม่รู้ จำเป็นต้องเสาะหาเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นให้มากที่เท่าที่จะทำได้ จนเกิดเกร็ดความรู้มากมาย ซึ่งเราก็จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่คนโง่(ฉลาด)เหล่านั้นได้ศึกษาค้นคว้าเอาไว้จากประสบการณ์ของเขา กลายมาเป็นประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน


หรืออีกหนึ่งความหมายที่เข้าใจก็คือ

ผู้ที่คิดว่าตัวเองฉลาด มีปัญญามาก มักจะเกิดความประมาทในการดำเนินชีวิต ก่อให้เกิดความผิดพลาดให้เห็นเป็นประจักษ์ กลายเป็นคนโง่ในประวัติศาสตร์ที่มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่มากมาย


อันนี้ต้องดูจากบริบทของเรื่องราวว่าคนเขียนจะต้องการให้คนอ่านเข้าใจเรื่องราวไปในรูปแบบใด

3
Hoshisora 9 พ.ย. 65 เวลา 10:09 น. 14-1

ลองดู คห 13-3 คับ ต้นฉบับไม่ได้แปลมาแบบนั้น

0
9 พ.ย. 65 เวลา 10:55 น. 14-2

Only the person who was wisdom can read the most foolish one from the history.( เฉพาะผู้ที่มีปัญญาเท่านั้นที่สามารถอ่านคนที่โง่ที่สุดจากประวัติศาสตร์ได้)

0