มีใครใน Dek-D ได้อ่านนิยายแฟนตาซีจากอเมริกาเรื่อง A Song of Ice and Fire (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Game of Thrones) เขียนโดย จอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ติน ที่แพรวสำนักพิมพ์เอามาแปลบ้าง? บางคนอาจจะไม่เคยอ่านแต่เคยดูหรือเห็นผ่านๆ จากซีรี่ส์ชื่อ Game of Thrones ในช่อง HBO พี่น้องขอบอกว่าถ้ายังไม่เคยอ่านหรือดูนี่พลาดแล้ว เพราะว่านิยายเรื่องนี้เด็ดจริงอะไรจริง
ในฐานะคนอ่านนิยายคนหนึ่ง พี่ก็คิดว่าเรื่องนี้สนุกและน่าติดตาม (ยิ่งได้ดูซีรี่ส์ก็จะยิ่งชอบ) แต่ในฐานะนักเขียน พี่น้องว่าคนเขียนคนนี้มีลักษณะการนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจ และน่าศึกษา โดยเฉพาะสำหรับนักเขียนมือใหม่อย่างเราๆ วันนี้พี่น้องก็เลยเอาบทสัมภาษณ์เทคนิคการเขียนนิยายของนักเขียนคนนี้มาให้อ่านกัน
ในฐานะคนอ่านนิยายคนหนึ่ง พี่ก็คิดว่าเรื่องนี้สนุกและน่าติดตาม (ยิ่งได้ดูซีรี่ส์ก็จะยิ่งชอบ) แต่ในฐานะนักเขียน พี่น้องว่าคนเขียนคนนี้มีลักษณะการนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจ และน่าศึกษา โดยเฉพาะสำหรับนักเขียนมือใหม่อย่างเราๆ วันนี้พี่น้องก็เลยเอาบทสัมภาษณ์เทคนิคการเขียนนิยายของนักเขียนคนนี้มาให้อ่านกัน
1. อย่าจำกัดจินตนาการของเรา
"ผมรู้แต่แรกว่าอยากให้งานเขียนของผมเป็นงานใหญ่และซับซ้อน ก่อนจะได้มาเขียน A Song of Ice and Fire ผมทำงานในวงการทีวีมาเป็นสิบปี เมื่อไรที่ผมส่งบทละคร เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะบอกว่า 'จอร์จ นี่มันเยี่ยมจริงๆ นะ แต่มันอลังการแล้วก็ผลาญเงินเยอะเหลือเกิน คุณต้องทำให้มันเล็กลงไปอีก ตอนนี้คุณมีตัวละคร 126 ตัว เรามีงบให้แค่ 6'
"พอผมกลับมาเขียนเรื่องแต่ง มันเลยไม่มีขีดจำกัด ผมจะเขียนให้อลังการงานสร้างโดยใช้ตัวละครแค่ไหนก็ได้ที่ผมต้องการ จะมีฉากรบ มังกร หรือฉากหนักๆ ก็ได้ แน่นอน ผมก็คิดว่านี่มันไม่ได้เอาไปทำหนัง และผมก็ไม่ต้องกังวลกับฮอลลีวู้ดอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นปัญหาของเดวิด กับแดนแทน (สองคนนี้คือโปรดิวเซอร์ซีรี่ส์ Game of Thrones)"
2. เลือกตัวละครที่จะมาช่วยขยายขอบเขตการเล่าเรื่อง
"เรื่องของผมมันเกี่ยวกับโลกในภาวะสงครามโดยแท้ มันเริ่มจากทุกตัวละครในวินเทอร์เฟลยกเว้นเดอเนริส เป็นจุดเล็กมากๆ แต่เมื่อตัวละครแยกย้ายกันไป แต่ละตัวต่างก็พบตัวละครอื่น กลายเป็นมีมุมมองใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา
"เหมือนกับคุณพยายามจะเขียนนิยายเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณจะเล่าผ่านมุมมองของทหารอเมริกาฝ่ายเดียวไหม? ถ้างั้นมันก็จะครอบคลุมแค่สมรภูมิในยุโรป ไม่รวมคาบสมุทรแปซิฟิก คุณจะเล่าผ่านมุมมองของฮิตเลอร์เพื่อแสดงมุมต่างไหม? แล้วฝั่งญี่ปุ่นกับอิตาลีล่ะ? รูสเวลท์เอย มุสโซลินีเอย? ไอเซนฮาวน์เอย? ตัวละครพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีมุมมองเฉพาะที่สะท้อนให้เห็นภาพรวมของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งหมด
"ดังนั้น คุณก็ต้องเล่าเรื่องผ่านมุมมองของพระเจ้าซึ่งเป็นเทคนิคที่ล้าสมัยไปแล้ว หรือไม่คุณก็ต้องการภาพจากแต่ละตัวละครที่เห็นแค่บางส่วนของเรื่องราวแล้วเอามาประกอบเป็นภาพใหญ่ นั่นแหละคือทางที่ผมเลือก"
พี่น้องขอเสริมสำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน นิยายเรื่องนี้จะเขียนด้วยมุมมองบุคคลที่ 3 แต่เป็นแบบ limited omniscient คือจำกัดมุมมองที่ตัวละครใดตัวละครหนึ่ง (อารมณ์เหมือนแฮร์รี่) ทีนี้จอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ตินไม่ได้จำกัดมุมมองที่ตัวละครหนึ่งตัว แต่เมื่อเปลี่ยนตอนจะสลับไปโฟกัสที่อีกตัวละครแทน เช่นตอนที่ 1 เริ่มด้วยเอ็ดดาร์ด สตาร์ค เรื่องทั้งหมดก็จะโฟกัสที่ตัวละครตัวนี้และทุกสิ่งที่เขาคิด พอไปตอนสองอาจจะเปลี่ยนไปโฟกัสที่จอน สโนว์ เราก็จะได้เห็นเรื่องผ่านตัวละครนี้แทน มุมมองแบบนี้ไม่ถือเป็น God View เพราะในฉากหนึ่งจะยืนพื้นที่ตัวละครเดียวเท่านั้น ถ้าเป็น God View จะไม่จับที่ตัวละครใดเลยแต่เล่าได้หมดว่าตอนนี้ตัวละครที่อยู่ในฉากคิดอะไรกันอยู่บ้าง ทำอะไรกันอยู่บ้าง |
3. "ยืม" จากประวัติศาสตร์บ้างก็ดี
"ถึงแม้นิยายของผมจะเป็นแนวแฟนตาซี แต่มันยืนพื้นมาจากประวัติศาสตร์ในยุคกลาง สงครามดอกกุหลาบนี่ถือเป็นอิทธิพลหลัก ซึ่งมีตระกูลยอร์กกับแลงคาสเตอร์แทนตระกูลสตาร์คกับแลนนิสเตอร์ แต่ผมชอบจับผสมแล้วเปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่มากกว่า อย่างที่เขาว่า 'ขโมยมาจากแหล่งเดียวเรียกลอก แต่ขโมยมาจากหลายแหล่งเรียกการค้นคว้า'"
4. ทำให้เป็นมุมมองที่สมจริง
"เราทุกคนล้วนโดดเดี่ยวในจักรวาลนี้ คนเดียวที่เรารู้ลึกรู้จริงคือตัวเราเอง แน่นอนว่าผมไม่เคยเป็นคนแคระหรือเจ้าหญิง ดังนั้นพอผมต้องเขียนถึงตัวละครพวกนี้ ผมต้องพยายามเข้าไปในตัวละครเหล่านี้ และมองโลกผ่านมุมมองของพวกเขา มันไม่ง่ายเสมอไปหรอก
"บางทีมันก็แก้ปัญหาได้ด้วยการคุยกับคนจริงๆ ผมเขียนจดหมายโต้ตอบกับแฟนคลับที่เป็นอัมพาตท่อนล่าง เขาให้คำแนะนำที่มีค่าสำหรับการเขียนถึงแบรน (ตัวละครเด็กในเรื่องที่ตกหอคอยลงมาจนเป็นอัมพาตท่อนล่าง) และทำให้เข้าใจว่าจะรู้สึกอย่างไรหากต้องอยูในสถานการณ์เดียวกันนั้น
"แต่ท้ายที่สุด ผมว่าความเป็นมนุษย์ที่ตัวละครทุกตัวมีร่วมกันคือสิ่งสำคัญมากกว่าการเป็นชายหรือหญิง เป็นเจ้าหญิงหรือเป็นคนยากไร้ สูงหรือเตี้ย ในขณะที่สิ่งพวกนี้ทำให้ตัวละครแตกต่างกัน แต่มนุษย์ในทุกวัฒนธรรมทุกยุคสมัยล้วนต้องการความสำเร็จ ความรัก ความมั่งคั่ง มีอะไรกิน และไม่ถูกฆ่า พวกนี้คือสิ่งพื้นฐานที่กระตุ้นทุกคนและเป็นสิ่งที่ผมจำใส่ใจอยู่ตลอดเวลาเขียนถึงตัวละครแต่ละตัว"
"บางทีมันก็แก้ปัญหาได้ด้วยการคุยกับคนจริงๆ ผมเขียนจดหมายโต้ตอบกับแฟนคลับที่เป็นอัมพาตท่อนล่าง เขาให้คำแนะนำที่มีค่าสำหรับการเขียนถึงแบรน (ตัวละครเด็กในเรื่องที่ตกหอคอยลงมาจนเป็นอัมพาตท่อนล่าง) และทำให้เข้าใจว่าจะรู้สึกอย่างไรหากต้องอยูในสถานการณ์เดียวกันนั้น
"แต่ท้ายที่สุด ผมว่าความเป็นมนุษย์ที่ตัวละครทุกตัวมีร่วมกันคือสิ่งสำคัญมากกว่าการเป็นชายหรือหญิง เป็นเจ้าหญิงหรือเป็นคนยากไร้ สูงหรือเตี้ย ในขณะที่สิ่งพวกนี้ทำให้ตัวละครแตกต่างกัน แต่มนุษย์ในทุกวัฒนธรรมทุกยุคสมัยล้วนต้องการความสำเร็จ ความรัก ความมั่งคั่ง มีอะไรกิน และไม่ถูกฆ่า พวกนี้คือสิ่งพื้นฐานที่กระตุ้นทุกคนและเป็นสิ่งที่ผมจำใส่ใจอยู่ตลอดเวลาเขียนถึงตัวละครแต่ละตัว"
5. ความโศกเศร้าเป็นเครื่องมือที่มีพลัง...ถ้าใช้ไม่บ่อยไป
"การนำเสนอความโศกเศร้าเป็นเรื่องยาก หลายปีก่อนตอนที่ผมยังทำงานให้กับรายการโทรทัศน์ Beauty and the Beast ที่ รอน เพิร์ลแมน กับ ลินดา แฮมิลตัน เล่น ลินดาถอนตัวจากรายการไปหลังซีซันสองเพื่อเป็นดาราหนัง เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนบทให้ตัวละครจากไปแทนที่จะหาคนใหม่มาแทนเพราะมันดราม่ากว่า เราวางบทให้ตัวละครถูกฆ่าตัวตายเลยนำไปสู่การโต้เถียงกับทางช่อง
"เราต้องการใช้เวลาทั้งตอนให้ตัวละครถูกฝังและทุกคนก็มาล้อมวงกันร้องไห้ โศกเศร้า และแลกเปลี่ยนความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเธอตลอด 60 นาที แต่ทางช่องไม่ยอมให้เราทำแบบนั้น พวกเขาว่า 'ตัวละครตายแล้ว คุณต้องไปต่อแล้วหาแม่สาวคนใหม่มาแทน แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงชื่อเธออีกต่อไปด้วย' ทั้งห้องเขียนบทนั้นทุกคนตกตะลึงหมด มันควรจะเป็นหนังรักแห่งยุค ตัวเอกไม่ควรจะแค่ลืมนางเอกแล้วก็ได้กับผู้หญิงคนใหม่
"มันเหมือนเราชนะศึกนี้ แต่เราแพ้สงคราม เราฉายตอนนี้ออกไป และมันก็มีพลังมาก ผมว่าคนดูที่ชอบเรื่องหนักๆ เขาคงดู ร้องไห้น้ำตาเป็นหมื่นลิตร แล้วก็ไม่ดูรายการนี้อีกเลย! ความโศกเศร้ามันไม่จำเป็นต้องทำเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว มันทำให้การเล่าเรื่องมีพลังมากขึ้น อย่าแสดงให้เห็นแค่คนตาย แต่ความอาลัยก็สำคัญ ในจุดๆ หนึ่งเราทุกคนต้องสูญเสียคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนรักไป มันเป็นอารมณ์ที่มีพลัง"
"เราต้องการใช้เวลาทั้งตอนให้ตัวละครถูกฝังและทุกคนก็มาล้อมวงกันร้องไห้ โศกเศร้า และแลกเปลี่ยนความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเธอตลอด 60 นาที แต่ทางช่องไม่ยอมให้เราทำแบบนั้น พวกเขาว่า 'ตัวละครตายแล้ว คุณต้องไปต่อแล้วหาแม่สาวคนใหม่มาแทน แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงชื่อเธออีกต่อไปด้วย' ทั้งห้องเขียนบทนั้นทุกคนตกตะลึงหมด มันควรจะเป็นหนังรักแห่งยุค ตัวเอกไม่ควรจะแค่ลืมนางเอกแล้วก็ได้กับผู้หญิงคนใหม่
"มันเหมือนเราชนะศึกนี้ แต่เราแพ้สงคราม เราฉายตอนนี้ออกไป และมันก็มีพลังมาก ผมว่าคนดูที่ชอบเรื่องหนักๆ เขาคงดู ร้องไห้น้ำตาเป็นหมื่นลิตร แล้วก็ไม่ดูรายการนี้อีกเลย! ความโศกเศร้ามันไม่จำเป็นต้องทำเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว มันทำให้การเล่าเรื่องมีพลังมากขึ้น อย่าแสดงให้เห็นแค่คนตาย แต่ความอาลัยก็สำคัญ ในจุดๆ หนึ่งเราทุกคนต้องสูญเสียคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนรักไป มันเป็นอารมณ์ที่มีพลัง"
6. ความรุนแรงมีผลลัพธ์ของมัน ดังนั้นอย่ากั๊ก
"ถ้าคุณจะเขียนเกี่ยวกับสงครามในยุคกลาง คุณต้องแสดงมันออกมา ดาบพวกนั้นไม่ได้เอาไว้ตั้งโชว์ คุณต้องนำเสนอมันอย่างตรงไปตรงมาทุกความน่าเกลียดน่ากลัวของสงคราม การรบในยุคกลางมันนองเลือดเป็นพิเศษ ผู้คนโจมตีใส่กันด้วยเหล็กชิ้นโตคมกริบที่จะตัดอวัยวะออกเป็นส่วนๆ ทิ้งไว้แต่บาดแผลน่าเกลียด ผมอยากแสดงผลของสงครามที่น่าเชื่อถืออย่างชายพิการที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อจากนั้น
"แต่ก็ตลกดีที่ในรายการทีวีกลับฆ่าพวกตัวประกอบทั้งที่ในหนังสือตัวละครพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ อย่างสาวใช้ของเดอเนริส พอผมไปถามผู้จัด พวกเขาก็บอกว่าในหนังมันไม่เหมือนกับหนังสือนะ นักแสดงเขาต้องมีค่าตัว ดังนั้นถ้าจะเอาตัวละครใหม่เข้าฉากมา ก็ต้องกำจัดตัวละครเก่าๆ ทิ้งไปบ้าง"
"แต่ก็ตลกดีที่ในรายการทีวีกลับฆ่าพวกตัวประกอบทั้งที่ในหนังสือตัวละครพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ อย่างสาวใช้ของเดอเนริส พอผมไปถามผู้จัด พวกเขาก็บอกว่าในหนังมันไม่เหมือนกับหนังสือนะ นักแสดงเขาต้องมีค่าตัว ดังนั้นถ้าจะเอาตัวละครใหม่เข้าฉากมา ก็ต้องกำจัดตัวละครเก่าๆ ทิ้งไปบ้าง"
ขอเสริม (อีกแล้ว) สำหรับคนที่ไม่เคยอ่าน นิยายเรื่อง Game of Thrones นี่ใช้ตัวละครสิ้นเปลืองมาก ต้องยอมรับว่าจอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ตินเขาไม่ลังเลที่จะทำร้ายหรือกำจัดตัวละครของตัวเองเลย ถ้าพล็อตเรื่องปูมาแล้ว ยังไงตัวละครก็ต้องตาย (ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวละครสำคัญที่ทำให้คนอ่านใจสลาย) หรือบางทีก็ทำให้ตัวละครพิการบ้าง เสียโฉมบ้างไปตลอดเรื่อง จนมีคนประชดเขาด้วยการเปลี่ยนชื่อนิยายให้เขาใหม่ว่า "เออ ไอ้นั่นก็ตายเหมือนกัน" (ตามรูปประกอบ) |
7. เลี่ยงพล็อตแฟนตาซีซ้ำซาก
"ผมรักนิยายแฟนตาซีและก็อ่านมันมาตลอดชีวิต แต่ผมก็รู้ว่ามันมีจุดบกพร่องอยู่ อย่างหนึ่งที่ผมเกลียดก็คือการสร้างบุคลิกภายนอกของตัวร้ายให้เป็น "เจ้าแห่งความมืด" คือต้องนั่งอยู่ในปราสาทมืดกับลูกสมุน แล้วก็ใส่แต่ชุดดำ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ผมพลิกมันด้วยการสร้างหน่วยพิทักษ์ราตรี (Night's Watch) ที่เต็มไปด้วยโจร นักล้วง นักข่มขืน ที่เป็นวีรบุรุษแต่สวมชุดดำ และก็มีพวกแลนนิสเตอร์ที่สูง สง่า แต่ไม่ใช่คนที่ดีนัก
"ในนิยายแฟนตาซีแบบง่ายๆ มันจะมีสงครามที่ถูกต้องเสมอ คุณมีกองทัพแห่งแสงต่อสู้กับหมู่มารจากความมืดที่ต้องการเผยแพร่ความชั่วไปทั่วโลก แต่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงซับซ้อนกว่านั้น มันมีฉากสำคัญฉากหนึ่งในบทละครของเชคสเปียร์เรื่อง เฮนรี่ที่ 5 (Henry V) ที่กษัตริย์เฮนรี่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มทหารของพระองค์ตอนกลางคืนในศึก Agincourt ทหารของพระองค์เริ่มตั้งคำถามว่าเหตุผลในการทำศึกของกษัตริย์เฮนรี่นั้นมีเหตุผลดีหรือไม่ และไว้อาลัยให้กับทุกคนที่ตายเพื่อสนับสนุนกษัตริย์ ถือเป็นคำถามที่ดีนะ แล้วก็มีสงครามร้อยปีที่ความขัดแย้งในครอบครัวเดียวทำให้คนทั้งรุ่นถูกฆ่าตาย ผมเลยพยายามแสดงเรื่องพวกนี้ในงานตัวเอง"
"ในนิยายแฟนตาซีแบบง่ายๆ มันจะมีสงครามที่ถูกต้องเสมอ คุณมีกองทัพแห่งแสงต่อสู้กับหมู่มารจากความมืดที่ต้องการเผยแพร่ความชั่วไปทั่วโลก แต่ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงซับซ้อนกว่านั้น มันมีฉากสำคัญฉากหนึ่งในบทละครของเชคสเปียร์เรื่อง เฮนรี่ที่ 5 (Henry V) ที่กษัตริย์เฮนรี่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มทหารของพระองค์ตอนกลางคืนในศึก Agincourt ทหารของพระองค์เริ่มตั้งคำถามว่าเหตุผลในการทำศึกของกษัตริย์เฮนรี่นั้นมีเหตุผลดีหรือไม่ และไว้อาลัยให้กับทุกคนที่ตายเพื่อสนับสนุนกษัตริย์ ถือเป็นคำถามที่ดีนะ แล้วก็มีสงครามร้อยปีที่ความขัดแย้งในครอบครัวเดียวทำให้คนทั้งรุ่นถูกฆ่าตาย ผมเลยพยายามแสดงเรื่องพวกนี้ในงานตัวเอง"
8. สร้างตัวละคร "สีเทา"
"ตัวละครสีเทานั้นน่าสนใจที่สุด และผมคิดว่าในโลกนี้มีคนแบบนี้เต็มไปหมด ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มามากแต่ไม่เคยเห็นตัวละครที่ดีบริสุทธิ์หรือเลวบริสุทธิ์เลยสักครั้ง คุณอาจจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ไปเลยอย่าง ฮิตเลอร์ผู้รักสุนัข สตาลิน เหมาเจ๋อตุง เจงกิสข่าน ฆาตกรสังหารหมู่เหล่านี้ก็เป็นวีรบุรุษในสายตาของพวกเขาเอง ในทางกลับกัน คุณอ่านเรื่องเกี่ยวกับนักบุญทั้งหลายจากประวัติศาสตร์คาทอลิกหรือแม่ชีเทเรซ่าหรือคานธี และคุณก็จะเจอข้อบกพร่องของคนพวกนี้หรือตั้งคำถามกับพฤติกรรมของคนพวกนี้บ้างเหมือนกัน
"เราทุกคนล้วนเป็นสีเทา และผมคิดว่าเราต่างก็มีโอกาสทำเรื่องที่คนยกย่องหรือทำเรื่องเห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน ผมว่าการทำความเข้าใจสิ่งนี้คือวิธีการสร้างตัวละครให้มีมิติขึ้น แม้แต่ตอนที่ผมเขียนถึงบางตัวอย่าง เธออน เกรย์จอย ที่หลายคนเกลียด ผมก็ต้องพยายามมองโลกผ่านดวงตาของเขาและหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เขาทำ"
"เราทุกคนล้วนเป็นสีเทา และผมคิดว่าเราต่างก็มีโอกาสทำเรื่องที่คนยกย่องหรือทำเรื่องเห็นแก่ตัวได้เหมือนกัน ผมว่าการทำความเข้าใจสิ่งนี้คือวิธีการสร้างตัวละครให้มีมิติขึ้น แม้แต่ตอนที่ผมเขียนถึงบางตัวอย่าง เธออน เกรย์จอย ที่หลายคนเกลียด ผมก็ต้องพยายามมองโลกผ่านดวงตาของเขาและหาเหตุผลให้กับสิ่งที่เขาทำ"
9. วางตัวละครเยอะก็ต้องใช้ทักษะและโชคช่วย
"บางทีผมก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะแก้ปมทั้งหมดในมหากาพย์ของตัวเอง อย่างกับฝันร้ายเวลาที่คิดเรื่องเขียนตอนจบทั้งหมดในหนังสือสองเล่มสุดท้าย ผมว่าผมทำได้นะ แต่เอาไว้ดูตอนนั้นแล้วกัน บางทีพวกตัวละครมันก็มีความคิดเป็นของตัวเองและปฏิเสธที่จะทำอย่างที่ผมบอก"
10. จำไว้ว่า "ฤดูหนาวกำลังมา"
"วาลาร์ มอร์กูลิส...มนุษย์ทุกคนต้องตาย ผมว่าการตระหนักถึงชีวิตไร้อมตะของพวกเรานี่แหละที่เป็นประเด็นในงานศิลปะหรืองานเขียนอยู่ตลอด แต่ไม่คิดว่ามันเป็นการมองโลกในแง่ร้ายหรืออะไร ก็เหมือนกับโลกแห่งความจริงของเรานั่นแหละ ตัวละครของผมอยู่ในโลกนี้แค่แป๊บเดียว แต่สิ่งสำคัญคือความรัก ความเมตตา กรุณา และเสียงหัวเราะ แม้แต่การหัวเราะให้กับความตาย นี่ต่างหากที่เป็นไปได้ ต่อให้ความมืดครอบงำโลกนี้ เราก็ต้องอย่าสิ้นหวัง หนึ่งในธีมที่ดีที่สุดของ The Lord of the Rings คือ 'ความสิ้นหวังเป็นเรื่องผิดมหันต์' ฤดูหนาวใกล้มาแล้ว แต่คุณก็ยังจุดไฟ นั่งดื่มไวน์อยู่รอบกองไฟและสู้ต่อไปได้"
*แก้ไขชื่อจริงๆ ของซีรี่ส์นี้ตามที่มีน้องทักท้วงมา
แปลจาก
http://www.lifehacker.com.au/2013/11/ten-tips-on-writing-a-fantasy-saga-from-game-of-thrones-author-george-r-r-martin/
ขอบคุณภาพประกอบจาก
www.ebay.com
www.chartgeek.com
www.cracked.com
http://www.lifehacker.com.au/2013/11/ten-tips-on-writing-a-fantasy-saga-from-game-of-thrones-author-george-r-r-martin/
ขอบคุณภาพประกอบจาก
www.ebay.com
www.chartgeek.com
www.cracked.com
44 ความคิดเห็น
เป้นแนวคิดที่ดีมากเลยนะคะ ขอบคุณที่เอามให้อ่านคะ
เยี่ยม
เคยเห็นคนใน Pantip พูดถึงกัน
ขอบคุณที่นำมาให้อ่านค่ะ บทสัมภาษณ์น่าสนใจดีค่ะ
ยังไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้เพราะเล่มหนาาา (ราคาก็สูงไปตามความหนา) แต่ทราบมาว่าได้รับความนิยมจากนักอ่านมาก
อยากลองอ่านจัง
เรื่องนี้สนุกทั้งหนังสือทั้งซีรี่ย์เลย><
ขอแก้นิดนึงว่าหนังสือชุดนี้ชื่อSong of ice and fireนะคะ เรื่องแรกของซีรี่ย์นี้คือGame of Thronesนั่นแหละค่า (สงสัยพี่น้องเขียนบทความตอนเมานิดๆ 555^^)
ขอบคุณนะคะ
เป็นบทความที่ดีความเลยค่ะ
แอบเพิ่มข้อ 11 เข้ามา ฮ่าๆ
11. ตัวละครที่คนอ่าน(คนดู) เชียร์ต้องฆ่าตายยให้หมดด ฮืออออออ //เจ็บช้ำ
ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันนะคะ มีความรู้สุดๆเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ ' :)
อยากอ่าน..มากกว่าเดิมสามสิบเท่า ! (O.O) !!
มันเปงอะรายที่เป๋ง ม๊วกๆเบย
ได้เเรงเเต่งขึ้นมาเลยค่ะ สวดยวด
น่าสนุกจังงง
ผมเขียนการ์ตูนน่ะ ผมคงประยุกต์ใช้ได้ มั้ง
เป็นเรื่องที่อย่ารักตัวละครใดมากเกินไป...เพราะมันตายได้ทุกเมื่อ TvT