อยากเป็นนักเขียน..."ตี๊อ" เท่านั้นที่ครองโลก

 

 

 

 ยู้ฮู่...เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะน้องๆ นักเขียนชาวDek-d.com สบายกันดีไหม ดูท่าทางเปิดเทอมนี้การบ้านเยอะกันหน้าดูเลยเนอะ แต่ไม่เป็นไรจ้ะ สู้ๆ กันต่อไป วันนี้พี่นัทมีบทความดีๆ สำหรับน้องๆ ชาว Dek-d.com ที่รักที่จะเขียนหนังสือมาฝากกันจ้า

 

 

 

 

 

 

คนชอบเขียนหนังสือ พอเขียนขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ทั้งเรื่องสั้นเรื่องยาว สารคดี ฯลฯ เขียนแล้วนำมาอ่านเอง จะเพื่อนเป็นการทบทวนหรือไรไรก็แล้วแต่ ตอนอ่านผลงานตัวเองมักจะคิดว่า งานเขียนของตัวเองสมบูรณ์แล้ว เพราะเรามักจะหาจุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของงานเขียนตัวเองไม่เจอ น้องๆ นักเขียนชาว Dek-d.com เคยเป็นกันบ้างหรือเปล่าจ๊ะ นับเป็นเรื่องปกติจ๊ะ ตัวเองจะเป็นกระจกเงาให้ตัวเองได้ยังไงถ้าเราไม่ส่องกระจก เพราะฉะนั้น เราเขียนแล้วเราต้องให้คนอื่นอ่าน แล้วมีคำติชมกลับมาให้เรา


         นี่แหละ คือ กระจกเงาที่แท้จริงของคนเขียนหนังสือผู้อ่านเท่านั้นที่จะบอกเราได้ว่า ผลงานที่เราสร้างขึ้นดีหรือไม่ดีแค่ไหน ตัวคนเขียนเองบอกไม่ได้

 

 

การที่เขียนหนังสือขึ้นมาแล้ว มีคนช่วยอ่านวิจารณ์เบื้องต้น นับเป็นสิ่งที่ดียิ่งคนอ่านและวิจารณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี

 

 

 

 

คนเขียนต้องจับประเด็นการวิจารณ์ให้ได้

 

 

แล้วจึงมาขัดเกลาข้อเขียนของตัวเอง

 

 

คราวนี้มาถึงตอนส่งไปให้สำนักพิมพ์ต่างๆลงพิมพ์ ผลงานเขียนที่ว่าดีแล้วสมบูรณ์แล้วกลับเงียบหายเข้ากลีบเมฆไปเลย ไร้ความหวัง เจ้าของงานเขียนได้แต่นั่งรอ ไม่มีกำลังใจเขียนต่อไป บางคนถึงกับทิ้งปากกา น้อยใจในฝีมืองานเขียนของตัวเอง ขอบอกเลยว่าไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง รักที่จะเขียนหนังสือ ต้องรอเป็น นานแค่ไหนก็ต้องรอ การรอคอยเป็นเรื่อง ธรรมดา นักเขียนดังๆ แทบทั้งสิ้น เคยเป็นนักรอที่ดีมาแล้งทั้งนั้น แต่จะมัวนั่งรออย่างเดียวก็ไม่ได้เหมือนกัน 

 

 

 

 

ต้องตื้อด้วย...

 

 

คือเขียนงานเขียนใหม่ เรื่องอื่นๆ แล้วส่งไปอีก ที่เดิมก็ได้ จนกว่าจะได้ลงพิมพ์ เพื่อการเดินทางต่อไปในเส่นทางของคนชอบเขียนหนังสือ

 

 

 

 

เป็นคนเขียนหนังสือก็ต้องตื้อเก่งเหมือนกัน

 

 

 

 

แต่ทั้งนี้ต้องหมายความว่า ฝีมือต้องดีขึ้นเหมือนกัน ไม่ใช่ยิ่งเขียนยิ่งแย่ ยิ่งเขียนบ่อยเขียนมาก งานเขียนก็ยิ่งจะต้อง เขียนให้ได้ดีขึ้น วิธีปรับปรุงตังเองที่ค่อนข้างรวดเร็วมีอยู่ทางหนึ่งคือ เวลาอ่านหนังสือ หรืออ่านงานเยนของนักเขียนท่านอื่นๆ ต้องดูอย่างละเอียดลออว่า เรื่องราวของเขาดีตรงไหน เช่น คำเริ่มต้นเรื่อง การขึ้นต้อนเรื่อง คำพูดของตัวละคร การเดินเรื่อง ความน่าประทับใจ การหักมุมตอนจบ ฯลฯ อ่านแล้วดูให้ออก จับให้ได้แล้วนำมาเป็นแนวทางของตัวเอง นำมาเป็นครู 

         มีนักเขียนบางคน ตามประวัติบอกว่า สนใจเร่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ชอบเล่านิทานให้คนอื่นฟัง เล่านิทานในห้องเรียนจนเพื่อนๆ ยอมรับ และชื่นชอบ แต่กว่าเพื่อนๆ จะยอมรับ นักเขียนผู้นั้นก็ถูกเพื่อนๆโห่ไปหลายรอบ มีอยู่หลายครั้งที่เมื่อเด็กคนนี้ไปดูหนังมา วันรุ่งขึ้นก็จะมาเขียนให้เพื่อนๆอ่าน บางครั้งก็จะวาดรูปให้ดูประกอบเรื่องด้วย ผลปรากฏว่าเพื่อนๆ อ่านไปหัวเราะไป อ่านไปโห่ไป และถ้าเด็กคนนี้ไม่มีลูกตื้อในหัวใจ ก็คงอับอายเพื่องฝูง ไม่เขียนอีก นี่เป็นเพียงประวัติของนักเขียนท่านหนึ่งที่รู้จักการตื้อมาตั้งแต่เด็ก


 

 

 

 

 

ความจริงคำว่าตื้อนั้นนอกจากตื้อเขียนและตื้อส่งไปให้บรรณาธิการอ่านแล้วยังตื้อในการเสาะแสวงหาเรื่องราวมาเขียนอีกด้วย

 

 

คนเขียนหนังสือ เวลาไปไหน อดไม่ได้ที่จะต้องเหลือบตามองหาเรื่องมาเขียนจุดบันดาลใจในการเขียนนิยาย บางทีก็เกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ แต่บางทีก็ต้องสร้างเอง ด้วยการมองแล้วก็คิด มุมมองธรรมดาไม่ค่อยจะพอสำหรับคนเขียนหนังสือ จำเป็นต้องตื้อหา มุมมองแปลกๆ เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจสำหรับเรื่องราวที่ดี

 

 

จุดบันดาลใจที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติมักจะได้เรื่องดีๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ต้องสร้างแรงบันดาลใจขึ้นมาจะเขียนออกมาแล้วไม่ดี ยังมีส่วนประกอบอื่นๆอีกหลายอย่างที่จะทำให้การเขียนเรื่องดียิ่งขึ้น

 

 

น้องๆ นักเขียนชาว Dek-d.com การเขียนหนังสือยังเป็นงานอดิเรกที่ดีอันหนึ่ง ที่จริงแล้วมันก็ไม่จำเป็นนักที่งานเขียนทุกชิ้นจะต้องได้ตีพิมพ์ คนที่รักชอบในการเขียนหนังสือ อาจจะเขียนเก็บเอาไว้อ่านเองหรือให้เพื่อนๆ คนใกล้ชิดอ่านก็เป็นสุขใจแล้ว แต่คนเขียนหนังสือบางคนก็คิดว่าจะดีที่สุด ถ้าเรื่องราวจะได้เผยแพร่ออกไปให้คนอื่นอ่านด้วย

 

 

น้องๆ นักเขียนชาว Dek-d.com รักที่จะเขียนต้องขยันเขียน ให้คนอื่นช่วยวิจารณ์ให้บ้าง เพื่อเป็นกระจกเงาให้เรา แล้วต้องตื้อเขียนส่งให้บรรณาธิการบ่อยๆ ฉลาดในการมองเรื่องมาเขียน และเขียนด้วยความตั้งใจ ไม่จำเป็นต้องหวังว่าจะได้ตีพิมพ์ รู้จักรอ และ รู้จักอดทน จริงไหมจ๊ะน้องๆนักเขียนชาว Dek-d.com

 

 

แวะเข้าไปทักทายกันได้ที่ My id พี่นัทหรือจะฝากข้อความอะไรไว้ก็ได้ทั้งนั้นจ้า เดี๋ยวพี่นัทจะเข้าไปตอบให้น้า สัปดาห์หน้าอยากให้พี่นัทลงบทความเคล็ดลับแบบไหนก็บอกได้นะจ๊ะ เดี๋ยวจัดให้ วันนี้ไปก่อนล่ะ คิดถึงน้องๆ นักเขียนชาว Dek-d.com ทุกคนจ้า

 

 

 

 

                                         

 


พี่นัทขอขอบคุณข้อมูลจาก เขียนหนังสือให้ได้สักเล่ม โดย ส. พุ่มสุวรรณ ภาพประกอบจาก nipic.com

 

 


พี่นัท

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

24 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
pangkawjoa Member 13 มิ.ย. 52 18:41 น. 6
ขอบคุณมากเลยค่ะ

ตอนนี้ก็กำลังรอผลพิจารณานิยายที่ส่งไปอยู่ แล้วก็กำลังแต่งเรื่องใหม่เพื่อจะส่งไปอีกค่ะ

ส่งจนกว่ามันจะผ่าน 555+ เห็นด้วยเลยค่ะ ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก สู้โว้ย!!! > <
0
กำลังโหลด
●หญิง B บ๊อง★ Member 13 มิ.ย. 52 20:27 น. 7

ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากเลยนะคะพี่นัท
เดี๋ยวจะลองไปใช้บ้าง

เผื่อจะมีหนังสือออกเป็นเล่มกับเขาบย้างเสียที
ฮ่าๆ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
คุณแมวเหมียวสีดำ Member 14 มิ.ย. 52 13:05 น. 13
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ ค่ะ คนที่โดนตื้ออาจจะรำคาญ แต่มันก็แสดงความพยายามของคนที่ตื้อ ^-^
0
กำลังโหลด
-'๑'-The TOP is The GOD-'๑'- Member 14 มิ.ย. 52 14:15 น. 14
เป็นคำแนนะที่ดีมากๆค่ะ

แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาเขียนจริงๆ

ไม่ได้ขี้เกียจนะคะ

แต่ไม่มีเวลา เพราะต้องเรียน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ไปเรียนพิเศษอีก

ถ้าสอบตรงติดเมื่อไหร่จะรีบกลับมาทำในสิ่งที่ตัวเองรักทันที

สู้ๆ ^^
0
กำลังโหลด
Meii Member 15 มิ.ย. 52 18:51 น. 15
ใช่ค่ะ
บางครั้งก้หาจุดบกพร่องของตัวเองไม่เจอ
เจอเเต่ข้อดีๆ ที่เรามองเห็นเพียงคนเดียว 555+

ขอบคุณนะคะ
0
กำลังโหลด
TKDclub Member 15 มิ.ย. 52 19:14 น. 16
วันพรุ่งนี้จะมาสู้ใหม่เธฮไม่รักก็ให้มันรู้กันไปต้องมีสักวัน
^
^
^
คนละเรื่องแระ5555+

ตื้อเท่านั้นครองโลกกร๊ากๆๆ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด