ความโกรธ : เชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับการเขียนนิยาย ถึงเวลาแล้วที่ต้องแผดเผามัน


 

ความโกรธ: เชื้อเพลิงชั้นดี
สำหรับความคิดสร้างสรรค์

(ถึงเวลาแล้วที่ต้องแผดเผามัน)

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวนักเขียนเด็กดีทุกคน เชื่อว่าทุกคนในนี้เคยโกรธ พี่เองก็เคยโกรธ ความโกรธไม่ใช่เรื่องดี มันเป็นเรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิด แก่เร็ว ยิ่งโกรธยิ่งไม่สวย ใครๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้ พูดกันตามตรงแบบโลกไม่สวย ความโกรธไม่ใช่สิ่งดีเลยสักนิด เพราะมันนำเราไปสู่ผลลัพธ์ที่เราไม่เคยต้องการ หากไม่เชื่อ ลองนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เราอารมณ์ร้อนสิ ตอนจบมันเป็นยังไง? เสียใจพอๆ กันทั้งสองฝ่ายใช่มั้ยล่ะ?

ถึงอย่างนั้น พี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะแย่ไปซะทั้งหมดหรอกนะ เพราะอันที่จริง แม้ความโกรธจะเป็นไฟอันตราย แต่มันก็เป็นเชื้อเพลิงชั้นเยี่ยมสำหรับความคิดสร้างสรรค์ พี่หมายถึง...มันช่วยให้เราเกิดไอเดียสุดเจ๋งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมาะมากๆ สำหรับนักเขียนอย่างเรา

ใช่แล้วค่ะ วันนี้พี่กำลังชวนน้องๆ มา “ใช้ประโยชน์” จากความโกรธตัวร้ายนี่แหละ
 


(via: Trading Psychology Edge)
 

แม้ว่าความโกรธจะถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่ในบางครั้งความโกรธก็มีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด นี่เป็นแนวคิดของนักวิจัยสามสหายนามว่า Matthijs Baas, Carsten De Dreu และ Bernard Nijstad ที่กล่าวในงานวิจัย Creative production by angry people peaks early on, decreases over time, and is relatively unstructured ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Experimental Social Psychology 

พวกเขาพบว่าคนโกรธมีแนวโน้มที่จะมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แม้ว่านั่นจะอยู่ได้ไม่นานนัก แต่สุดท้ายความโกรธนี้นี่แหละที่เป็นตัวช่วยในการยกระดับความคิดสร้างสรรค์ โดยการศึกษาครั้งนี้อ้างอิงจากงานวิจัยหลายฉบับที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของความโกรธ งานวิจัยส่วนใหญ่ระบุเลยว่าความโกรธไม่ได้ร้ายแรงมากนักเมื่อเราเปลี่ยนมันให้เป็นประโยชน์

ในการศึกษาครั้งแรกของสามสหาย นักวิจัยพบว่าการรู้สึกโกรธนั้นเกี่ยวข้องกับการระดมความคิด (brainstorm) ในลักษณะที่ไม่มีโครงสร้าง ไม่มีแบบแผน ซึ่งสอดคล้องกับการแก้ปัญหาเชิง “สร้างสรรค์” ต่อมาในการศึกษาครั้งที่ 2 นักวิจัยได้แยกอาสาสมัครที่โกรธออกจากกลุ่มอาสาสมัครทั้งหมด (อาสาสมัครที่เศร้าและอาสาสมัครที่ไม่มีความรู้สึกอะไร) จากนั้นตั้งคำถามให้พวกเขาระดมความคิดกันอีกครั้งในหัวข้อ “จงระดมความคิดเพื่อรักษาและปรับปรุงสภาพแวดล้อม” 

ตอนแรกของการเริ่มกิจกรรม อาสาสมัครที่โกรธแย่งกันแชร์ไอเดียเป็นไฟแล็บ มีการใช้น้ำเสียงที่ดังกว่าปกติและมีท่วงท่าที่เกรี้ยวกราด อีกทั้งยังเต็มไปด้วยไอเดียที่เหนือความคาดหมายเมื่อเทียบกับกลุ่มอาสาสมัครที่เศร้าและไร้อารมณ์ อย่างไรก็ตามประโยชน์นี้จะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงเริ่มต้นของความโกรธเท่านั้น และในท้ายที่สุดอาสาสมัครที่โกรธก็ได้สร้างความคิดมากที่สุดเมื่อเทียบกับอาสาสมัครกลุ่มอื่นๆ

 


โกรธแล้วนะ!!
(via:  Inside Out)

 

จริงๆ แล้วสิ่งที่ Baas และทีมค้นพบก็เป็นสิ่งที่ฟังดูเมคเซ้นส์นะ แม้ว่าความโกรธอาจเป็นที่ไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่ แต่มันก็สัมพันธ์กับคุณลักษณะต่างๆ ที่อาจช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ ประการแรก ความโกรธเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

ประการที่สอง ความโกรธนำไปสู่กระบวนการคิดที่มีความยืดหยุ่นและปราศจากโครงสร้าง ความยืดหยุ่นนี่แหละที่ช่วยให้เราคิดกว้างๆ คิดครอบคลุม และยังช่วยเพิ่มความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ให้เข้ากัน คนที่รู้สึกโกรธ (เทียบกับคนเศร้า) มีเปอร์เซ็นต์น้อยมากที่จะคิดอย่างเป็นระบบ รวมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยคิดอะไรก่อนตัดสินใจ การคิดกว้างๆ นี่แหละที่เกี่ยวข้องกับการมอง “ภาพใหญ่ขึ้น” อย่างแท้จริง

ผลการวิจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอารมณ์เชิงลบเช่น ความโกรธ อาจมีผลดีต่อชีวิตประจำวันของเรา อย่างไรก็ตามงานนี้มักมาพร้อมกับคำเตือนเสมอ ความโกรธไม่น่าจะเป็นประโยชน์ไม่ว่าจะในสภาพแวดล้อมไหนๆ แต่ความโกรธมีแนวโน้มที่จะเป็นประโยชน์เฉพาะในบางสถานการณ์หรือสำหรับบางคนเท่านั้น... รวมทั้งนักเขียนอย่างเรา

 


(via: Lifehacker)

 

การเขียนกับความโกรธ

อย่างที่เราเห็นได้จากงานวิจัย มันมีความคิดสร้างสรรค์ซ่อนอยู่ในความโกรธ ยิ่งโกรธมาก ยิ่งมีความคิดสร้างสรรค์มาก คนส่วนใหญ่เวลาโกรธมักจะระบายด้วยวิธีการต่างๆ บางคนอาจด่าทออย่างเกรี้ยวกราด บางคนทำร้ายคนรอบข้าง บางคนหนักกว่าเพราะถึงขั้นทำร้ายตัวเองเลยทีเดียว แต่ในฐานะนักเขียน ในเมื่อเรารู้แล้วว่าความโกรธเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ช่วยจุดไฟให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์ แล้วทำไมเราไม่เขียนมันลงไปล่ะ? 

น้องๆ รู้มั้ย การเขียนเป็นกลไกในการแปลงความรู้สึกเชิงลบที่มีประสิทธิภาพที่จะทำให้เรารู้สึกสบายใจ พึงพอใจและให้ผลดีต่อตัวเรา การเขียนนำไปสู่การกระทำและความชัดเจน มันเหมือนแหล่งรวมความคิดและความรู้สึก ในการเขียน เราสามารถเอาชนะความโกรธที่กำลังรู้สึกอยู่ได้โดยที่เราไม่ต้องไปทำให้ใครเดือดร้อน แค่เขียนเท่านั้น เพราะลึกๆ แล้วการเขียนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเราให้มีวุฒิภาวะขึ้นโดยไม่รู้ตัว และจะดียิ่งกว่านี้หากเราใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นประโยชน์ด้วยการเขียนนิยายตอนที่โกรธ เชื่อสิ ไม่มีทางตันแน่นอน

บ่อยครั้งที่นักเขียนหลายคนก็เริ่มเขียนนิยายเพราะความโกรธ Gloria Anzaldúa นักเขียน เฟมินิสต์และนักทฤษฎีทางวัฒนธรรมเองก็ใช้ความโกรธในการทำงานของเธอ “โดยการเขียน” เธอกล่าวว่า “ฉันเขียนเพราะชีวิตไม่เอาใจฉันเลย และฉันก็โกรธมาก”

 

เปลี่ยนความโกรธให้เป็นความคิดสร้างสรรค์

ยอมรับ

เมื่อเรารู้สึกโกรธ สิ่งแรกที่ควรทำเลยก็คือ “การยอมรับ” ความรู้สึกตัวเอง มีสติว่าตอนนี้เรากำลังโกรธอยู่นะ ความเต็มใจที่จะเผชิญกับจิตใต้สำนึกของเราด้วยความรัก ความเมตตาและพบกับตัวเองในการแสดงออกที่ "มืดที่สุด" ของเราจะช่วยให้ความโกรธบรรเทาลงได้ แทนที่เราจะปฏิเสธพลังธรรมชาตินี้และต่อสู้กับตัวเราเอง เราควรยอมรับมัน เมื่อเราต้อนรับและตระหนักถึงมัน เราจะรู้จักตัวเองมากขึ้น และยังสามารถใช้มันอย่างชาญฉลาดเพื่อพาเราไปยังที่ไหนสักที่ในจินตนาการที่สวยงาม

การยอมรับคือการที่รับรู้ว่าเรารู้สึกโกรธ มันเป็นเรื่องที่เปิดกว้าง เราจะตระหนักรู้ว่าความโกรธเป็นเพียงแค่พลังงาน แท้จริงแล้วมันคือผู้สื่อสาร การกระทำอันแสนเรียบง่ายอย่างเช่นการยอมรับความโกรธเป็นการเปิดประตูสู่ความมีชีวิตชีวา ความคิดสร้างสรรค์และภูมิปัญญา

ฟังข้อความบางอย่าง

หลังจากยอมรับความโกรธได้แล้ว เท่ากับว่าเราก้าวขาอีกข้างเข้าสู่ประตูของความคิดสร้างสรรค์ ด้วยการตระหนักรู้ถึงความรู้สึกโกรธ มันคือการที่เราเปิดประตูต้อนรับมัน ชงชาให้ถ้วยนึง จากนั้นนั่งลงในห้องครัวด้วยกัน เราเริ่มทำการปรับเปลี่ยนและยับยั้งความโหดร้ายของความโกรธ

จริงๆ แล้วความโกรธเป็นทูต ความโกรธเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง มันนำจดหมายมาเพื่อแจ้งเราว่าอะไรไม่เวิร์ค อะไรขาด อะไรต้องปรับปรุงหรืออะไรที่ไม่คู่ควรกับเรา ถ้าเราตั้งใจฟังมันดีๆ มันจะนำทางเราไปพบกับอิสรภาพและเส้นทางที่เป็นชีวิตของเราอย่างแท้จริง ลงฟังเสียงกระซิบของมันที่กำลังบอกว่าเราควรเขียนนิยายยังไง ความโกรธเปรียบเหมือนป้ายบอกทางซึ่งจะส่งสัญญาณว่าเรากำลังอยู่ที่ไหนและต้องไปทางไหน

เปลี่ยนมันเป็นพลัง

การปลดล็อกความโกรธและการแสดงความเชี่ยวชาญในการรับมือกับมันเป็นกุญแจสำคัญในการใช้พลังงานของเราอย่างเต็มที่ เมื่อเราปล่อยให้ไฟโกรธสุมอยู่ในอกแล้ว เราจะพบว่ามันมีพลังมหัศจรรย์บางอย่างที่ไหลอยู่รอบตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งมันเป็นประโยชน์สำหรับการแสดงออกที่สร้างสรรค์

ระบายอารมณ์ทั้งหมดออกมาผ่านงานเขียน เปลี่ยนความทรมานให้กลายเป็นตัวหนังสือ เราจะค้นพบสิ่งที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่กว่าที่คิดที่อยู่ข้างในตัวเรา เหมือนกับการเต้นปัญจลีลา (Five Rhythms) ของ Gabrielle Roth นั่นแหละ ศิโรราบให้กับความกลัวและพลิ้วไหวไปกับท่วงทำนองเพลง ใส่ความเป็นตัวเองโดยดึงความรู้สึกจากภายใน ในฐานะนักเขียน เราแค่หยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนมันลงบนกระดาษพร้อมกับอารมณ์ที่กรุ่นข้างใน เราสามารถใช้พลังงานของความโกรธเพื่อเผาความโกรธ แล้วเราจะได้พบกับความเห็นอกเห็นใจและความสงบสุข

เมื่อเราอนุญาตให้ความโกรธได้ทำงาน อย่าลืมตั้งใจฟังว่ามันกำลังพยายามจะบอกอะไรเราด้วย เราจะได้สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแหล่งสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างถูกต้อง ที่สำคัญ เราควรตระหนักรู้ถึงความเจ็บปวดที่อาศัยอยู่ลึกภายใต้ความโกรธด้วยค่ะ มันจะช่วยให้เราถ่ายทอดอารมณ์ผ่านทางตัวหนังสือได้ง่ายขึ้น

ใช้ความโกรธเป็นแพชชั่น

ความโกรธและแพชชั่นมาจากแหล่งเดียวกันในร่างกาย แต่จะพูดว่าความโกรธคือแพชชั่นก็ไม่ถูกเท่าไหร่นัก เอาเป็นว่าความโกรธคือความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่งที่ต้องการทางออก แต่หาประตูไม่ได้เลยต้องแสดงออกผ่านตัวเรา เพราะงั้นครั้งต่อไปเวลาโกรธ มีสติกับตัวเอง ยอมรับและตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของมัน รู้สึกถึงพลังโกรธและใช้มันเพื่อสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่าง และจำไว้เสมอว่าความโกรธสามารถเปลี่ยนโลกได้ มีนักเขียนหลายคนเองก็สร้างสรรค์ผลงานจากความโกรธ หนึ่งในนั้นคือเนลสัน เมนเดลา น้องๆ คะ เชื่อมั้ย ศิลปะแห่งความโกรธของศิลปินและนักเขียนสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้มากมาย

ในฐานะที่พี่น้ำผึ้งเป็นนักเขียน พี่เองก็เปลี่ยนความโกรธให้เป็นพลังเช่นกัน พี่จับมือเป็นพันธมิตรกับมันและปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ออกมาซะ ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ พี่สามารถเขียนนิยายได้หลายหน้ามากกว่าที่คิดอีก ที่อยากจะบอกก็คือความโกรธไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เราแค่ต้องรับมือกับมันให้เป็นเท่านั้น

 

เป็นยังไงบ้างคะน้องๆ ทุกคน คราวหลังถ้าเราโกรธ เราก็รีบคว้าโอกาสนั้นเขียนนิยายรัวๆ และปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ออกมาเลยนะคะ ถือเสียว่านั่นเป็นโอกาสดีที่จะช่วยให้เราเขียนนิยายได้เร็วขึ้นและลดโอกาสตันด้วย เคยมีนักเขียนที่ชื่อว่า "โซรายา เคมาลี่" กล่าวว่า “ผู้หญิงสามารถปล่อยให้ความโกรธของพวกเธอให้แผดเผาอย่างช้าๆ หรือไม่งั้นพวกเธอก็เปลี่ยนมันเป็นโอกาสและแสดงออกด้วยวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพและงดงาม”
 

แล้วน้องๆ ล่ะคะ จะเลือกอะไร
เก็บความโกรธไว้ข้างใน หรือ เปลี่ยนมันออกมาในรูปแบบนวนิยาย?

 พี่น้ำผึ้ง :) 

ขอบคุณข้อมูลจาก
Baas, M., De Dreu, C. and Nijstad, B. (2011). Creative production by angry people peaks early on, decreases over time, and is relatively unstructured. Journal of Experimental Social Psychology, 47(6), pp.1107-1115.

https://ideas.ted.com/anger-is-fire-for-creativity-and-its-time-to-let-it-burn/
https://creativemindspsychotherapy.com/2017/03/24/1235-2/

Deep Sound แสดงความรู้สึก

 

 

พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
Silver-Sky Member 20 พ.ย. 61 21:29 น. 5

เห็นด้วยว่า "ความโกรธ" เป็นพลังจริงๆ

นี่เคยหยุดเขียนไปประมาณสองสามเดือน อารมณ์แบบ... เบื่อๆ ก็เลยพอ

แล้วอยู่ๆวันหนึ่ง เพื่อนที่สนิทกันมาหาเรื่อง ทำให้นอยด์ และโกรธมาก (ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่คุยกันนะ) คืนนั้นด้วยความโกรธ กลับไปนั่งเขียนนิยายเฉยเลย เขียนจบตอนด้วย

0
กำลังโหลด

8 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
dreamingfear Member 18 พ.ย. 61 19:22 น. 3

ชาตินี้ยังไม่เคยโกรธใครจริงจังเลย อันที่จริง มีอารมณ์ความรู้สึกรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ อย่าให้ใครได้เห็นโหมดกระหายเลือดก็แล้วกัน ถ้ามีใครขุดมันขึ้นมาได้จริง ก็ตัวใครตัวมันละกันนะ

0
กำลังโหลด
เด็กน้อยกับโชคดี Member 20 พ.ย. 61 12:39 น. 4

มันคือความจริงค่ะ เพราะตอนเราโกรธนี่พล็อตนิยายจะไหลเข้ามาเป็นฉากจดแทบไม่ทัน แต่พอความโกรธหายไปสิ่งที่ตามมาก็คือสิ่งที่เรียกว่าสมองตันTwT//ทำม๊ายยยย

0
กำลังโหลด
Silver-Sky Member 20 พ.ย. 61 21:29 น. 5

เห็นด้วยว่า "ความโกรธ" เป็นพลังจริงๆ

นี่เคยหยุดเขียนไปประมาณสองสามเดือน อารมณ์แบบ... เบื่อๆ ก็เลยพอ

แล้วอยู่ๆวันหนึ่ง เพื่อนที่สนิทกันมาหาเรื่อง ทำให้นอยด์ และโกรธมาก (ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่คุยกันนะ) คืนนั้นด้วยความโกรธ กลับไปนั่งเขียนนิยายเฉยเลย เขียนจบตอนด้วย

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Sylvia1969 Member 22 เม.ย. 63 01:28 น. 7

เราว่ามันใช่เลย ก่อนหน้านี้เราหยุดเขียนไปพักนึงเพราะหาแรงบันดาลใจไม่ได้ จนเราไปคุยกับคนนึงๆ มันถามว่าเราทำอะไร เราบอกเรามุ่งมั่นจะเป็นนักเขียน มันดูถูกเราค่ะมันพูดกระทบเราเหมือนเราเขียนอะไรออกมาไม่ได้หรอก กล้ามาบอกว่าตัวเองเป็นนักเขียนไรงี้ การจะเป็นนักเขียนนั้นจะต้องมีบลาๆๆๆๆ มันร่ายยาวจนเราโกรธกะสิ่งที่มันบอกมากอ่ะ จนตอนนี้เราเอาคำพูดที่มันว่าเราหันกลับไปแต่งนิยายต่อละ อยากให้มันเห็นว่าเราทำจริงจังๆไม่ได้มาเล่นๆนะเว้ย เราว่าความโกรธทำให้เรามีไฟที่อยากจะทำอะไรสักอย่างจริงๆค่ะ เปลี่ยนความโกรธให้เป็นพลัง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด