Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิว #dek61 ชีวิต ม.6 การอ่านหนังสือ TCAS สังคม การทำข้อสอบ แชร์ประสบการณ์

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
สวัสดีค่า เราเป็นเด็ก61 ตอนนี้มีที่เรียนแล้ว ติดเภสัชรอบ กสพท กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกเลยที่เราตั้ง เราอยากจะมารีวิวชีวิตของเด็ก61ที่มีมากกว่าเรื่องอ่านหนังสือ เผื่อไว้ให้น้องๆ62อ่านเก็บไว้เป็นสิ่งเตือนใจ เป็นแนวทาง(ไม่แนะนำให้ทำตาม 100% นะคะ ประยุกต์ให้เข้ากับตัวเองเอาน้า) จะได้ไม่พลาดบางส่วนที่เราพลาดไป

เกริ่นก่อนว่าเราเป็นเด็กสายวิทย์โรงเรียนเอกชนที่หัวดีอยู่นิดหน่อย เกรดประมาณ 3.7 แล้วก็อยู่กิ้ฟคณิตด้วย เราเรียนพิเศษไม่เยอะมาก(2-3ที่)เพราะที่บ้านฐานะการเงินอยู่ในระดับกลางๆ แล้วก็เน้นอ่านเอง(อันนี้เครียดมากกกT-T) เราหวังทันตะแต่เรานก คิดๆอยู่ว่าอาจจะลองซิ่วดู แต่ว่าก็เป็นเรื่องของอนาคตเนอะะะ

สำหรับคะแนนสอบที่ผ่านมา เราพอใจมากๆแต่ก็ผิดหวังมากๆในบางตัว แต่เราแนะนำว่าอย่าคิดท้อ ให้สู้ต่อไป ในเมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้ก็เผชิญหน้ากับมันค่ะ

- การอ่านหนังสือ
ด้วยความที่เราหลงตัวเองว่าเป็นคนค่อนข้างหัวดี ทำให้เราเริ่มอ่านหนังสือ เริ่มไหวตัวว่าต้องเริ่มช้าไปมาก เราเริ่มมาจริงจังกับการอ่านหนังสือตอน ปิดเทอมก่อนขึ้น ม.6 คนไหนยังไม่ได้เริ่ม เริ่มได้แล้วน้าา ตอนนั้นเราเริ่มจากถามรุ่นพี่ที่ติดในคณะทันตะว่าเขาทำยัังไงบ้าง เขาก็แนะนำว่าให้เรียนคอร์สติว ตอนนนั้นเราไปงอแงพ่อแม่ใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เพราะวิชานึง คอร์สนึงก็แพงมาก แล้วเราอยากเรียนหลายตัว ก็เลยทะเลาะกับทางที่บ้าน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนนะคะ เลยจุดไฟอ่านเองมันซะเลยcool

ด้วยความที่เราไม่ได้เรียนพิเศษ ทำให้เรามีเวลาว่างตอนเย็นๆอยู่บ้าง กลับถึงบ้านประมาณ 6 โมง แต่ช่วงแรกติดที่เราต้องช่วยที่บ้านทำงาน เฝ้าร้าน ก็เลยต่อรองกับแม่ว่าขอขึ้นห้องตอน 2 ทุ่มแทน 4 ทุ่มนะ แม่ก็โอเค

เราเริ่มดูจากคนรอบตัวว่าอ่านหนังสือแบบไหนกันบ้าง เล่มไหนที่รุ่นพี่รีวิวว่าดีก็ซื้อมา บางเล่มก็ได้มาจากรุ่นพี่ด้วย เรามีหนังสือไม่มาก อ่านหนังสือไม่เยอะเพราะเป็นคนขี้เกียจ อ่านเล่มละไม่เกิน 2 วิชาด้วยซ้ำ แต่ว่าก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหาก่อน เราต้องรู้ว่าจุดไหนสำคัญ แต่ด้วยความที่เราเริ่มต้นช้าอ่ะ เราไม่ได้ไปเปิดข้อสอบเก่าดูทั้งหมด แต่เราอาศัยการตั้งใจเรียนในห้อง เพราะครูก็จะเน้นมาให้อยู่แล้วว่าตรงไหนสำคัญ + ตอน ม.4-5 เราเป็นคนตั้งใจเรียนในห้องแบบมากๆ ตอนสอบมิดเทอมไฟนอลเราก็ตั้งใจอ่านมากๆ(ช่วงอาทิตย์สอบเรานอนวันละ 3-4 ชม.) เราเลยได้เปรียบจากตรงนี้มา การเรียนในห้องเรียนสำคัญมากน้า อย่าเทเลยเชื่อเรา เราเคยเห็นหลายคนชอบพูดว่าเกรดไม่สำคัญ วัดอะไรไม่ได้ เราว่าอันนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมดนะ เกรดน่ะช่วยวัดผลเรา ช่วยให้เราประมาณตัวเองว่าควรทุ่มเทกับอะไรตรงไหนมากขึ้น อีกอย่างในห้องเรียนก็มีครู ครูเขามีประสบการณ์ในระดับนึง เขาพอจะรู้ว่าบทนี้ ข้อสอบชอบออกมาประมาณไหน อันนี้มันดีกว่าการที่เรามาวิเคราะห์ข้อสอบย้อนหลังเอง

ใช้ social ให้เป็นประโยชน์ เราเล่นทวิต ก็จะฟอลแอคพี่ซิ่ว แอคเด็กดี หรือเว็ปแนะแนวต่างๆที่เขาจะช่วยเราได้มากในหลายๆเรื่อง เช่นกำหนดการต่างๆ การนับถอยหลัง การวิเคราะห์ข้อสอบ แนวข้อสอบ ถ้าอย่างไอจีก็ฟอลแอค studygram ไว้ เวลาเล่นไอจีแล้วเจอเขาอัพก็จะได้รู้สึกผิดแล้วไปอ่านหนังสือ 555555555555

แนะนำหนังสือนะคะ เท่าที่เราอ่านแล้วก็อ่านบ่อยๆเพราะคิดว่ามันดี
ชีวะ : เล่มเต่าทอง อันนี้สรุปแบบพอเข้าใจ ไม่ยุ่งยาก มีเทคนิคการจำ มองภาพรวมได้ง่ายกว่า ตรงไหนที่คิดว่ายังค้างก็ google ไปเลยจ้า ###เราเรียนพิเศษบทพันธุกรรม ม.6 เทอม 1 กับเทปของออนดิมาน เพราะครูที่โรงเรียนสอนไม่รู้เรื่อง เรียนไม่ไหวจริงๆค่ะTT
สังคม : เล่มพี่บอล อันนี้แม่นจริง ตรง onet เป๊ะๆ แต่ยังไม่ลึกพอจะเอาไปสอบสามัญ(แต่อันนี้มันก็ยากอยู่แล้วอ่ะเนอะT^T) เอาไว้อ่านเอาคอนเสปคร่าวๆ
เคมี : เล่มสรุปเคมีสำหรับ pat2 เราว่าเล่มนี้ยังสรุปสั้นไป แต่ได้สูตร ได้เนื้อหาท่องจำบางตัวที่หนังสือเขาเก็งมาให้เลย ###วิชานี้เราเรียนพิเศษกับพี่ติวเตอร์แบบตัวต่อตัวกับเพื่อนอีกคนนึงตั้งแต่ตอน ม.5 เทอม 1 แล้วก็ตั้งใจอ่านทบทวนมากๆ คะแนนตอนสอบโดดขึ้นมาเลยตั้งแต่ตอนนั้น พอคะแนนดีก็พอใจมาก กลายเป็นชอบ แล้วก็อยากทำให้มันดีเรื่อยๆ จากนั้นก็กลายเป็นวิชาทำคะแนนของเราเลย

วิชาอื่นๆ
คณิต : วิชานี้เราถนัดสุดดด เราตั้งใจเรียน เก็บในห้องให้ได้มากที่สุด แทบไม่เคยหลับในห้องตอนเรียนเลย(+เป็นกิ้ฟโดนแยกห้องเวลาเรียน) มันทำให้เราโฟกัสมากๆ ไม่เข้าใจตรงไหน จบคาบเอามาถาม เกรดไม่เคยต่ำกว่า 3.5 เลย พอใกล้สอบสิ่งที่เราทำคือทำข้อสอบเก่าของสามัญย้อนหลังหลายๆปีเพราะเป็นข้อสอบสายวิทย์ที่แท้ทรู ไม่ง่ายเหมือนโอเน็ตแล้วก็ไม่ยากเกินเหมือน pat1 แต่ถ้าคนไหนอยากทำ pat1 เยอะๆก็ควรทำไปเผื่อนะคะ
ไทย : ข้อสอบไทยสำหรับทุกๆสนามเรามองว่าไม่ได้ยากเกินความสามารถคนไทยค่ะ 555555555 จะมีพวกคอนเสปเช่นคำเป็นคำตาย บาลี-สันสกฤต โวหาร ฯลฯ ที่จะถูกใช้ใน onet มากเป็นพิเศษอันนี้ก็จำคร่าวๆไปว่าแต่ละอย่างคืออะไร ส่วนตัว gat นี่ทำข้อสอบวนไปค่ะเน้นการฝึกจนคล่อง ไม่ต้องถึงกับซื้อหนังสือก็ได้เพราะเราก็ไม่ซื้อ 55555 โหลดจากเน็ตมาทำ เทคนิคคือสังเกต keyword เพราะบางทีเวลาเราอ่าน ตีความออกกมา ไอ่ตัวที่มีปัญหามักจะเป็น A กับ D ที่มีปัญหา แต่ถ้าเราเจอ keyword มันแล้ว เดี๋ยวเราจะรู้เองว่าควรไปอะไร กับ A และ F ที่พลาดได้เหมือนกัน ต้องอ่านดีๆ
อังกฤษ : ###วิชานี้เราเรียนพิเศษคอร์สติวของพี่ชายใจดีท่านนึงค่ะ เด็กเชียงใหม่น่าจะรู้จักบ้าง เขาสอนดีแบบมากๆๆๆๆๆ ประสบการณ์ 10 กว่าปี เราจะอวยรัวๆ 555555555 แต่ถ้าไม่เรียนทำยังไง ข้อสอบภาษาอังกฤษของทุกๆสนามมีเอกลักษณ์ของมันค่ะ onet แกรมม่าจ๋าา ไอ่ตัวนี้ก็ต้องจำมา(แนะนำให้จำ if-clause , comparison , subjuntive , 12 tense , conjunction , participle , subject verb agreementพวกนี้ออกบ่อย แต่อย่างอื่นก็มีอ่านเผื่อด้วยนะหนูๆ) สามัญก็ reading จ๋าา(ท่องศัพท์) ส่วนตัวสุดท้าย gat อันนี้เป็นข้อสอบอิ้งที่เราชอบมากที่สุด ออกทุกอย่างมารวมกัน นุ่มนิ่มกำลังดีแต่พาร์ทที่ชาเลนจ์มากๆจะเป็น error (gramma จาก onet + เรื่องหน้าที่่ของคำ)  สำหรับวิชานี้เน้นอ่านเบาๆแต่ทำข้อสอบเก่าหนักๆไปเลยจ้า เท่าที่เราลองทำดูมันจะง่ายลงเรื่อยๆในแต่ละปีนะวิชานี้ แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือการท่องศัพท์ อันนี้แล้วแต่ที่แต่ละคนถนัด ทำ word card ท่องจากแผ่นครูสมศรี(แจกฟรี) หรือจะดูหนังฟังเพลง(เสียเวลาหน่อยแต่จำได้ดี)
ฟิสิกส์ : อันนี้เราเทแบบ 90% เลยค่ะ ทำได้แค่เรื่องที่มันมีในเคมี เพราะเราอคติกับวิชานี้มาโดยตลอด เราแนะนำสำหรับคนที่เกลียดมันแบบเรา ให้ไปเรียนเถอะค่ะ เราลองอ่านแล้วก็ไม่ไหว 5555555555555555555555 ยิ่งทำไม่ได้ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งไม่ชอบ ไม่อยากให้เสียใจแบบเราค่ะ

ภาพรวมสำหรับการอ่านหนังสือ เราไม่ได้วางแผนตายตัวค่ะ เราจะลองเอาข้อสอบเก่ามาทำดู
 แล้วพอตรงไหนที่ไม่ได้ เราจะกลับไปอ่าน ทำสรุปบางเรื่องที่คิดว่าไม่น่าจะจำได้ง่ายๆ แล้วก็ทำตัวเองให้รู้สึกอยากอ่านหนังสือค่ะ พอถึงเวลาต้องอ่านหนังสือ บรรยากาศต้องเป็นใจ สำหรับเราเราชอบอ่านดึก นอนหลังเที่ยงคืนทุกวัน ง่วงเมื่อไรค่อยไปนอน มีเล่นเกมผ่อนคลายบ้างแต่ต้องไม่เอาเวลาไปให้มันมากเกินไป(เราROVวันละไม่เกิน6ตาเพราะจะเอารางวัลเล่นครบหกตา 555555555)

เรามองว่าเราต้องมีแรงบันดาลใจมากพอในการอ่านหนังสือค่ะ ถ้าเราอยากจะทำอะไรเราต้องทำให้ได้ เราเคยตั้งใจเรียนฟิสิกส์จนสอบได้ทอปของมิดเทอมเพราะครูน่ารักด้วยค่ะ 55555555555 ตอนประกาศคะแนนครูงงเลยค่ะว่าเราได้ได้ไง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคนข้างๆเราเก่งฟิสิกส์มาก(โอลิมปิค) เราเลยถามเขา ได้ผลพลอยได้จากตรงนี้มาด้วยค่ะ สิ่งที่อยากย้ำคืออย่ากดดันตัวเอง ถ้าไม่ได้ตรงไหนอย่าไปย่ำเท้าที่เดิม ถามเพื่อน ถามครู ถามพี่ ถ้าไม่ไหวก็พัก มันจะทำให้เรามีแรงฮึดอยากจะอ่านมากกว่า แบ่งเวลาให้ดีๆเพราะเวลาผ่านไปเร็วจนน่าใจหายเลยค่ะ



-TCAS
หึ 555555555555555555555555 เรามองว่าระบบนี้ยังไม่เข้าที่แบบมากๆ ให้โอกาสคนเก่ง แต่ในเมื่อมันบีบเรา เราต้องทนกับมันให้ได้ค่ะ เราเริ่มทำความเข้าใจระบบนี้ตั้งแต่มันเป็นข่าวลือ แต่ก็ยังมีบางที่ที่เราพลาดไปจนพลาดโอกาสไปหลายๆด้าน + ความใจเย็นของตัวเองเกินไปด้วย เราจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังแล้วกันค่ะ เราว่าสิ่งที่ต้องมีมากที่สุดคือความรอบคอบค่ะ

รอบ 1 พอร์ท : ขอบคุณโรงเรียนของเราด้วยที่ใส่ใจกับเด็ก ปริ้นพวกรายละเอียดต่างๆมาแปะบอร์ดทิ้งไว้ แต่ถามว่าเราสนใจมั้ย ไม่เลย(กลับไปตีหัวตัวเองทันมั้ย 555555) เราเพิ่งมาเห็นรายละเอียดโครงการรับรอบนี้ของทันตะเอาตอนเกือบจะเปิดรับสมัครเลย คุณสมบัติเราตรงกับในรายละเอียดหมดยกเว้นการสอบภาษาอังกฤษ CMUeTeg ที่เรายังไม่ได้สอบแล้วก็ยังไม่ได้เตรียมตัวด้วย พอมารู้ก็สายเสียแล้ว หารอบสอบแบบวุ่นวายมาก สุดท้ายได้มาแค่รอบเดียว อาทิตย์ก่อนสอบเรากดดันตัวเองมาก อ่านแต่อิ้งรัวๆ ท่องศัพท์รัวๆ พอวันไปสอบ สรุปคะแนนไม่ถึง เหมือนโลกทั้งใบของเราตอนนั้นแตกเลยค่ะ เพราะกว่าจะเตรียมตัวให้ครบตามคุณสมบัติเราไปทำอะไรหลายอย่างมาก ไปฝึกงานที่ไกลบ้าน ไปสอบใหม่แก้เกรดบางวิชาที่เขากำหนดแต่ไม่ถึง(อันนี้ก็เพราะไม่ศึกษารายละเอียดจากใบรายละเอียดจริงๆว่าเขาต้องการอะไรปลีกย่อยไปอีกก็เลยพลาด ขอคุณครูแบบแทบกราบ อ่านคืนนี้สอบพรุ่งนี้ 3 รอบกว่าจะผ่านTT) สรุป นก

รอบที่ 2 โควตา : ด้วยความที่เราเป็นเด็กเหนือ โควตา มช คือเป้าหมายของเราค่ะ แต่เราก็พลาด(อีกแล้ว)ที่ไม่ได้สมัครโควตา มน. ไว้ด้วย เราก็เฟลหน่อยๆแต่ก็โฟกัสมาแค่ที่ มช แต่พอคะแนนออกมาน้ำตาคลอเลย เพราะเจ้าฟิสิกส์ตัวดีของเรา คะแนนสามัญวิชานี้เราได้ 28 ค่ะ เกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับทันตะคือคะแนน 7 วิชาสามัญทุกวิชา 30+ ซึ่งแปลว่าเราพลาดไปแค่ข้อเดียว แปลว่าเราหมดสิทธิคณะทันตะไปเลยสำหรับรอบนี้ เราเลยมองเป้าหมายใหม่เป็นเภสัชกับเทคนิค แต่ด้วยความดื้อของเรา เราอยากจะยื่นทันตะอยู่ดี อย่างน้อยแค่ได้ยื่น เราเลยส่ง 2 อันดับที่แก้ไขใหม่ของเราเป็นทันตะกับเภสัช พอวันประกาศผล เราไม่ติดอะไรเลย พอขั้นต่ำออกมา เราก็ต้องน้ำตาคลอรอบสองเลยค่ะ เราหวิดขั้นต่ำเภสัชไปประมาณไม่ถึง 2 คะแนน สรุปนะคะ นก

รอบที่ 3 รับตรงร่วมกัน : ความนกจากรอบที่ผ่านมาสอนเราค่ะ ตอนนี้พ่อแม่เริ่มเครียดไปกับเราแล้วด้วย เลยกำชับให้เรารอบคอบมากกว่านี้ เราก็นั่งศึกษาข้อมูลละเอียดยิบเลย ด้วยความที่ onet เราสูง เรามีโอกาสกับทั้ง กสพท และ แอดมิชชั่น เราเริ่มคำนวณคะแนน แบบซ้ำๆจนได้คะแนนของแต่ละสาขามา เป้าหมายของเราลดลงตามคุณสมบัติที่เรามี กลายเป็นเภสัช สัตวะ เทคนิค (เราอยากได้สายสุขภาพเพราะเรามองว่าจบมาจะมีงานทำแน่นอน) เราไปตรวจดูขั้นต่ำ กสพท กับแอดมิชชั่น เรารู้สึกว่าเราจะยังมีลุ้นกับเภสัชในแอดรอบที่ 4 แต่อาจจะหลุดตอนรอบที่ 3 เพราะห่างจากขั้นต่ำ กสพท ปี 60 อยู่ประมาณ 3 คะแนน แม่ก็เลยยื่นมือเข้ามาช่วยเรา รอบนี้สรุปแล้วเราเลือก กสพท ได้ 4 อันดับ และอันดับอื่นๆอีก 3 อันดับ ใน 3 อันดับที่เหลือเราบอกแม่ว่าอยากได้เทคนิครังสี เรากับแม่ก็เข้าไปดูรายละเอียดและจำนวนการรับ แล้วก็พบว่าโครงการพิเศษที่เป็นโครงการขาดแคลนบุคลากรรับเยอะกว่า ภาพเดจาวูรอบพอร์ทกลับมาเลยค่ะ เพราะโครงการนี้ต้องทำเรื่องกับทาง สสจ. แต่เราจะไม่พลาดอีกค่ะ เรากับแม่หาข้อมูล ติดต่อกับคนที่ทำงานในสาธารณะสุข ยื่นเอกสาร(ที่รายละเอียดปลีกย่อยเยอะพอสมควร)ทุกอย่าง ใครที่ปีหน้าอยากจะยื่นโครงการนี้ อยากให้เราช่วย เราเต็มใจมากเลยนะคะ แต่ว่าการยื่นเอกสารไปอย่างเดียวมันดูเหมือนการไปรบโดยไม่มีอาวุธ เราเลยทำพอร์ท แนบคะแนน แนบผลงานไปประกอบการตัดสินใจด้วย(คนอื่นบางคนยื่นไปแต่เอกสาร) นอกจากนี้เราต้องทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเป็นคนน่าสนับสนุนด้วย เวลาจะยื่นเอกสารเราก็แต่งชุด นร. ไปทุกครั้ง เจอผู้ใหญ่คนไหนที่คอยช่วยเรา เราก็ไหว้ขอบคุณเขาตลอด ยิ้มแย้มแจ่มใส ให้เขาอยากช่วยเหลือ 5555555555 ทาง สสจ. ก็ดีมากๆค่ะ ให้โอกาสเด็กทุกคนที่ยื่นไปเลย เซ็นเอกสารให้ทุกคน แล้วไปแข่งกันที่คะแนนเลยอย่างเดียว พอวันประกาศ กสพท ตอนนั้นเราไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เราเช็คผลในมือถือ มือเราสั่นเลยค่ะ เพราะเราหวังแค่สัตวแพทย์ แต่เราติดเภสัชค่ะ เรารีบโทรไปบอกแม่ แม่เราก็ดีใจ สักพักโทรกลับมาหาเราด้วยว่าติดแล้วจริงๆใช่มั้ย ดูดีๆรึยัง เหมือนแม่ไม่เชื่อเลยค่ะ 55555555555555 ตอนนั้นเราก็โล่งเลย 3 เดือนแห่งการรอคอยมันจบล่ะ วันเคลียริ่งเฮาส์ เราก็ติดอีกในลำดับที่เหลือ พอใจในตัวเองมากๆค่ะตอนนั้น ไม่นกล้าวววว 



-สังคม
อันนี้เรามองว่ามันสำคัญค่ะ เพื่อน ครอบครัว แฟน ต่างๆ คนรอบตัวเราเป็นสิ่งนึงที่ผลักดันเรา เราในตอนนั้นไม่มีความคิดอยากจะเริ่มอ่านจนเห็นแฟนอ่านค่ะ บวกกับเพื่อนด้วยที่เริ่มอ่าน เราก็อ่านตามไปกับเขา แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือครอบครัวที่เข้าใจเรา

เพื่อน : ปกติแล้วเราเต็มที่กับกิจกรรมมากค่ะ กีฬาสีเราก็ลงวิ่งทุกปี กีฬาห้องก็ลง ซ้อมเชียร์ก็ลง งานแสดงวันจบเราก็ทำ โรงเรียนมีกิจกรรมอะไรเราก็ไป ไม่โดด คือเต็มที่ 555555555555 เพราะเราคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้มีมาให้ทำบ่อยๆเราก็เลยทำให้หมด เราเลยมีเพื่อนที่แบบไปไหนไปกันในเรื่องแบบนี้ แต่พอมาถึงวันนึง เราเริ่มรู้สึกว่าเห้ย เราต้องบาลานซ์มันให้ได้นะ กิจกรรมกับการเรียน ประกอบกับช่วงนั้นเราเริ่มรู้สึกว่ากลายเป็นเราคนเดียวที่เริ่มจริงจังกับการเรียนมากกว่าคนในกลุ่ม เราโดนเทงาน ในงานกลุ่มเราจะทำเยอะกว่าคนอื่น เวลาเรารับงานมาทำเรารู้สึกว่าเพื่อนที่ทำให้ก่อนหน้าเราอ่ะ ทำดีไม่ได้เท่าที่เราอยากจะทำ เหมือนทำชุ่ยๆพอให้มีส่ง บางงานเป็นงานปั่นก็จริงแต่เราอยากทำให้มันดีกว่าการทำให้พอส่งได้ เราเลยมีความคิดอยากจะลองหากลุ่มเพื่อนใหม่ที่เขาจะเป็นแบบเรา เราเริ่มย้ายไปกินข้าวกับกลุ่มที่เป็นเด็กเรียนกว่า ไปอยู่กลุ่มกับเขาเวลาทำงาน จนสนิทกัน มันทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังพัฒนาตัวเองให้เก่งเท่าเขา เราไปติวหนังสือกับเขา เริ่มทำข้อสอบไปพร้อมๆกับเขา ไปเข้าชมรมติวภาษาอังกฤษกับเขา เวลาเรามาโรงเรียนเราก็จะเจอเขาทุกวันเพราะเขาไม่โดด คะแนนเราก็ดีขึ้น เราขยันมากขึ้น เก่งขึ้น แต่เพื่อนกลุ่มเก่าเราก็ไม่ทิ้งนะ เวลามีงานไหนกลุ่มใหญ่กว่าเราก็ดึงเขามาเข้ากลุ่มด้วย เราเลยสำนึกได้ว่าเพื่อนน่ะสำคัญนะ คนรอบข้างเราน่ะสำคัญ

ครอบครัว : ช่วง ม.6 เราทะเลาะกับครอบครัวบ่อยมาก ครอบครัวเราคาดหวังกับเราไม่มาก แต่เป็นเราที่คาดหวังกับตัวเองมาก กลัวครอบครัวจะผิดหวังเพราะเราเป็นลูกคนโต เป็นแบบอย่างให้น้อง เป็นคนที่เรียนดีมาโดยตลอด เราเลยไม่อยากพลาดให้พ่อแม่เห็น เรากดดันตัวเองมาก กลับบ้านเราเจอหน้าพ่อแม่น้องแล้วได้คุยกันแค่ช่วงกินข้าว เวลาที่เหลือเรานอนชดเชยที่นอนดึกกับขังตัวอ่านหนังสือในห้องตลอด พ่อแม่จะคอยออกมาบอกเราหน้าห้องตลอดว่านอนได้แล้ว คอยเรียกกินข้าว ช่วงใกล้สอบคือเอาของกินมาใส่ตู้เย็นทิ้งไว้ตลอด ตอนเราโทรมๆไปพ่อแม่ก็ทักว่าพักบ้าง ช่วงจะยื่นพอร์ท ยื่นเอกสารก็เข้ามาช่วยตลอด ตอนเราพลาดรอบ 1 กับ 2 ก็มีด่าบ้างแต่ด่าเพราะความไม่รอบคอบของเราเอง ไม่ด่าเราที่เราว่าเราไม่เก่ง หรือทำไม่ได้เลย เรื่องนี้เราว่ามันแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว แต่ทางที่ดีเราว่าควรคุยกับท่านบ่อยๆเรื่องระเบียบการ วิธีรับ ให้ท่านเข้าใจเรา เข้าใจความเหนื่อยในวัยเรา

แฟน : หลายคนกังวัลเรื่องมีแฟน เรามองว่าเราต้องมีคนที่เข้าใจและเป็นที่ระบายให้กันและกันได้ เราโชคดีที่มีแฟนอยู่ชั้นเดียวกับเรา เป็นผู้หญิงเหมือนเรา เลยเข้าใจอะไรกันมาก 
เขาขยันมาก ไปเรียนคอร์สเอ็นถึงสองทุ่มกลับมาอ่านหนังสืออีก เราเห็นเราเลยคิดว่าเราควรเริ่มบ้าง ตอนเขาไปเรียนไม่ว่างตอบแชทเราก็อ่านๆๆๆๆๆ พอเขามาเราก็อ่านๆๆๆอีก ถามข้อสอบกัน เสาร์อาทิตย์ว่างก็ไปอ่านหนังสือด้วยกัน แต่ทุกอย่างมันก็ต้องมีพอเหมาะพอดี สุดท้ายเราเลิกกับเขาก่อนสอบนะ เพราะเขาต้องการเวลาอ่านหนังสือมากกว่าเรา เราเป็นคนขี้เกียจ อ่านๆพักๆ แต่เขาอ่านคืออ่านเลย หาย 555555555 พอความต้องการมันไม่ตรงกัน ก็เลยกลับมาเป็นเพื่อนกัน สำหรับหลายคู่ที่ยังรักกันดีก็มีอยู่ มันอยู่ที่เราจะประคับประคองมันไปยังไง ถ้ามีแล้วทำให้เหนื่อย ทำให้คิดมากจนมันเบียดเบียนเวลาอ่านหนังสือ เราว่าต้องมาคิดแล้วว่าอะไรที่เราควรจะโฟกัสมากที่สุด

ป้าข้างบ้าน : บุคคลที่รับมือยาก อยากจะด่าให้เลิกยุ่งก็ทำไม่ได้ 5555555555555555 เรามีวิธีคือโนสนโนแคร์ไปเลย เวลาคุยด้วยแล้วก็ค่าๆๆๆๆๆอย่างเดียว รอตอกกลับเขาด้วยความสำเร็จของเราเท่านั้นค่ะ! เดี๋ยวเขาเลิกยุ่งไปเอง

แสดงความคิดเห็น

>

2 ความคิดเห็น

Nock150 7 ก.ค. 61 เวลา 02:27 น. 1

(ต่อ)


- การทำข้อสอบ

ย้ำๆๆๆๆๆขีดเส้นใต้ 426450957 เส้น ไฮไลท์ 176 เฉดเลยค่ะว่ารอบคอบ ต้องรอบคอบมากๆนะคะ สิ่งที่ควรทำคือศึกษาข้อสอบก่อน ว่าแต่ละอย่างมันต่างกันยังไง มีกี่พาร์ท น้ำหนักคะแนนพาร์ทไหนเยอะน้อยอย่างไร วิธีทำข้อสอบนั้นทำอย่างไร โดยเฉพาะคนที่จะเน้นไปที่วิชาสามัญ เพราะข้อสอบตัวนี้มีความเยอะสิ่งสูง ความยากง่ายในแต่ละข้อมันต่างกันแม้บางทีคะแนนจะเท่ากัน


Onet : อย่าคิดว่าไม่สำคัญ!!!! เตือนเลยนะคะเห็นบางคนจะเท onet สำคัญอย่างไร onet เป็น 30% ของคะแนนแอดมิชชั่น onet 300+ มีสิทธิยื่น กสพท รอบพอร์ทบางที่มีการเรียกดู onet ด้วย ลองคิดเล่นๆเผื่อมีคนอยากยื่น กสพท เลยตั้งใจอ่านสามัญมาก แต่ลืมรายละเอียดบางตัวที่ onet ต้องอ่าน พลาดได้ต่ำกว่า 300 ก็คือจบนะคะ คุณสมบัติไม่ครบ สำหรับแอดมิชชั่น 1 คะแนนของ onet มีค่า 18 คะแนนของแอดมิชชั่น เรามีโอกาสหลุดแม้จะได้คะแนนน้อยกว่าขั้นต่ำแค่หลักสิบคะแนน เพราะฉะนั้น สำคัญนะคะ เก็บง่ายสุดเลย อย่าเทถ้าเป็นไปได้ ตัวข้อสอบไม่ค่อยซับซ้อน ทำเรียงได้ เวลาเหลือเฟือค่า ยกเว้นคณิตนะคะ ไม่ได้ข้อไหนข้ามก่อน


GAT-PAT : สำคัญสำหรับรอบแอด ศึกษาพาร์ทข้อสอบดีๆ เพราะข้อสอบมันเยอะบรม เวลาค่อนข้างฉิวเฉียด โดยเฉพาะ gat ที่ gat thai ให้เผื่อเวลาอ่านทวนเยอะๆ gat eng มีพาร์ทที่มีความยากง่ายต่างกัน พาร์ทที่ง่ายและแจกคะแนนที่สุดสำหรับเราคืออยู่หลังสุด แนะนำให้เปิดไปทำก่อน เก็บ reading ไว้หลังสุด สำหรับ PAT ทั้งหลาย เราเทแบบไม่ได้ดูข้อสอบเก่าเลย ไปถึงก็คือเปิดหาข้อที่คิดว่าน่าจะทำได้จนเจอโต๊ะค่ะ 5555555555555 แต่พอกลับมาย้อนดีๆข้อแจกคะแนนมีเยอะอยู่ค่ะ สำหรับคนที่ตั้งใจเก็บก็สู้ๆนะคะ เวลาเราว่ามันน่าจะไม่พอสำหรับคนที่ตั้งใจทำ ลองหาข้อที่เราถนัดแล้วทำก่อนค่ะ


วิชาสามัญ : สปีดเทสต์ค่ะ วัดใจสุด วิชาไหนคะแนนเท่าก็ทำข้อที่ทำได้ก่อนแล้วค่อยย้อนมาข้อที่ทำไม่ได้ ส่วนวิชาไหนคะแนนไม่เท่า มีการแบ่งพาร์ท หาพาร์ทที่คิดว่าเก็บคะแนนได้เยอะที่สุดเพื่อทำก่อน แล้วค่อยไปตามเก็บที่เหลือ โอ้เอ้ไม่ได้เลยอันนี้ ตอนเราทำเวลามันเหลือไม่เคยเกิน 20 นาทีสักครั้งเลยค่ะ ยกเว้นวิชาฟิสิกส์ 55555555555555555555555555555555 สำหรับชาว กสพท ทุกวิชาต้อง 30+ นะคะ วิทยาศาสตร์นี่ (เคมี + ฟิสิกส์ + ชีวะ)/3 ต้อง 30+ เน้นไปที่คณิตกับอิ้งเพราะมันดึงได้เยอะ อย่าเทสองวิชานี้ ถ้าจะเทต้องทำวิทย์ 3 วิชาให้ได้เยอะทั้งหมดถึงพอจะดึงได้


เฉพาะแพทย์ : ........สปีดเทสต์ของจริงค่ะ วัดใจ วัดความเป็นคนดี และวัดดวงค่ะ ตัวข้อสอบแต่ละชุดคือไม่ต้องแบ่งเวลาหรอกค่ะ ทำข้อที่ทำได้ ทำไปให้ได้มากที่สุด ข้อสอบไม่ปราณีใคร พาร์ทเชาว์ตรงอ่านจับใจความกับคณิตน่าจะเก็บได้เยอะสุด พาร์ทจริยธรรมอย่าคิดนาน ถ้าเวลาใกล้หมด ใน 5 ตัวเลือกจะมีอยู่ 2 ตัวเลือกที่ไม่ได้คะแนนค่ะ ตัดตัวเลือก 2 อันนั้นทิ้งแล้วตอบอะไรก็ได้ที่เหลือค่ะ วัดดวงกันไป ส่วนพาร์ทเชื่อมโยงอันนี้จะเปลืองเวลาตอนหาตัวเลือกค่ะ ไม่มีตัวหนามาให้เหมือน GAT หาเจอแล้วก็อย่าเพิ่งหยุดหานะคะ มันจะมีอีก เชื่อมโยงของเฉพาะแพทย์จะพูดเรื่องนี้จบไปแล้ว แต่จะกลับมาพูดอีก คำที่เป็นตัวเลือกจะเจอซ้ำได้มากกว่า 2 ที่เลย แทบไม่มีเวลาทวน แต่น่าจะเป็นพาร์ทที่เก็บคะแนนได้เยอะสุดของเฉพาะแพทย์ค่ะ อย่าพลาด วาดผังเสร็จแนะนำให้ฝนไปก่อน จนเสร็จหมดค่อยกลับมาทวนและแก้ค่ะ เพราะเคยมีคนทำในกระดาษทดจนเสร็จแต่มาฝนไม่ทันเวลาหมดก่อน


นายร้อยตำรวจหญิง : อันนี้พิเศษสุดค่ะ ไม่เกี่ยวกับ TCAS แต่มีโอกาสไปลองมา คนสอบเป็นพัน บอกเลยไม่หวังค่ะ 5555555555555555 ตัวข้อสอบมี 4 วิชา วิชาละ 40 ข้อ เย็บรวมเล่มเดียวกัน 160 ข้อ เรียงเป็น ไทย วิทย์ คณิต อังกฤษ โดยวิทย์คณิตเป็นเนื้อหาสายวิทย์ค่ะ แปลว่าในวิทย์มีฟิสิกส์เคมีชีวะครบค่ะ สำหรับเราเราว่าความยากอยู่ในระดับยากกว่าวิชาสามัญในพวกวิชาวิทย์คณิต ส่วนที่เหลือใกล้เคียงกับสามัญค่ะ ก่อนสอบตรวจเข้มมาก เท้าเปล่าเดินเข้าไปสอบเลยค่ะ ของทุกอย่างที่ไม่ใช่อุปกรณ์ทำข้อสอบคือเก็บใส่ถุงไว้นอกห้องเลย(รองเท้าถุงเท้าด้วยTT)ออกห้องสอบก่อนไม่ได้ อยู่ในนั้นน่าจะ 3-4 ชั่วโมง เราไม่แน่ใจว่านานเท่าไรเพราะจะต้องไปเช็คอินที่สนามบินให้ทันเลยรีบออกมา ไม่ได้ดูนาฬิกา อันนี้เราไม่ติดเพราะยอมแพ้จริงๆ ไม่ได้เตรียมตัวไปเลย


ย้ำสำหรับทุกการทำข้อสอบ อย่าดึงข้อสอบแยกออกจากกัน มันถือว่าเป็นการทำลายข้อสอบค่ะ มีกระดาษทดจริงแต่ดึงออกมาทดไม่ได้ พลิกไปทดอย่างเดียวค่ะะะะ แล้วก็รอบคอบกับทุกสนาม โอกาสสอบเรามีแค่ครั้งเดียว ถ้าพลาดแล้วเราอาจจะต้องเสียใจไปตลอด



ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ จบแล้วค่ะ เผื่อจะมีใครบังเอิญผ่านมาอ่านรีวิวด้อยๆของเรา หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆที่เข้ามาอ่่านไม่มากก็น้อยนะคะ เราคิดนานมากว่าจะเขียนรีวิวชีวิตตัวเองช่วง TCAS ดีมั้ย เพราะเราก็ได้ลองทำอะไรหลายๆอย่าง เลยตัดสินใจว่าอยากเป็นแนวทางให้คนที่ยังมืด 8 ด้านกับระบบนี้อยู่แบบที่เราเคยเป็น แล้วก็อยากเป็นกำลังใจให้น้องๆรุ่น62ที่กำลังจะต้องเจอกับระบบนี้อีกว่าอย่าเพิ่งท้อ อย่าเครียด อย่ากดดัน อย่าโทษตัวเอง ทุกอย่างเราทำได้ถ้าตั้งใจจะทำ ผิดหวังก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ หาทางก้าวต่อไป ดูเราไว้เป็นตัวอย่าง นกมาแล้วแต่ก็ยังสู้ต่อ ดูพี่ๆรอบแอดไว้ว่าการรอคอยมันคุ้มค่าแค่ไหน สู้ๆสำหรับการอ่านหนังสือค่ะ อยากปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องเทคนิครังสีโครงการขาดแคลนบุคลากรของ มช. ก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะช่วยค่ะhttps://www0.dek-d.com/assets/article/images/sticker/bb-01.png

0