10 เคล็ดลับเขียนนิยายสไตล์ Game of Thrones

        มีใครใน Dek-D ได้อ่านนิยายแฟนตาซีจากอเมริกาเรื่อง A Song of Ice and Fire (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Game of Thrones) เขียนโดย จอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ติน ที่แพรวสำนักพิมพ์เอามาแปลบ้าง? บางคนอาจจะไม่เคยอ่านแต่เคยดูหรือเห็นผ่านๆ จากซีรี่ส์ชื่อ Game of Thrones ในช่อง HBO พี่น้องขอบอกว่าถ้ายังไม่เคยอ่านหรือดูนี่พลาดแล้ว เพราะว่านิยายเรื่องนี้เด็ดจริงอะไรจริง

        ในฐานะคนอ่านนิยายคนหนึ่ง พี่ก็คิดว่าเรื่องนี้สนุกและน่าติดตาม (ยิ่งได้ดูซีรี่ส์ก็จะยิ่งชอบ) แต่ในฐานะนักเขียน พี่น้องว่าคนเขียนคนนี้มีลักษณะการนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจ และน่าศึกษา โดยเฉพาะสำหรับนักเขียนมือใหม่อย่างเราๆ วันนี้พี่น้องก็เลยเอาบทสัมภาษณ์เทคนิคการเขียนนิยายของนักเขียนคนนี้มาให้อ่านกัน
 

1. อย่าจำกัดจินตนาการของเรา

        "ผมรู้แต่แรกว่าอยากให้งานเขียนของผมเป็นงานใหญ่และซับซ้อน ก่อนจะได้มาเขียน A Song of Ice and Fire ผมทำงานในวงการทีวีมาเป็นสิบปี เมื่อไรที่ผมส่งบทละคร เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะบอกว่า 'จอร์จ นี่มันเยี่ยมจริงๆ นะ แต่มันอลังการแล้วก็ผลาญเงินเยอะเหลือเกิน คุณต้องทำให้มันเล็กลงไปอีก ตอนนี้คุณมีตัวละคร 126 ตัว เรามีงบให้แค่ 6'
        "พอผมกลับมาเขียนเรื่องแต่ง มันเลยไม่มีขีดจำกัด ผมจะเขียนให้อลังการงานสร้างโดยใช้ตัวละครแค่ไหนก็ได้ที่ผมต้องการ จะมีฉากรบ มังกร หรือฉากหนักๆ ก็ได้ แน่นอน ผมก็คิดว่านี่มันไม่ได้เอาไปทำหนัง และผมก็ไม่ต้องกังวลกับฮอลลีวู้ดอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นปัญหาของเดวิด กับแดนแทน (สองคนนี้คือโปรดิวเซอร์ซีรี่ส์ Game of Thrones)"
 

2. เลือกตัวละครที่จะมาช่วยขยายขอบเขตการเล่าเรื่อง

        "เรื่องของผมมันเกี่ยวกับโลกในภาวะสงครามโดยแท้ มันเริ่มจากทุกตัวละครในวินเทอร์เฟลยกเว้นเดอเนริส เป็นจุดเล็กมากๆ แต่เมื่อตัวละครแยกย้ายกันไป แต่ละตัวต่างก็พบตัวละครอื่น กลายเป็นมีมุมมองใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา
 

        "เหมือนกับคุณพยายามจะเขียนนิยายเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณจะเล่าผ่านมุมมองของทหารอเมริกาฝ่ายเดียวไหม? ถ้างั้นมันก็จะครอบคลุมแค่สมรภูมิในยุโรป ไม่รวมคาบสมุทรแปซิฟิก คุณจะเล่าผ่านมุมมองของฮิตเลอร์เพื่อแสดงมุมต่างไหม? แล้วฝั่งญี่ปุ่นกับอิตาลีล่ะ? รูสเวลท์เอย มุสโซลินีเอย? ไอเซนฮาวน์เอย? ตัวละครพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีมุมมองเฉพาะที่สะท้อนให้เห็นภาพรวมของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งหมด

        "ดังนั้น คุณก็ต้องเล่าเรื่องผ่านมุมมองของพระเจ้าซึ่งเป็นเทคนิคที่ล้าสมัยไปแล้ว หรือไม่คุณก็ต้องการภาพจากแต่ละตัวละครที่เห็นแค่บางส่วนของเรื่องราวแล้วเอามาประกอบเป็นภาพใหญ่ นั่นแหละคือทางที่ผมเลือก"
 
พี่น้องขอเสริมสำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน นิยายเรื่องนี้จะเขียนด้วยมุมมองบุคคลที่ 3 แต่เป็นแบบ limited omniscient คือจำกัดมุมมองที่ตัวละครใดตัวละครหนึ่ง (อารมณ์เหมือนแฮร์รี่) ทีนี้จอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ตินไม่ได้จำกัดมุมมองที่ตัวละครหนึ่งตัว แต่เมื่อเปลี่ยนตอนจะสลับไปโฟกัสที่อีกตัวละครแทน เช่นตอนที่ 1 เริ่มด้วยเอ็ดดาร์ด สตาร์ค เรื่องทั้งหมดก็จะโฟกัสที่ตัวละครตัวนี้และทุกสิ่งที่เขาคิด พอไปตอนสองอาจจะเปลี่ยนไปโฟกัสที่จอน สโนว์ เราก็จะได้เห็นเรื่องผ่านตัวละครนี้แทน มุมมองแบบนี้ไม่ถือเป็น God View เพราะในฉากหนึ่งจะยืนพื้นที่ตัวละครเดียวเท่านั้น ถ้าเป็น God View จะไม่จับที่ตัวละครใดเลยแต่เล่าได้หมดว่าตอนนี้ตัวละครที่อยู่ในฉากคิดอะไรกันอยู่บ้าง ทำอะไรกันอยู่บ้าง

3. "ยืม" จากประวัติศาสตร์บ้างก็ดี

        "ถึงแม้นิยายของผมจะเป็นแนวแฟนตาซี แต่มันยืนพื้นมาจากประวัติศาสตร์ในยุคกลาง สงครามดอกกุหลาบนี่ถือเป็นอิทธิพลหลัก ซึ่งมีตระกูลยอร์กกับแลงคาสเตอร์แทนตระกูลสตาร์คกับแลนนิสเตอร์ แต่ผมชอบจับผสมแล้วเปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่มากกว่า อย่างที่เขาว่า 'ขโมยมาจากแหล่งเดียวเรียกลอก แต่ขโมยมาจากหลายแหล่งเรียกการค้นคว้า'"
 

4. ทำให้เป็นมุมมองที่สมจริง

        "เราทุกคนล้วนโดดเดี่ยวในจักรวาลนี้ คนเดียวที่เรารู้ลึกรู้จริงคือตัวเราเอง แน่นอนว่าผมไม่เคยเป็นคนแคระหรือเจ้าหญิง ดังนั้นพอผมต้องเขียนถึงตัวละครพวกนี้ ผมต้องพยายามเข้าไปในตัวละครเหล่านี้ และมองโลกผ่านมุมมองของพวกเขา มันไม่ง่ายเสมอไปหรอก

        "บางทีมันก็แก้ปัญหาได้ด้วยการคุยกับคนจริงๆ ผมเขียนจดหมายโต้ตอบกับแฟนคลับที่เป็นอัมพาตท่อนล่าง เขาให้คำแนะนำที่มีค่าสำหรับการเขียนถึงแบรน (ตัวละครเด็กในเรื่องที่ตกหอคอยลงมาจนเป็นอัมพาตท่อนล่าง) และทำให้เข้าใจว่าจะรู้สึกอย่างไรหากต้องอยูในสถานการณ์เดียวกันนั้น

        "แต่ท้ายที่สุด ผมว่าความเป็นมนุษย์ที่ตัวละครทุกตัวมีร่วมกันคือสิ่งสำคัญมากกว่าการเป็นชายหรือหญิง เป็นเจ้าหญิงหรือเป็นคนยากไร้ สูงหรือเตี้ย ในขณะที่สิ่งพวกนี้ทำให้ตัวละครแตกต่างกัน แต่มนุษย์ในทุกวัฒนธรรมทุกยุคสมัยล้วนต้องการความสำเร็จ ความรัก ความมั่งคั่ง มีอะไรกิน และไม่ถูกฆ่า พวกนี้คือสิ่งพื้นฐานที่กระตุ้นทุกคนและเป็นสิ่งที่ผมจำใส่ใจอยู่ตลอดเวลาเขียนถึงตัวละครแต่ละตัว"
 

5. ความโศกเศร้าเป็นเครื่องมือที่มีพลัง...ถ้าใช้ไม่บ่อยไป

        "การนำเสนอความโศกเศร้าเป็นเรื่องยาก หลายปีก่อนตอนที่ผมยังทำงานให้กับรายการโทรทัศน์ Beauty and the Beast ที่ รอน เพิร์ลแมน กับ ลินดา แฮมิลตัน เล่น ลินดาถอนตัวจากรายการไปหลังซีซันสองเพื่อเป็นดาราหนัง เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนบทให้ตัวละครจากไปแทนที่จะหาคนใหม่มาแทนเพราะมันดราม่ากว่า เราวางบทให้ตัวละครถูกฆ่าตัวตายเลยนำไปสู่การโต้เถียงกับทางช่อง

        "เราต้องการใช้เวลาทั้งตอนให้ตัวละครถูกฝังและทุกคนก็มาล้อมวงกันร้องไห้ โศกเศร้า และแลกเปลี่ยนความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเธอตลอด 60 นาที แต่ทางช่องไม่ยอมให้เราทำแบบนั้น พวกเขาว่า 'ตัวละครตายแล้ว คุณต้องไปต่อแล้วหาแม่สาวคนใหม่มาแทน แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงชื่อเธออีกต่อไปด้วย' ทั้งห้องเขียนบทนั้นทุกคนตกตะลึงหมด มันควรจะเป็นหนังรักแห่งยุค ตัวเอกไม่ควรจะแค่ลืมนางเอกแล้วก็ได้กับผู้หญิงคนใหม่

        "มันเหมือนเราชนะศึกนี้ แต่เราแพ้สงคราม เราฉายตอนนี้ออกไป และมันก็มีพลังมาก ผมว่าคนดูที่ชอบเรื่องหนักๆ เขาคงดู ร้องไห้น้ำตาเป็นหมื่นลิตร แล้วก็ไม่ดูรายการนี้อีกเลย! ความโศกเศร้ามันไม่จำเป็นต้องทำเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว มันทำให้การเล่าเรื่องมีพลังมากขึ้น อย่าแสดงให้เห็นแค่คนตาย แต่ความอาลัยก็สำคัญ ในจุดๆ หนึ่งเราทุกคนต้องสูญเสียคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนรักไป มันเป็นอารมณ์ที่มีพลัง"
 

6. ความรุนแรงมีผลลัพธ์ของมัน ดังนั้นอย่ากั๊ก

        "ถ้าคุณจะเขียนเกี่ยวกับสงครามในยุคกลาง คุณต้องแสดงมันออกมา ดาบพวกนั้นไม่ได้เอาไว้ตั้งโชว์ คุณต้องนำเสนอมันอย่างตรงไปตรงมาทุกความน่าเกลียดน่ากลัวของสงคราม การรบในยุคกลางมันนองเลือดเป็นพิเศษ ผู้คนโจมตีใส่กันด้วยเหล็กชิ้นโตคมกริบที่จะตัดอวัยวะออกเป็นส่วนๆ ทิ้งไว้แต่บาดแผลน่าเกลียด ผมอยากแสดงผลของสงครามที่น่าเชื่อถืออย่างชายพิการที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อจากนั้น

        "แต่ก็ตลกดีที่ในรายการทีวีกลับฆ่าพวกตัวประกอบทั้งที่ในหนังสือตัวละครพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ อย่างสาวใช้ของเดอเนริส พอผมไปถามผู้จัด พวกเขาก็บอกว่าในหนังมันไม่เหมือนกับหนังสือนะ นักแสดงเขาต้องมีค่าตัว ดังนั้นถ้าจะเอาตัวละครใหม่เข้าฉากมา ก็ต้องกำจัดตัวละครเก่าๆ ทิ้งไปบ้าง"
 
ขอเสริม (อีกแล้ว) สำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน นิยายเรื่อง Game of Thrones นี่ใช้ตัวละครสิ้นเปลืองมาก ต้องยอมรับว่าจอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ตินเขาไม่ลังเลที่จะทำร้ายหรือกำจัดตัวละครของตัวเองเลย ถ้าพล็อตเรื่องปูมาแล้ว ยังไงตัวละครก็ต้องตาย (ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้คนอ่านใจสลาย) หรือบางทีก็ทำให้ตัวละครพิการบ้าง เสียโฉมบ้างไปตลอดเรื่อง จนมีคนประชดเขาด้วยการเปลี่ยนชื่อนิยายให้เขาใหม่ว่า "เออ ไอ้นั่นก็ตายเหมือนกัน" (ตามรูปประกอบ)

 

7. เลี่ยงพล็อตแฟนตาซีซ้ำซาก

        "ผมรักนิยายแฟนตาซีและก็อ่านมันมาตลอดชีวิต แต่ผมก็รู้ว่ามันมีจุดบกพร่องอยู่ อย่างหนึ่งที่ผมเกลียดก็คือการสร้างบุคลิกภายนอกของตัวร้ายให้เป็น "เจ้าแห่งความมืด" คือต้องนั่งอยู่ในปราสาทมืดกับลูกสมุน แล้วก็ใส่แต่ชุดดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ผมพลิกมันด้วยการสร้างหน่วยพิทักษ์ราตรี (Night's Watch) ที่เต็มไปด้วยโจร นักล้วง นักข่มขืน ที่เป็นวีรบุรุษแต่สวมชุดดำ และก็มีพวกแลนนิสเตอร์ที่สูง สง่า แต่ไม่ใช่คนที่ดีนัก

        "ในนิยายแฟนตาซีแบบง่ายๆ มันจะมีสงครามที่ถูกต้องเสมอ คุณมีกองทัพแห่งแสงต่อสู้กับหมู่มารจากความมืดที่ต้องการเผยแพร่ความชั่วไปทั่วโลก แต่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงซับซ้อนกว่านั้น มันมีฉากสำคัญฉากหนึ่งในบทละครของเชคสเปียร์เรื่อง เฮนรี่ที่ 5 (Henry V) ที่กษัตริย์เฮนรี่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มทหารของพระองค์ตอนกลางคืนในศึก Agincourt ทหารของพระองค์เริ่มตั้งคำถามว่าเหตุผลในการทำศึกของกษัตริย์เฮนรี่นั้นมีเหตุผลดีหรือไม่ และไว้อาลัยให้กับทุกคนที่ตายเพื่อสนับสนุนกษัตริย์ ถือเป็นคำถามที่ดีนะ แล้วก็มีสงครามร้อยปีที่ความขัดแย้งในครอบครัวเดียวทำให้คนทั้งรุ่นถูกฆ่าตาย ผมเลยพยายามแสดงเรื่องพวกนี้ในงานตัวเอง"
 

8. สร้างตัวละคร "สีเทา"

        "ตัวละครสีเทานั้นน่าสนใจที่สุด และผมคิดว่าในโลกนี้มีคนแบบนี้เต็มไปหมด ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มามากแต่ไม่เคยเห็นตัวละครที่ดีบริสุทธิ์หรือเลวบริสุทธิ์เลยสักครั้ง คุณอาจจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ไปเลยอย่าง ฮิตเลอร์ผู้รักสุนัข สตาลิน เหมาเจ๋อตุง เจงกิสข่าน ฆาตกรสังหารหมู่เหล่านี้ก็เป็นวีรบุรุษในสายตาของพวกเขาเอง ในทางกลับกัน คุณอ่านเรื่องเกี่ยวกับนักบุญทั้งหลายจากประวัติศาสตร์คาทอลิกหรือแม่ชีเทเรซ่าหรือคานธี และคุณก็จะเจอข้อบกพร่องของคนพวกนี้หรือตั้งคำถามกับพฤติกรรมของคนพวกนี้บ้างเหมือนกัน

        "เราทุกคนล้วนเป็นสีเทา และผมคิดว่าเราต่างก็มีโอกาสทำเรื่องที่คนยกย่องหรือทำเรื่องเห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน ผมว่าการทำความเข้าใจสิ่งนี้คือวิธีการสร้างตัวละครให้มีมิติขึ้น แม้แต่ตอนที่ผมเขียนถึงบางตัวอย่าง เธออน เกรย์จอย ที่หลายคนเกลียด ผมก็ต้องพยายามมองโลกผ่านดวงตาของเขาและหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เขาทำ"
 

9. วางตัวละครเยอะก็ต้องใช้ทักษะและโชคช่วย

        "บางทีผมก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะแก้ปมทั้งหมดในมหากาพย์ของตัวเอง อย่างกับฝันร้ายเวลาที่คิดเรื่องเขียนตอนจบทั้งหมดในหนังสือสองเล่มสุดท้าย ผมว่าผมทำได้นะ แต่เอาไว้ดูตอนนั้นแล้วกัน บางทีพวกตัวละครมันก็มีความคิดเป็นของตัวเองและปฏิเสธที่จะทำอย่างที่ผมบอก"
 

10. จำไว้ว่า "ฤดูหนาวกำลังมา"

        "วาลาร์ มอร์กูลิส...มนุษย์ทุกคนต้องตาย ผมว่าการตระหนักถึงชีวิตไร้อมตะของพวกเรานี่แหละที่เป็นประเด็นในงานศิลปะหรืองานเขียนอยู่ตลอด แต่ไม่คิดว่ามันเป็นการมองโลกในแง่ร้ายหรืออะไร ก็เหมือนกับโลกแห่งความจริงของเรานั่นแหละ ตัวละครของผมอยู่ในโลกนี้แค่แป๊บเดียว แต่สิ่งสำคัญคือความรัก ความเมตตา กรุณา และเสียงหัวเราะ แม้แต่การหัวเราะให้กับความตาย นี่ต่างหากที่เป็นไปได้ ต่อให้ความมืดครอบงำโลกนี้ เราก็ต้องอย่าสิ้นหวัง หนึ่งในธีมที่ดีที่สุดของ The Lord of the Rings คือ 'ความสิ้นหวังเป็นเรื่องผิดมหันต์' ฤดูหนาวใกล้มาแล้ว แต่คุณก็ยังจุดไฟ นั่งดื่มไวน์อยู่รอบกองไฟและสู้ต่อไปได้"
 
*แก้ไขชื่อจริงๆ ของซีรี่ส์นี้ตามที่มีน้องทักท้วงมา
 
แปลจาก
http://www.lifehacker.com.au/2013/11/ten-tips-on-writing-a-fantasy-saga-from-game-of-thrones-author-george-r-r-martin/

ขอบคุณภาพประกอบจาก
www.ebay.com
www.chartgeek.com
www.cracked.com
พี่น้อง
พี่น้อง - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

zombiemania 22 มี.ค. 57 13:50 น. 9
ชอบนิยาย และซีรี่ย์เรื่องนี้มาก ๆ ตาจอร์จแกเป็นคนที่ทำร้ายจิตใจเราหลายรอบมาก(ในการฆ่าตัวละครที่ชอบ TwT) ชอบ winter is coming และvalar morghulis มากมาย ประโยคง่ายๆ สั้นๆ แต่เป็นที่จดจำและลึกซึ้ง TwTb
0
กำลังโหลด
Member 22 มี.ค. 57 14:42 น. 10

แอบเพิ่มข้อ 11 เข้ามา ฮ่าๆ
11. ตัวละครที่คนอ่าน(คนดู) เชียร์ต้องฆ่าตายยให้หมดด ฮืออออออ //เจ็บช้ำ เศร้าจัง

1
กำลังโหลด
ยมฑูตซุ่มซ่ามแห่งเอดินเบิร์ก Member 21 เม.ย. 57 22:15 น. 35

สิ่งที่เราประทับใจในนิยายซีรีย์นี้มากที่สุดคือข้อแปดค่ะ

ตัวละครสีเทา  คือแบบ เขียนได้เทาจริงๆนะทุกตัวเลย(ตัวหลักเกือบทั้งหมดยกเว้นคิงเกรียนไว้คน) เป็นสิ่งที่เราว่านักเขียนส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ (ความเห็นส่วนตัว) แถมกล้าเชือดตัวหลักทิ้งเนี่ยนับถือจริงๆค่ะเยี่ยม

0
กำลังโหลด
Jon Snow know how to f**k 22 ต.ค. 58 20:02 น. 43
'ขโมยมาจากหลายแห่งเรียกลอก' แล้วถ้า 'ลอกมาจากหลายแหล่ง' นี่เรียกว่าอะไรคะลุงจอร์จ 55555 //ล้อเล่นเย้ อันนี้ขอพื้นที่ระบายแปบ 555 เราชอบเกมออฟโธรนส์มากจริงๆ ตอนแรกคิดว่ามันจะแฟนตาซีจ๋า แต่นี่มันซีรีย์สงครามชัดๆ! ดูไปฟินไป โควตแต่และอันนี่แบบเจ็บจี๊ดสะใจมาก เรียกได้ว่าเชือดนิ่มๆ แต่แผลโคตรลึกนะจ๊ะ ชอบตัวละครในราชสำนักแลนนิสเตอร์มากมายโดยเฉพาะเบลิชกับวาริส ถึงหน้าจะไม่หล่อ(?)แต่คำพูดและฉากเชือดเฉือนกันนี่โคตรกระชากใจ เยี่ยม ดูซีรีย์นี้มาสองเดือน ไม่เคยเชียร์ใครเลยจริงๆ นะ(ฮา) ไม่ได้อ่านสปอยล์มาก่อน แต่ดูจากหน้าหนังแล้ว เดาได้เลยว่าตัวละครตายห่านกันเรียบวุธแน่ๆ เราชอบร็อบบ์นะ เฮียแกรบเก่งแถมเถื่อนสะใจดี แต่แบบ...นะ ทุกคนก็รู้ 5555 ถ้าถามว่าตอนนี้เชียร์ใคร เราเชียร์เจมี่ แลนนิสเตอร์ค่ะ >.< คนอาร๊ายยยย เท่และแมนจัด รักเลย รักเลย ทุกคนคิดว่าตอนจบของหนังสือจะเป็นยังไงคะ? เราว่าถ้าสุดท้ายลูกของอิป้าผมแดงที่โดนถีบตกประตูพระจันทร์ไปนี่ได้ขึ้นครองบัลลังก์เหล็ก โดยมีลอร์ดเบลิชเป็นตัวชักใยบงการอยู่หลังบัลลังก์ ส่วนพวกวินเทอร์เฟลที่เหลือเป็นประเทศเมืองขึ้นคงสนุกดีพิลึก = = แต่มันคงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกใช่ไหม หวาา
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

44 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
แมวรัตติกาล Member 21 มี.ค. 57 21:10 น. 4

ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ บทสัมภาษณ์น่าสนใจดีค่ะ

ยังไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้เพราะเล่มหนาาา (ราคาก็สูงไปตามความหนา) แต่ทราบมาว่าได้รับความนิยมจากนักอ่านมาก

ว๊าว

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
AverMore Member 21 มี.ค. 57 22:10 น. 6

เรื่องนี้สนุกทั้งหนังสือทั้งซีรี่ย์เลย><

ขอแก้นิดนึงว่าหนังสือชุดนี้ชื่อSong of ice and fireนะคะ เรื่องแรกของซีรี่ย์นี้คือGame of Thronesนั่นแหละค่า (สงสัยพี่น้องเขียนบทความตอนเมานิดๆ 555^^)

1
editor_nong Member 22 มี.ค. 57 22:52 น. 6-1
โอ้ จริงด้วย ขอบคุณมากจ้า ตอนแรกพี่ก็สงสัยว่า "ชื่อจริงๆ" ของเรื่องนี้คืออะไรกันแน่ แต่เห็นซีรี่ส์ใช้ชื่อ Game of Thrones เลยคิดว่าหนังสือทั้งเซ็ตนี้เป็นชื่อเดียวกัน เขิลจุง
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
zombiemania 22 มี.ค. 57 13:50 น. 9
ชอบนิยาย และซีรี่ย์เรื่องนี้มาก ๆ ตาจอร์จแกเป็นคนที่ทำร้ายจิตใจเราหลายรอบมาก(ในการฆ่าตัวละครที่ชอบ TwT) ชอบ winter is coming และvalar morghulis มากมาย ประโยคง่ายๆ สั้นๆ แต่เป็นที่จดจำและลึกซึ้ง TwTb
0
กำลังโหลด
Member 22 มี.ค. 57 14:42 น. 10

แอบเพิ่มข้อ 11 เข้ามา ฮ่าๆ
11. ตัวละครที่คนอ่าน(คนดู) เชียร์ต้องฆ่าตายยให้หมดด ฮืออออออ //เจ็บช้ำ เศร้าจัง

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
ติ่งแม่มังกร 23 มี.ค. 57 15:56 น. 19
ชอบเรื่องนี้มากกกก รอซีซั่น4ที่ใกล้จะฉายไม่ไหวแล้ว เนื้อเรื่องชวนให้ติดตามมากๆ ลุงแกร้ายกาจจริงๆ ถ้าให้บอกชอบตัวละครไหนบ้าง คือบอกไม่ถูกเลยแต่ละตัวมีความโดดเด่นและน่าสนใจต่างกัน แต่บอกเลยหมั่นไส้ จอฟฟรี่ 5555555 หึ่ยยยย
0
กำลังโหลด
ดีง 23 มี.ค. 57 16:35 น. 20
เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้เย้
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด