สวัสดีค่ะชาว Dek-D ... พูดถึงวงการบันเทิงเกาหลีเชื่อว่าหลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าเบื้องหลังของอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด นอกจากจะต้องทำงานกันอย่างหนักแล้ว ระบบสังคมของเกาหลีใต้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดความโหดร้ายขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบอาวุโส ค่านิยมการหักโหมทำงานหนัก ความไม่เท่าเทียมทางเพศ การบูลลี่ ฯลฯ ซึ่งสิ่งที่พี่กำลังพูดถึงอยู่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่เฉพาะตัวไอดอลหรือดารานักแสดงที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น แต่ยังนับรวมไปถึงบุคคลเบื้องหลังหลากหลายตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องคอยทำงานซัพพอร์ตวงการนี้ด้วยค่ะ
และถ้าหากจะพูดถึงตำแหน่งสำคัญที่บรรดาคนในวงการไม่มีไม่ได้ก็คือ “ผู้จัดการศิลปิน” หรือเมเนเจอร์นี่แหละค่ะ โดยทั่วไปคนมักเข้าใจว่าหน้าที่หลักของผู้จัดการก็คือการจัดตารางงานให้แก่ศิลปิน แต่จริงๆ แล้วมันมีอะไรเยอะกว่านั้นมาก เพราะการเป็นผู้จัดการศิลปินต้องมีคอนเนกชันและรู้จักคนอย่างกว้างขวางเพื่อที่จะติดต่องานกันได้ง่ายๆ หรือถ้าศิลปินทำงานจนข้ามวัน ก็ต้องอยู่ดูแลด้วยตลอด (แถมยังต้องดูแลชีวิตส่วนตัวของไอดอลหรือดารานักแสดงอีกต่างหาก) จะสังเกตได้เลยว่าไอดอลหลายๆ วงก็อาศัยอยู่ด้วยกันกับเมเนเจอร์เลยค่ะ เรียกได้ว่าอาชีพนี้ทำงานหนักพอๆ กันกับคนในวงการบันเทิงแบบ 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว
อย่างที่บอกไปว่าในเกาหลีนั้นมีการแบ่งชนชั้นแบบชัดเจนมากๆ แม้แต่ในวงการเหล่าเมเนเจอร์ศิลปินเองก็มีเหมือนกัน ใครที่เป็นมือใหม่มักจะโดนโขกสับจากรุ่นพี่ รวมถึงโดนกดเงินเดือน ซึ่งคนส่วนใหญ่เค้าก็มองว่าเป็นเรื่องปกติที่รุ่นน้องต้องคอยเชื่อฟังรุ่นพี่และให้ความเคารพต่อผู้ที่อาวุโสกว่าอยู่แล้ว เพราะถือเป็นค่านิยมสำคัญของสังคมเกาหลี แต่ในความที่มองว่าเป็นปกตินี้ ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะทำให้เกิดความบาดหมางจนกระทั่งกลายเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นค่ะ ซึ่งคนที่ถูกฆาตกรรมนั้นเป็นถึงกับผู้จัดการชื่อดังผู้อยู่เบื้องหลังซูเปอร์สตาร์ของเกาหลีในยุค 90 มากมายหลายคนเลยทีเดียว
“แพบยองซู” คือเมเนเจอร์ศิลปินที่มีชื่อเสียงมากๆ ช่วงประมาณ 20-30 ปีก่อน ต้องบอกเลยว่าเค้าเป็นนักปั้นเด็กมือทองมากๆ ไม่ว่าจะทำงานร่วมกับใครก็สามารถดันให้คนนั้นกลายเป็นดาวรุ่งได้หมดเลย บยองซูเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเป็นเมเนเจอร์ให้กับนักร้องคิมฮักเแรเป็นคนแรกในช่วงปลายยุค 80 และหลังจากนั้นก็เริ่มก้าวขึ้นเป็นเมเนเจอร์ตัวท็อปที่ดูแลนักร้องนักแสดงดังๆ ของเกาหลี ทั้งชเวมินซู ออมจองฮวา และอีกหลายๆ คนที่ยังมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับในเกาหลีแล้วเมเนเจอร์ที่ดังๆ จะมีคอนเนกชันที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ เพราะว่าต้องคอยเข้าสังคม นัดกินเลี้ยง ไปปาร์ตี้ ต้องรู้วิธีที่จะโปรโมตนักแสดงในความดูแลของตัวเอง แถมยังต้องแข่งขันกันในหมู่เมเนเจอร์เองด้วย เพราะทุกคนต่างก็ต้องการแข่งกันผลักดันเด็กของตัวเองให้เข้าสู่แสงไฟ ออกรายการต่างๆ ให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตามคนที่เคยได้ทำงานกับแพบยองซูดูจะไม่มีฟีดแบคในแง่ดีเกี่ยวกับเค้าสักเท่าไหร่ค่ะ หลายๆ คนบอกว่าคำพูดคำจาของเค้านั้นรุนแรงและหยาบคาย ศิลปินบางคนยังบอกอีกว่าแพบยองซูนั้นแบ่งเปอร์เซ็นต์รายได้เยอะเกินไป ที่สำคัญคือมีหลายเสียงเลยที่บอกเค้าปฏิบัติกับลูกน้องหรือคนที่ต่ำกว่าได้ไม่ดีเอาซะเลยโดยเฉพาะเวลาที่โกรธหรือโมโห เพราะเค้าจะแสดงออกอย่างรุนแรง แม้แต่ในร้้านอาหารเองก็ลือกันว่าเค้าปฏิบัติตัวไม่ดีด้วยค่ะ
หลังจากที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการจนเป็นที่รู้จัก บยองซูได้เจอกับชายหนุ่มคนนึงที่ชื่อว่า “จอนยงชอล” ค่ะ ในขณะนั้นยงชอลอายุประมาณ 20 ปี และใฝ่ฝันอยากจะทำงานในวงการผู้จัดการ บยองซูเองก็เห็นว่าคนนี้หน่วยก้านดีพอที่จะมาทำงานด้วยกันได้ เพราะยงชอลดูเป็นคนทำงานหนักและรูปร่างไม่ได้ใหญ่มาก ดังนั้นจึงเหมาะที่จะทำงานร่วมกับศิลปินหญิงในสังกัด
ยงชอลเริ่มทำงานกับ “ชเวจินชิล” ในฐานะ Road manager หรือก็คือคนที่จะอยู่กับศิลปินแบบ 24 ชั่วโมง จะต้องคอยขับรถพาไปทำงานหรือไปที่นู่นที่นี่ จัดหาเรื่องอาหารการกิน ทำทุกอย่างที่คนอื่นบอก เรียกได้ว่าเป็นเบ๊ดีๆ นี่เองค่ะ ซึ่งคนในวงการก็รู้กันดีว่าการเป็น Road manager นั้นไม่ง่ายเลย เพราะต้องทำงานอย่างหนัก ได้นอนแค่วันละ 1-2 ชั่วโมง แถมได้ค่าตอบแทนต่ำแบบไม่สมเหตุสมผลด้วย เป็นเหมือนกับจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารในวงการนี้เลย
ในตอนแรกนั้นทั้งบยองซูและมือใหม่อย่างยงชอลก็ดูทำงานเข้ากันได้ด้วยดีค่ะ แต่หลังจากนั้นไม่นานบยองซูก็เริ่มแสดงตัวตนเกรี้ยวกราดออกมาให้เห็น แถมในช่วงนั้นบยองซูเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เหล่าพนักงานสังเกตว่าข้าวของ เงิน และเครื่องประดับของทั้งพนักงานและศิลปินหายไปบ่อยๆ จุดเริ่มต้นของความไม่พอใจเริ่มต้นที่บยองซูกล่าวหาว่ายงชอลเป็นคนทำ (ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเค้าทำจริงมั้ยหรือคนอื่นทำกันแน่) และหลังจากนั้นก็กลายเป็นว่าคนทั้งบริษัทเริ่มเกลียดยงชอลขึ้นมา เวลาเค้าทำอะไรผิดแม้เพียงเล็กน้อยก็จะตวาดใส่และดูถูกอยู่เสมอ แพบยองซูเองก็มักจะต่อว่าเค้าต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆ ด้วย ทำให้เค้ารู้สึกอับอายทุกๆ ทาง
ยงชอลทำงานเป็น Road manager ได้ไม่ถึงปีก็ถูกบยองซูไล่ออก และถึงแม้จะอยากกลับไปทำงานในวงการนี้ต่อ มันก็ดูจะเป็นเรื่องยากไม่น้อยเลยค่ะ เพราะในตอนนั้นชื่อของแพบยองซูกลายเป็นที่รู้จักในฐานะเมเนเจอร์ตัวท็อป ศิลปินที่เค้าดูแลอย่างชเวจินชิลก็ดังเป็นพลุแตกอีกเช่นกัน ซึ่งสำหรับวงการบันเทิงเกาหลีแล้ว การขึ้นไปถึงจุดนั้นได้หมายความว่าจะมีคอนเนกชันที่ดีเอามากๆ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากมีเรื่องกับบยองซูด้วยนั่นเองค่ะ
หลังจากที่ถูกไล่ออกยงชอลก็โกรธจัดและเสียศูนย์ไปไม่น้อย เค้าไม่ได้ทำงานต่อและก็ใช้เงินเก็บไปกับการเล่นเกมส์ เที่ยวเล่น และดื่มเหล้า จนในที่สุดเงินที่มีก็หมดแถมติดหนี้อีกประมาณ 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 303,000 บาท) ยงชอลเลยตัดสินใจกลับไปทำงานเป็น Road manager ใหม่อีกครั้งด้วยตัวเอง จนกระทั่งวันนึงเค้าดันไปบังเอิญเจอกับบยองซูในบริษัทแห่งหนึ่ง และบยองซูเองก็ดูถูกยงชอลต่อหน้าทุกคนอีกครั้งว่า “นายไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นเมเนเจอร์ได้หรอก”
นี่ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายของยงชอลเลยค่ะ เค้าตัดสินใจจะแก้แค้นจึงติดต่อเพื่อนที่เจอกันในเกมอย่าง "คิมยองมิน" ว่ากันว่ายองมินมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน ดังนั้นยงชอลเลยตัดสินใจบอกให้ยองมินมาร่วมมือทำการปล้นด้วยกัน โดยโน้มน้าวว่าบยองซูนั้นรวยมาก แถมเค้ายังรู้วิถีชีวิตของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีเพราะเคยทำงานกับเมเนเจอร์ชื่อดังคนนี้มาก่อนด้วย และด้วยความที่ถังแตกกันทั้งคู่ ยองมินจึงตัดสินใจเข้าร่วมอาชญากรรมครั้งนี้
กลางดึกคืนหนึ่งในปลายปี 1994 ทั้ง 2 คนจึงจัดการเช่ารถและบุกไปรอในอพาร์ตเมนต์ของบยองซู และเมื่อบยองซูกลับมาก็จัดการทำร้ายเค้าจนหมดสติและจับเข้าไปไว้ในห้องนอน ก่อนจะปลุกให้ตื่นและข่มขู่ให้บอกข้อมูลบัตรเครดิตกับรหัส อย่างไรก็ตามบยองซูไม่ยอมบอกค่ะ หนำซ้ำยังเริ่มด่าและดูถูกยงชอลกับยองมินด้วย คาดว่านี่เป็นจุดที่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกโมโหเพราะขนาดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บยองซูก็ยังทำตัวแบบเดิม ทั้ง 2 คนจึงลงมือทำร้ายร่างกายจนในที่สุดบยองซูก็ยอมบอกข้อมูลบัตรเครดิตให้
แต่เนื่องจากว่าเมเนเจอร์ชื่อดังนี้รู้จักยงชอลเป็นอย่างดี เค้าตระหนักได้ว่าหากปล่อยไปบยองซูจะต้องแจ้งความกับตำรวจแน่นอน ท้ายที่สุดทั้ง 2 จึงตัดสินใจฆ่าบยองซูทิ้งด้วยการรัดคอและนำศพไปทิ้งในที่เปลี่ยว หลังจากนั้นจึงไปถอนเงินออกมาใช้กับการเที่ยวเล่น ส่วนด้านครอบครัวและพนักงานในบริษัทต่างก็รู้สึกเป็นห่วงที่ติดต่อบยองซูไม่ได้ค่ะ แต่ว่าด้วยนิสัยของบยองซูเองมักจะหายตัวไปติดต่อไม่ได้บ่อยๆ จึงทำให้ครอบครัวเลือกที่จะแจ้งความในอีกอาทิตย์ต่อมา
โชคดีที่ในสมัยนั้นธนาคารมีกล้อง CCTV แล้ว และพนักงานธนาคารเองก็ผิดสังเกตกับการกระทำของยงชอลด้วย เพราะเค้าเป็นเพียงชายหนุ่มช่วงวัย 20 ที่มากดเงินจำนวนมากจากบัญชีที่ไม่ใช่ของตัวเอง จากนั้นตำรวจก็ได้ตามสืบไปจนเจอรถของยงชอลและยองมินที่ขับอยู่บนทางด่วน (ในตอนนั้นทั้งคู่ซื้อผู้หญิงขายบริการและเพิ่งกลับมาจากเล่นสกี) ถึงแม้จะเจอตำรวจไล่ล่จนเจอ แต่ทั้งคู่เค้าก็สามารถหลบหนีและได้แอบไปซ่อนตัวที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วยิ่งหลบหนีมากเท่าไหร่ ความเครียดก็ยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น วันต่อมาพวกเค้าจึงตัดสินใจเข้ามอบตัวและสารภาพว่าเป็นคนฆ่าผู้จัดการคนดังเอง และท้ายที่สุดแล้วศาลตัดสินให้ทั้งคู่ถูกจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามยงชอลก็เพิ่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมานี้เองค่ะ เป็นไปได้ว่าอาจมีความประพฤติดีจนได้รับการลดโทษ หลังจากติดคุกมาประมาณ 20 ปี
คดีนี้ค่อนข้างเป็นที่พูดถึงพอสมควรเลยค่ะ เพราะแพบยองซูนั้นเป็นผู้จัดการที่มีชื่อเสียงไม่น้อย เหนือสิ่งอื่นใดประเด็นนี้ทำให้บางคนวิพากษ์วิจารณ์ถึงสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นและต้องเคารพผู้ที่อาวุโสกว่าของเกาหลีด้วย เพราะมันเข้มงวดมากๆ ยิ่งถ้าเป็นเด็กๆ ก็คือไม่มีทางจะพูดโต้กลับคนอายุ 40-50 ได้เลย หลายๆ คนจึงเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น แต่ถ้าพูดตามตรงจนในปัจจุบันเราก็ยังสัมผัสได้ว่าสังคมเกาหลียังคงเคร่งเรื่องนี้เอามากๆ อยู่ดี T _ T เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนผลลัพธ์อันรุนแรงของระบบอาวุโสในเกาหลีที่ชัดเจนมากๆ จึงถูกหยิบยกมาพูดเป็นกรณีศึกษาอยู่เรื่อยๆ ค่ะ
2 ความคิดเห็น
อ่านแล้วหดหู่ใจครับ
ความกดดันผลักดันให้คนทำผิดกฎหมาย
จริง !!