เปิดกรุ 5 พลังวิเศษที่พร้อมทำลายนิยายของคุณให้ย่อยยับ!
สวัสดีค่ะชาวนักเขียนเด็กดีทุกคน เวลาเราอ่านนิยายหรือดูหนังแฟนตาซี โดยเฉพาะอย่างยิ่งไซไฟแฟนตาซี เราจะพบว่าตัวละครมักมีพลังวิเศษเป็นส่วนใหญ่ บางคนลอยได้ บางคนปล่อยสายฟ้าในมือได้ บางคนนี่เจ๋งจริง สามารถอ่านหนังสือยาวๆ ให้จบและเข้าใจได้เพียงแค่กะพริบตาเดียว
เมื่อใดก็ตามที่เราให้ตัวละครของเรามีความสามารถวิเศษเหนือมนุษย์ เมื่อนั้นมันหมายถึงการเพิ่มจุดบอดให้นิยายของเราดูไม่สมจริง ทั้งนี้เป็นเพราะสมองของเราไม่รู้เงื่อนไขการใช้พลังวิเศษนั้นๆ เราเลยรู้สึกว่ามันเวอร์เหนือจริง หนักเข้าก็เต็มไปด้วยความสงสัย เช่น “ถ้าซุปเปอร์แมนสามารถบินได้เร็วพอที่จะย้อนเวลาได้ ทำไมเขาถึงบินไม่เร็วพอที่จะหยุดขีปนาวุธได้ล่ะ?"
บางพลังยิ่งสร้างจุดบอดอันใหญ่หลวงให้พล็อตนิยาย พอนิยายไม่สมจริง คนอ่านก็จะเซ็ง ซึ่งถ้าเราเป็นนักเขียนที่กำลังมีแพลนจะใส่พลังวิเศษลงไปในหนังสือแล้วล่ะก็ พี่น้ำผึ้งได้ยก 5 ปัญหาของพลังวิเศษที่น่าสนใจมาฝากจ้ะ (พร้อมวิธีแก้เล็กน้อย)
จุดบอดที่ 1 : ซุปเปอร์เทคโนโลยี
เปิดมากันที่หัวข้อแรก ซุปเปอร์เทคโนโลยี หลายคนอาจจะงงว่าคืออะไร ถ้าพี่น้ำผึ้งพูดถึงชุดเกราะของไอรอนแมน เข็มขัดของแบทแมน หรือแม้แต่สไปเดอร์แมนกับใยแมงมุมของเขา น้องๆ ก็คงจะร้อง อ๋อ! ขึ้นมาทันที นั่นแหละค่ะ...ซุปเปอร์เทคโนโลยี
อ้าว แล้วนี่เทคโนโลยีนับว่าเป็นพลังวิเศษด้วยเหรอ?
รู้นะว่าตั้งคำถามกันอย่างนี้ จะว่ามันไม่ใช่พลังวิเศษก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะอะไรก็ตามที่ช่วยให้ตัวเอกของเราทำภารกิจเสร็จสิ้น (เช่นปราบตัวร้าย เป็นต้น) และมีความเหนือธรรมชาติอยู่ในตัว พี่น้ำผึ้งนับว่ามันเป็นพลังวิเศษหมดแหละ อิอิ
แต่เทคโนโลยีกับพลังวิเศษต่างกันแค่นิดๆ หน่อยๆ ตรงที่ว่า พลังวิเศษคือพลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หรืออาจได้รับมาภายหลัง ซึ่งแน่นอนว่าพลังวิเศษจะอยู่ในร่างกายของตัวละคร ไม่มีใครหน้าไหนสามารถแย่งได้ ขณะที่เทคโนโลยีจะเป็นสิ่งที่ใครก็ได้สามารถหยิบมาใช้ได้ มันเลยเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อตัวละครมาก อย่างไรก็ตามแม้พี่น้ำผึ้งจะพูดว่าใครๆ ก็สามารถใช้เครื่องมือวิเศษได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกตัวละครจะหยิบมาใช้ได้จริงๆ นะ เพราะเครื่องมือวิเศษก็คือสิ่งของ มันย่อมมีเจ้าของ แล้วถ้าเจ้าของไม่อนุญาต ก็ยากที่จะหยิบมาใช้ได้ ซึ่งส่วนมากแล้ว บรรดาฮีโร่น่ะขี้หวงจะตาย ใครจะอยากให้ใช้ล่ะ ตามนั้นเนอะ
อ้าว แล้วทำไมฮีโร่ไม่ชอบแชร์เครื่องมือวิเศษล่ะ? ลองดูตัวอย่างนี้กัน โทนี่ สตาร์ก (ไอรอนแมน) แทบไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้เมื่อสวมชุดนี้ มันเลยทำให้เขาผลิตชุดอีกมากมายในไอรอนแมน 3 ทั้งนี้สาเหตุน่าจะเป็นเพราะสตาร์กกังวลและกลัวว่าคนอื่นจะนำสิ่งประดิษฐ์ของเขาไปใช้ในทางที่ผิด หรือไม่สามารถควบคุมพลังของชุดได้ อันนำมาสู่อันตรายต่อตนเองและคนรอบข้างค่ะ
นอกเหนือจากชุดสูทแล้ว เทคโนโลยีของสตาร์กก็เป็นอะไรที่สามารถเปลี่ยนโลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ สตาร์กต้องใช้เครื่องปฏิกรณ์มาช่วยในการผลิตสูทให้สำเร็จ แต่ประเด็นก็คือเจ้าเครื่องนี้มันเป็นสิ่งที่คล้ายกับฟิวชั่นนิวเคลียร์ นั่นหมายถึงว่าในตอนผลิตสูท เขาต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายต่อโลก เช่น คาร์บอนไดออกไซด์หรือกากกัมมันตรังสี ซึ่งสตาร์กต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาวิกฤติพลังงานของโลกนี้ค่ะ
ปัญหาสำหรับพลังวิเศษนี้ก็คือ...เครื่องมือเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ตัวละครอื่นสามารถลอกเลียนแบบ อีกทั้งมันยังนำมาสู่ปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องให้เครื่องมือวิเศษของเรานี้มีองค์ประกอบที่ยากต่อการเลียนแบบ อาจจะใช้แหล่งพลังงานในโลก เช่นเชื้อเพลิงหรือฟอสซิล เข้ามาช่วยก็ได้ค่ะ
จุดบอดที่ 2 : อ่านใจคนอื่น
พูดเลยว่าอ่านใจคนอื่นได้เนี่ยเป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่พี่อยากมีมาก ลองคิดดูนะ มันจะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถอ่านใจคนที่แอบชอบได้ มันจะดีแค่ไหนถ้าเราล่วงรู้ความคิดคนอื่น อาจจะดูเป็นอะไรที่น่ากลัว แต่พี่คิดว่ามันเป็นพลังวิเศษที่เจ๋งสุดยอด
แต่น่าเสียดาย การอ่านใจเป็นอะไรที่ยากที่ในการจัดการสำหรับนักเขียนบางคนเพราะมันทำลายความลึกลับ หากเคยอ่านนิยายแนวแฟนตาซีหลายๆ เรื่อง ความลึกลับนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ นิยายหลายเรื่องดำเนินโดยอาศัยความลึกลับเข้าช่วย แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับแนวนิยายก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น ทรอย (Troi) จาก Star Trek: The Next Generation (TNG) เธอก็ไม่ได้อ่านใจได้โดยตรง เธออ่านได้แค่ความรู้สึก อีโมชั่น และนักเขียนก็ไม่รู้จะเอายังไงกับเธอ ถ้าพลังของเธอใช้งานได้จริง แสดงว่าเอเลี่ยนจะไม่สามารถหลอกลวงคนในเอ็นเตอร์ไพรส์ (Enterprise) ได้ แล้วอีกครึ่งใน TNG ก็ดันถูกเอเลี่ยนล่อลวงซะแล้ว ฟังดูย้อนแย้งเนอะ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตัวละครทรอยถึงดูไม่เป็นค่อยเป็นประโยชน์ เธอบอกปิคาร์ดว่าโรมุนลันกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ แต่เธอไม่สามารถลงรายละเอียดได้ชัด หรือบางครั้งเธอก็มีข้อมูลเป็นประโยชน์ที่จะบอก แต่ก็ไม่มีใครฟังเธอซะอย่างนั้น เช่น ในตอน Samaritan Snare เธอเตือนตัวละครอื่นๆ ว่าที่จีโอได (Geordi) มีอันตรายแต่พวกเขาก็ไม่สนใจเธอ น่าสงสารจริงๆ สาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าถ้าเมื่อใดก็ตามที่ตัวละครใดตัวละครหนึ่งฟังเธอ พลังของเธอจะเป็นตัวทำลายดราม่าในเรื่อง
เห็นแล้วใช่มั้ยว่าปัญหาของเรื่องนี้คืออะไร มันคือการที่ตัวละครทำลายความลับในเรื่องนั่นเอง!! ทำให้หมดความตื่นเต้นลงทันที วิธีแก้สำหรับปัญหานี้ง่ายๆ เช่น แทนที่จะให้ตัวละครมองเห็นหน้าคนและอ่านใจได้แบบทันที ก็เปลี่ยนเป็นต้องโฟกัสถึงสิ่งที่อยากรู้เท่านั้นถึงจะรู้ว่าคนนั้นกำลังคิดอะไร ต่อมาก็จำกัดข้อมูลนั้นซะ อ่านใจได้นะ แต่ไม่รู้ทั้งหมด อ่านได้แค่ผิวเผิน อะไรประมาณนี้ หรือไม่งั้นก็จำกัดพลังนี้ไว้เฉพาะแค่บางสถานการณ์ เช่น ใช้ได้เฉพาะตอนต่อราคาของแค่นั้น ;)
มาร์คัส เอเยอร์ผู้คาดการณ์อนาคตได้
จุดบอดที่ 3 : มองเห็นอนาคต
ที่อยากได้พอๆ กับอ่านใจคนก็มองเห็นอนาคตนี่แหละ จะได้เลิกพึ่งหมอดูสักที ฮ่าๆ พี่ว่าความสามารถนี้เป็นอะไรที่ดีงามมากนะ การทำนายหรือมองเห็นอนาคตได้อย่างแม่นยำเนี่ย ตัวละครบางตัวเห็นภาพชัดเจน บางตัวก็แค่ฉลาดที่คาดเดาแนวโน้มของเหตุการณ์ในอนาคตที่เป็นไปได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะเป็นเคสไหน การล่วงรู้อนาคตเป็นอะไรที่เจ๋งมาก #และพี่อยากได้ (ฮา)
ในทั้งสองเคสนี้เราอาจพบปัญหาเดียวกัน ถ้าตัวละครสามารถมองเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาจะเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ ประมาณว่ามีซุ่มโจมตีอยู่ข้างหน้าใช่มั้ย? งั้นอย่าไปทางนั้น เครื่องบินจะหล่นใช่มั้ย? งั้นอย่าขึ้นเครื่องนี้สิ! ถ้าตัวละครเป็นตัวเอก มันแปลว่าเขาไม่มีโอกาสเผชิญหน้ากับอันตรายเลย หรือถ้าเขาเป็นตัวร้าย นั่นหมายถึงฮีโร่ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ แล้วอย่างนี้นิยายของเราจะไปสนุกได้ยังไง!?
เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นในซีรี่ส์อเมริกันอย่าง Alphas ตัวร้ายอย่างมาร์คัส เอเยอร์ เป็นคนฉลาดมากจนสามารถคาดการณ์อนาคตได้ เขาทำนายกับดักของตัวละครฝั่งดีที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกล่อเขาได้ตลอด จนกระทั่งเขาพลาดไปหนึ่งครั้ง แล้วเมื่อถึงตอนจบ เอเยอร์ก็หนีไปเพราะรับไม่ได้กับความพ่ายแพ้ของตัวเอง เขาหายไปแบบงงๆ และเราไม่เคยเจอตัวละครนี้อีกเลย แน่นอนว่าเป็นเพราะนักเขียนน่าจะประสบปัญหาเดียวกัน…รู้อนาคตหมด ดราม่าก็จบเลย
สำหรับปัญหานี้แทบไม่ต่างจากปัญหาอ่านใจคนออก วิธีแก้ก็เลยคล้ายๆ กัน อันดับแรกเราควรให้ตัวละครมองเห็นอนาคตในสิ่งที่เขาอยากเห็นเท่านั้น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็เห็นมันทุกอย่าง เหมือนหมอดูจิตสัมผัสอ่ะค่ะน้อง ต้องโฟกัสเท่านั้นถึงจะเห็นชัดเจน! ต่อมาก็ให้เห็นแค่อนาคตใกล้ๆ พอ อย่าให้ทำนายอนาคตอันยาวไกลเลย สุดท้ายสร้างผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวละครหากใช้พลังนี้มากๆ เช่น ยิ่งใช้บ่อยยิ่งทำให้เป็นอัมพาต เป็นต้น
เดอะแฟลช ตัวละครที่ไวยิ่งกว่าเเสง
จุดบอดที่ 4 : เร็วยิ่งกว่าแสง
ถ้าเกิดว่าเรามีความไวยิ่งกว่าแสง เราก็คงอ่านบทความนี้จบอย่างรวดเร็ว สุดยอดไปเลย!
โดยปกติแล้วเราพบตัวละครที่มีความสามารถในการเคลื่อนที่เร็วยิ่งกว่าแสงบ่อยมาก ส่วนตัวคิดว่ามันเป็นพลังง่ายๆ และมีประโยชน์ในการต่อสู้ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นจุดอ่อนในพล็อตนิยายเช่นกันจ้า โดยเฉพาะปัญหาทางฟิสิกส์ เพราะความจริงแล้วยังไม่มีทฤษฎีไหนที่ยืนยันว่ามีสิ่งที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสงได้
นอกจากนี้พี่น้ำผึ้งยังคิดว่า หากพิจารณาตามทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษของไอน์สไตน์ที่ให้ผลลัพธ์เป็นสมการชื่อดังอย่าง E = mc² เมื่อ m คือมวลและ c คือความเร็วแสง นั่นหมายถึงมวลและพลังงานมีคุณสมบัติทางกายภาพเหมือนกัน
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มวลของวัตถุเปลี่ยนเป็นพลังงานได้และจะเพิ่มขึ้นตามความเร็ว มันจะทำให้พลังงานเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเมื่อเดินทางด้วยความเร็วเท่ากัน วัตถุที่หนักจะมีพลังงานมากกว่าวัตถุที่เบากว่า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเคลื่อนที่ด้วย 10% ของความเร็วแสง มวลของมันจะหนักมากกว่าปกติ 0.5% แต่ถ้าเคลื่อนที่ด้วย 90% ของความเร็วแสง มวลของมันจะเพิ่มเป็นสองเท่า
เมื่อวัตถุเข้าใกล้ความเร็วของแสง มวลของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าวัตถุพยายามเดินทางด้วยความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที มวลของมันจะกลายเป็นอนันต์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีวัตถุปกติใดๆ สามารถเดินทางได้เร็วกว่าหรือเร็วเท่ากับความเร็วของแสงค่ะ เพราะฉะนั้นพลังวิเศษ “ไวกว่าแสง” จึงขัดตามหลักฟิสิกส์
การแก้ไขที่สำคัญที่สุดสำหรับประเด็นนี้คือการจำกัดระยะเวลาในการเคลื่อนที่เร็วกว่าแสง เช่น แฟลชจาก The Flash จะไม่สามารถสู้ได้ถ้าเขายังคงรักษาความเร็วให้เร็วเหนือแสง ก็แหม ขนาดเราวิ่งอย่างรวดเร็ว เรายังเหนื่อยเลย ตัวละครเราก็ควรจะต้องเหนื่อยบ้างสิ! ทีนี้ตัวละครของเราก็จะต้องเลือกแล้วแหละว่าจะใช้พลังนี้หรือจะเก็บรักษามันไว้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่ให้ตัวละครของเราใช้พร่ำเพรื่อนั่นเองจ้า
อีกทางเลือกหนึ่งก็คือบังคับให้การเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงมีผลทางกายภาพต่อตัวละคร การบังคับนี้ไม่ได้มีผลเพียงแค่ลิมิตการเคลื่อนที่ของตัวละครเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสภาพร่างกายของตัวละครด้วย ทุกครั้งที่เขาใช้พลังนี้ มันจะทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาลต่อข้อต่อของเขา แล้วร่างกายก็จะเจ็บปวด อีกทั้งการเสียดสีของอากาศอาจทำให้ร่างกายของพวกเขาร้อนเป็นไฟ แค่นี้ก็เป็นเงื่อนไขเจ็บๆ แล้ว
โร้คจาก X-Men ที่มีความสามารถในการขโมยพลังคนอื่น
จุดบอดที่ 5 : ขโมยพลังคนอื่น
ไม่มีความสามารถใดๆ จะวิเศษเท่ากับความสามารถที่ขโมยพลังของคนอื่นได้อีกแล้ว ลองคิดดูสิว่าหากเพื่อนของเราสามารถมองเห็นอนาคตได้ มันจะดีแค่ไหนถ้าเราเองก็เห็นอนาคตได้เช่นกัน แล้วลองคิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเรามีอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือ!?
อ๋อ สิ่งที่เกิดก็คือจุดบอดของนิยายไงล่ะ! ตัวละครที่สามารถขโมยพลังของคนอื่นได้จะกลายเป็นคนที่มีพลังทุกอย่างอยู่ในตัวเอง นั่นย่อมหมายความว่าปัญหามากมายก็จะเกิดขึ้น ตัวละครตัวนี้จะกลายเป็นตัวละครไม่สามารถโค่นล้มได้ เมื่อถึงตอนนั้นมันจะกลายเป็นจุดอิ่มตัว แล้วนิยายของเราก็จะตันและหมดความสนใจในที่สุด
ยกตัวอย่างเช่นไซลา (Sylar) ตัวร้ายจะซีรี่ส์ Heros เขาต้องฆ่าคนเพื่อให้ได้ครอบครองความสามารถของคนที่ถูกฆ่า จากความสามารถนี้ทำให้เขาเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ท้ายสุดตัวละครนี้ก็มีเส้นเรื่องที่แปลกไป มันเป็นเพราะนักเขียนไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเขาดี
สำหรับการแก้ไขปัญหานี้ เราอาจจะให้ตัวละครของเรามีลักษณะคล้ายกับโร้คใน X-Men เธอสามารถใช้พลังขโมยนี้ได้เพียงแค่ชั่วคราว ซึ่งหมายความว่าถ้าหากเธออยากได้พลังอะไร เธอจะไม่สามารถขโมยมันได้ทันที นั่นทำให้สถานการณ์มีความยุ่งยากมากขึ้น เช่น ในตอนสู้รบ เธอไม่สามารถรับพลังของเพื่อนร่วมทีมได้ทั้งหมด ปัญหาจึงเกิดขึ้น ทีนี้เรื่องของเราก็จะมีความน่าติดตามมากขึ้นค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ น้องๆ อาจสังเกตได้ว่า “ข้อจำกัดของพลัง” คือวิธีการแก้ปัญหาที่จะทำให้นิยายของเราดูสมจริงแม้จะเป็นแฟนตาซีก็ตาม ไม่ว่าเราจะให้ตัวละครของเรามีพลังวิเศษที่เจ๋งขนาดไหน แต่เราก็จำเป็นจะต้องให้พวกเขามีขีดจำกัดในการใช้ ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้นิยายของเราดูเลื่อนลอย เพ้อฝันและไม่สมจริง รวมทั้งยังช่วยให้สมองของเราไม่สร้างความขัดแย้งด้วยค่ะ ลองนำไปใช้ดูนะคะ รับรองว่ามีประโยชน์แน่นอน
ขอบคุณรูปภาพจากภาพยนตร์
ขอบคุณข้อมูลจาก
http://marvel.wikia.com/wiki/Iron_Man_Armor
11 ความคิดเห็น
ตอนนี้เรื่องที่เขียนอยู่ ก็เขียนให้มีพลังพิเศษเฉพาะตัวเหมือนกันค่ะ แต่ก็ให้มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนครั้งที่สามารถใช้ได้กับช่วงระยะเวลาที่ต้องรอกว่าจะใช้พลังนั้นได้อีกครั้ง...
ขอบคุณสำหรับบทความนะคะ :))
ที่เขียนอยู่ตอนนี้ ก็มี อ่านใจคนอื่น กับโขมยพลังคนอื่นเหมือนกันค่ะ
กรณีอ่านใจเราใช้เป็นการอ่านความคิดแทน คือตัวละครจะอ่านความคิดของคนอื่นได้ ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่ใช้ในการบอกตำแหน่งของศัตรูมากกว่า
พอจะให้โดนหักหลังเลยต้องหาอะไรบางอย่างมาเป็นตัวช่วยหน่อย ไม่งั้นก็จะหักหลัง ตัวละครตัวนี้ไม่ได้อีก เลยได้เป็นยาที่กินเข้าไปแล้วตัวละครจะอ่านความคิดไม่ได้ บวกกับสร้างเรื่องสะเทือนใจให้ตัวละครมีปมกับพลังจนไม่อยากอ่านความคิดใคร พอถูไถเอาตัวรอดไปได้ค่ะ
ส่วนขโมยพลังนี่ ต้องสัมผัสกันถึงจะก๊อปปี้พลังของคนอื่นได้ แต่ก็แค่ชั่วคราวเหมือนกันค่ะ ถาวรเลยไม่ได้ เดี๋ยวพี่แกจะเก่งกว่าพระเอก
เห็นด้วยว่าปัญหาเยอะจริงค่ะ เขียนพลังพิเศษเนี่ย จะเขียนต่อก็ยากแถมต้องระวังเรื่องช่องโหว่ในเรื่องอีก
ตอนนี้เรื่องที่เขียนอยู่ ขอบอกว่า-จุดบอดทั้งหมดคือพลังของตัวร้ายหมดเลย = =
แต่ก็ให้เหตุผลว่ามันคือทักษะไม่ใช่พลังพิเศษ ตัวอย่างเช่นอย่าง
มีเทคโนโลยีล้ำยุค(แต่เผยแพร่บางส่วนให้กับชาวโลก)
อ่านใจคนอื่นได้(แค่อ่านสีหน้าเก่ง)
มองเห็นอนาคต(คาดเดาพฤติกรรมคนอื่นได้มากกว่า)
เร็วยิ่งกว่าแสง(เฮียแกวาร์ปเอา ง่ายกว่าเยอะ)
ขโมยพลังคนอื่น(อันนี้เงื่อนไขบานตะไทจนทั้งตัวละครและก็คนเขียนชี้เกียจใช้)
แต่สรุปที่ตัวร้ายเราเก่ง เทพ ที่สุดในเรื่องก็เพราะมีพลังง่ายๆ สั้นๆ แต่โกง..........
เป็นอมตะ (จบนะ พวกฝ่ายพระเอก!)
วาร์ปกับความเร็วเหนือแสงคืออันเดียวกันครับ เพราะการวาร์ปคือการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งด้วยความเร็วที่มากกว่าแสง เรียกว่าความเร็ววาร์ป
แต่ถ้าจะหมายถึง การเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งโดยไม่ต้องมีระยะทาง เหมือนกับว่าหายไปจากจุดเอแล้วไปโผล่จุดบีโดยไม่สนใจเวลา ระยะทาง หรือสิ่งกีดขวาง ใช้คำว่า "เทเลพอร์ต" จะดีกว่าครับ
พลังทั้งหมดที่อ่านมานี่.... ไม่มีอยู่ในตัวละครของเราเลยสักตัว แม้กระทั่งตัวร้ายในเรื่อง หรือว่าเราแต่งแบบแหวกแนวหว่า? ฮ่าๆๆ
ขอบคุณครับ
ทุกอย่างจะดูง่ายไปหมดถ้ามีพลังหนึ่งในสองอย่างนี้อยู่ในเรื่อง ซึ่งเรื่องของผมมีอยู่ทั้งคู่ และทั้งสองพลังถูกใช้อย่างเต็มที่ ไม่มีการปรับลดเพื่อรักษาสมดุลของเรื่องแต่อย่างใด
เรื่องไหนที่มีการใช้พลังพิเศษใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าหนัง ซีรีย์ นิยาย กาตูน ถ้าสังเกตจะพบว่าเกือบทุกเรื่องที่ไปได้สวย ไปได้ดีและจบสมบูรณ์ จะมีการควบคุมความสามารถของตัวละครเอาไว้อย่างชัดเจน มีกฎ มีลิมิต มีข้อแม้ ไม่เฟ้อจบไม่ลง และสำคัญที่สุดคือที่มาของพลังวิเศษมักจะมีการปูพื้นมาไม่มากก็น้อย แล้วสิ่งที่มักจะเหมือนๆ กันสำหรับเรื่องที่มีพลังพิเศษเยอะๆ หลายๆ อย่างคือยิ่งเรื่องยาวเท่าไหร่ยิ่งเห็นความแถของผู้แต่งมากยิ่งขึ้น(คอมิคฮีโร่นี่ตัวดีเลย แถสีข้างถลอก) หรืออีกนัยหนึ่งคือ 'อย่าเยอะ อย่าเฟ้อ อย่าเวอร์' เพราะมักจะคุมเรื่องไม่ไหว
ได้ความรู้มากเลยครับ
ฝากนิยายด้วยครับหัดเขียนครับ
The Legend of smith
https://my.dek-d.com/Taruss11/writer/view.php?id=1790062
ทำไมพลังของตัวละครดังกล่าวเราเคยอ่านเจอในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการ์ตูนค่ายDC Marvel และการ์ตูนญี่ปุ่นเช่นเรื่องHunterxHunter นะXD โดยเฉพาะอินังเรื่องหลังสุดนี่แหม่555
นักเขียนเขาเทพอ่ะนะอิๆๆ
ง่ายๆคือไม่ over เกินไปหรืออะไรที่ทำให้ยุ่งยากสินะ สุดยอดมากครับ