Go Out with อติน ตอน มองโกเลีย

1. Go Out with อติน ตอน มองโกเลีย

 

เอาละ เมื่อเปิดคอลัมน์นี้มาแล้ว ก็ทำตัวให้สดชื่นกันหน่อย ชาวเด็กดีทั้งหลาย 

เพราะวันนี้ พี่ตินจะพาทุกคนบิดลัดฟ้าไปเที่ยวมองโกเลียกัน

 

ก่อนอื่น ขอบอกก่อนว่าพี่ตินเนี่ยชอบประเทศมองโกเลียมานานแล้ว

ตอนเด็กๆ ก็ชอบดูเจงกิสข่านมากๆ คือว่าเพราะอะไรไม่รู้

เป็นคนชอบม้า ชอบทุ่งหญ้า แล้วก็ชอบพวกนักรบน่ะ ดูมันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ดีนะ

เหมือนแบบ... มนุษย์เรามีอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ มันน่าไปศึกษาไหมละ (ฟังดูเป็นการเป็นงานป่ะ)

เพราะงั้น เมื่อมีโอกาส ก็ไม่อยากจะพลาด ขอลางาน 8 วันเลย 555555

(โน้ตกำลังทำหน้าเขียวมาก)   

 

เอาละ เสียเวลามามากแล้ว ตามพี่ตินไปเที่ยวกันเลยดีกว่า

พร้อมกันยางงงงงงงงงงง

พร้อมแล้วน้าาาาาาาาา

ไปกันเลย

 

 

 

                     กระโจมแบบมองโกล

 

ปักกิ่ง

                ขึ้นหัวข้อแล้วงงไหม ไม่มีอะไรผิดแน่นอน คือว่าไปมองโกเลียนี่เราต้องไปเปลี่ยนเครื่องบินที่จีนก่อนน่ะเอง เพราะว่ามองโกเลียกับจีนเนี่ย อยู่ติดกันมากๆ เพราะงั้นพี่ตินเลยสบายได้สองชิ่งเลย เที่ยวทั้งจีนและมองโกเลียในครั้งเดียว ฮี่ๆๆ

แค่เริ่มเดินทางนี่แหละ พี่ตินก็ได้รู้เรื่องน่าตื่นเต้นแล้ว (ตื่นเต้นสุดๆ) 

ก็คือพี่ตินเป็นคนที่สวยที่สุดในทริป!!!   

เฮ้ย น้องๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ ก็คนในทริปมีทั้งหมด 14 คน เป็นผู้หญิง 4 ผู้ชาย 10 แต่ทุกคนนอกจากพี่ติน อายุเกิน 50 หมด..... 

แล้วแบบนี้พี่ตินจะไม่สวยยังไงไหว แหะๆ 

ที่ปักกิ่ง ตอนเดินออกมาจากสนามบิน พี่ตินก็เหวอๆ แบบว่า เอ๋ เอาไงดี ก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย โหย ขอบอกว่าสาวจีนนี่แต่งตัวเปรี้ยวเจงๆ แบบว่าได้ใจมากๆ เสื้อผ้าหน้าผมครบเครื่อง แล้วคนที่นี่ใส่บู๊ตกับเสื้อโค้ทสวยมาก ดูกลมกลืนดีอะ พี่ตินชอบ

กำลังมองเพลิน ก็ได้ยินภาษาไทยแบบแบนๆ ว่า

ใช่มาจากเมืองไทยหรือเปล่าคะ

อ๋อออ เป็นไกด์ที่มารับเรานั่นเอง เป็นสาวจีนที่เคยมาเรียนที่เมืองไทย ก็เลยพูดไทยได้ แต่สำเนียงก็ไม่ชัดนัก ฟังแปร่งๆ ตลกดีเหมือนกัน

ไกด์สาวของเราชื่อว่าก้อย หน้าตาเรียบร้อย และแต่งตัวก็เรียบร้อยด้วย แถมอายุเท่าพี่ตินด้วย แบบนี้ขอผูกมิตรก่อนนะ เผื่อจะได้กลับมาเที่ยวเมืองจีนจะได้มีไกด์เนอะ ฮิๆ

และพอออกมาข้างนอกเท่านั้น พระเจ้า......... นี่คือความเย็นนนนนนนนน

คือจริงๆ พี่ตินเองก็ชอบอากาศร้อนนะ แต่เมืองไทยตอนนั้น (พี่ตินไปช่วงเมษายน) มันช่างร้อนตับแตกจริงๆ ก็เลยออกจะดีใจที่ได้สัมผัสอากาศเย็นๆ ของปักกิ่ง แบบว่าได้ใส่เสื้อหนาวตัวหนา แล้วก็ใส่ฮู้ดแบบนี้ รู้สึกเหมือนเล่นหนังไงไม่รู้อะ (เป็นไรมากหรือเปล่าเนี่ย อติน) แบบว่าบรรยากาศมันได้ใจดีนะ พี่ตินอยากให้น้องๆ มาเห็นด้วยจัง

ก่อนอื่นเลย ก้อยพาเราไปดูการแสดง เป่ยจิงไนท์ งานนี้น้องคนไหนชอบหนังจีนกำลังภายในพลาดไม่ได้ ขอคอนเฟิร์มว่าสนุกจริงๆ แบบยังกับดูหนังหรืออยู่ในวัดเส้าหลินอะไรแบบนั้นเลย พวกการเต้นระบำของเขาสนุกมาก น่าตื่นตาเป็นที่สุด เสื้อผ้าก็สวย สีสันแสบตาบาดใจมากๆ ที่พี่ตินชอบมากก็พวกกายกรรมน่ะแหละ มันฉุบฉับๆๆๆ แบบว่ามองแทบไม่ทัน อยากทำได้บ้างจัง แล้วก่อนมานี่ มีคนเล่าให้พี่ตินฟังแล้วว่าให้ดูการแสดงเปลี่ยนหน้ากากดีๆ เพราะเค้าน่ะ ดูยังไง้ยังไงก็ไม่ทัน พี่ตินก็ เฮ่อ มันจะแค่ไหนว้า แต่พอดูเอง เฮ้ย ไม่ทันจริงๆ อะ แบบว่าเค้าเปลี่ยนตอนไหน ทำไมเร็วได้ขนาดนั้นฟระ ทำได้ไงอะ นั่งจ้องตั้งนาน ยังไม่เห็นเลย น้องคนไหนอยากพิสูจน์ บินไปปักกิ่งด่วนๆ เลย แล้วจะรู้ว่ามันเร็วมากจริงๆ

วันแรกนี่ไม่มีอะไรมาก ก็กินข้าวเสร็จ ก้อยก็พาเราไปที่พัก แต่ว่า ขอเล่าเรื่องอาหารก่อนดีกว่า เพราะว่าอร่อยมาก พี่ตินชอบกินหมูเปรี้ยวหวาน แล้วก็ชอบผัก คือจริงๆ ไม่ได้ชอบผัก งงมะ แต่ว่าผักที่เมืองจีนเนี่ยอร่อยจริงๆ แบบว่าสดกรอบ ไม่รู้เค้าปรุงยังไง มันไม่ขมเลย (ไม่เหมือนผักคะน้าของไทย) แล้วข้าวของเค้าก็จะคล้ายๆ ข้าวญี่ปุ่น ออกเหนียวนิดๆ คงจะให้คีบตะเกียบได้ง่ายๆ มั้ง มองรอบตัว คนในทริปของพี่ตินนี่ล้วนแล้วแต่มีเชื้อสายจีน เป็นอาแปะ อาเฮีย อาซิ่ม อาเจ้ กันทั้งนั้นเลย รู้สึกว่าทุกคนเข้ากับบรรยากาศได้ดีมากๆ แล้วแต่ละคนก็พุ้ยเข้าเข้าปากกันสนุก พี่ตินเห็นแล้วเลยทำบ้างเสียหน่อย ชะอ้าว ข้าวหกหมด กรรมเวร

แต่ไม่เป็นไร สุดท้ายพี่ตินก็เก่งจนได้ พุ้ยข้าวเข้าปาก ซดน้ำแกง แฮ่ อร่อยสุดๆ กับข้าวที่นี่เนี่ย แล้วอีกอย่างที่โชคดี พี่ตินเป็นคนชอบกินน้ำชามาก เลยสบายแฮ เพราะที่นี่ไม่ค่อยเสิร์ฟน้ำเปล่ากันหรอก เน้นน้ำชา ซึ่งดื่มแล้วชุ่มคอดีนะ น้องๆ จิบสักหน่อยไหม อิอิ

 

พระราชวังโบราณ กู้กง - - จัตุรัสเทียนอันเหมิน 

เอาละ พักผ่อนกันเต็มอิ่ม วันต่อมา ก้อยปลุกแต่เช้าเลย 6 โมงเช้า ก็ไปกินบุฟเฟ่ต์ในโรงแรมแบบเร่งรีบ แล้วออกเดินทางไป จัตุรัสเทียนอันเหมิน

 

 

 บรรยากาศรอบๆ จัตุรัสเทียนอันเหมิน

 

ก่อนอื่น พี่ตินก็พอจะรู้มาบ้างว่าที่นี่คือที่ที่คนมาประท้วงกันบ่อยๆ และมีการเสียเลือดเสียเนื้อมากมาย เพราะงั้น เมื่อเดินมาถึง พี่ตินก็เลยไหว้ไว้ก่อนแล้วกัน ว่ากันว่าที่นี่สามารถจุคนได้ถึงหนึ่งล้านคน!!! มองแล้วก็เชื่ออะนะ คือว่ากว้างมากมายจริงๆ นักท่องเที่ยวก็เยอะมากด้วย ละลานตาเลยละ

เดินๆ ไป พี่ตินก็ไปสะดุดตากับรูปขนาดใหญ่ของท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง ซึ่งเป็นรูปที่ก้อยบอกว่ามีจุดเด่นที่ดวงตา คล้ายกับรูปของโมนาลิซ่า คือไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ท่านประธานเหมาฯ ก็จะมองเห็นเราได้อยู่ตลอดเวลา (น่ากลัวจัง) ในใจพี่ตินก็อดคิดไปไม่ได้ว่าที่นี่เองสินะ คือสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ ที่ทำให้ประเทศจีนกลายมาเป็นจีนที่แสนยิ่งใหญ่ได้เช่นทุกวันนี้ ช่างน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ที่ได้มองประวัติศาสตร์ผ่านสถานที่สำคัญๆ แบบนี้

เอาละ เมื่อเดินชมเรียบร้อย พี่ตินหวังว่าก้อยจะบอกว่า ไปกินข้าวกันเหอะ แต่เปล่าเลย เพราะว่า ที่นี่อยู่ติดกับ พระราชวังโบราณกู้กง หรือเรียกอีกชื่อว่า พระราชวังต้องห้าม หรืออีกชื่อก็ พระราชวังฤดูร้อน (จะมีชื่อเยอะไปไหนเนี่ย) ก็เลยต้องเดินต่อไป ขอบอกว่าตอนแรกที่ก้อยบอกว่า เมื่อยนะ อดทนเข้าไว้ พี่ตินไม่คิดว่ามันจะหนักหนาอะไรหรอก คิดว่าก็งั้นๆ มั้ง เพราะพี่ตินเป็นคนชอบเดินอยู่แล้ว ปกติอยู่ในเมืองไทย ไปไหนก็เดินเอา แต่ที่ไหนได้ครับท่าน เดินไปได้ยังไม่ถึงครึ่งเลย ไม่ไหวแล้ว พระเจ้าจอร์จ มันเมื่อยมาก

 

 

 

ด้านหน้าของพระราชวังโบราณ

เห็นแล้วเมื่อยไหม

 

คือว่าพระราชวังต้องห้ามนี่มันใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จริงๆ ขอคอนเฟิร์มว่าใหญ่มากๆ น้องคนไหนที่ได้ไปดู Curse of the golden flower หนังของพี่เจย์โจว กับกงลี่มา น่าจะจำได้นะ ที่พี่เจย์เค้าวิ่งมารบกับคุณพ่อ แสดงโดยพี่โจวเหวินฟะน่ะ คือตอนแรกพี่ตินก็แปลกใจ ทำไมมันวิ่งนานจังหว่า แต่พอเห็นของจริง เอาละ รู้แล้วว่าทำไม คือแบบว่ามันช่างกว้าง และไกล และเมื่อยมาก พี่ตินก็เดินไปก็คิดไป เมื่อไหร่จะหมด เมื่อไหร่จะเสร็จ เมื่อยเหลือเกินนนนนน แต่ก็นั่นแหละ ต้องยอมรับว่ามันเป็นสถาปัตยกรรมที่น่าตื่นเต้นมาก คือคนโบราณเค้าไม่น่าจะสร้างอะไรได้มากมายขนาดนี้ เรียกว่าคนจีนนี่เค้าเก่งจริงๆ เนอะ ทำได้ไงเนี่ย

ชื่อภาษาอังกฤษของที่นี่เก๋ทีเดียวนะ Forbidden City ฟังแล้วลึกลับดีจัง แต่เรื่องรายละเอียดพี่ตินต้องขอโทษไว้ก่อนเลย เพราะว่าตอนที่เดิน พี่ตินเมื่อยไปหมด เวลาฟังก้อยอธิบายเลยออกจะจำได้เลือนเต็มที ที่เดียวที่พอจะจำได้แม่นก็คือ หอด้านในสุดที่ห้ามใครเข้าเลย นอกจากฮ่องเต้ ขันที และหมอเท่านั้น เพราะเป็นที่อยู่ของบรรดา สนม ของฮ่องเต้นั่นเอง งานนี้ พี่ตินได้ชมห้องนอนของบรรดาสนมแบบเต็มๆ จากที่เคยดูมาแต่ในหนัง

 

 

       

        ดอกไม้สวยๆ ที่ห้องของบรรดานางสนมทั้งหลาย

 

อยากจะบอกว่า โอ้โห ไม่คิดเลยว่าห้องมันจะขนาดเล็ก และเยอะแบบนี้ เรียกว่าซอยกันถี่มากๆ มีไม่ต่ำว่าห้าร้อยห้องแน่นอน และแต่ละห้องก็ตกแต่งเหมือนกันหมด แบบเดียวกันเปี๊ยบ เฮ้ย นี่อยู่หอเปล่าเนี่ย อ้อ แต่ลืมบอกไปว่าพี่ตินไม่ได้เข้าไปดูในห้องจริงๆ นะ เค้าปิดล็อคหมด ให้ดูจากทางหน้าต่างเท่านั้น คงกลัวจะเสียของมั้ง ขืนให้คนย่ำกันบ่อยๆ ก็พังกันเท่านั้นเอง พี่ตินว่านะ

 

 

พระราชวังโบราณกู้กง มองจากด้านบน


แต่พี่ตินต้องคอนเฟิร์มอีกทีว่าห้องมันมากมายจริงๆ เดินดูยังเมื่อยเลยเนี่ย แล้วก็ดูแบบ... คือเหมือนมันตั้งใจจัดมาให้เหมือนกันเปี๊ยบอะ (สงสัยมีสถาปนิกคนเดียว เอ้า ปอนปอนไปช่วยเค้าหน่อยดิ๊) คือดูแล้วพี่ตินสะท้อนใจนะ ผู้หญิงสมัยก่อนลำบากจังเลย ต้องมาคอยเตรียมตัวรอสามี ถ้าใครที่ฮ่องเต้ไม่เรียกไป ก็ต้องอยู่เป็นม่ายแบบนี้ไปจนตาย ก้อยเล่าว่า สนมบางคนอยู่ตลอดชีวิตยังไม่เคยถูกเรียกไปเลยด้วยซ้ำ เรียกว่าอยู่ไปงั้นๆ แหละ เพราะว่าฮ่องเต้ไม่มีเวลามาหาหรอก ก็นะ ห้องมันเยอะขนาดนั้นอะ พี่ตินว่าแค่เดินดูเฉยๆ ก็หมดเวลาไปวันหนึ่งแล้วมั้ง แฮ่กๆ

 

อูเออเฮ่าเท่อ มองโกเลีย

                หลังชมพระราชวังต้องห้าม ก้อยก็พาเราไปกินข้าวกลางวัน ซึ่งเป็น เป็ดปักกิ่ง ที่พี่ตินกินแล้วเชื่อว่าของไทยอร่อยกว่าเยอะจริงๆ ก็เลยออกจะเฉยๆ เพราะว่าของจีนทำรสค่อนข้างจืดนะ มีที่อร่อยก็เหมือนเดิม ผัก และผัดเปรี้ยวหวาน กลับไปนี่พี่ตินต้องสุขภาพดีแน่ๆ มาที่นี่กินแต่ผักจริงๆ อะ

                กินข้าวเสร็จ ก้อยรีบเร่งพาพวกเรามาส่งที่สนามบิน เพื่อเดินทางไปมองโกเลีย ที่นี่เอง พี่ตินเลยได้คุยกับก้อยมากหน่อย ได้รู้ว่าเค้าเป็นคนกวางสี แล้วก็เคยมาเรียนที่ราชภัฎเพชรบุรี พี่ตินว่าก้อยเป็นคนเอาการเอางานกว่าคนรุ่นเดียวกันนะ ดูขยันขันแข็ง แล้วก็เรียบร้อยน่ารักดี ก็เลยจัดการแลกอีเมล์และเบอร์โทร.ระหว่างกัน ก็หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกเหมือนกันนะเนี่ย

เครื่องบินมาลงที่มองโกเลียดึกเชียว ขอบอกว่าหนาวกว่าที่จีนเยอะอ่า ไม่ไหวๆๆๆ หนาวมากกก พี่ตินต้องยืนเต้นไปเต้นมา พอดีกับไกด์สาวคนหนึ่งเดินยิ้มแย้มร่าเริงมาเลย เสื้อผ้าคุณเธอช่างเก๋มาก เป็นรองเท้าบู๊ต และเสื้อหนังห้อยชายครุยแบบสาวมองโกลแท้เลย ไกด์สาวของเราชื่อเล่นว่า อากู่ ชื่อจริงว่า กู่เสี่ยวหมิน พูดจีน และมองโกลได้ แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนพี่ติน พูดอังกฤษ และไทยได้ แต่พูดจีนและมองโกลไม่ได้ เอาแล้วไง งานนี้สนุกแน่ๆ

เอาละ มาเกริ่นนำด้วยการเล่าถึงมองโกเลียดีกว่า เมืองหลวงของมองโกเลียชื่อว่า อูเออเฮ่าเท่อ มีประชากรอยู่สองล้านคน จากทั้งหมดทั่วประเทศยี่สิบล้านคน ส่วนเนื้อที่ของประเทศน่ะเหรอ ไม่มากเท่าไหร่ แค่มากกว่าเมืองไทยหนึ่งเท่าตัวเท่านั้น แล้วมา น้องๆ ดูจำนวนประชากรของเค้าดิ ของเค้ามียี่สิบล้าน แต่เนื้อที่มากกว่าเราสองเท่า ดูซิว่าเค้าอยู่สบายกันแค่ไหน แทบจะไม่ต้องแย่งที่เดินกันเลยเนอะ

หลังจากขึ้นรถโค้ช เพื่อเดินทางชมเมือง (ตอนดึก) ซึ่งดูสนุกสนานดี พี่ตินก็มองหน้าต่างใหญ่ อยากรู้นี่ว่าเมืองตอนดึกๆ เค้าเป็นยังไง

 

 

 

เมืองในตอนกลางวัน ^ ^

 

โอ้ว วิวดีชะมัด ผู้ชายเต็มไปหมดเลย ฮ่าๆๆๆ น้องๆ อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้นสิ ก็ผู้ชายที่มองโกเลียหล่อจริงๆ นี่นา สเป็คพี่ตินเลย หน้าแบบนี้อะ แนวนัยน์ตายาวเรียวเฉียงปลาย จมูกโด่ง ผิวสีน้ำตาลเกรียมๆ หน่อย แล้วก็โกนหัวสกินเฮด แบบว่าแมนมากกกกกกกกกก ชอบจัง ไม่ไหวแล้ว ขอกลับบ้านสักคนได้เปล่า แถมตอนนั้นมันดึก แล้วก็หนาว ชายหนุ่มหล่อของพี่ตินนี่แนวแบบเดินสองมือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทบ้าง เสื้อหนาวผ้าร่มบ้าง และคาบบุหรี่ที่มุมปาก โอ้โห เท่จริงๆ อยากลงไปเดินด้วยยยยยยยยยยยยย

พูดถึงบุหรี่ ก็ต้องขอเล่าเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เสียหน่อย เหตุผลที่ชาวจีน รวมถึงชาวมองโกล (ตอนนี้มองโกเลียก็อยู่ในความดูแลของจีนด้วย คล้ายๆ กับฮ่องกงนั่นเอง) ชอบสูบบุหรี่ นั่นเป็นเพราะรัฐบาลสนับสนุน!!! ฟังแบบนี้แล้วน้องๆ หลายคนอาจจะตกใจ คืออากู่เล่าให้พี่ตินฟังว่าที่เมืองจีน ผู้ผลิตบุหรี่คือรัฐบาล และแม้ต้นทุนจะต่ำ แต่เมื่อเห็นว่าประชาชนในประเทศชอบกันมาก พวกเขาก็เลยบวกภาษีเสียแพง เพราะรู้ว่ายังไงคนก็ต้องสูบ แถมยังสนับสนุนให้สูบเสียอีก โดยอ้างว่า คนที่สูบบุหรี่แปลว่ารักชาติ เพราะเงินทั้งหมดจะเป็นของประเทศ ฟังแล้ว พี่ตินก็งงๆ หน่อย แต่ก็เอาน่ะ เพื่อประเทศชาติเจริญ (มั้ง)

 

ทุ่งหญ้าซีลามู่

                มองโกเลีย เป็นประเทศที่มีทุ่งหญ้าเยอะจริงๆ เลยให้ตายเหอะ พี่ตินพูดจริงๆ นะ ขณะที่นั่งรถมาตลอดทางเนี่ย มีแต่ทุ่งหญ้าทั้งนั้นเลย เหมือนในหนังสือที่เคยเรียนเมื่อก่อนเลย ทุ่งหญ้าอะไรนะ สเต็ปป์ป่ะ แบบหญ้าแห้งๆ ลมหนาวพัดพา เป็นภาพที่ดูซีดๆ เหมือนภาพวาดมากกว่าของจริงนะ พี่ตินว่า อ้อ แล้วบ้านของชาวมองโกลนี่ชวนให้พี่ตินนึกถึงนิทานเรื่องลูกหมูสามตัวมากๆ ที่เจ้าลูกหมูตัวที่สามปลูกบ้านก่ออิฐสีแดง นั่นแหละ สไตล์บ้านของคนที่นี่เขาเลย บ้านทุกหลังจะก่อด้วยอิฐสีแดง รูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า และมีขนาดกะทัดรัดเท่ากันหมด ส่วนห้องน้ำจะปลูกแยกอยู่ด้านนอก ซึ่งที่เค้าปลูกบ้านกันแบบนี้ เพราะที่นี่มีพายุทรายบ่อยมาก เวลาปลูกบ้านจึงต้องให้มั่นคงแข็งแรงไว้ก่อน กันลม กันพายุ กันทราย ไม่ให้เข้ามาในบ้านได้ ก็เรียกว่าภูมิศาสตร์มีส่วนกำหนดการอยู่อาศัยของคนเหมือนกันเนอะ

 

 

                          บ้านของชาวมองโกล เค้าอยู่กันแบบนี้จริงๆ นะ

 

และก่อนจะเดินทางไปทุ่งหญ้าซีลามู่ อากู่ก็พาพวกเราแวะไปกินกลางวันกันก่อน แต่พอเห็นอาหารมื้อนั้นเท่านั้น พี่ตินนี่น้ำตาไหลพรากทีเดียว ก็เพราะคนที่นี่เขาดีใจมากที่เรามาเยี่ยม ก็เลยฆ่าแพะตัวใหญ่เพื่อเลี้ยงต้อนรับ!!! อากู่เล่าว่าวิธีฆ่าก็คือ ต้องจ้วงมีดเข้าไปที่ขั้วหัวใจของมัน แล้วปล่อยให้เลือดไหลออกมา เพราะวิธีนี้ ชาวมองโกลเชื่อว่าจะทำให้เลือดติดอยู่ในเนื้อ และทำให้เนื้อมีรสอร่อย แต่จะอร่อยหรือไม่อร่อย พี่ตินก็ไม่อาจทราบได้ เพราะมื้อนั้น พี่ตินขอบาย กิน มาม่าต้มยำกุ้ง ที่พกใส่กระเป๋ามาดีกว่า เพราะว่าตอนรถมาถึงร้านอาหาร เจ้าแพะเคราะห์ร้ายยังนอนตายเลือดสาดอยู่หน้าร้านเลยอะ ไม่ไหวแล้ว น่ากลัวมาก เห็นแล้วกินไม่ลงจริงๆ

 

 

เพื่อให้ได้อารมณ์ ดูรูปประกอบด้วย น่ากลัวมากเลยเนอะ

 

พูดถึงแพะแล้ว พี่ตินก็ต้องเล่าว่า ชาวมองโกลมีอาหารที่มีชื่อเสียงมาก คือ แพะทั้งตัว (รวมถึงเครื่องในด้วย) ซึ่งเวลาปรุง พวกเขาจะใส่เครื่องเทศ และนำไปทำให้สุกประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อคงรสชาติของเนื้อแพะไว้ และก่อนจะกิน จะต้องมีการตัดเนื้อแพะออกมาก่อนสามชิ้น พร้อมเหล้าสามจอก ความหมายคือ บูชาฟ้า (ช่วยให้เรามีชีวิตยืนยาว) ดิน (ช่วยให้เราอยู่ได้อย่างมั่นคง) และคน (คือระลึกถึงบรรพบุรุษ = ความกตัญญู) ซึ่งคนที่มีศักดิ์ศรีที่สุดในที่นั้น จะเป็นคนตัดเนื้อแพะแจกเพื่อนร่วมโต๊ะ ราคาของแพะทั้งตัว ก็ไม่เท่าไหร่ 2,000 หยวนเท่านั้น (ประมาณ 10,000 บาท)

ส่วนที่ว่าทำไมคนมองโกลจึงชอบกินเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นวัว แพะ หรือแกะ แต่ไม่ชอบกินผักเลย นั่นเป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าผักเป็นอาหารของสัตว์ คนจึงไม่ควรกิน เพราะฉะนั้น ก่อนศตวรรษที่ 13 ชาวมองโกลจึงไม่กินผักเลย (มิน่า ห้องน้ำถึงสะอาดขนาดนั้น) และอาหารของคนที่นี่แบ่งเป็นสี่สี คือ แดง หมายถึงเนื้อต่างๆ ขาว หมายถึง น้ำนม ม่วง หมายถึงบะหมี่ และเขียว หมายถึงผัก นั่นเอง 

 

 

นี่ไง เมื่อก่อนชาวมองโกลเค้าอยู่กันแบบนี้

 

ที่ทุ่งหญ้าซีลามู่ อากู่พาเราไปชมบ้านแบบมองโกเลีย ปลูกเป็นกระโจมสีขาว เพราะเมื่อก่อนทุ่งหญ้าสีเขียว ถ้าใช้สีขาวจะตัดกัน ทำให้มองเห็นได้ง่าย กระโจมนี้ ชาวมองโกลสร้างเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ เพราะพวกเขาเป็นแค่ชนเผ่าเร่ร่อน เมื่อหญ้าหมด ก็จะเดินทางไปที่ใหม่ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ไม่แปลก แต่แม้แต่ปัจจุบัน พวกเขาก็ยังทำแบบนี้กันอยู่ เพราะที่ดินเป็นของรัฐบาล ไม่มีโฉนด จะอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น (แปลกดีเนอะ)

จากนั้น พี่ตินก็ไปชมม้าแบบมองโกเลีย ซึ่งตัวออกจะเล็กนะ เหมือนม้าแคระเลย แต่ว่าท่อนขานี่ดูแข็งแรงมาก กีบเท้าใหญ่ ดูแล้วคงอดทนดี อากู่บอกพี่ตินว่าคนที่นี่รักม้ายิ่งกว่าลูก เพราะฉะนั้นห้ามไปทำอะไรม้าของเขาละ อย่าไปจับ อย่าไปแกล้งมัน ฟังๆ ตอนแรกพี่ตินก็ยังไม่คิดอะไรมาก แต่พอถึงเวลาขี่ม้านี่สิ ถึงจะรู้ว่าที่อากู่บอก มันจริงเสียยิ่งกว่าจริงเสียอีก

 

 

             เฮ้ ตามพี่ตินไปขี่ม้ากันเลย

 

ชาวมองโกลพาคนไทยทั้งหลายขี่ม้าชมทุ่งหญ้า ในราคา 50 หยวนต่อคน (250 บาท) ต่อหนึ่งชั่วโมง ระหว่างทาง พี่ตินมองๆ ไป ก็คิด อืม ทุ่งหญ้าจังเลยเนอะ มันไม่มีวิวแบบอื่นในสายตาเลย นอกจากทุ่งหญ้า แล้วลมก็แรงมากกกกก พี่ตินงี้หนาวปากสั่น ต้องเอาฮู้ดมาคลุมหน้าไว้ ไม่ไหวแล้ววว หนาวเจงๆ จะหนาวไปไหนเนี่ย หนาวได้อีก อู้ย อยากจะบอกคนจูงเหลือเกินว่า พอเถอะค่า กลับที่เดิมได้ไหม ไม่ไหวแล้ววว หนาวชะมัด พ่อคนจูงม้าของพี่ตินนี่แกก็แบบว่าไม่สนใจพี่ตินเลยนะ แกใส่แว่นดำ ใส่เสื้อหนาวผ้าร่ม สวมถุงมือ แล้วก็เดินตัวตรงหน้าตรงไปเรื่อย พี่ม้าก็เดินตามแกไปแบบต้อยๆ แต่ที่ไหนได้พอเดินไปสักสิบนาที เหมือนมันจะรำคาญอะไรสักอย่าง (รำคาญพี่ตินแน่ๆ) หรือเป็นอะไรไม่รู้ เพราะอยู่ดีๆ พี่ม้าแกกระโจนเฉยเลย อ้าว เอาไงดีละตรู ไม่ได้แล้ว ม้ามันเล่นยกขาหน้าขึ้น แบบนี้พี่ตินก็ไม่รอดน่ะเซ่ ร้องก่อนเลยแล้วกัน

“Hey You Help me”

หือ? ไอ้เจ้าคนจูงไม่ยอมหันเฮะ เอาไงดีหว่า หรือว่าภาษาอังกฤษของพี่ตินไม่ดีพอ เอาไงดีเนี่ย

เอาใหม่แล้วกัน

“Excuse me, your horse, your horse”

ไม่หันอีก อะไรเนี่ย แว้ก

พี่ขา ม้ามันเป็นอะไรไม่รู้ค่า ช่วยดูมันทีเซ่ มันทำไมเป็นแบบนี้ เดี๋ยวตกม้าตายกันพอดี แว้ก

ก็ไม่หันอยู่ดีวุ้ย อุตส่าห์โว้กว้ากดังขนาดนี้แล้ว งั้นเอาไงดีหว่า

กำลังคิดเพลินๆ อยู่ดีๆ พี่ม้าก็ร้อง ฮี้ๆ แล้วโผนขึ้นทั้งตัว เฮ้ย ตายละวา พี่ตินสวมวิญญาณนางเอกหนังคาวบอย ยึดแผงคอมันไว้แน่น กลัวตกแทบตาย ทีนี้ละ ไอ้คนจูงหันขวับมาได้ เฮ่อ รอดแล้วเรา

“&*(*&()^(*^*%%^%$$”

เอ๋? ภาษาอะไรหว่า ฟังไม่รู้เรื่องเลย พี่ตินได้แต่ยิ้มแหะๆ เมื่อพี่คนจูงม้าหันมาบ่นใส่เป็นชุด หน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมด (แต่ก็หล่ออยู่ดี ฮิๆ) พอบ่นใส่เราเสร็จ แกก็หันไปหาม้า แล้วกระซิบข้างหูม้าเบาๆ พร้อมลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันมาค้อนเราอีกขวับใหญ่ เป็นเชิงบอกว่า หล่อนน่ะแหละที่ผิด ทำให้ม้าฉันตกใจเลยเห็นไหม

ว้า เสน่ห์เราสู้ม้าไม่ได้ แย่จริงๆ เลย          

 

 

         เค้าแข่งม้ากันด้วย บอกว่าถ้าว่างๆ ก็จะขี่เล่นกัน

สุสานพระนางหวังเจาจวิน วัดปู่ซัน

                น้องๆ เคยได้ยินเรื่องสี่หญิงงามแห่งเมืองจีนไหมเอ่ย

                นางหวังเจาจวินเป็นหนึ่งในนั้นนะ ประวัติของนางคือ ถูกถวายตัวเข้าวังตอนอายุ 16 ปี แต่ด้วยความที่เป็นคนซื่อสัตย์ ทำให้นางไม่ได้จ่ายเงินสินบนให้กับคนวาดรูป (คือว่าเมื่อก่อนไม่มีกล้องนี่เนอะ ก็เลยอาศัยให้คนมาวาดรูปผู้หญิงไปให้ฮ่องเต้ดู แล้วเลือกเอาตามรูปวาด) เพราะงั้น จิตรกรจอมงกเลยวาดรูปนางให้ไม่สวยซะงั้น นางก็เลยไม่เคยถูกเรียกตัวไปปรนนิบัติเลย สี่ปีเต็มๆ นั่นแหละ จนอายุ 20 ปี พอดีกับเป็นช่วงที่ข่านแห่งมองโกเลีย มาโจมตีเมืองจีนสำเร็จ และขอลูกสาวฮ่องเต้ไปเป็นมเหสี แต่เรื่องอะไรฮ่องเต้จะให้ละ ก็เลยบอกให้นางสนมที่ไม่เคยถวายตัวมาเสนอตัวเองแล้วกัน เพราะสนมของพระองค์ก็สวยๆ ทั้งน้านนี่ นางหวังเจาจวินเห็นว่าไปเป็นมเหสีของมองโกเลีย ก็ดีกว่าเป็นแค่นางสนมของจีน ก็เลยเสนอตัวเอง คราวนี้แหละ พอฮ่องเต้จอมเจ้าชู้เห็นความสวยของนางก็เสียดายสุดๆ แต่แหม กษัตริย์ตรัสแล้วจะคืนคำได้ไง ก็เลยต้องยอมไป

 

 

รูปปั้นพระนางหวังเจาจวิน

 

และเมื่อมาอยู่ที่มองโกเลีย นางหวังเจาจวินคนสวยแสนดีก็กลายเป็นที่รักของชาวมองโกลทุกคน เพราะนางเป็นคนสวย อ่อนโยน และมีจิตใจดีงาม นางสอนความรู้ และขนบประเพณีต่างๆ เกี่ยวกับประเทศจีนที่รู้ให้กับคนมองโกลมากมาย (คล้ายๆ ทูตสันถวไมตรีไหม) ทั้งเรื่องพวกการเย็บปักถักร้อย การทำอาหาร ฯลฯ ส่วนข่านแห่งมองโกล สามีของนาง ตอนนั้นอายุ 50 กว่าปีแล้ว ก็รักนางมาก รักทั้งความดีและความสวย ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 1 คน และหลังจากท่านข่านเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตามประเพณีของมองโกล ที่ว่ากันว่า พวกเขามีประชากรน้อยเกินไป เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้สอยผู้หญิงอย่างประหยัด พ่อกับลูก หรือพี่ชายกับน้องชายก็แบ่งภรรยากันได้ นางหวังเจาจวินก็เลยตกเป็นมเหสีของลูกชายคนโตของท่านข่านอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่เหมือนกัน ว่าป่ะ  

สุสานของนางหวังเจาจวินกว้างใหญ่มาก พี่ตินเดินเสียเมื่อยเลย ที่นี่มีรูปปั้นของนาง ที่แม้จะแค่แกะสลัก ก็ยังเห็นว่างดงามมาก แต่อากู่บอกว่า ที่นี่ไม่มีพระศพของพระนางจริงๆ หรอก เพราะชาวมองโกเลียสร้างขึ้นแค่ระลึกถึงเท่านั้น ส่วนพระศพจริงๆ ถูกส่งกลับประเทศจีนตามความต้องการของนางเรียบร้อยแล้ว แต่ที่สร้างขึ้น เพราะพวกเขาเคารพในความดีงามของนางมากกว่า จึงต้องการให้ลูกหลานได้เห็นถึงความดีนี้ต่อไป

 

 

              วัดปู่ซัน กว่าจะเดินขึ้นไปถึง โอ้ว เมื่อยมาก

 

                ก่อนจะเดินทางไปที่ วัดปู่ซัน  เราแวะกินข้าวกันก่อน ตอนลงจากรถนั่นเอง หิมะตกลงมาพอดีเลย โอ้ว หนาวมาก ขอบอก พี่ตินงี้วิ่งเข้าห้องอาหารแทบไม่ทัน ดีหน่อยอาหารจีนส่วนใหญ่มีแต่ซุปร้อนๆ ทำให้อบอุ่นขึ้นมาก แล้วอากู่ก็สั่งเมนูเด็ดของที่นี่มาให้ทุกคนได้ชิมกัน นั่นคือ โค้กต้มขิง ก็คือเอาน้ำโค้กนี่แหละ ไปต้มกับขิง ซึ่งคนมองโกลเชื่อว่าเป็นยาแก้หวัด ชิมแล้ว พี่ตินว่ามันหวานๆ ขมๆ แต่ก็อร่อยดีเหมือนกันนะ คือออกจะออกรสโค้กมากกว่าขิง ถ้าออกรสขิงมากกว่าคงไม่อร่อยละ

 

 

ประตูวัด สวยดีเนอะ พี่ตินชอบเลยกดชัตเตอร์มา

 

ต่อจากร้านอาหาร เดินทางไปวัดปู่ซันต่อ หิมะก็ตกต่อไป เรียกว่าชมวัดกันอย่างหนาวสั่นจริงๆ วัดปู่ซันนี้ สร้างเลียนแบบวัดโปตาลาของธิเบต แม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็กว้างขวางมาก กว่าจะเดินครบทุกห้อง หูของพี่ตินก็เกือบหลุด เพราะหนาวมากจริงๆ ที่เก๋มากคือวัดนี้ห้ามถ่ายรูป เพราะเชื่อว่าแสงจากกล้องจะเลียสีที่วาดไว้ที่ผนัง พวกเขาจึงอยากจะอนุรักษ์ความงามนี้ไว้ให้มากที่สุด ก็ไม่เป็นไร ไม่ถ่ายก็ไม่ถ่าย ถึงจะให้ถ่ายได้ ตอนนั้นพี่ตินก็ไม่อยากถ่ายแล้วละ เพราะว่าหนาวมาก มือสั่นไปหมด ขอเอามือซุกกระเป๋าดีกว่าไหมอะ   

 

ทะเลทรายเปาโถวเซียนส่าวัน สุสานเจงกิสข่าน

เรื่องจริงไม่อิงนิยายที่น่าตกใจที่สุดที่อากู่บอกกับพี่ตินก็คือ ทุกปี ทะเลทรายที่มองโกเลียจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เริ่มจะรุกล้ำเข้ามาในเขตที่อยู่อาศัยแล้ว เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะธรรมชาติถูกทำลายมากขึ้นทุกที ทุกที่เต็มไปด้วยอุตสาหกรรม และมลภาวะเป็นพิษ (ภาวะโลกร้อน - - global warming นั่นเอง) อากู่บอกว่าตามความเชื่อของชาวมองโกลพื้นเมือง พวกเขาเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น แบบเค้าเฉยๆ รู้สึกธรรมดามาก เพราะเค้าคิดว่าเมื่อเราทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติก็ต้องทำลายเราคืน แต่ถึงคนพื้นเมืองจะเชื่อแบบนี้ แต่รัฐบาลไม่เห็นด้วย พวกเขากำลังพยายามรณรงค์ปลูกต้นไม้ให้มากๆ เพื่อกันไม่ให้ทะเลทรายกว้างใหญ่ไปกว่านี้ มองออกไปนอกรถ ก็เลยเห็นแต่ต้นไม้เต็มไปหมด เป็นพวกต้นไม้ที่จะทนทาน ทนแล้งหน่อย เลยไม่ค่อยมีใบมาก ส่วนใหญ่จะเป็นกิ่งๆ เสียมากกว่า

 


 

สมชื่อทะเลทรายไหมละ

 

ทะเลทรายของที่นี่ที่เรากำลังจะไปชื่อว่า เปาโถวเซียนส่าวัน ว่ากันว่าเป็นทะเลทรายที่สวยที่สุดในโลก ได้รางวัลมาหลายครั้ง เมื่อทรายกระทบกับเปลวแดด จะเป็นสีรุ้งสวยระยิบระยับอย่างน่าแปลกตา เห็นแล้วชวนให้ทึ่งกับธรรมชาติจริงๆ       

ถ้าถามว่า พี่ตินคิดว่าทะเลทรายเป็นอย่างไร พี่ตินก็ตอบไม่ได้อะ แต่พอเห็นแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมมันถึงได้เรียกว่า ทะเลทราย ก็เพราะว่ามันมีแต่ทรายนั่นเอง มองไปทางไหนก็มีแต่ทรายเต็มไปหมด แต่ที่แปลกมากๆ พี่ตินคิดว่าทะเลทรายมันควรจะร้อนป่ะ เพราะว่าแดดเปรี้ยงเชียวละ แต่เปล่าเลย มันหนาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หนาวกว่าทุกที่ที่เคยไปมา ถามอากู่ อากู่ก็บอก (พ่อ) พี่ตินว่า ก็มองสิ อติน (คำว่าอติน อากู่ไม่ได้พูดหรอกแล้วพี่ตินก็ฟังไม่ออกด้วย แต่พอดีพ่อพี่ตินพูดจีนได้ เลยเป็นล่ามให้เราสองคนน่ะ) ไม่มีสิ่งกีดขวางเลย ไม่เหมือนในเมืองไง ลมมันเลยพัดไปได้เรื่อยๆ ก็เลยหนาว อ้อ เป็นงี้นี่เอง.... 

 

 

 

กระเช้าที่แสนน่ากลัว ขอบอกว่าสูงมากจริงๆ และนั่น พี่ตินเองจ้า

ก่อนจะไปทะเลทราย น้องๆ เห็นภาพแล้วอย่าแปลกใจไป ไอ้ฟ้าๆ ที่ขาพี่ตินเป็นถุงผ้า ที่ต้องใส่ก่อนขึ้นน่ะ เพราะว่าทะเลทรายที่นี่ทรายเม็ดเล็กละเอียดมาก แค่รองเท้าผ้าใบไม่พอนะ ทรายเข้ารองเท้าได้ตลอดเวลา ก็เลยต้องสวมถุงผ้ากันไว้อีกชั้น และจะบอกว่าก่อนจะไปทะเลทรายนี่พี่ตินต้องผจญความสูงน่ากลัวมาก จริงๆ พี่ตินไม่กลัวความสูงนะ แต่ว่ากระเช้าของที่นี่ (โปรดดูรูปประกอบด้วย) มันเปลือยไปป่ะ (ไม่ได้ลามกแต่อย่างใด) คือแบบมันเปิดโล่งไปเลย แล้วมีแค่ตัวล็อคนิดเดียว เฮ้ย พี่ตินกลัวจริงๆ นั่งตัวลีบเลย แบบว่าชั้นจะตายไหมๆ โน้ต ถ้าตายก็ฝากทำคอลัมน์ Knowledge ด้วยน้า แง

แต่ก็นั่นแหละ พี่ตินรอดมาได้ เฮ่อ ขอบคุณสวรรค์

และมาทะเลทรายทั้งที แน่นอนว่าพี่ตินต้องไปขี่อูฐ ซึ่งการขี่อูฐชมทะเลทราย ก็ไม่สนุกอย่างที่พี่ตินคิดแฮะ คือเมื่อก่อนใช่ป่ะ เห็นพวกนางเอกหนังทะเลทรายแล้ว พี่ตินจะแนว ว้าว สวย สบาย น่าร้าก แบบว่าเก๋กู้ดมากๆ ได้ขี่อูฐ ดูสวยเนอะ เปล่าเลยน้องๆ พี่ตินพูดจริงๆ มันไม่ได้สบายแบบนั้นนะ ออกจะเจ็บมากกว่าอะ คือว่าเวลาเราขึ้นอูฐใช่ไหม อูฐมันตัวใหญ่กว่าม้า ความกว้าของตัวมากกว่า ขาของเราก็ต้องแบะออกไปมากกว่า แถมตัวมันสูง แล้วไม่มีอานเหมือนม้า คือไม่มีที่วางเท้านะ เราก็ต้องปล่อยเท้าไว้แบบนั้นเลย ตอนแรกก็สบายดีหรอก แต่ผ่านไปสักครึ่งชั่วโมง เฮ้ย มันเจ็บเฮะ แบบว่าขาระบมไปหมด ลงมาได้นี่พี่ตินแอบเจ็บต้นขาอะ แบบว่าหวาย สงสารบรรดาเจ้าหญิงเจงๆ

 


ขี่อูฐชมทะเลทรายกับพี่ตินกัน

 

ที่ทะเลทราย พอคนมองโกลรู้ว่าพวกเรามาจากเมืองไทย เค้าตื่นเต้นกันใหญ่เลย บอกว่าขอแลกเงินไทยหน่อยๆๆๆ ใครมีเงินไทยก็จัดแจงแลกกันให้เป็นที่วุ่นวาย แบบว่าแอบสนุกอะ พี่ตินมองแล้วขำดี ถึงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่ว่ามิตรภาพมีอยู่ทั่วโลกจริงๆ เนอะ

และจากทะเลทราย เราก็มุ่งตรงสู่ไฮไลท์ของการมามองโกเลียคราวนี้ สุสานเจงกิสข่าน สุดยอดนักรบแห่งประเทศมองโกเลีย

น้องๆ รู้จัก เจงกิสข่าน ขนาดไหน พี่ตินจะเกริ่นว่าประวัติของท่านน่าจะเริ่มต้นขึ้นที่เมื่ออายุได้ 9 ขวบ แล้ว เยซูไก คุณพ่อถูกวางยาพิษจนเสียชีวิต จากนั้นชีวิตของ เจงกิสข่าน หรือตอนนั้นชื่อว่า เตมูจิน ก็มีแต่คำว่า แก้แค้น และต้องรบพุ่งอยู่ตลอดเวลา ท่านเจงฯ นี่มีชื่อเสียงมากนะ พี่ตินอ่านประวัติแล้วทึ่งจริงๆ เป็นคนที่มียุทธวิธีรบเยี่ยมยอด มีความอดทน และมีความเป็นผู้นำสูงมาก คือเป็นคนที่เหมือนจะเกิดมาเพื่อสร้างตำนานน่ะ พี่ตินคิดงั้นนะ 

 

 

                            

                            สุสานของเจงกิสข่าน สวยเนอะ

 

ที่สุสานของท่านเจงฯ เนี่ย เป็นตึกรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาสีฟ้าสด ซึ่งหมายถึงท้องฟ้านั่นเอง ที่พี่ตินตกใจมากคือ คนที่ดูแลที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นทายาทของท่านเจงฯ ทั้งนั้น เพราะพวกลูกหลานเคารพท่านมาก จนไม่ยอมจากไปไหน ขณะนี้ก็เป็นรุ่นที่ 39 เข้าไปแล้ว แบบว่าลูกหลานท่านที่พี่ตินห็นนี่ล้วนแล้วแต่หน้าตาดุดันทั้งนั้นเลยอะ ขอบอกว่าหน้าดุและโหดมาก อากู่ก็เตือนไว้แล้วด้วยว่าห้ามชี้รูปท่านมั่วซั่ว เพราะถ้าไม่พอใจ เค้าไล่เราออกเลยน้า แบบว่าเค้าหวงเจ้านายเค้าน่ะ แต่ก่อนอื่นอากู่ก็บอกไว้ก่อนว่า ที่นี่ไม่ใช่สุสานจริงๆ ของท่านเจงฯ นะ เพราะคนมองโกเลียเมื่อก่อนเนี่ย พอตายปุ๊บ เขาจะเอาศพใส่เกวียน แล้วให้ม้าลากไปเรื่อยๆ สามวันสามคืน เมื่อพบว่าม้าไปหยุดที่ไหน แปลว่าคนตายต้องการอยู่ที่นั่น จากนั้นพวกเขาจะทิ้งไว้ให้อีแร้งมากินศพ ถ้าหากว่ากินหมด แปลว่าคนนั้นโชคดี ได้ไปสวรรค์แล้ว พวกเค้าก็จะจัดการฝังศพที่เหลือ แล้วกลบซะ แต่ถ้าอีแร้งไม่กิน แปลว่าคนนั้นบาปหนา ต้องเอากลับมาให้ลามะสวด แล้วส่งออกไปใหม่ จนกว่าจะถูกกินหมด และเมื่อฝังศพแล้ว พวกเขาจะให้ม้าเหยียบจนไม่มีรอยการฝังอีก เพราะชาวมองโกลเชื่อว่า คนเราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เมื่อตายไปแล้ว ก็ต้องกลับไปรวมกับธรรมชาติ (น่าทึ่งจริงๆ) แต่ที่ชาวมองโกลสร้างที่นี่ให้ท่านเจงฯ ก็เพราะในการรบครั้งสุดท้าย ท่านเจงฯ ทำแส้ม้าตกลงที่นี่ ซึ่งเป็นลางร้าย ท่านเจงฯ จึงบอกลูกน้องว่า ถ้าหากว่าท่านตาย ให้ตั้งสุสานของท่านที่นี่ก็แล้วกัน พอท่านตาย ลูกหลานก็เลยมาจัดการตั้งสุสาน แล้วก็อยู่ที่นี่เรื่อยมา

 

 

ที่นี่เอง ท่านเจงกิสข่านทำแส้ม้าตก

 

ภายในสุสาน มีภาพวาดประวัติของท่านเจงฯ เดินชมดูไม่มีเบื่อเลย เป็นเรื่องเล่าตั้งแต่การรบครั้งแรก และเล่าถึงม้า ถึงฟ้า ถึงบรรพบุรุษ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ชาวมองโกลนับถือมากๆ และมีพวกถ้วยโถโอชามที่ท่านเจงฯ เคยกินเคยใช้ครบเลย จอกเหล้าก็มี พวกเสื้อผ้าอยู่ครบหมด เค้ารักษาของกันดีจริงๆ แถมมีเรื่องเล่าที่น่าตื่นเต้นคือที่นี่ได้จุดตะเกียงไว้ตั้งแต่วันแรกที่ท่านเจงฯ จากไป จนวันนี้ มันยังไม่ดับเลย เพราะพวกลูกหลานคอยเฝ้าไว้ไม่ยอมให้ดับ อืม ฟังแล้วดีจังนะ ที่ท่านมีคนรักมากขนาดนี้

 

สุกี้แพะ ห้องน้ำ

                และแล้ว ก็มาถึงวันสุดท้ายที่มองโกเลียของพี่ตินแล้ว (เล่าข้ามๆ นิดหน่อยน้า เดี๋ยวจะยาวแล้วเบื่อ) วันนี้ อากู่พาทุกคนไปกินสุกี้แพะอย่างสนุกสนาน ซึ่งหลังจากลองชิมเข้าไปชิ้นหนึ่ง พี่ตินว่าก็รสชาติดีนะ แต่เนื้อมันออกจะหยาบอะ เห็นจะสู้ไม่ไหว ตอนแรกพี่ตินนั่งโต๊ะเดียวกับพ่อ ที่ไม่มีปัญหาในการกิน พออากู่รู้ว่าพี่ตินไม่ชอบ ก็เลยชวนมานั่งด้วยกัน ก็เลยได้กินก๋วยเตี๋ยวแทน ก๋วยเตี๋ยวของที่นี่เป็นเส้นยาวใหญ่ (ใหญ่กว่าเส้นก๋วยจั๊บอีก) รสชาติอร่อยมาก กินแบบเหมือนเอ็มเคอะ เอาเส้นไปลวก แล้วน้ำแกงที่นี่รสเด็ดจริงๆ เพราะชาวมองโกลเค้าเก่งเรื่องเครื่องเทศไง พี่ตินกินแล้วติดใจมาก มาที่นี่เจริญอาหารดีจริงๆ 

อิ่มแล้ว พี่ตินขอตัวไปห้องน้ำก่อนน้า อากู่จ๊ะ แป๊บนะ พอพนักงานสาวเสิร์ฟเห็นพี่ตินก็รู้แหละว่าจะไปห้องน้ำ เลยบอกทางให้ พี่ตินก็เนียนไม่พูด เพราะกลัวเค้าจะเหวอกับภาษาอังกฤษ คือลองมาหลายที่แล้ว แต่ไม่มีใครพูดได้ เลยไม่กล้าจะพูด ห้องน้ำอยู่ชั้นสอง พอขึ้นไปเท่านั้น พี่ตินก็ผลักประตูผัวะเข้าไป ไอ๊หยา เจอสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งกำลังนั่งถ่ายหนักอยู่อย่างขะมักเขม้น เอ๋า ประตูห้องน้ำก็ไม่ปิด ไรของเค้าเนี่ย เหวอ พี่ตินปิดประตูห้องน้ำกลับออกมาทันที แต่ด้วยความปวดมาก ก็เลยทำใจ เอาก็เอาวะ ผลักกลับเข้าไปใหม่ แล้วทำเป็นไม่มอง พี่ตินเข้าพรวด จะปิดประตู พระเจ้า กลอนก็ไม่มี เอ้า ใช้มือจับใต้ประตูเอาแล้วกันวะ เฮ่อ

พอฉี่เสร็จ เอาไงละทีนี้ ดันจำทางลงไม่ได้

                ไม่ได้การละ พี่ตินมองเห็นสาวเสิร์ฟพอดี เอาละ พยายามส่งภาษาหาทางลงสุดฤทธิ์

                “Down stair”

                “)*)&(^*^*()*(_(-==*%$#@”

                นั่นคือคำตอบที่ได้ พร้อมหน้าตาเหวอๆ ของพนักงาน และหลังจากเดินกันจนเกือบครบทั้งชั้น พาพี่ตินไปห้องน้ำบ้าง (ตรูไปมาแล้ว) ไปห้องครัวบ้าง (ไม่อยากเห็น) ฯลฯ ในที่สุด พี่ตินก็นึกออก เลยฉีกกระดาษออกมาวาดรูปบันได ทำให้สาวจีนทั้งหลายร้อง โหย่วๆ (แปลว่าใช่) กันเป็นแถว เฮ่อ ถ้าไม่มีฝีมือการวาดรูป มีหวังกลับเมืองไทยไม่ได้แหงเลย

 

กลับเมืองไทย เย้

                วันสุดท้าย อากู่มาส่งพวกเราที่สนามบิน พร้อมกับคำพูดน่าประทับใจที่ว่า ฝากบอกคนที่เมืองไทยด้วยนะว่าประเทศมองโกเลียรอต้อนรับพวกเขาอยู่เสมอ เราสองคนแลกอีเมล์ และจับมือกัน จากนั้นก็ลากัน

                สุดท้ายนี้ พี่ตินขอฝากความระลึกถึงถึงทุกคนที่มองโกเลีย ไม่ว่าจะเป็นพี่หนุ่มขี่ม้า พี่คนขับรถสุดหล่อ อาจินหลง หนุ่มอารมณ์ดี สาวร้านอาหารที่บอกทางให้พี่ตินได้กลับมาเมืองไทย และอากู่ ไกด์สาวหน้าสวยของเราด้วย ส่วนน้องคนไหนที่สนใจหนุ่มบึ้ก ตาเรียว ผิวสีแทน เอ๊ย ม่ายช่ายละ สนใจอยากเห็นธรรมชาติที่ยังคงความเป็นธรรมชาติจริงๆ ของประเทศแห่งทุ่งหญ้าแห่งนี้ ก็จองตั๋วเครื่องบินได้เลย รับรองว่าไปแล้ว ลืมไม่ลง อย่างแน่นอน เชื่อพี่ตินได้เลย 

 


 

คนที่นี่เลี้ยงแกะในบ้านด้วย น่ารักเนอะ

 

Dek-d.com : อตินเอง  

 

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

11 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
เตอกีลาร์ Member 11 มิ.ย. 50 18:05 น. 8
สงสารแพะ แต่เมืองน่าสนใจมากค่ะ
ฝากเรื่อง ใต้เงาจันทรา คาร์เดียค่ะ
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ
คนมักชื่นชมพระจันทร์เสี้ยวที่ส่องสว่างเหลืองนวลจับตาอยู่บนฟ้าโดยลืมไปว่าอีกเสี้ยวจันทร์ที่ซ่อนตัวเงียบอยู่ใต้เงานั้นก็อาจงดงามและมีอิทธิพลต่อผู้ที่คอยเฝ้าดูไม่แพ้กันหรือบางที...อาจมากกว่าด้วยซ้ำ!

http://my.dek-d.com/tdokdak/story/view.php?id=294992
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
porpoise Member 14 มิ.ย. 50 15:43 น. 12
ง่า พี่ติน แบบว่าเปงพวกแบบเดียวกันเยย ชอบพวกนี้อ่า ชอบแบบไปท่องโลกอ่า แต่มันติดที่ไม่มีปัญญาไป (น้อยใจ) อยากไปแบบพี่จัง วันๆได้แต่เปิดเน็ตดู เหงแล้วอยากไปสุดๆๆเยยอ่า
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด