เฮโล่! เฟรชชี่จ๋า เปิดเทอมแรกไปกี่วันแล้ว เรียนหนักไหม ได้พักผ่อนบ้างหรือเปล่า? เพราะกิจกรรมเยอะเหลือเกิ๊นน ยังไงก็แบ่งเวลาดีดีน้า นี่เลยวันนี้ พี่จะนำกิจกรรมที่เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักแน่นอน รับรองว่ากิจกรรมนี้น้องหน้าใหม่ต้องพูดถึงทุกคน กิจกรรมของมหาวิทยาลัย นั่นคือประชุมเชียรจ้า
- ประชุมเชียร์คืออะไร?
การประชุมเชียร์ หรือ “คลาสเชียร์” เป็นกลไกด้านกิจกรรมกลไกแรกที่สำคัญที่สุดในการช่วยหล่อหลอมและกล่อมเกลาให้นิสิตใหม่เกิดความรักและศรัทธาต่อมหาวิทยาลัย นำพานิสิตใหม่มาร่วมทำกิจกรรมบนพื้นฐานของมิตรภาพ โดยปราศจากการแบ่งแยกวิชาและคณะ ช่วยให้นิสิตใหม่มีเจตคติที่ดีในการอยู่ร่วมกันในนามสถาบัน ความรักและความผูกพันจะถูกถ่ายโยงจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ เพลงสถาบัน เกมและกีฬา ฯลฯ ก่อนจะเชื่อมโยงไปสู่ “กิกรรมประเพณี” ที่ยึดปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน อันเป็นตำนานเล่าขานความเป็น “รุ่น” อาทิ การเลือกประธานรุ่น กีฬาน้องใหม่ (ลอดซุ้ม - รับน้ององค์การ) คัดเลือกฮีโร่ ดาวมหาวิทยาลัย ถอดไทด์ใส่คัดชู ตามลำดับ ก่อนจะปิดท้ายปลายปีการศึกษาด้วยประเพณี “มอบรุ่น”ซึ่งจะปฏิบัติกันเมื่อรุ่นพี่เดินทางกลับมารับพระราชทานปริญญาบัตร
- ปลูกฝังอะไรกับน้องใหม่บ้าง?
ปลูกฝังให้นักศึกษาใหม่ได้ทำความรู้จักแ ละรักในรั้วมหาวิทยาลัยที่ตนนั้นกำลังเข้าศึกษาอยู่ ปลูกฝังให้มีจิตสำนึกที่ดี และมีมุมมองที่เป็นแง่บวกกับภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัย รวมทั้งการสร้างความเป็นระเบียบวินัย และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเพื่อนในคณะ และการสร้างมิตรภาพระหว่างรุ่นพี่ เพื่อน อีกทั้งรุ่นน้องในรุ่นต่อไป
- มีกิจกรรมไรบ้างในประชุมเชียร์?
กิจกรรมแต่ละมหาลัยอาจจะออกมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการสอนน้องร้องเพลงมหาวิทยาลัย สอนร้องเพลงเชียร์ สอนร้องเพลงที่ใช้บูม สอนท่าบูมเชียร์ และในบางที่อาจมีการมอบสมุดกระจก นั่นคือสมุดที่สร้างความรู้จักระหว่างพี่และเพื่อนนั่นเอง เป็นการมอบหมายให้น้องได้ติดตามรู้จักรุ่นพี่และเพื่อนทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี และเป็นการกระตุ้นให้ทุกคนใกล้ชิด มีมิตรที่ดีต่อกันละจ้า
- ระบบ SOTUS คืออะไร?
ระบบ SOTUS ที่น้องๆเห็นอาจจะมองว่าเป็นการว้าก รุนแรง บีฟ กดดัน อะไรสารพัดไปหมด แต่จริงแล้วระบบ SOTUS ถือเป็นระบบที่สร้างความสามัคคีและระเบียบวินัย โดยที่ไม่จำเป็นต้องเน้นไปที่การใช้ความรุนแรง หรือกิจกรรมที่สร้างอันตรายให้เกิดขึ้นกับตัวรุ่นน้อง เพียงแค่นำมาประยุกต์ให้สอดคล้องให้เหมาะสม เท่านี้เราก็ยังจะมีระบบรับน้องที่ดี และปัญหาที่เกิดจากการรับน้องก็จะได้หมดไป
สำหรับคำว่า SOTUS มาจากตัวอักษร 5 คำ ในภาษาอังกฤษประกอบด้วย
S = Seniority หรือ อาวุโส หมายถึง ความเกรงใจเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน
O = Order หรือ ระเบียบวินัย สิ่งนี้จำเป็นมากในชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มในสังคม
T = Tradition หรือ ประเพณี เป็นสิ่งที่เห็นว่าดี ถูกต้องและประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมา
U = Unity หรือ ความสามัคคี คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
S = Spirit หรือ น้ำใจ หมายถึง การมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- SOTUS มาจากไหน?
ระบบ SOTUS ซึ่งเกิดขึ้นจากระบบอาวุโสในโรงเรียนกินนอนของอังกฤษ (Public School) ทั้งสถาบันของพลเรือนอย่าง Oxford และ Cambridge และโรงเรียนนายร้อย Sand Hurst ที่ฝึกคนไปปกครองอาณานิคม ประมาณปี 1850 โรงเรียนทหารของสหรัฐจึงนำไปพัฒนาเป็นระบบโซตัส ที่เข้มข้นขึ้น เพื่อใช้ฝึกให้นักเรียนนายร้อยเหล่านี้ มีความสามัคคี เข้มแข็ง โอ้โหมีตำนานประวัติด้วย ดูหนักแน่น เข้มแข็ง ขลัง และขรึมกันเลยทีเดียวจ้า
- ทำไมสต๊าฟประชุมเชียร์ต้องดุ?
ถ้าถามว่าทำไมพวกสต๊าฟต้องดุ ขรึม หรือทำให้บรรยากาศเป็นมาคุด้วยนั้น เมื่อก่อนพี่เป็นเฟรชชี่พี่ก็สงสัยเช่นกันคะ อาจเป็นเพราะว่าเหล่าสต๊าฟนั้นต้องจริงจังกับกิจกรรม และสร้างความเกรงขามต่อน้องเฟรชชี่ที่นั่งอยู่ตรงหน้า เพื่อให้น้องเชื่อฟัง และนับถือ รวมถังศรัทธาหรือรักในการที่ได้เข้ามาศึกษาในรั้วสถาบันของเรา ซึ่งพี่สต๊าฟตัวจริงอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เขาต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนั่นเองคะ หากการประชุมเชียร์สต๊าฟต่างสนุกสนานเฮฮาหยอกล้อกัน การประชุมเชียร์นั้นอาจจะไม่บรรลุจุดประสงค์ และอาจทำให้การประชุมเชียร์เป็นกิจกรรมที่น้องนั้นมองได้ว่าไม่น่าสนใจไม่สำคัญและไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็เป็นได้
- จำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมไหม?
เมื่อถามว่าแล้วต้องเข้าร่วมไหมอะ? ไม่ไปได้หรือเปล่า? ความจริงกิจกรรมนี้ไม่ได้ถือว่าบังคับ ถ้าไม่ไปจะโดนไล่ออก ไม่ได้โหดขนาดนั้นคะ แต่เป็นการขอความร่วมมือ มันอาจจะไม่จำเป็นสำหรับความคิดบางคน แต่มันถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญกิจกรรมหนึ่งในการใช้ชีวิตเป็นเฟรชชี่ในรั้วมหาลัยเลยนะคะ น้องๆลองนึกกันดูว่าเราจะได้เป็นเฟรชชี่กันสักกี่ครั้งเชียว ทุกคนย่อมมีชีวิตเป็นเฟรชชี่แค่ครั้งเดียวเท่านั้นละคะ เพราะกิจกรรมประชุมเชียร์นั้นพี่ๆ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนต่างตั้งใจและเต็มที่ เพื่อน้องๆที่เข้ามาใหม่ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ไปได้อย่างไรละ ^^
สุดท้ายนี้พี่อยากจะให้น้องมาชมกับบูมมหาวิทยาลัยที่น่าชื่นชมกับความสวยงามและความพร้อมเพรียงของการบูม มาดูกันเร้วว!! *0*
บูมเชียร์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
เอาละน้องๆ หายสงสัยยังเอ่ย? พี่ว่าหลายคำถามข้างบนนี้ น้องๆคงต้องเคยสงสัย หรือพูดถึงกันบ้างละ หวังว่าน้องๆจะสนุกกับกิจกรรมนี้ และได้เข้าร่วมทุกคนนะคะ สำหรับใครได้เข้าร่วมมาแล้วมาแชร์ให้พี่รู้หน่อยว่าเป็นอย่างไร แล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง ว่าแล้วอย่ารีรอรีบแชร์เลยจ้า
idee.exteen.com
63 ความคิดเห็น
พี่ๆ น้องๆ ร้องไห้กันจนเรายังงงเลย (และร้องตามด้วย 5555+)
คณะเราเป็นคณะที่พี่เชียร์น่ารักมาก ไม่มีว๊าก ไม่บังคับเข้า ให้เข้าตามความสมัครใจ เล่นเอาเราที่กลัวห้องเชียร์มากต้องงงอีกรอบ
แต่พี่ๆ เขาตั้งใจฝึกพวกเราร้องเพลงจริงๆ จบส่วนพิธีการก็เป็นสันทนาการสนุกสนาน ฝ่ายสวัสดิการก็จัดขนมน้ำมาบริการดีมากๆ จบห้องเชียร์แล้วส่วนใหญ่ร้องเพลงมหาวิทยาลัยที่มีมากมหาศาลกันได้ทุกคน
ห้องเชียร์และกีฬาน้องใหม่จบไปพร้อมชัยชนะที่ได้มาพร้อมความรู้สึกดีๆ เชื่อว่าไม่มีใครที่รู้สึกโกรธหรือเบื่อรุ่นพี่ เพื่อนทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ห้องเชียร์อักษรดีจังเลยที่ไม่มีการบังคับเข้า เพราะเพื่อนหลายคนก็ซ้อมกีฬา กลับเย็นไม่ได้ ติดธุระบ้างอะไรบ้าง พี่ๆ ก็เข้าใจแล้วก็ยังใจดี คอยช่วยเหลือ คอยดูแลการเตรียมงานกีฬาน้องใหม่ตลอด ไม่ปล่อยพวกเราทำกันเอง
ทุกคนพูดว่าห้องเชียร์แบบนี้ทำให้เรารักกันและสามัคคี เต็มใจมาเข้ามากกว่าห้องเชียร์โหด รู้สึกสบายใจ มีความสุขมากๆ ไม่กลัวรุ่นพี่เลย เพราะเรารู้สึกได้ว่า รุ่นพี่ทำเพื่อให้พวกเราร้องเพลงได้ ให้พวกเราได้รู้จักเพื่อนๆ จริงๆ ไม่ได้กดดันให้พวกเราต้องชนะรางวัลในกีฬาน้องใหม่ให้ได้
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 29 มิถุนายน 2555 / 23:07
แก้ไขครั้งที่ 2 เมื่อ 29 มิถุนายน 2555 / 23:10
- ห้องเชียร์และว๊าก จะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ คนที่ตัดสินใจคือตัวเราเอง
หากไม่อยากเข้าก็ไม่เข้า แต่ถ้าเข้าไปแล้วการมาบ่นทีหลังก็ใช่เรื่อง
เพราะมันไม่ได้"ต้อง"เข้า และแม้เพื่อนหรือรุ่นพี่จะตื้อให้เข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม
หากไม่สะดวก หรือไม่เห็นความจำเป็นต้องเข้า หลังจบห้องเชียร์แล้วก็ไม่มีใครเขม่นหรอก
ซึ่งเรื่องนี้พวกที่ซิ่วมาจะรู้ดีว่าควรทำยังไง พวกที่เข้าก็เข้าแบบไม่บ่นอะไร ถ้าไม่เข้าก็ไม่เข้าเลย
โดยสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนที่เข้าแตกต่างจากพวกที่ไม่เข้าคือ จะสนิทเพื่อนร่วมคณะได้เยอะกว่า
เพราะห้องเชียร์จะมีระบบทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมคณะ หากไม่เข้าจะเสียโอกาสตรงนี้ไป
- ห้องเชียร์และการว๊าก ต้องไม่ทำผิดกฏหมาย
มันเป็นกฎเลยทีเดียว การว๊ากที่แตะต้องอีกฝ่าย ทำร้ายร่างกาย (สังเกตดู แค่ตะคอกแต่ไม่แตะ)
หรือบังคับให้ทำสิ่งที่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและชีวิต (...จริง ๆ เพราะบางครั้งแค่ขู่เฉย ๆ)
คือสิ่งที่ผิดกฏหมายอยางแน่นอน
เช่นนั้นแปลได้ว่ารุ่นพี่ไม่ได้ห่วงเราจริง และทำไปด้วยความสนุก
หากเป็นเช่นนั้นไม่ต้องเข้า และสามารถฟ้องตำรวจให้มาจับได้
การว๊าก โดยใช้คำพูดตะคอก หรือ มีการกล่าวด้วยถ้อยคำที่ทำร้ายความรู้สึกกัน
ถ้าเกิดขึ้นแค่ครั้ง2ครั้งจะไม่คิดมากเลยค่ะเพราะเป็นประเพณีที่อยากให้ทุกคนรักกันและเสียสละเพื่อส่วนรวม ซึ่งควรจะอยู่ในหลักของ เหตุผล และ ตรรกะ ไม่ใช่นึกอยากว่าอะไรก็โพล่งออกมา แต่เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการเข้าร่วมกิจกรรม เราเข้ามาด้วยใจที่อยากร่วมจริงๆ แต่กลับถูกตะคอกถูกว่าอยู่ตลอด มันทำให้ถอดใจค่ะ คิดว่าคงไม่มีใครที่อยากทนถูกว่าถูกตะคอกใส่ได้ตลอดไป...มีสิทธิ์ที่จะไม่เข้าเชียร์ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะบางคนบ้านอยู่ไกลกว่าจะกลับก็มืดค่ำ บางคนต้องซ้อมกีฬา และด้วยเหตุผลอะไรก็ตามมันสามารถยืดหยุ่นกันได้ แต่พี่บางคนจะใช้คำพูดว่ากระทบค่ะ ไม่มีเพื่อนเหรอ เพื่อนไม่เอา ไม่เอาพี่ ไม่อยากได้พี่ดูแลใช่มั้ย และจะมีคำพูดนี้เสมอเลยคือ เห็นแก่ตัว ฟังดูแล้วเรากลายเป็นคนผิด คนไม่ดีไปเลย บอกตรงๆค่ะ ไม่โกรธแต่เสียใจ แค่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ ผิดมากขนาดนี้เลยเหรอ
หลายคนอาจมองว่าเราคิดมากเกินไป หรือมองในแง่ร้ายเกินไป ก็ขอโทษด้วยนะคะ เราแค่อยากแชร์ความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์จะต่อว่าใครค่ะ
ไปก็ดีได้เป็นประสบการณ์ ไม่ไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร
ว่างๆไปดูeqlที่cleanroom ตื่นเต้นมากๆๆๆๆ
ก็ไม่ต้องสนสิ
ถ้าคิดว่าตัวเองถูกก็ทำไปอย่าได้แคร์เสียงนกเสียงกา
ความจริงเห็นว่าดึกจะขอกลับก่อนก็ไม่มีใครว่า
หากเป็นโรคหัวใจขอไม่เข้าร่วมก็ไม่มีใครตำหนิ
ที่ยังเข้าร่วมทั้งที่มีเหตุจำเป็นเพราะตัวท่านเองไม่นักแน่นพอที่จะเลือกหนทางที่ถูกต้องเอง
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องปรกติ
ตัวอย่างเช่นรู้ว่ากลัวเลือด แต่พ่อแม่บังคับให้เข้าหมอก็ยังเข้า
จนต้องซิ่วออกไป หลังจากที่เรียนได้ไปสามสี่ปี
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะไม่หนักแน่นในจุดยืนของตัวเองนี่เอง
โดยจุดนี้นี่แหละที่ทำให้"ยอดคน" แตกต่างจาก"สามัญชน"ทั่วไป
เพราะสามัญชน มัวแต่ทำตามกระแส ให้คนอื่นชักจูงตัวเองไป
พอไม่ชอบก็มาบ่น แต่ก็ยังเลือกที่จะทนทำเช่นนั้นต่อไป
ทว่ายอดคน หากคิดว่าตัวเองถูก แม้จะเป็นคนเดียวที่เลือกทำ แม้จะสวนทางกับสังคมก็ยังทำ
(แต่ยอดคนไม่ใช่พวกต่อต้านสังคมนะ เพราะพวกต่อต้านสังคมคือคนที่ตามกระแสเหมือนกัน
เพียงแต่ว่า เลือกทำตามกระแสในทางตรงกันข้ามก็เท่านั้น พูดง่าย ๆ ยังอิงกระแสอยู่
แต่ยอดคนจะไม่ดูที่กระแส หากดูที่ความถูกต้องในการกระทำนั้น)
และแน่นอน สามัญชน พบเห็นได้ทั่วไป แต่ยอดคน ช่างหาได้น้อยยิ่งนัก
ดังนั้นการที่ไม่ชอบแต่ยังเข้าแล้วมาบ่น แปลว่าท่านยังเป็นแค่สามัญชนผู้หนึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ก็ก้มหน้ารับกรรมแล้วทำสิ่งที่ไม่ชอบต่อแล้วบ่นไปเรื่อย ๆ เถอะ
เพราะยังไงท่านก็ไม่มีวันหลีกหนีความอยุติธรรมที่ท่านต้องเผชิญได้อยู่แล้ว
ป.ล.ผมไม่ได้เข้าครับ ตอนนี้ปีสามละแต่ขู่น้องว่าถ้าไม่เข้าจะไม่ผ่านกิจกรรมเรียนไม่จบนะเออ ฮ่าๆๆ
การที่คนเขียนบทความโดยยกเหตุผลว่า ขนาดสถาบันดังๆในต่างประเทศยังใช้ระบบนี้กันเลย(SOTUS) ผมคิดว่า คนเขียนคงจะลืมบอกไปว่าระบบอย่างนี้ เขาเลิกไปตั้งเกือบ30-40 ปีแล้ว ตอนนี้ประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว เขาไม่มีระบบที่ว่านี้กันหรอกครับ
สุดท้ายนะครับ ความจริงระบบที่เรารับมาจริงนั้นไม่ได้มาจากอังกฤษนะครับ แต่มาจากมหาวิทยาลัยในฟิลิปินส์ต่างหาก และถ้าหากคุณเป็นคนสนใจประวัติศาสตร์ของระบบSOTUS นี้นิดนึง คุณจะพบว่า ฟิลิปินส์ในขณะนั้นตกเป็นเมืองอาณานิคมของอเมริกา อเมริกาก็ได้ทำการช้วยเหลือ พูดง่ายๆคือมาสร้างโรงเรียน มหาลัย อะไรต่างๆให้ และการที่จะสามารถควบคุมประชาชนในประเทศอาณานิคมของตัวเองได้นั้น เลยต้องเอาระบบเหล่านี้เข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าระบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้คนกลายเป็นดังคล้ายทหารในค่ายเท่านั้น แต่ยังทำให้คนขาดอิสระในการคิดต่างๆ พูดง่ายๆ คือ ระบบนี้มันเป็นการสร้างทาสทางความคิดกันเป็นทอดๆ จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องกันไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด มันจะทำให้เรากลายเป็นคนที่คิดอะไรไม่เป็น หนำซ้ำ ยังถูกล้างสมอง คิดว่ามันดีอีก เหอออออออ สงสารคนไทยจัง ประเทศอื่นเขาไม่มีกันแล้ว แต่เรายังมีอีก ออ Thailand Only......
เป็นระบบที่สอนให้รู้จักความเคารพ ความอดทน ความเปนรุ่นได้ดีที่สุด
ไปชอบ ไม่รู้จริงอย่างว่าระบบเลย มันอยู่ที่ตัวบุคคล
อุปทานหมู่ สร้างความสำคัญให้ตัวเอง พวกรุ่นพี่ปัญญาอ่อน บางคนโตกว่าตั้ง 2-3 ปี แต่ดูให้ดีมันไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย ใครเค้าอยากจะไปยกมือไว้ ?? พวกแก่กว่าหรือเข้าก่อนแค่ปีถึงสองปีไม่ต้องพูดถึง.. เด็กน้อย - -*
บางคนว่าเข้าร่วมแล้วจะรักกัน สามัคคีกัน รักรุ่นพี่มากขึ้น ผมบอกให้นะ พอเพื่อนมันไม่มา ไอเพื่อนที่มันมามันก็เริ่มบอยคอดละ ไอคนที่เค้ามีความคิดเป็นของตัวเองก็เริ่มโดนเพื่อนๆแบนด์ 55+ รักกันมากขึ้นนน ก่อนเข้ากิจกรรม ผมไม่เคยอัคติพี่คนไหนนะ นี่หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมผมหมายหัวไว้ละ ไม่ต่ำกว่า 3-4 ตัว 55+ รักกันมากขึ้นนนน
ทำเป็นมีระเบียบวินัย... หนีทหารกันมาทั้งนั้น~
สุดท้ายนี้อยากบอก....
พอเถอะครับ ไออะไรที่มันไม่สร้างสรรค์ก็ยอมรับซะเถอะ ลบๆมันไปซะ ทำใหม่ คิดใหม่ ที่มันดีกว่า อย่ามาพูด "สืบทอดต่อกันมาๆ" คนพูดดูดีนะ^^" แต่คนฟังๆแล้วอนาจ- -* พยายามกันจังสืบทอดไอประเพณีสุดเก่าแก่ที่น่าชื่นชมนี่มาเนี่ย - -* นับถือๆ ไม่นานก็หายไปครับ ไอโซตุ๊ดเนี่ย คนรุ่นใหม่ความอิสระทางความคิดและความสร้างสรรค์มันเยอะขึ้นครับ อีกเดี๋ยวใครเคยผ่านไอระบบนี่มาจะอุบปากเงียบไม่กล้าพูด กลัวคนเค้ารู้ว่าหัวอ่อน โดนเค้าบีบบังคับมา หะหะหะ
ฝากไว้นะครับสำหรับน้องๆปีหนึ่งรุ่นใหม่
คุณก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัยได้ด้วยตัวคุณเองก็ถือว่าเจ๋งแล้วครับ ใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงไปเลย อยากจะหล่อแบบไหนก็หล่อไป อยากจะสไตล์ไหนก็จัด ใครมามีปัญหาก็เอาเล่มระเบียบมหาลัยเฟี้ยงหน้ามันแล้วถามมันว่าผิดตรงไหน?? หาเพื่อนให้มันเยอะๆครับ หาแกงค์ของคุณให้ได้แล้วอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกัน ส่วนรุ่นพี่ก็เลือกเคารพเลือกรู้จักแต่คนที่เค้ามีคุณภาพจริงอย่างเห็นได้ชัด ไอป้ายช่งป้ายชื่อกิ๊กก๊อกนั่นถ้าคิดว่าใส่แล้วมันดูดีก็ใส่ไปตามสบาย
เวลา ทุกคนมีเท่ากันครับ อยู่ที่ว่าจะใช้ยังไง อย่าไปเสียให้กับอะไร... ที่มันบ้าบอ
V
V
V
ป.ล. ไม่มีรุ่นพี่คนไหนหรือใครที่ไหนอยากเอาตัวเองไปเป็นที่เกลียดชังของน้องๆของคนอื่นหรอกนะ ทุกคนหวังให้ตัวเองได้เป็นที่รักกันทั้งนั้น แต่บางครั้้งเราก็จำเป็นต้องสวมหัวโขน ยอมให้คนนับร้อยเกลียดชังเพราะหน้าที่ ความรับผิดชอบ
เคยเรียนมั๊ย ย่อความ จับใจความ ตอน ป.6
เคยเรียนไหม ภาษาไทย '' มั๊ย '' ไม่มีนะคำนี้