5 อาชญากรสุดสะพรึงที่ผันตัวมาเป็น 'นักเขียนโด่งดัง' #ใครๆก็เป็นนักเขียนได้

5 อาชญากรสุดสะพรึง
ที่ผันตัวมาเป็น
"นักเขียนโด่งดัง"
#ใครๆก็เป็นนักเขียนได้

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวเด็กดีทุกคน เห็นทีประโยคที่ราอูล ดุ๊ค ตัวละครจากภาพยนตร์  Fear and Loathing in Las Vegas เคยกล่าวไว้ว่า “มีหนังสือดีๆ จำนวนมากถูกเขียนขึ้นในคุก” คงจะจริง เพราะนักเขียนดังๆ หลายคนก็เริ่มต้นเขียนหนังสือตอนอยู่ในคุก ไม่ว่าจะเป็น เนลสัน เมนเดลา, มาร์กี เดอ ซาด, มิเกล เด เซอร์บันเตส หรือแม้แต่โอ. เฮนรีเองก็ด้วย ซึ่งพี่น้ำผึ้งเคยนำเสนอไปแล้วในบทความ 10 วรรณกรรมยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเพราะนักเขียนอยู่ในคุก! (ภาคแรก) และ 10 วรรณกรรมยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเพราะนักเขียนอยู่ในคุก! (ภาคจบ) น้องๆ สามารถไปตามอ่านได้เลยค่ะ 

เอาล่ะ ไหนๆ เราก็มีหนังสือดีๆ ที่เกิดขึ้นจากในคุกแล้ว เคยรู้หรือเปล่าว่าวงการวรรณกรรมโลกเองก็มีนักเขียนที่เป็นอาชญากรด้วย!! บอกเลยว่าผลงานแต่ละเรื่องของพวกเขาไม่ธรรมดาค่ะ เพราะแต่ละเล่มทั้งดังทั้งปัง ถูกนำไปสร้างหนัง รายได้หลักล้านงี้ ว่าแล้วเราก็ไปทำความรู้จักเหล่านักเขียนที่เคยเป็นอาชญากรกันดีกว่า
 

Clip

Interviews with Edward Bunker

เอ็ดเวิร์ด บังเกอร์


น้องๆ อาจจะเคยเห็นโฉมหน้าของเอ็ดเวิร์ด บังเกอร์ในภาพยนตร์หลายเรื่อง (The Longest Yard, Tango & Cash และ Animal Factory) แต่ผู้คนรู้จักเขามากที่สุดในฐานะ Mr. Blue จาก Reservoir Dogs (บลูเป็นสุนัขที่มีบทบาทน้อยที่สุดในเรื่อง) อย่างไรก็ตาม หากเคยได้ยินเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับอดีตของบังเกอร์ คงจะเห็นได้ชัดว่า ถ้าภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริง เขาคงจะเป็นสมาชิกคนเดียวของแก๊งก่อโจรกรรมได้สำเร็จ
 
การเป็นอาชญากรของบังเกอร์เริ่มต้นตั้งแต่เขาอายุยังน้อย เขาทำลายเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเพื่อนบ้านด้วยค้อนเมื่อตอนอายุราวสามขวบ และเผาโรงจอดรถของเพื่อนบ้านคนนั้นตอนที่เขาอายุประมาณสี่ขวบ พออายุ 15 ปี เขาใช้ส้อมแทงลูกตาของใครบางคน ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก่ออาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ 17 ปี เขาถูกจับกุมและกักขังอยู่ในคุกในลอสแอนเจลิส ซึ่งต่อมา เขาได้แทงทหารรักษาการณ์และแหกคุก แต่ท้ายสุดก็ถูกนำตัวไปอยู่ที่เรือนจำซานเควนติน และกลายเป็นผู้ต้องขังที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมา
 
เขาเริ่มให้ความสนใจในการเขียนหลังจากที่ถูกคุมขังอยู่ใกล้กับห้องขังฆาตกรที่ชื่อว่าคาร์ล เชสแมน นักเขียนที่มีผลงานตีพิมพ์ บังเกอร์รู้สึกทึ่งกับไอเดียในการเล่าเรื่องต่างๆ นั่นทำให้เขาตัดสินใจเริ่มต้นเขียนหนังสือเป็นของตัวเอง หลังจากช่วงเวลา 18 ปีของการก่ออาชญากรรมจำนวนมากทั้งในและนอกคุก (รวมถึงการถูกจับกุมโดย FBI เนื่องจากตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง) บังเกอร์ก็ได้ออกจากคุกในช่วงปลายยุค 1960 
 
เขายังคงเขียนงานเขียนต่างๆ อยู่แม้จะถูกปฏิเสธถึง 12 ครั้งก็ตาม! ท้ายที่สุด นวนิยายเรื่อง No Beast So Fierce ของเขาก็ได้รับการตีพิมพ์และถูกซื้อเพื่อนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 1978 แน่นอนว่า บังเกอร์มีบทบาทเล็กๆ น้อยๆ ในภาพยนตร์ด้วย
 
เขาเขียนหนังสือขายดีหลายเรื่องและผลิตภาพยนตร์ 2-3 เรื่อง นอกจากนี้ ตัวเขายังมีบทบาทอย่างมากในภาพยนตร์อีกด้วย โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือ Reservoir Dogs และเขายังเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของภาพยนตร์บางเรื่องอีกด้วย บอกแล้วว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
 

Clip

Interview with Chopper

มาร์ค ชอปเปอร์ รีด

มาร์ค ชอปเปอร์ รีด เกิดที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ตอนเด็กๆ เขาเติบโตขึ้นในบ้านเด็กเล็ก เมื่อตอนอายุ 14 ปี เขาได้รับการอุปการะจากรัฐและเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช ที่นั่นเขาได้รับการบำบัดโดยใช้ไฟฟ้าทำให้ช็อก ไม่น่าแปลกใจเลยที่การรักษาอันโหดร้ายนั้นไม่ได้ผล และตอนเป็นวัยรุ่น เขาได้กลายเป็นหัวหน้าแก๊งอาชญากรของตัวเอง

วันหนึ่ง รีดได้รับคำแนะนำว่าควรขโมยของจากพ่อค้ายาเสพติด เพราะวิธีนี้จะทำให้พวกเขามีเงินร่ำรวยและพวกนั้นก็ไม่สามารถแจ้งตำรวจได้ เช่นเดียวกับโอมาร์ในเรื่อง The Wire รีดกลายเป็นภัยสังคมที่อันตราย อาชญากรรมของเขาก็ยังคงเป็นที่กล่าวถึงในเรื่องความโหดร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ (เช่นเรื่องที่เขาอ้างว่าได้ตัดเท้าของศัตรูด้วยเครื่องสลักเกลียว) 

เขามักอ้างว่าเขาไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่ในปี 1990 เขาลักพาตัวผู้พิพากษาท่านหนึ่งไปเป็นตัวประกัน เพราะเขาเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้แก๊งของเขาถูกปล่อยตัวออกจากคุก และสุดท้าย เขาก็ถูกคุมขังเสียเอง

เมื่อรีดเข้าไปในคุก ก็เหมือนกับเกิดสงครามย่อมๆ นั่นแหละ เขาพยายามขอย้ายไปวอร์ดอื่นเพราะเขาเชื่อว่ามีนักโทษบางคนพยายามตัดหูของเขา แล้วก็ได้ผล เขาถูกย้ายจริง แต่ที่นั่น เขาถูกแทงหลายครั้งจนทะลุลำไส้ ซึ่งชื่อ "ชอปเปอร์" เองก็มาจากอุบัติเหตุครั้งนี้ 

ในขณะที่พักฟื้น มีนักข่าวนำเสนอเรื่องอาชญากรรมของเขา และมีรายงานข่าวบางส่วนที่เป็นเท็จ รีดจึงได้ติดต่อกับนักข่าว รวมถึงเล่าถึงคดีอาชญากรรมอื่นๆ ที่เขาได้กระทำด้วย เรื่องราวเหล่านี้แหละได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับหนังสือเล่มแรกของชอปเปอร์ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่นิยมอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นทำให้เขากลายเป็นนักเขียนที่ขายดีที่สุดในออสเตรเลีย นอกจากนี้เขายังประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติจากการเป็นนักเขียนอาชญากรรมระดับตำนาน ซึ่งเอลมอร์ ลีโอนาร์ดได้ชื่นชมผลงานของเขาด้วยค่ะ 

จากนั้นเขาก็กลายเป็นนักแสดงตลกที่โด่งดัง และเป็นหนึ่งในนักแสดงของภาพยนตร์ชื่อดังที่นำแสดงโดยเอริค บาน่า นอกจากนี้ เขายังเคยขู่ว่าจะฆ่าผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิง ก่อนจะผันตัวมาเป็นแร็ปเปอร์ช่วงหนึ่งอย่างจริงจัง!

หนังสือของชอปเปอร์เป็นนวนิยายอาชญากรรมที่ตอนนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงอย่างมากว่าเรื่องราวที่เขาเขียนคืออาชญากรรมที่เขาก่อขึ้นจริงหรือเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ชอปเปอร์ได้กล่าวถึงหนังสือของเขาว่าเรื่องด้านในนั้นเป็น "แค่เรื่องตลก" อย่างไรก็ตาม เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงกับนิยายทำให้เกิดความสับสน จนกระทั่งเกิดคดีที่ชอปเปอร์ชักปืนใส่นักข่าวที่มาสัมภาษณ์และบังคับให้เธอเล่นเกมรัสเซียนรูเลตต์นั่นแหละ ก็ต้องเดากันต่อไปว่าเป็นเรื่องจริงหรือแต่งขำๆ 

 


(via: The Sundays Times)
 

จิมมี่ บอยล์

ในปี 1967 จิมมี่ บอยล์ หนึ่งในสมาชิกแก๊งอาชญากรกลาสโกลว์ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในลอนดอนภายใต้การคุ้มครองของแก๊งเครย์ ทวินส์ หลังจากนั้น เขาก็ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเพื่อนนักเลงชื่อแบบส์ รูนีย์ จริงๆ แล้ว บอยล์เคยถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรมถึง 2 ครั้ง แต่ในคดีของรูนีย์ เขากลับยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยอ้างว่าฆาตกรตัวจริงคือเพื่อนสนิทของเขา นั่นหมายความว่าเขาเองก็มีส่วนร่วมในคดีฆาตกรรม บอยล์ถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกจำคุกตลอดชีวิต

หลังจากได้ย้ายเรือนจำหลายครั้ง ต่อมา บอยล์ถูกส่งไปยังหน่วยพิเศษในคุกบาร์ลินนีที่สก๊อตแลนด์ในปี 1973 หน่วยนี้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยเจ้าหน้าที่อาวุโสและข้าราชการพลเรือนโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิวัติการกระทำผิดอย่างรุนแรงต่อผู้ต้องขัง ที่นั่น ผู้ต้องขังจะได้รับอำนาจอย่างเท่าเทียมและยังได้รับการสนับสนุนให้มีการเรียนรู้ผ่านหนังสือและศิลปะ

ในปี 1977 บอยล์ได้เขียนหนังสือเล่มแรกของเขา ซึ่งเป็นนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติชื่อว่า Sense of Freedom หนังสือเล่มนี้เล่าถึงการก่ออาชญากรรมอันรุนแรงของบอยล์บนถนนกลาสโกว์ อาชญากรรมครั้งแรก และการกลับตัวในภายหลังเมื่อได้เรียนรู้ศิลปะและวรรณกรรมในคุก แม้ว่านวนิยายเรื่องนี้จะไม่เป็นที่โด่งดังในตอนแรก แต่กลับกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เมื่อบอยล์ถูกเรียกว่า "ฆาตกรที่ฉาวโฉ่ที่สุดของสกอตแลนด์" 

สามปีหลังจากที่นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ บอยล์ก็ได้แต่งงานกับจิตแพทย์คนหนึ่งที่ได้พบกับเขาหลังจากที่เธออ่านนิยายเรื่องนั้น เขาได้รับทัณฑ์บนในปี 1982 และไม่เคยกลับไปอยู่ในเรือนจำอีกเลยจนปัจจุบัน บอยล์กลายเป็นนักประพันธ์และประติมากรที่ประสบความสำเร็จซึ่งผลงานของเขาในปี 1999 ขายได้อย่างน้อย 10,000 ปอนด์ต่อชิ้น

 


(via: Patch)
 

เชสเตอร์ ไฮมส์

เชสเตอร์ ไฮมส์ เกิดในครอบครัวแอฟริกัน - อเมริกันชนชั้นกลางที่ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีในปี 1909 อย่างไรก็ตาม หลังจากที่น้องชายคนเล็กของเขาต้องตาบอดเนื่องจากอุบัติเหตุ ครอบครัวของเขาก็เริ่มแตกแยก ทำให้ไฮมส์เริ่มกลายเป็นพวกติดแอลกอฮอล์และโสเภณี รวมถึงเริ่มต้นก่ออาชญากรรม ในไม่ช้า เขาก็ต้องลาออกจากวิทยาลัยเนื่องจากก่อคดีพาพี่น้องไปขายในซ่องโสเภณีและถูกจับกุมในที่สุด เขาก่ออาชญากรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การฉ้อโกง การโจรกรรมอาวุธ และคดีพยายามขโมยปืนเมื่ออายุ 19 ปี

ในคุก เขาเริ่มเขียนเรื่องสั้น และมีบางเรื่องที่ได้รับการเผยแพร่ในนิตยสารใต้ดินหลายฉบับ นั่นทำให้เขามั่นใจในการส่งต้นฉบับให้แก่สำนักพิมพ์แห่งชาติ ถึงแม้ว่าในยุค 1930 งานของพวกอเมริกัน - แอฟริกันจะไม่เป็นที่ยอมรับและไม่สามารถตีพิมพ์ได้ อย่างไรก็ตาม ในปี 1934 นิยายเรื่อง Esquire ของเขาก็ได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งนับว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ในช่วงก่อนมีขบวนการเพื่อสิทธิพลเมือง 

แม้ว่าไฮมส์จะถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 25 ปี แต่เขากลับได้รับการปล่อยตัวในปี 1936 (น่าจะเป็นเพราะพฤติกรรมที่ดี) และยังได้ตีพิมพ์นิยายเล่มใหม่ๆ

ถึงแม้ผลงานชิ้นแรกของเขาจะเป็นนวนิยายเกี่ยวกับการประท้วงในรื่องของความเท่าเทียมและความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา แต่ในภายหลัง ไฮมส์ย้ายไปปารีสและใช้เวลาที่เหลือในชีวิตของเขาด้วยการเขียนนวนิยายสืบสวนสอบสวนเรื่อง Surreal Noir และได้รับรางวัล Grand Prix de Litterature Policiere ซึ่งเป็น 3 รางวัลอันทรงเกียรติที่สุดในฝรั่งเศสสำหรับนักเขียนอาชญากรรมและนิยายสืบสวนสอบสวนค่ะ ปรบมือรัวๆ เลย!!

 


(via: Phase 4 Film)
 

โรเบิร์ต เบค (ไอซ์เบิร์ก สลิม)

ไอซ์เบิร์ก สลิม เกิดที่ชิคาโก ในปี 1918 ในชื่อ โรเบิร์ต ลี แม่คนเดียวของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลครอบครัวชนชั้นกลางและอบรมลูกชายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในวัยเด็ก โรเบิร์ตกลับถูกจับในข้อหาอาชญากรรม 

เพื่อไม่ให้ลำบาก แม่ของเขาส่งเขาไปเรียนที่สถาบัน Tuskegee แต่อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ตถูกไล่ออกจากโรงเรียนทันทีหลังจากก่ออาชญากรรม นั่นทำให้เขากลายเป็นอาชญากรและแมงดาเต็มตัวตั้งแต่อายุ 18 ปี

หลังจากนั้น โรเบิร์ตอ้างว่าเขาได้รับสมญานาม "ไอซ์เบิร์ก สลิม" หลังจากที่เขายืนดื่มเหล้าอย่างหนักบนโขดหินระหว่างมีการถ่ายทำภาพยนตร์ในบาร์ แต่ในความเป็นจริง เขาตั้งชื่อนี้ให้กับตัวเองเพื่อสร้างตำนานให้ตัวเองต่างหาก

หลังจากที่ต้องเข้าคุกหลายแห่ง เขาเริ่มต้นอ่านและเขียน ในที่สุด หลังจากถูกคุมขังเดี่ยวที่คุก County House of Corrections และได้รับการปล่อยตัว เขาย้ายไปอยู่แคลิฟอร์เนีย และเปลี่ยนชื่อเป็นโรเบิร์ต เบค จากนั้น เขาได้เริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาในปี 1967 ชื่อว่า หนังสืออัตชีวประวัติของแมงดา: เรื่องราวชีวิตของฉัน

นวนิยายหลายเล่มรวมทั้งบทความมากมายของเขาได้รับการตีพิมพ์และขายเป็นหนังสือกว่าสองล้านเล่ม ทั้งยังได้ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง Trick Baby ในปี 1972 อย่างไรก็ตาม น่าเศร้าที่เขาได้รับค่าลิขสิทธิ์เพียงเล็กน้อยจากสำนักพิมพ์ของเขา

 

เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ จะเห็นได้ว่านักเขียนผู้โด่งดังทั้ง 5 คนลงมือจับปากกาและเขียนนิยายแม้ว่าตัวเองจะเป็นอาชญากรก็ตาม สิ่งที่น่าประทับใจเกี่ยวกับพวกเขาไม่ใช่แค่ว่าพวกเขามีความสามารถในการเขียนหนังสือ (แถมบางเรื่องยังดังเวอร์) เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายใน กลับตัวกลับใจ ละทิ้งพฤติกรรมแสนโหดร้ายในอดีต และปลดปล่อยจิตใจของพวกเขาด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์อย่างการเขียนหนังสือ มันทำให้เห็นเลยว่าใครๆ ก็เป็นนักเขียนได้ ดังนั้น น้องๆ คะ ไม่สายที่จะเริ่มต้นเขียนนิยายค่ะ

 พี่น้ำผึ้ง :) 

ขอบคุณข้อมูลจาก

https://books.google.co.uk/books?id=YV8EAAAAMBAJ&lpg=PA24&dq=edward%20bunker%20prison&pg=PA24#v=onepage&q=edward%20bunker%20prison&f=false
https://en.wikipedia.org/wiki/Mark_%22Chopper%22_Read
https://en.wikipedia.org/wiki/Jimmy_Boyle_(artist)
https://en.wikipedia.org/wiki/Chester_Himes
https://en.wikipedia.org/wiki/Iceberg_Slim
https://www.newyorker.com/books/page-turner/the-fires-that-forged-iceberg-slim

Deep Sound แสดงความรู้สึก

 

 

พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด