5 ความเชื่อผิดๆ ของนักเขียนที่ทำให้เขียนนิยายไม่จบ!

สวัสดีค่ะนักเขียนชาวเด็กดี หากพี่ขอให้ทุกคนลองนึกถึงความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเขียนนิยายมาสักข้อสองข้อ ตอนนี้ทุกคนกำลังคิดถึงเรื่องอะไรกันคะ? พี่เชื่อว่าหลายคนอาจจะต้องใช้เวลาในการคิดนานสักหน่อย เพราะการตัดสินใจว่าความเชื่อไหนถูก หรือความเชื่อไหนผิด ล้วนเป็นวิจารณญาณส่วนบุคคล ที่มักมีความเห็นไม่ตรงกันเสมอ ความเชื่อที่เราคิดว่าผิด อาจเป็นความเชื่อที่บางคนคิดว่าถูกต้องแล้วสำหรับเขาก็ได้ ในทางกลับกัน ความเชื่อที่เราคิดว่าถูกก็อาจเป็นความเชื่อที่ผิดสำหรับคนอื่นได้เหมือนกัน โดยเพราะเรื่องเทคนิค หรือเคล็ดลับในการเขียน ที่มีวิธีการต่างๆ มากมายให้ทดลองทำกัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเรา ในบทความนี้ พี่จึงสรรหาความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถเขียนนิยายได้ จนกลายเป็นข้อแก้ตัวประจำของหลายๆ คนไปแล้ว มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้ทุกคนได้ลองตัดสินใจ หรือพิสูจน์กันเอาเองว่า ตอนนี้เรามีความเชื่อแบบไหนอยู่ พร้อมมาค้นหาสาเหตุที่ทำให้เราชอบผัดวันประกันพรุ่งกันเลยค่ะ 
 


Credit Photo by Malvestida Magazine on Unsplash

5 ความเชื่อผิดๆ ของนักเขียนที่ทำให้เขียนนิยายไม่จบ!
 

1. เชื่อว่าไม่มีเวลาเขียน

เป็นความเชื่อผิดๆ ที่เป็นเรื่องจริงสำหรับนักเขียนเกือบทุกคนเลยค่ะ สาเหตุหลักที่ทำให้เราเขียนนิยายไม่จบเรื่อง หรือไม่ได้ลงมือเขียนนิยายเลย แม้ว่าจะมีพล็อตกองเต็มบ้าน เพราะเราเชื่อว่าเรา “ไม่มีเวลาเขียน” ค่ะ จากเดิมที่เรามีภาระงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันมากมายอยู่แล้ว ที่ทำให้เราเหนื่อยล้าจนไม่มีเวลาเขียนนิยาย กลายเป็นว่าทุกครั้งที่ไม่ได้เขียนนิยาย เราใช้คำว่าไม่มีเวลาเป็นข้ออ้างในการผัดวันประกันพรุ่ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็นความเชื่อผิดๆ ว่า “เวลา” คือ อุปสรรคในการเขียนนิยายของเรา ทั้งที่ความจริงแล้ว “ตัวเรา” ต่างหากที่เป็นอุปสรรคที่แท้จริง!?

ทำไมถึงเป็นตัวเราล่ะ? นั่นเพราะคำแนะนำส่วนใหญ่สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเขียน คือ เราควรแบ่งเวลามาทำในสิ่งที่เรารักบ้าง เหมือนที่นักเขียนคนหนึ่งเคยบอกเอาไว้ว่า “ถ้าเรารักมันมากพอ เราจะมีเวลาให้มัน” จะเห็นว่าคีย์เวิร์ดของปัญหาอยู่ที่ตัวเราค่ะ จะมีใครสามารถบังคับเราให้เขียนนิยายได้ นอกจากตัวเราเอง ดังนั้น วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุดสำหรับความเชื่อผิดๆ นี้เลยก็คือ เราไม่ต้องพยายามเลยค่ะ “ความอยากเขียน” อยู่นอกเหนือคำว่า “เวลา” เราจะมีเวลาเขียนนิยายก็ต่อเมื่อเราอยากเขียนมันมากพอค่ะ อีกทริคหนึ่งที่น่าจะช่วยได้ คือ เมื่อมีวันหยุด หรือภาระงานในวันนั้นไม่ได้หนักหนาสาหัสมากจนทำให้เราหมดแรง ลองใช้เวลาที่เหลือทำในสิ่งที่เรารักดูค่ะ เขียนได้น้อย หรือแทบไม่ได้เขียนเลยไม่สำคัญ เพราะเรากำลังพิสูจน์กันว่าสาเหตุที่ไม่ได้เขียนนิยาย เป็นเพราะเราไม่มีเวลาเขียน เพราะเราเขียนไม่ออก หรือเพราะเรารักมันน้อยลง


Credit Photo by Forest Simon on Unsplash

2. เชื่อว่านิยายที่เขียนยังไม่ดีพอ 

ถึงอย่างไรความเชื่อที่ทำร้ายนักเขียนมากที่สุดก็คือ “การไม่เชื่อมั่นในตัวเอง” ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความคิด หรือทักษะการเขียน ที่นักเขียนหลายคนเชื่อว่า “ยังทำได้ไม่ดีพอ” ความเชื่อในข้อนี้ มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เราชอบเปรียบเทียบงานของเรากับงานของคนอื่นค่ะ สมัยก่อนอาจจะวัดความนิยมกันที่การออกเล่มนิยาย ยอดขาย หรือฐานแฟนคลับ ขณะที่ปัจจุบัน มีนิยายออนไลน์ในคลังนิยายเด็กดีกว่าหนึ่งล้านเรื่อง ที่มีการจัดอันดับท็อป มีเรื่องของยอดวิว หรือยอดคอมเมนต์ มาเป็นส่วนหนึ่งของความนิยม ทำให้นักเขียนหลายคนรู้สึกน้อยใจ และบั่นทอนกำลังใจตัวเอง จนเกิดความคิดที่ว่า งานของเรานั้นด้อยค่ากว่าคนอื่น มีคนอ่านน้อยกว่า หรือมีคนคอมเมนต์น้อยกว่า เมื่อเราเก็บความคิดเหล่านี้มาใส่ใจบ่อยๆ เข้า ทำให้เราไม่อยากเขียนนิยายต่อจนจบ ไม่มีกำลังใจเขียนต่อ เพราะเชื่อว่า “นิยายที่เขียนยังไม่ดีพอ” เขียนไปก็ไม่มีใครสนใจ..

ในข้อนี้ จึงอยากถามนักเขียนดูว่า “นิยายที่เขียนยังไม่ดีพอ” นั้น เราใช้ความคิดหรือตัวชี้วัดจากที่กล่าวมาบ้างไหม หรือมีเหตุผลปัจจัยอื่นอีก นอกจากการเอางานของเราไปเทียบกับงานของคนอื่น? การขจัดความเชื่อผิดๆ ในข้อนี้ทิ้ง จะทำได้ยากมากๆ หากเราไม่ได้สนใจนิยายของเรา ไม่ได้สนใจว่าเรามีพล็อต หรือมีแนวคิดที่น่าสนใจจนอยากเขียนแบ่งปันคนอ่านอย่างไรบ้าง เพราะนิยายที่ดีเป็นอย่างไร นอกจากคนอ่านที่มีสิทธิ์ตัดสินใจแล้ว ยังมีตัวเราคนหนึ่งที่ต้องรักและเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเขียน แม้จะมีนักอ่านเพียงหนึ่งคนที่ติดตาม และชื่นชอบนิยายของเรา แต่ก็การันตีได้ว่านิยายของเรามีดีในสายตานักอ่านอยู่เหมือนกัน 


Credit Photo by Kelly Sikkema on Unsplash

3. เชื่อว่าคำวิจารณ์ช่วยให้เขียนนิยายดีขึ้น 

ความเชื่อผิดๆ ข้อนี้ คือ เรื่องของคำวิจารณ์ค่ะ เป็นเรื่องดีที่เราใส่ใจความคิดเห็นของนักอ่าน และเก็บคำวิจารณ์มาพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แต่เป็นเช่นนั้นทุกคนจริงเหรอคะ คำแนะนำสำหรับนักเขียนเมื่อพบคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ มักบอกให้นักเขียนเก็บแต่เรื่องดีๆ มาใช้ และปล่อยคำวิจารณ์ในแง่ลบไปกับสายลม ซึ่งพี่เห็นด้วยและยังยืนยันว่าคำวิจารณ์จากนักอ่านเป็นกระจกสะท้อนที่ดีที่สุดสำหรับนักเขียน แต่ในสิ่งที่ดีที่สุดมักมีข้อยกเว้นเสมอค่ะ แม้แต่คำวิจารณ์ที่ดีที่สุด ก็อาจเป็นดาบสองคมได้ เพราะเมื่อมีคนบอกว่าคำวิจารณ์ช่วยพัฒนางานเขียนเราได้ เราก็อาจจะนำทุกคำวิจารณ์ที่ดีมาปรับใช้ จนอาจลืมไปว่า “ตัวตน” ของเราเป็นอย่างไร เราถนัดไหม เราชอบในสิ่งที่ทำรึเปล่า บางครั้งเราอาจจะพยายามทำตามคำแนะนำมากไป พยายามทำให้คนอื่นพอใจ จนกลายเป็นนักเขียนในแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น เป็นในแบบที่พวกเขาชื่นชอบ แล้วเราลองถามตัวเองหรือยังว่าเราชอบจริงๆ หรือเปล่า? 

หากเราชอบถือว่าเราพัฒนาตัวเองมาถูกทางแล้วค่ะ ต้องขอบคุณคำวิจารณ์เหล่านั้นที่ช่วยให้เราค้นหาตัวเองจนเจอ แต่ในทางกลับกัน สำหรับคนที่เริ่มรู้สึกว่าไม่ชอบ รู้สึกว่าตัวเราพยายามเพื่อคนอื่นมากเกินไป แนะนำให้หยุด และเขียนนิยายโดยยึดตัวเราเป็นหลักค่ะ อย่าเสียเวลาทำให้คนอื่นพอใจเลยค่ะ สุดท้ายคนแรกที่จะอยู่กับนิยายไปจนจบก็คือตัวเรา 


Credit Photo by Radu Marcusu on Unsplash

4. เชื่อว่านักเขียนต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ

จริงๆ แล้วนักเขียนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหลังจากเขียนเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาแล้วค่ะ การจะเขียนนิยายสักเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเฉพาะเจาะจง เช่น อาชีพ การทำงาน หรือมีเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ นักเขียนแทบทุกคนจำเป็นต้องหาข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการเขียนค่ะ แม้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือเรียนอยู่ในด้านนั้นๆ อยู่แล้ว ก็ไม่มีทางหนีพ้นการหาข้อมูลแน่นอน ความเชื่อผิดๆ ว่าคนเป็นนักเขียนต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ จึงต้องปัดตกไป ไม่มีใครเชี่ยวชาญทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านหรอกค่ะ หากเราอยากจะเขียนนิยายสักเรื่องหนึ่ง แต่มีข้ออ้างว่าไม่เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ เลยไม่เขียน อยากให้เปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า เราสามารถเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ได้ หากเราชื่นชอบ และอยากทำมันจริงๆ ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของ “คนอยากเขียน” ได้แน่นอนค่ะ 


Credit Photo by Linh Nguyen on Unsplash

5. เชื่อว่าเขียนแนวตลาดดีที่สุด 

ความเชื่อข้อนี้ มีนักเขียนหลายคนกำลังทำอยู่แน่นอนค่ะ ใครๆ ก็อยากให้นิยายแมส ติดตลาด เป็นที่สนใจ และได้รับความนิยม ถามว่าผิดไหม? ไม่ผิดค่ะ เป็นเรื่องดีที่นิยายแนวเดียวกัน ถูกแต่งโดยนักเขียนจำนวนมาก เพื่อท้าทาย และต่อยอดแตกแขนงทิศทางของพล็อตแบบไม่มีวันสิ้นสุด นิยายแนวเดียวกันหนึ่งร้อยเรื่อง แข่งกันด้วยไอเดีย ฝีมือการเขียน และคนตัดสินคือนักอ่าน ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าสนใจอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน นิยายแนวตลาดทำให้นักอ่านส่วนหนึ่งรู้สึกเบื่อ และนักเขียนที่ไม่ได้เขียนนิยายตามกระแส หรือตามที่ตลาดต้องการ รู้สึกท้อกับการเขียนนิยายขึ้นมาเหมือนกัน เพราะหากมองในแง่ของคนอ่าน หรือคอมเมนต์ นิยายที่ไม่ใช่แนวตลาดมักถูกมองว่าเป็นนิยายนอกกระแส นักเขียนที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรค ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองเขียนได้จนจบเรื่อง จึงมีค่อนข้างน้อย และเรามักได้ยินนักอ่านบ่นเสมอว่านิยายดีๆ มักไม่ติดท็อป หรือมีคนอ่านน้อยจนเลิกเขียนนิยายไป 

ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลให้นักเขียนหลายคน ละทิ้งในสิ่งที่ตัวเองอยากเขียน และหันมาจับความชอบส่วนใหญ่ที่ตลาดต้องการ ซึ่งแม้จะได้รับความนิยมกลับมา แต่ความเป็นตัวตนของนักเขียนอาจจะหายไป ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ หรืออยากนำเสนอจริงๆ ส่วนความเชื่อที่ว่านิยายแนวตลาดดีที่สุดนั้น จะเป็นความเชื่อที่ผิดหรือถูกก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเขียนเพื่ออะไร เพื่อลองไอเดียใหม่ๆ เพื่อพิสูจน์ฝีมือ หรือเพื่อให้นิยายได้รับความนิยมตามกระแสเท่านั้น เราไม่อาจตัดสินได้ว่าการเขียนนิยายตามกระแส หรือนอกกระแสดีกว่ากัน ทั้งหมดนี้ นักเขียนเป็นคนเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง
 

……………..

ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ น่าจะทำให้เราเจอคำตอบกันบ้างแล้วว่า ทำไมเราถึงชอบผัดวันประกันพรุ่งกันนัก หลายความเชื่อไม่อาจตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด เพราะอยู่ที่เราเลือกใช้ และอยู่ที่มุมมองของเราว่ามองความเชื่อเหล่านั้นเป็นแบบไหน ซึ่งพี่เชื่อว่านักเขียนชาวเด็กดีทุกคนมีคำตอบอยู่ในใจกันอยู่แล้ว เพียงแต่จะเหมือนหรือต่างกันนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนล้วนๆ ซึ่งในความเห็นของพี่ ค่อนข้างเชื่อเรื่องไม่มีเวลาเขียน กับคำวิจารณ์ค่ะ คนที่กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างได้ ล้วนเป็นตัวเราทั้งนั้น ถ้าเราอยากเขียนเวลาไม่ใช่ปัจจัยเลยค่ะ เพราะเคยเขียนนิยายบนรถเมล์มาแล้ว ขณะที่คำวิจารณ์จากนักอ่าน บางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเรากำลังถูกยัดเยียดให้เป็นคนในแบบที่นักอ่านชอบอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ ต้องมีคนเคยพิสูจน์มาแล้วแน่นอนค่ะ ส่วนใครที่ยังไม่เคยเจอ หรือรู้สึกแบบที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อ อาจจะต้องใช้เวลาคิด ใช้เวลาพิสูจน์อยู่บ้าง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ พี่ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้นักเขียนทุกคนมองเห็นอีกด้านหนึ่งของการเขียนนิยาย เพราะการจะเป็นนักเขียนที่ดียิ่งขึ้นได้ เราจะต้องยอมรับความแตกต่าง ยอมรับความคิดของเราเอง กล้าเป็นตัวเอง และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองค่ะ 

พี่แนนนี่เพน

Deep Sound แสดงความรู้สึก

พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

digitalis467 Member 21 ธ.ค. 62 15:33 น. 2

โดนมาแล้ว 2 3 4 แต่มากสุดจะเป็น 2 มากกว่า มีครั้งหนึ่งอารมณ์ชั่ววูบว่าจะลบนิยายตัวเองในเด็กดีด้วยซ้ำทั้งที่ลงยังไม่จบเพราะยอดกดไลค์น้อยมากยอดคอมเม้นต์นี่อย่าให้พูดถึงแทบไม่มีเลย ยอดวิวสำหรับเราหลายสิบวิวนี่ก็ถือว่าเยอะมากแล้วนะแต่ยอดไลค์2 บ้าง 3บ้างในแต่ละตอน ฮ่าๆๆๆ สงสัยคนจะไม่ชอบก็เลยไม่ไลค์มันจึงกลายเป็นการเปรียบเทียบกับงานคนอื่นจนรู้สึกท้อว่าเราเขียนได้ไม่ดีพอคือข้อสองเนี่ยใช่มาก ๆ เลย สุดท้ายนี้ขอบคุณสำหรับบทความดีดีแบบนี้นะคะ

0
กำลังโหลด
Hameii Member 20 ธ.ค. 62 16:26 น. 1

โดนใจทุกข้อเลยค่ะ โดยเฉพาะข้อ 2 เพิ่งได้เรียนรู้มาหมาดๆ เลย

ขอบคุณมากๆ นะคะ บทความดีมากๆ เสมอเลย

0
กำลังโหลด

5 ความคิดเห็น

Hameii Member 20 ธ.ค. 62 16:26 น. 1

โดนใจทุกข้อเลยค่ะ โดยเฉพาะข้อ 2 เพิ่งได้เรียนรู้มาหมาดๆ เลย

ขอบคุณมากๆ นะคะ บทความดีมากๆ เสมอเลย

0
กำลังโหลด
digitalis467 Member 21 ธ.ค. 62 15:33 น. 2

โดนมาแล้ว 2 3 4 แต่มากสุดจะเป็น 2 มากกว่า มีครั้งหนึ่งอารมณ์ชั่ววูบว่าจะลบนิยายตัวเองในเด็กดีด้วยซ้ำทั้งที่ลงยังไม่จบเพราะยอดกดไลค์น้อยมากยอดคอมเม้นต์นี่อย่าให้พูดถึงแทบไม่มีเลย ยอดวิวสำหรับเราหลายสิบวิวนี่ก็ถือว่าเยอะมากแล้วนะแต่ยอดไลค์2 บ้าง 3บ้างในแต่ละตอน ฮ่าๆๆๆ สงสัยคนจะไม่ชอบก็เลยไม่ไลค์มันจึงกลายเป็นการเปรียบเทียบกับงานคนอื่นจนรู้สึกท้อว่าเราเขียนได้ไม่ดีพอคือข้อสองเนี่ยใช่มาก ๆ เลย สุดท้ายนี้ขอบคุณสำหรับบทความดีดีแบบนี้นะคะ

0
กำลังโหลด
16.10.2004 Member 26 ธ.ค. 62 12:52 น. 3

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ที่คอยฮีลไม่มากก็น้อยนะคะ สุดท้ายก็ได้แต่คิดไม่มีใครอ่านข่อยจะเก็บไว้อ่านเองจ้า อย่างน้อยก็เคยได้ทำล่ะ

0
กำลังโหลด
เรโกะ จิทาคุ Member 29 ธ.ค. 62 06:30 น. 4

ไม่มี เอาเข้าจริง เรายังไม่รู้เลยว่า ความเชื่อผิดๆ ของนักเขียน เรามีมันรึเปล่า? เราเคยรู้จักกับมันรึเปล่า? พออ่านๆดู...ไม่มีจริงๆด้วย

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด