แพรว เพทาย จิรคงพิพัฒน์ เพราะเส้นทางการเป็นนักเขียน... ไม่ได้ง่ายเสมอไป!


 แพรว เพทาย จิรคงพิพัฒน์
 เพราะ เส้นทางการเป็นนักเขียน
ไม่ได้ง่ายเสมอไป!


สวัสดีน้องๆ นักอ่าน-นักเขียนชาวเด็กดีทุกคนนะคะ ถ้าน้องๆ คนไหนได้ติดตามเพจ นักเขียนเด็กดี ก็คงจะพอทราบกันดีว่าวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้มีการไลฟ์พูดคุยกับนักเขียนท่านหนึ่งไป ซึ่งนั่นก็คือ พี่แพรว เพทาย จิรคงพิพัฒน์ เจ้าของนามปากกา ภาพิมล, พิมลภา และนามปากกาที่คว้ารางวัลล่าสุดอย่าง “โกลาบ จัน” โดยในวันนั้นพี่แพรวก็ได้พูดคุย แนะนำ พร้อมกับให้เคล็ดลับในการเขียนที่ดีและมีประโยชน์กับน้องๆ ไปมากมาย ซึ่งสำหรับใครที่ดูไม่ทัน หรืออยากทำความรู้จักกับพี่แพรวให้มากขึ้นกว่านั้น วันนี้พี่นัทตี้ได้นำบทสัมภาษณ์มาให้น้องๆ ทุกคนได้อ่านกันแล้วค่า

 


 
ฟ้าหลงจันทร์, ตะวันข้างแรม, แรกพบบรรจบรัก, น้ำค้างเปื้อนสี ฯลฯ ผลงานต่างๆ เหล่านี้นักอ่านน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเป็นผลงานการเขียนของผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ SMA ซึ่งเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานผิดปกติ ส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนแอ แขนและขาขยับไม่ได้ ทำให้การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันต่างๆ เป็นไปด้วยความลำบาก ซึ่งน้องๆ กำลังสงสัยกันอยู่ใช่ไหมจ๊ะ ว่าถ้าลำบากขนาดนี้พี่แพรวเขาจะเขียนนิยายได้ยังไง และทำไมพี่แพรวถึงยังรักในการเขียนนิยายเรามาฟังคำตอบจากพี่แพรวไปพร้อมๆ กันเลย

 

จุดเริ่มต้นในเส้นทางนักเขียน


แพรวเริ่มต้นมาจากการชอบอ่านก่อน พออ่านมาได้สักระยะหนึ่ง เราเริ่มรู้สึกว่ามีพล็อตเรื่องที่อยากจะเล่าอยู่ในหัวของเรา ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นในการลองเขียนดู ประกอบกับช่วงนั้นเริ่มไม่ค่อยมีรายได้ กำลังอยู่ในช่วงมองหาอาชีพเสริมทำ เลยตัดสินใจว่าจะใช้การเขียนนี่แหละเป็นช่องทางในการหาเงิน

 

เขียนนิยายเรื่องแรกก็ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์เลย


แต่แพรวมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะเราก็จะได้นำคอมเมนต์จากสำนักพิมพ์นั่นแหละมาปรับใช้ในงานเขียนเรื่องต่อๆ ไปของเรา แต่ก็ มีบางคอมเมนต์ที่อ่านแล้วก็จุกเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น พระเอกจนไปนะ, เรื่องมันดราม่าไปไหม อะไรทำนองนี้ ซึ่งข้อดีของคอมเมนต์ประเภทนี้คือทำให้เราได้คิด คอมเมนต์ไหนที่พอจะปรับได้เราก็ปรับให้ แต่คอมเมนต์ไหนที่เรารู้สึกว่าถ้าปรับแล้วจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปเราก็จะไม่ปรับ เพราะเราก็อยากคงความเป็นตัวเองไว้ในนิยายของเราอยู่

 

ตอนนั้นรู้สึกยังไง ท้อไหม


สำหรับแพรวคือ ต่อให้เราไม่ผ่าน เราก็จะเขียนต่อ เขียนไปเรื่อยๆ ไม่หยุด เพราะสิ่งที่เราได้รับล้วนเป็นประสบการณ์ที่ดีทั้งนั้น อีกอย่างคือเราจะได้รู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องตรงไหน และนำมาปรับปรุงกับผลงานการเขียนชิ้นต่อไป ตอนเป็นนักเขียนช่วงแรกๆ ก็โดนปรับเยอะอยู่เหมือนกัน หลายครั้งมาก นับไม่ถ้วนเลย แต่พอปรับแล้วผ่าน เราก็รู้สึกเหมือนเดินไปถึงฝั่งสักที เพราะเราก็ใช้เวลากับมันมานานพอสมควร พอประสบความสำเร็จก็รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก (ยิ้ม)

 

โรค SMA เป็นอุปสรรคต่อการเป็นนักเขียนของเราไหม


จริงๆ แล้วหลายคนอาจมองว่าการที่เราป่วยเป็นโรคนี้ดูเหมือนจะมีอุปสรรคกับเรามาก แต่ความจริงแล้วแพรวมองว่าถึงแม้ว่ามันจะมีอุปสรรคทางร่างกายอยู่บ้าง แต่กับจิตใจนั้นไม่เลย แถมแพรวยังรู้สึกว่าการเขียนนั้นเปรียบเสมือนการช่วยเยียวยาจิตใจอย่างหนึ่งด้วยนะ เพราะมันทำให้เราเลิกจดจ่ออยู่กับโรคของตัวเอง หันไปจดจ่อกับการเขียนแทน โดยแพรวมองว่ามันเหมือนเป็นการสร้างความสุขให้ตัวเองอย่างหนึ่ง

 

เวลาเขียนนิยาย พี่แพรวทำยังไง


วิธีการเขียนของแพรว คือแพรวจะนอนราบ แล้วใช้ข้อนิ้วชี้ข้อแรกตรงส่วนที่เป็นกระดูกกดลงบนหน้าจอโทรศัพท์ เวลาคนอื่นเห็นภาพเราตอนเขียนมักจะมองว่ามันลำบากเกินไปไหม แต่ในมุมของเราคือเราค่อนข้างจะชินแล้ว และมันเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดสำหรับเรา พอเขียนได้หน้า สองหน้า เราก็ส่งเข้าอีเมลของตัวเอง แล้วมา Edit ต่อในคอม เสร็จแล้วก็ส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์ โดยแต่ละเรื่องเราใช้เวลากับการเขียนโดยเฉลี่ยประมาณวันละ 2-3 หน้า


 


 

เขียนมาเรื่อยๆ จนผลงานได้รับการตีพิมพ์มาแล้วกว่า 18 เล่ม!


แพรวเป็นคนที่มีความคิดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราได้เริ่มเขียนนิยายสักเรื่องหนึ่งแล้ว เราจะไม่มีวันทิ้งตัวละครไว้กลางทางเด็ดขาด ต่อให้เราจะไม่สนุกกับมันก็ตาม แต่เราก็ต้องเขียนมันให้จบ โดยวิธีการหาแรงบันดาลใจของแพรวคือ การดูหนัง, ฟังเพลง ดูรูปภาพ หรืออะไรก็ตามที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราเขียน และสามารถกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกอยากเขียนขึ้นมา โดยพี่แพรวได้พูดติดตลกอีกด้วยว่า สำหรับพี่แพรวตัวกระตุ้นที่ดีที่สุดเห็นทีจะเป็นการทำปก เพราะเราเสียเงินไปแล้ว เราต้องได้เงินคืนสิ (ขำ) 

 

นักอ่านส่วนใหญ่จะมองว่าเอกลักษณ์ของพี่แพรว
คืองานเขียนที่มีความดราม่า


เพราะแพรวไม่ชอบความสมบูรณ์แบบ และไม่เชื่อในความสมบูรณ์แบบด้วย แพรวเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีด้านที่ดีและไม่ดีเหมือนกัน เรามีความสมหวัง ผิดหวัง สุขทุกข์เหมือนๆ กัน เลยรู้สึกว่านิยายดราม่ามันสะท้อนให้เราได้เห็นจุดบกพร่องตรงนั้นได้ดี เป็นการสะท้อนความเชื่อของเราออกมา และอีกอย่างคือแพรวเป็นคนชอบอ่านอะไรที่มันบีบคั้น เล่นกับอารมณ์ ความรู้สึก เพราะเรามองว่ามันลุ้นดี ดูมีอะไรติดค้างกับใจเราดี ซึ่งเราก็ได้นำเทคนิคเหล่านั้นมาใช้กับนิยายของเราเหมือนกัน


 


 

“น้ำค้างเปื้อนสี” ผลงานที่เป็นที่สุดของพี่แพรว!


ย้อนเวลากลับไปตอนสมัยเขียนเรื่องนั้น แพรวชอบอารมณ์ และความรู้สึกของตัวเองในระหว่างที่เขียนน้ำค้างเปื้อนสีมากที่สุด เพราะมันเป็นความรู้สึกที่นิ่ง สงบ รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลงมาก ผิดกับโทนเรื่องที่ใครที่ได้อ่านแล้วจะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘พีค’ 

 

น้ำค้างเปื้อนสี ยังเป็นนิยายทำมือเรื่องแรกอีกด้วย


จริงๆ แล้วการทำมือมันก็มีข้อดีตรงที่ว่า เรารู้สึกว่าเราใกล้ชิดกับคนอ่านมากขึ้น มีการติดต่อสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์กัน แต่สิ่งที่เราเหนื่อยเห็นทีจะเป็นเรื่องของการจัดการ และด้วยความที่เราไม่แข็งแรง มันเลยทำให้เราต้องอาศัยคนอื่นอยู่พอสมควร แต่ส่วนไหนที่เราพอจะทำได้เราก็จะทำสุดฝีมือ อีกอย่างคือในระหว่างที่เรามัวแต่ยุ่งกับเรื่องนี้ มันไม่ได้ทำให้เรามีสมาธิกับการเขียนเรื่องอื่นเลย “น้ำค้างเปื้อนสี” ทำให้แพรวหยุดเขียนไปเลย 2-3 เดือน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราไม่อยากทำมือออกมาบ่อยๆ แต่มันก็คุ้มค่าตรงที่เราได้พูดคุยกับคนอ่าน เพราะความสุขของแพรวก็คือคนอ่าน

 

ลืมไปว่า (ไม่) รัก ผลงานเรื่องล่าสุด ที่ท้าทายตัวเองแบบสุดๆ


ผลงานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แพรวไม่ถนัดเลย โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้คือ เราได้มีโอกาสไปเที่ยวสิงคโปร์ แล้วมีความรู้สึกว่าอยากหาทุนคืน เลยทำให้ตัดสินใจเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา (ขำ) เราก็อาศัยซึมซับบรรยากาศ เก็บข้อมูล เก็บรูปภาพต่างๆ มาประกอบการเขียนนิยาย แต่พอเขียนไปได้สักพักเริ่มรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะฝืนตัวเองอยู่พอสมควร เพราะเราถนัดแต่แนวรักดราม่า ผิดกับเรื่องนี้ที่คอเมดี้จ๋ามาก เลยทำให้กดดัน ใจหนึ่งแพรวอยากจะทิ้งมันนะ แต่ทำไม่ลง เพราะตัวละครได้กลายเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเราไปแล้ว เราจะไม่มีวันทิ้งเขาเด็ดขาด เลยถูไถมันมาเรื่อยๆ จนจบ ซึ่งระยะเวลาของการเขียนสำหรับเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะนานที่สุดในบรรดางานเขียนทั้งหมดของแพรว คือประมาณครึ่งปี


 


 

จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายประกวด


เอาจริงๆ แพรวไม่ได้คาดหวังอะไรจากเส้นทางสายนี้เท่าไหร่  “ใต้ฝุ่น” เป็นงานเขียนที่แพรวเขียนขึ้นเพื่อสนองความชอบของตัวเองล้วนๆ เราไม่เคยคิดว่าจะต้องเอามันไปส่งประกวดที่ไหน เวทีอะไร เคยแต่ส่งให้พี่ที่รู้จักกันอ่านเล่นๆ เท่านั้น ซึ่งหลังจากที่เขาอ่านจบ เขาก็แนะนำให้เราลองไปส่งประกวดดู พอได้รางวัลก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อมาก เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รางวัลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกอย่างนักเขียนที่ส่งผลงานเข้าประกวดในเวทีเดียวกันแต่ละคนเขาก็เก่งกันมากๆ ไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรในงานเขียนของเรา เลยทำให้ได้รับรางวัลนี้มา

 

ชีวิตเปลี่ยนไปเลยไหม


เอาจริงๆ ก็ไม่ เพราะแพรวก็ยังเป็นแพรวคนเดิม อาจจะเป็นอย่างที่บอกคือเราไม่ได้คาดหวังมาตั้งแต่แรกด้วย เลยไม่ได้ทำให้เราเหลิง หรือรู้สึกอะไรเท่าที่ควร

 

เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของ ใต้ฝุ่น สักนิดนึง


จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้นั้นมาจาก แพรวได้บังเอิญไปเห็นภาพของประเทศอัฟกานิสถานในอดีต ซึ่งมันสวยมาก แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ได้ทำให้แพรวเกิดความสงสัยขึ้นมา ว่าภายใต้สิ่งที่เรามองว่าสวยเนี่ยมันมีที่มาที่ไปยังไง แรกๆ ก็อาศัยหาข้อมูลจากในวิกิพีเดีย แล้วค่อยๆ ลามไปถึงการอ่านข่าว ลามไปเรื่อยๆ จนเราค่อนข้างจะมั่นใจว่าเราตกผลึกกับประเทศนี้พอสมควร เริ่มมีการมองเห็นภาพตัวละครขึ้นมาในหัว ส่วนพล็อตของเรื่องส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะแพรวชอบศึกษาเรื่องสงครามด้วย และประเทศอัฟกาก็ค่อนข้างจะใกล้ตัวเราพอสมควร เพราะเป็นประเทศในแถบเอเซียเหมือนกัน เลยทำให้เราตัดสินใจถ่ายทอดมันออกมาผ่านงานเขียน ซึ่งจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้เราก็ได้ใช้เวลาไปกว่า 6 ปี และปัจจุบันก็ได้มีการติดตามข่าวสารบ้านเมืองของเขาอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้สิ แพรวมองว่ามันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของแพรวไปแล้ว

 

ทำไมถึงต้องเป็นคำว่า “ใต้ฝุ่น”


คำว่าฝุ่นในความคิดของแพรวมันเป็นคำที่ใช้แทนความหมายเกี่ยวกับความวุ่นวาย ความโกลาหล ส่วนคำว่าใต้ ก็คือตัวละครทั้งหลาย ที่ตกอยู่ภายใต้สงคราม ดังนั้นเมื่อนำคำทั้งสองคำมารวมกัน มันเลยมีความหมายว่า คนที่ตกอยู่ภายใต้ฝุ่นควันแห่งสงครามประมาณนี้ ซึ่งกว่าจะได้ชื่อนี้ก็ใช้เวลาคิดอยู่นานเหมือนกัน

 

ได้ข่าวมีการเก็บข้อมูลการเขียน
จากการพูดคุยกับคนอัฟกานิสถานด้วย


ใช่ค่ะ เขาให้ข้อมูลดีมากๆ แพรวมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาผ่านช่องทาง Instagram และก็คุยกันมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งตอนที่คุย แม้แต่ชื่อของเขาแพรวยังไม่รู้เลย อาจจะเป็นเพราะความปลอดภัยของเขาด้วยส่วนหนึ่ง อย่างตอนที่เราออกหนังสือ เราก็อยากส่งไปให้เขาแทนคำขอบคุณ แต่เมื่อมองภาพความจริงเรากลับทำไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้มีเพียงอย่างเดียวคือคำบอกเล่า รวมถึงข้อความแสดงความยินดีจากเขาเพียงแค่นั้น


 


 

โกลาบ จัน นามปากกาใหม่ที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยตัว


เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นงานประกวด เราก็ไม่อยากจะส่งประกวดด้วยนามปากกาที่เรามีอยู่แล้ว เราอยากจะเริ่มต้นนับ 1 ใหม่เลย อยากจะส่งประกวดในร่างอวตารที่ไม่มีใครรู้ว่าคนเขียนเขาเป็นใคร แต่สุดท้ายเห็นทีจะไม่สำเร็จ (ขำ) โดยที่มาของนามปากกานี้คือ เราอยากจะได้ชื่อนามปากกาที่มีความเชื่อมโยงกับเรื่องที่เราเขียน โดยคำว่า โกลาบ จัน เป็นภาษาอัฟกานิสถาน มีความหมายว่า กุหลาบที่รัก ซึ่งถ้าใครได้อ่านเรื่องใต้ฝุ่นแล้ว แพรวก็มีการพูดถึงเรื่องของความเชื่อของชาวอัฟกันที่รักกุหลาบเท่ากับบทกวี ถือว่ามีจุดที่มันเชื่อมโยงกันอยู่

 

จากวันนั้นจนถึงวันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง


อย่างแรกเลยคือความกล้าเขียนที่มีมากขึ้น การเล่าเรื่องต่างๆ ทำได้ดีขึ้น และเริ่มเข้าใจความต้องการของตัวเอง เขียนเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง 

 

วางแผนอนาคตไว้ยังไง


ในอนาคตแพรวก็จะเขียนไปเรื่อยๆ อาจจะมีแนวที่หลากหลายมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามแพรวก็จะไม่ละทิ้งแนวรักดราม่าที่เป็นแนวถนัดของเรา และจะพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ อาศัยปรับเอาจากข้อบกพร่อง และถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองจับแนวที่ไม่ถนัดดูบ้างเหมือนกัน

 


 

"แพรวไม่ได้คาดหวังว่านักอ่านทุกคน
จะต้องชื่นชอบผลงานของแพรวทั้งหมด
ขอแค่จับจองพื้นที่ในหัวใจของใครสักคน
และไม่ทำร้ายใครก็พอแล้ว"


 
นอกจากนี้พี่แพรวยังฝากพี่นัทตี้มาบอกและให้กำลังใจน้องๆ ที่มีความฝันว่าอยากจะเป็นนักเขียนเหมือนพี่แพรวด้วยว่า การจะเขียนอะไรแล้วให้คนอ่านอิน อันดับแรกมันจะต้องเป็นสิ่งที่เราถนัด และสามารถใช้เวลากับสิ่งๆ นั้นได้อย่างมีความสุขเสียก่อน ถ้าเขียนๆ ไปแล้วรู้สึกว่าตัวละครกำลังหลุดออกจากกรอบที่เราวางไว้ เราในฐานะคนเขียนและคนสร้างตัวละครตัวนั้นมาจะต้องดึงมันกลับมาให้ได้ อย่าปล่อยให้เลยตามเลย เพราะหากต้องแก้ไข เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับมันมาก แถมทุกวันนี้การเขียนมันทำได้ง่ายขึ้น น้องๆ ทุกคนสามารถเป็นนักเขียนอาชีพกันได้ทั้งนั้น และการเป็นนักเขียนออนไลน์ก็สามารถสร้างรายได้ให้กับเราได้เหมือนกัน เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่มีคุณค่าและประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเกินความสามารถของน้องๆ ทุกคนแน่นอน
 
เพราะฉะนั้นน้องๆ ทุกคนอย่าเพิ่งท้อ ถึงแม้ว่าจะมีคนอ่านหรือไม่มีก็ตาม แต่เราก็ควรแสดงให้นักอ่านที่ติดตามเราได้เห็นว่าเราสม่ำเสมอและมีความตั้งใจกับงานเขียนชิ้นนี้มาก เพราะพี่นัทตี้เชื่อว่านักเขียนชื่อดังหลายๆ คนต่างก็เคยผ่านจุดนี้กันมาแล้วทั้งนั้น ดูอย่างพี่แพรวสิ ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคที่ร่างกาย แต่โชคดีที่พี่เขามีความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม เลยทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่น้องๆ ทุกคนต้องทำ คือการลงมือเขียนด้วยความสุข แล้วสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็ถือว่าเป็นกำไรที่เราได้รับจากความตั้งใจของเรา เพราะฉะนั้นสู้ๆ นะจ๊ะ พี่นัทตี้ขอเป็นกำลังใจให้ :)
 
และก่อนจากกันพี่นัทตี้ก็มี 20 ข้อน่ารู้ที่พี่เพิ่งค้นพบหลังจากได้ทำการสัมภาษณ์พี่แพรวมาฝากน้องๆ กัน บอกเลยว่าข้อมูลเหล่านี้จะทำให้น้องๆ รู้จักพี่แพรวมากยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนจะเป็นอะไรนั้นเรามาอ่านไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า…


 

รู้หรือไม่?


1. พี่แพรวเป็นนักเขียนประจำเว็บเด็กดีมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว 
2. พี่แพรวเป็นนักเขียนที่มีวินัยมาก โดยพี่แพรวมีการแบ่งตารางการทำงานที่ค่อนข้างจะชัดเจน และมาตรฐานของพี่แพรวคือต้องเขียนให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 หน้า เกินได้แต่ห้ามขาด!
3. การลงงานเขียนในเว็บสำหรับพี่แพรว คือจะต้องเขียนให้จบเรื่องก่อนแล้วค่อยลง จะไม่เขียนไปลงไป
4. พี่แพรวเป็นนักเขียนที่ไม่เคยทิ้งตัวละครไว้กลางทาง
5. ในอนาคตพี่แพรวอยากลองเขียนนิยายแนววายดู ยังไงก็รอติดตามและเอาใจช่วยพี่แพรวกันด้วยนะ
6. พี่แพรวชอบดู Youtube Channel : PEACHII (สตีเฟ่น โอปป้า)
7. ลืมไปว่า (ไม่) รัก เป็นนิยายที่เขียนยากที่สุดในชีวิตของพี่แพรว เพราะเป็นแนวที่ไม่ถนัดเลย
8. ถ้าแนะนำนิยายเรื่องหนึ่งให้คนอ่านได้ พี่แพรวอยากแนะนำเรื่อง น้ำค้างเปื้อนสี
9. SMA ไม่มีคำว่าเสียใจ แม้ในหยดน้ำตา หนังสืออัตชีวประวัติของพี่แพรวกับโรค SMA
10. นักเขียนในดวงใจของพี่แพรวคือ โสภาค สุวรรณ
11. ถ้าไม่ได้เป็นนักเขียนพี่แพรวอยากเป็นหมอ
12. นักเขียนที่ดีในความคิดของพี่แพรวคือ นักเขียนที่อัปสม่ำเสมอ
13. หมวดนิยายเด็กดีที่พี่แพรวชอบเข้าก็คือหมวดซึ้งกินใจ
14. จุดเริ่มต้นของน้ำค้างเปื้อนสี คือความสงสัยว่าทำไมนางเอกที่ถูกพระเอกย่ำยียังสามารถรักกับพระเอกได้อยู่
15. พี่แพรวเป็นคนที่มีความรู้รอบตัวเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์
16. พี่แพรวรักประเทศอัฟกานิสถานมาก
17. ถ้ามีโอกาสพี่แพรวอยากจะลองไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอัฟกานิสถานสัก 2-3 เดือน
18. พี่แพรวชอบอะไรที่มีแผลเป็น ชอบอะไรที่ไม่สมบูรณ์แบบ
19. นิยายเรื่องใหม่ของพี่แพรวจะมีพระเอกเป็นสายฝอ นักอ่านสายฝอเตรียมตัวกันให้ดี!
20. แฟนเพจของพี่แพรวคือ ภาพิมล / พิมลภา น้องๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและพูดคุยกับพี่แพรวได้นะ

 



 
และทั้งหมดนี้ก็คือบทสัมภาษณ์รวมถึง 20 ข้อที่จะทำให้นักอ่านรู้จักนักเขียนคนเก่งคนนี้มากขึ้น และหลังจากที่พี่นัทตี้ได้พูดคุยทำความรู้จักกับพี่แพรว พี่นัทตี้ก็รู้สึกชื่นชอบในทัศนคติ รวมถึงความตั้งใจของพี่แพรวมากๆ เลย สารภาพว่าพี่ไม่เคยรู้มาก่อนว่านักเขียนเจ้าของนามปากกาภาพิมล / พิมลภา และโกลาบ จัน คนนี้นั้นเป็นใคร มาจากไหน เคยอ่านแต่ผลงานไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน พอได้พบได้พูดคุยก็รู้สึกทึ่งและประทับใจในความตั้งใจของเธอจริงๆ และสำหรับผลงานที่คว้ารางวัลล่าสุดอย่างใต้ฝุ่น พี่ก็ได้เขียนบทวิจารณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าเกิดน้องๆ คนไหนยังไม่ได้อ่าน ก็สามารถคลิกเข้าไปอ่านกันได้ที่ >> (คลิก) << และสำหรับวันนี้พี่นัทตี้ต้องขอตัวลาไปก่อน หวังว่าน้องๆ จะได้รับความรู้และแรงบันดาลใจในการเขียนไปไม่มากก็น้อย ไว้คราวหน้าพี่จะกลับมาพร้อมกับบทสัมภาษณ์ของนักเขียนคนเก่งคนไหนอีก ก็ต้องฝากน้องๆ ทุกคนช่วยติดตามและเป็นกำลังใจกันด้วยนะจ๊ะ ไว้เจอกันจ้า 

 
พี่นัทตี้ :)

 
พี่นัทตี้
พี่นัทตี้ - Columnist บุคคลผู้เสพติดการดูหนังแนวสยองขวัญ ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเขียน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Princess Blackpearl Member 2 มิ.ย. 61 20:53 น. 3

ในวันนี้ที่ความทุกข์มาเยือน บทความนี้เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจที่วัดค่าไม่ได้เลยค่ะ มากมายจริงๆ อ่านไปน้ำตาซึมไป ขอบคุณนะคะ

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

4 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Princess Blackpearl Member 2 มิ.ย. 61 20:53 น. 3

ในวันนี้ที่ความทุกข์มาเยือน บทความนี้เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจที่วัดค่าไม่ได้เลยค่ะ มากมายจริงๆ อ่านไปน้ำตาซึมไป ขอบคุณนะคะ

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด